29 ตุลาคม 2551 06:48 น.

ธรรมะยามเช้า

ลุงแทน

หัวข้อ : ธรรมะยามเช้า
ข้อความ : นี่เป็นหลักธรรมครับ....ศาสนาอื่นผมว่าก็ดูได้น่ะ อ่านแล้วก็ลองเก็บเอาไปคิดละกัน (ฉบับนี้ตัดทอนแล้ว)
สติทำให้เกิดสมาธิ และสมาธิทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่มีสมาธิเป็นฐานนั้นจะมีพลังมากมีอานิสงส์มาก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะปัญญา แต่กว่า จะตรัสรู้ได้ พระพุทธเจ้าต้องเจริญสติบำเพ็ญสมาธิ เพราะฉะนั้นฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบันอย่าใจลอย ใจต้องอยู่กับเรื่องเฉพาะหน้า ที่ต้องทำ ท่านจะมีสมาธิ แล้วสมาธินั้นทำให้เกิดปัญญา ปัญญาที่นำมาใช้ในชีวิต ประจำวัน เรียกว่าสัมปชัญญะ
สัมปชัญญะก็คือปัญญาเฉพาะเรื่องนั่นเอง ปัญญาคือความรอบรู้ ส่วนสัมปชัญญะ ก็คือความรู้ชัดรู้จริงที่นำมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนั้นได้ ถ้าสติไม่มาปัญญาก็ไม่เกิด สติมา ปัญญาเกิด สติเตลิดก็เกิดปัญหา
ตัวอย่างในการแก้ปัญหา เช่น ตึกถล่มที่รอยัลพลาซ่าโคราช ทุกคนในอาคาร ตกอกตกใจ บางคนช็อควิ่งพล่าน แต่มีคนคนหนึ่งรอดมาได้ เขากำลังกวาดพื้นอยู่ พอเสียงลั่นครืน แกกระโดดวิ่งไปหาเสาใหญ่ ไปหลบที่เสาเพราะคานมันจะหล่น พอคานหล่นมาก็คร่อมแกไว้ แกอยู่พิงเสาไม่ได้วิ่งไปไหน มีสติเพราะฝึกไว้ แต่บางคน ฝึกแล้วยังตกใจทำอะไรไม่ถูก สติไม่มาปัญญาก็ไม่เกิด
สติกับสัมปชัญญะต้องมาด้วยกัน สติคือความรู้ทัน สัมปชัญญะคือความรู้เท่า ความรู้เท่าหมายถึงรู้เท่าถึงการณ์ เห็นเหตุแล้วคาดว่าผลลัพธ์อะไรจะตามมา มอง ภาพกว้าง มองหน้ามองหลัง รู้เท่าเอาไว้ป้องกัน รู้ทันเอาไว้แก้ไข พอเกิดปัญญาเฉพาะหน้าขึ้นมาไม่ว่าจะเรื่องอะไร ก็ตาม สติจะช่วยทำให้ท่านระดมปัญญามาแก้ปัญหา เช่น ขับรถบนท้องถนน ถ้าเกิด ยางแตกจะทำอย่างไร บางคนตกใจเสียสติเหยียบเบรครถเลยพลิกคว่ำ บางคน ขับรถบนท้องถนนรถบรรทุกสิบล้อพุ่งสวนเข้าใส่ท่านจะทำอย่างไร ถ้ากดแตร เขายังไม่หลบ บางคนบอกว่ารถบรรทุกแล่นในเลนเราต้องวัดใจกันหน่อย ใครดีใครอยู่ สติเป็นเครื่องกำหนดรู้ว่าเรากำลังทำอะไร บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ พอโกรธขึ้นมาแทบจะ ฆ่ากันตาย พอรู้ตัวก็ว่านี่เราถือมีดทำไม เราบ้าอะไรขึ้นมา สติจะเป็นตัวตรวจ ตรวจความ เป็นไปของเรา สัมปชัญญะจะเป็นตัวตัดสินหรือกลั่นกรองว่าอะไรควรไม่ควร เช่น เราโกรธอยากจะไปด่าเขา ถ้าเราไม่มีสติเราก็ไปด่าเขา สติจะเตือนให้เรารู้ตัวว่ากำลัง จะด่า สัมปชัญญะจะเป็นตัวเซนเซ่อร์ที่พิจารณาว่าควรด่าหรือไม่ควร
ในเรื่องกีสาโคตมีที่เล่ามานั้นเธอได้สติรู้ตัวว่ากำลังอุ้มลูกที่ตายแล้ว สัมปชัญญะทำให้ เธอเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา
สัมปชัญญะคือความรู้ชัด 4 ประการ คือ
1. สาตถกสัมปชัญญะ (ยั้งคิดถึงประโยชน์ตนและท่าน)
2. สัมปายสัมปชัญญะ (เลือกเรื่องที่เหมาะสม)
3. โคจรสัมปชัญญะ (มีธรรมประจำใจ)
4. อสัมโมหสัมปชัญญะ (ไม่หลงลืมตัว)

ประการแรก สาตถกสัมปชัญญะ คือยั้งคิดถึงประโยชน์ที่จะเกิดจากการกระทำและ คำพูดของตน ก่อนที่ท่านจะทำอะไรก็ตาม โบราณสอนเราให้ยั้งคิดเสียก่อน เช่น นับ 1-10 การยั้งคิดคือสัมปชัญญะที่ตรวจสอบพฤติกรรมของตัวเอง ก่อนพูด ก่อนทำให้นึกว่าเรื่องที่จะพูดหรือทำมีประโยชน์หรือไม่ คนที่หมั่นตรวจสอบตัวเอง จะทำอะไรไม่ผิดพลาด คนทำอะไรไม่ผิดพลาดก็ไม่มีความทุกข์ความเครียด ส่วนคน ทำผิดเพราะไม่ยั้งคิด ไม่ได้นึกว่าเรื่องที่เราจะพูดจะทำออกไปนั้นมีประโยชน์ไหม สติจะบอกว่าเรากำลังทำอะไร สัมปชัญญะจะเตือนว่าเรื่องที่ทำอยู่นี้มีคุณหรือมีโทษ ให้ยั้งคิดเสียก่อน
ประการที่สองคือ สัปปายสัมปชัญญะ หมายถึง เลือก เรื่องที่เหมาะสมกับตนเอง นั่นคือ นอกจากเราจะไม่เก็บเรื่องร้าย ๆ เก็บแต่เรื่องดี ๆ ไว้ในใจแล้ว ก่อนจะทำอะไรก็ตามให้ เลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรา โบราณสอนว่า เห็นเขาขึ้นคานหาม อย่าเอามือประสานก้น คนทำการใหญ่เกินตัวเอง เกินความสามารถโดยไม่มีคนช่วย บางทีทำไปนาน ๆ เข้าก็ทน ไม่ไหว เกิดความท้อแท้
ประการที่สามคือ โคจรสัมปชัญญะ หมายถึงมีธรรมะประจำใจ คนที่จะมีสุขภาพจิตดี จะต้องมีธรรมะประจำใจตลอดเวลา เขาเรียกว่ามีภูมิคุ้มกัน ถ้าท่านไม่มีภูมิคุ้มกันอันนี้ กระทบกระเทือนอะไรแล้วมันช็อค มันหัก มันพัง ภูมิคุ้มกันในจิตใจนั้นคือ ต้องฉีดวัคซีน เข้าไป วัคซีนในจิตก็คือธรรมะประจำใจ เมื่อท่านจะทนกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษได้ เพราะมีความแข็งแรงทนทานและยืดหยุ่น
ประการสุดท้าย อสัมโมหสัมปชัญญะ หมายถึงการฝึกใจไม่ให้หลงลืม ต้องใช้ธรรมะ ประจำใจ ไม่ให้เกิดความหลงลืม พอเจอสถานการณ์ที่เป็นปัญหา เราจะรู้ต้องใช้ ธรรมะอะไรทันที เรายั้งคิดก่อนแล้วเอาธรรมะเข้ามาสอนตัวเองตลอดเวลา ปกติ บางคนเวลาทะเลาะกับใครจะโกรธมากจนลืมตัว บางท่านเพื่อไม่ให้หลงลืมเรื่อง ปฏิบัติธรรม จึงให้เลขานุการหรือเพื่อนช่วยจดบันทึกหรือคอยเตือนความจำ
ผู้มีคติธรรมประจำใจย่อมมีเครื่องยับยั้งชั่งใจและมีธรรมะไว้ป้องกัน และแก้ไขปัญหา ในสถานการณ์ต่าง ๆ แม้บางครั้งสถานการณ์อาจจะไม่ตรงกับธรรมะนัก แต่ก็ปรับ เข้าหากันได้ ประเด็นอยู่ที่ว่าท่านควรฟังธรรมะให้มาก ศึกษาธรรมะให้มาก เมื่อถึง เวลาจะเห็นคุณค่าของธรรมะต่าง ๆ ที่ออกมาช่วยเราให้ผ่านพ้นปัญหาชีวิตได้
____________________________________________				
25 ตุลาคม 2551 20:26 น.

ใครคิดทำร้ายชาติ อ่านไว้

ลุงแทน

วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันทหารผ่านศึก ถ้าเราไม่มีทหารผู้เสียสระเหล่านี้ ก็คงไม่ได้อยู่เป็นสุขเช่นทุกวันนี้ อย่าลืมวีรชน วีรบุรุษและวีรสตรีเหล่านี้

"กู กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ผู้เป็นโอรสของพระปิยะมหาราข ขอประกาศให้พวกมึงรับรู้ไว้ว่า แผ่นดินสยามนี้บรรพบุรุษได้เอาเลือด เอาเนื้อ เอาชีวิตเข้าแลกไว้ ไอ้อีมันผู้ใดคิดบังอาจทำลายแผ่นดิน ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือกระทำการทุจริตก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อส่วนรวม จงหยุดการกระทำนั้นเสียโดยเร็ว ก่อนที่กูจะสั่งทหารผลาญสิ้นทั้งโครตให้หมดเสนียดของแผ่นดินสยาม อันเป็นที่รักของกู ......

ลูกหลานทั้งหลาย แผ่นดินใดให้เรากำเนิดมา แผ่นดินใดที่ให้ซุกหัวนอน ให้ความร่มเย็นเป็นสุข มิให้อนาทรร้อนใจ จงซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินนั้น

จาก บันทึก .... กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์				
25 ตุลาคม 2551 19:24 น.

เล่าสู่กันฟัง

ลุงแทน

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."
- - Benjamin Disraeli - -
ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง


"You get the best out of others when you give the best of yourself."
- - Harvey Firestone - -
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"


"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."
- - Katherine Hepburn - -
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ


"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,
and I'm not sure about the former."
- - Albert Einstein - -
มี เพียงสองสิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น


"Life remains the same until the pain of remaining the same
becomes greater than the pain of change."
- - Anonymous - -
ชีวิตจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งความเจ็บปวดจากความนิ่งเฉย จะมากกว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลง


"He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who loses faith, loses all."
- - Anonymous - -
เขา..ผู้สูญสิ้นทรัพย์สินไป
เขา..สูญเสียมากเหลือเกิน
เขา..ผู้สูญสิ้นเพื่อนไป
เขา..สูญเสียมากกว่า
เขา..ผู้สูญสิ้นความศรัทธา
เขา..ผู้นั้น.. สูญเสียยิ่งกว่าใครๆ


"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว


"The only thing in life achieved without effort is failure."
- - Anonymous - -
มีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือความล้มเหลว


"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ


"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีกของมันเอง


"Obstacles are those frightful things you see
when you take your eyes off your goals."
- - Anonymous - -
อุปสรรคคือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง


"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,
and the deeper it sinks into, the mind."
- - Samuel Taylor Coleridge - -
คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปรายลงมา ยิ่งบางเบาเพียงใดก็ยิ่งแตะเพียงเปลือกนอก และยิ่งหนักหนาเท่าใดก็ยิ่งลึกถึงความรู้สึกเท่านั้น


"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว				
25 ตุลาคม 2551 18:44 น.

" พระเทพฯทรงตรัสว่ากลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯไม่ได้ทำเพื่อสถาบันกษัตริย์แต่ทำไปเพื่อตัวเขาเอง "

ลุงแทน

พระเทพฯ ไม่ทรงดำริว่าผู้ประท้วงทำเพื่อสถาบันฯ

ทีมข่าวไทยอีนิวส์
10 ตุลาคม 2551

เอพีเผย พระเทพฯทรงตรัสตอบว่า "I don't think so" หลังนักข่าวถามพระองค์ว่าทรงเห็นด้วยหรือไม่กับบรรดากลุ่มผู้ชุมนุม พันธมิตรฯ ที่ได้อ้างว่าได้ทำเพื่อสถาบันฯ

สำนักข่าวเอพี (9 ต.ค.)ตีพิมพ์ข่าวว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่กำลังเดินทางเยือนประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ ไม่เชื่อว่าการประท้วงที่กำลังดำเนินอยู่ในประเทศไทย ถูกจัดขึ้นเพื่อประโยชน์ต่อสถาบันกษัตริย์

ในการให้สัมภาษณ์แก่นัก ข่าว ที่ Choate Rosemary Hall prep school ในเมือง Wallingford เมื่อวานนี้ พระองค์ทรงตรัสตอบคำถามนักข่าวที่ถามว่า พระองค์ทรงเห็นด้วยหรือไม่กับผู้ประท้วงที่กล่าวว่าเขาเหล่านั้นได้ประท้วง เพื่อสถาบัน ซึ่งพระองค์ทรงตอบปฏิเสธ และทรงตรัสว่าเขาเหล่านั้นทำไปเพื่อตัวเขาเอง

The princess was asked at a press conference following her talk whether she agreed with protesters who say they are acting on behalf of the monarchy.

"I don't think so," she replied. "They do things for themselves."


นัก ข่าวยังได้ถามต่ออีกว่า เหตุใดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงไม่ออกมาตรัส พระองค์จึงตอบว่า ไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้สอบถามพระองค์ท่าน

Asked why the king has not spoken out, she said, "I don't know because I haven't asked him."


เอ พียังได้อธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ผู้นำการประท้วงต้องการให้มีการดำเนินคดีกับผู้หมิ่นพระบรมราชานุภาพ ในขณะที่มีผู้นำประท้วงคนหนึ่ง ต้องการยกเลิกระบอบการเลือกตั้งมาเป็นระบบที่สมาชิกส่วนใหญ่ของสภามาจากการ แต่งตั้ง

นักวิชาการบางคนกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวจะไปเพิ่มอำนาจของกองทัพ และสถาบันพระมหากษัตริย์ และลดทอนอำนาจของคนยากจนลง

เอพีได้ตีพิมพ์เพิ่มว่า พระองค์ทรงตรัสว่า "มีปัญหาการเมืองมาก" "ฉันบอกเพื่อนของฉัน ผู้ร่วมงานขอฉัน เพียงทำหน้าที่ของตนของตนพอ"

Protest leaders have called for the prosecution of people who insult the monarchy. One leader wants to abandon Thailand's popularly elected Parliament for one in which a majority of members would be appointed.

Some academics have said the plan would enhance the power of the country's military and monarchy at the expense of the poor.

"There are a lot of political problems," the princess said. "I told my friends, colleagues just to do what is their duty."				
23 ตุลาคม 2551 23:53 น.

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม...สอนผีให้รับศีล

ลุงแทน

หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม แห่งวัดอรัญญวิเวกบ้านข่า ตำบลบ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านเป็นศิษย์องค์สำคัญรูปหนึ่งของท่านพระอาจารย์



หลวงปู่ ตื้อเป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงต่อองค์มรรคคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิสัย , จิตใจของท่านเป็นคนจริง คนตรง คิดอย่างไรก็จะพูดเช่นนั้น ไม่นิยมปรุงแต่งถ้อยคำวาจาให้ไพเราะรื่นหู ดังนั้นการแสดงธรรมคำสอนของท่านจึงเผ็ดร้อนไม่มีอ้อมค้อมเยิ่นเย้อ ว่ากันว่าคนหน้าบางหรือมีกิเลสครอบงำอย่างหนา เจอถ้อยคำวาจาของ หลวงปู่ตื้อเข้าถึงกับหูร้อนฉ่า ผิวหน้าผะผ่าวไปเลยทีเดียว


คำ พูดของหลวงปู่ตื้อเป็นที่เลื่องลือว่าตรงไปตรงมา จี้จุดเข้าเป้าตรงเผ็ง ถ้าจะให้อุปมาก็คงเปรียบได้ดั่งขวานใหญ่คมกริบที่หวดคมกระหน่ำเข้าผ่าท่อน ฟืน เปรี้ยงเดียว ท่อนฟืนถูกผ่าตั้งแต่หัวยันท้าย แยกกระเด็นเป็นสองซีกทันที


ปฏิปทาอันโลดโผงผาง และตรงไปตรงมาของท่านนั้นเป็นจริตนิสัยที่ไม่มีการปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น ผิดหรือถูกชั่วหรือดีท่านแยกแยะจนกระจ่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องเทศนาสอนคนด้วยแล้วท่านสอนชนิดเผ็ดร้อนถึงใจทีเดียว หลวงปู่ตื้อมักพูดเสมอว่า


“เราเทศน์เรื่องจริง เราไม่เอาใจใคร เอาใจผู้คนก็เท่ากับเลี้ยงกิเลสให้อ้วนพี เรามีความจริงใจ เราไม่ได้เทศน์เอาบุหรี่เกล็ดทองของใคร”


เช่นครั้งหนึ่ง หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม มีหมายกำหนดการไปเทศนาและอบรมกรรมฐานที่วัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ สานุศิษย์และศรัทธาญาติโยมไปประชุมกันเนืองแน่นเต็มศาลาใหญ่


ใน วันนั้นหลวงปู่ตื้อเทศนาแสดงธรรมได้กระจ่างชัด ทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง กระทั่งประโยสาน ท่านชี้ให้เห็นตัวทุกข์ เหตุแห่งความทุกข์และวิธีจะดับทุกข์ได้อย่างไร พร้อมกันนั้นท่านยังอรรถาธิบายถึงความยึดติดยึดมั่นความเป็นตัวตนของกูตัวกู ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง หากปล่อยวางเสียได้ จิตใจย่อมจะผ่องใสปลอดโปร่ง ความโกรธ ความโลภ ความหลงใดๆก็จะผ่อนคลายเบาบางและถึงขั้นอันตรธานสิ้นไป เหลืออยู่แต่ความเบาสบายในที่สุด

อุบาสก อุบาสิกา ศรัทธาญาติโยมรับฟังแล้วและใช้ความคิดพินิจไตร่ตรองตามข้อธรรมที่ท่านแสดง ต่างบังเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและเห็นจริงตามความเป็นจริง จิตใจเริ่มปล่อยวางจากความเป็นตัวตนของตน ไม่อยากยึดมั่นถือมั่นต่อไปอีก

อุบาสิกา ท่านหนึ่ง มีความซาบซึ้งดื่มด่ำในธรรมที่หลวงปู่ตื้อแสดงอย่างยิ่ง เมื่อท่านเทศน์จบลง อุบาสิกาท่านนี้ก็คลานคล้อยเข้าไปเบื้องหน้าธรรมาสน์ที่ท่านนั่งแสดงธรรม พนมมือนมัสการกราบเรียนหลวงปู่ว่า

“หลวงปู่เจ้าคะ อีฉันได้ฟังหลวงปู่เทศนาแล้ว เบากายเบาใจเหลือเกิน อีฉันปล่อยวางได้หมดแล้วเจ้าค่ะ”

“อนุโมทนาด้วยคุณโยม ที่เกิดดวงตาเห็นธรรม”

“อีฉันไม่ยึดมั่นถือมั่นอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะหลวงปู่”

หลวงปู่ตื้อนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า

“อีตอแหล!”

สิ้น คำหลวงปู่ อุบาสิกาท่านนั้นถึงกับหน้าแดงก่ำทั้งโกรธทั้งอาย ต่อว่า หลวงปู่ตื้อเสียงสั่นว่าทำไมท่านจึงมาด่าว่าตนท่ามกลางสาธารณชนเช่นนี้ หลวงปู่ตื้อได้แต่หัวเราะหึๆไม่อธิบายโต้ตอบอะไร ขณะที่คนทั้งศาลาหัวเราะกันครืน

เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า อุบาสิกาปล่อยวางอะไรไม่ได้เลย และยังยึดมั่นตัวตนของตนอย่างเหนียวแน่นครบถ้วน

นี่ละ...คือปฏิปทาโลดโผนโผงผางของหลวงปู่ตื้อ

หลวง ปู่ตื้อ อจลธัมโม มีเพื่อนสหธรรมมิกที่สนิทกันอย่างมากรูปหนึ่ง ท่านผู้นั้นคือหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ ความสนิทสนมเป็นที่ถูกอัธยาศัยของหลวงปู่ทั้งสองนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกไม่ น้อย เนื่องจากจริตนิสัยของแต่ละท่านห่างไกลกันชนิดสุดขั้ว

หลวงปู่ ตื้อเป็นคนพูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมาและพูดเก่ง แต่หลวงปู่แหวนไม่ชอบพูด วันทั้งวันไม่ได้ยินเสียงพูดของท่านเลยก็ว่าได้ หากไม่มีความจำเป็นท่านจะไม่พูด ทว่าท่านทั้งสองกลับถูกอัธยาศัยกันอย่างยิ่ง

หลวงปู่ตื้อพบกับหลวง ปู่แหวนครั้งแรก ขณะที่ท่านทั้งสองเพิ่งจะเริ่มออกจาริกธุดงค์ได้ไม่นานและยังเป็นพระมหา นิกายอยู่ ไปพบกันในป่าบนเทือกเขาภูพานโดยต่างฝ่ายต่างมาคนละทิศ หลังจากท่านทั้งสองสนทนาปราศรัยกันพอสมควรจึงทราบจุดประสงค์เหมือนกันอีกว่า ปรารถนาจะไปปราศรัยกันพอสมควรจึงทราบจุดประสงค์เหมือนกันอีกว่า ปรารถนาจะไปฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านพระอาจารย์


แม้จะเป็นพระใหม่ อ่อนพรรษา แต่พระหนุ่มทั้งสองรูปมีส่วนหนึ่งที่เหมือนกันคือ มีความองอาจกล้าหาญที่จะจาริกไปตามป่าเขาแนวไพรเพียงรูปเดียว เพื่อบำเพ็ญธรรมกระทำความเพียรอย่างแน่วแน่ มิได้หวั่นไหวพรั่นพรึงต่อความยากลำบากใดๆทั้งสิ้น


เมื่อหลวงปู่ ทั้งสองต่างสบอัธยาศัยต่อกันยิ่ง จึงได้ตกลงร่วมทางจาริกไปยังฝั่งลาวด้วยกัน โดยออกจากเขตไทยทางอำเภอเชียงคานข้ามแม่น้ำโขงไปสู่ราชอาณาจักรลาว สมัยนั้นแผ่นดินลาวยังมีป่าอุดมสมบูรณ์ครอบคลุมไปทั่วประเทศ นับเป็นสถานรื่นรมย์ของพระธุดงค์กรรมฐานที่จะท่องเที่ยวจาริกไปเพื่อบำเพ็ญ สมณธรรมกระทำความเพียร


ก่อนที่จะดำเนินเรื่องของหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโมในลำดับต่อไป ขออนุญาตนำเรื่องราวของท่านและสหธรรมมิกรูปสำคัญคือหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่มาเล่าแทรกไว้ ณ ที่นี้ก่อน เนื่องจากเรื่องดังที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ออกจะเป็นเรื่องแปลกทีเดียว และ เป็นเรื่องซึ่งหลวงปู่ทั้งสองได้ร่วมกันผจญกับวิญญาณมิจฉาทิฐิที่มิรู้ว่า สิ่งใดผิดสิ่งใดถูก สิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ดังนี้


เหตุการณ์ เผชิญวิญญาณซึ่งเป็นประสบการณ์ธุดงค์ของ หลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ที่จะนำมาแสดงครั้งนี้ เกิดขึ้นคราวที่ท่านทั้งสองจาริกธุดงค์ไปยังประเทศลาวและพม่า กระทั่งกลับคืนสู่ประเทศไทยทาง “กอระเรก” เข้ามายังอำเภอแม่สอดจังหวัดตาก เมื่อถึงแผ่นดินไทยแล้วท่านก็มุ่งหน้าสู่จังหวัดเชียงใหม่เนื่องจากทราบข่าว ว่าท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโตอยู่ที่เชียงใหม่ เส้นทางซึ่งหลวงปู่ทั้งสองจาริกไปนั้นผ่านป่ามาโดยตลอด ไม่พบหมู่บ้านหรือผู้คนสัญจรแม้แต่คนเดียว


ระหว่างทางพบศาลา เก่าๆ หลังหนึ่งปลูกสร้างอยู่กลางป่า แสดงว่าคงมีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ศาลาแห่งนี้ชาวบ้านคงปลูกสร้างไว้เพื่อให้เป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดิน ทาง หลวงปู่ตื้อกับหลวงปู่แหวนตกลงพักอยู่ที่ศาลานี้โดยแขวนกลดไว้ตรงมุมศาลาคน ละฟาก คืนนั้นผ่านไปโดยปกติ เช้ารุ่งขึ้นท่านทั้งสองก็ออกโคจรบิณฑบาตรไปที่หมู่บ้าน ได้อาหารกลับมาที่ศาลาแล้ว พอวางบาตรลงเท่านั้นก็เกิดเรื่องทันที


หลวง ปู่แหวนซึ่งนั่งอยู่บนพื้นศาลา พลันมีกิริยาอาการผิดปกติขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ ท่านเอนตัวไปข้างหน้า เอามือสองข้างยันพื้นกระดานไว้ ขากรรไกรแข็ง น้ำลายไหลยืด หน้าท้องก็แข็งไปหมด หลวงปู่ตื้อเห็นตอนแรกคิดว่าเพื่อน สหธรรมมิกเป็นลมจึงถามไปว่า

“ท่านแหวนเป็นอะไร”


หลวงปู่ แหวนไม่ตอบ ได้แต่นั่งตัวแข็งน้ำลายไหลไม่หยุด คราวนี้หลวงปู่ตื้อฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่าคงไม่ได้การแน่ ท่านจึงกำหนดจิตเข้าสมาธิพิจารณาดูก็รู้ว่ามีผีบังอาจกระทำฤทธิ์กับหลวงปู่ แหวน


เมื่อถอนจิตออกจากสมาธิแล้วหลวงปู่ตื้อยังไม่รู้จะกำราบ ปราบผีด้วยวิธีไหน เนื่องจากขณะนั้นท่านกับหลวงปู่แหวนยังฝึกจิต ไม่ถึงขั้นมีอำนาจกล้าแข็งเท่าไหร่ วิชาอาคมอะไรก็ไม่ได้เรียนมา


แต่ จะให้หลวงปู่ตื้อยอมพ่ายแพ้ต่อฤทธิ์อำนาจภูตผีวิญญาณง่ายๆ ย่อมมิใช่วิสัยของท่าน หลวงปู่จึงข่มขู่ด่าว่าผีที่กำลังกระทำต่อหลวงปู่แหวนไม่ยั้งกันละ แต่ผีมันไม่กลัวท่านเอาเสียเลย หลวงปู่ตื้อต้องหาอุบายใหม่ จัดแจงหอบ ใบไม้แห้งมากองไว้แล้วจุดไฟ พอไฟลุกท่านก็เอาก้อนดินแห้งใส่เข้าไปเผาจนร้อน แล้วเอาไม้มาทำเป็น ไม้หนีบคีบดินร้อนๆ ขึ้นมา พลางขู่ผีเสียงดังลั่นว่า

“คราวนี้ ถ้าเจ้าไม่ออกจากร่างพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เกรงกลัวบาปกรรมละก้อเราจะเผาเจ้า”


ยื่น ไม้หนีบก้อนดินร้อนฉ่าไปใกล้ๆ หน้าหลวงปู่แหวนเพื่อข่มขู่ผีที่เข้าสิงท่าน แต่ผีมันก็ยังไม่กลัวอีก ขัดใจขึ้นมาหลวงปู่ตื้อไม่คิดแค่ขู่แล้ว หากเอาจริงๆ

“หากเจ้าไม่ออก เราจะเผาเจ้าด้วยดินจี่นี่ให้ดู”

ว่า แล้วหลวงปู่ตื้อก็เอาดินเผาไฟร้อนฉ่าลางลงบนศีรษะหลวงปู่แหวนจริงๆ ผีเจอเข้าแบบนี้มันถึงได้ยอมออกไป หลวงปู่แหวนจึงกระดุกกระดิกได้ เมื่อรู้ตัวเป็นปกติแล้วหลวงปู่แหวนบอกแก่เพื่อนสหธรรมมิกของท่าน สั้นๆว่า

“มันจะเอาผมตายจริงๆ นะ ท่านตื้อ”


เช้า วันนั้น หลังจากฉันเสร็จ ล้างบาตรเรียบร้อยแล้ว หลวงปู่แหวนก็เก็บอัฐบริขารเพื่อออกจาริกต่อไป แต่หลวงปู่ตื้อไม่ยอมไป ท่านบอกกับหลวงปู่แหวนว่า


“ท่านแหวนไปรอข้างหน้านะ ผมจะจัดการกับผีตนนี้สักหน่อย”


หลวง ปู่แหวนไม่ยอมอยู่ด้วย เก็บอัฐบริขารเสร็จก็เดินล่วงหน้าไปเพียงลำพัง ปล่อยให้หลวงปู่ตื้อรับมือกับผีที่ศาลากลางป่าแต่เพียงรูปเดียว

ตลอด วันนั้นหลวงปู่ตื้อนั่งเจริญสมาธิ เดินจงกรมอยู่ที่ศาลา กลางป่าเป็นปกติ กระทั่งเวลาล่วงเข้าสายัณห์สมัย ท่านก็ทำวัตรสวดมนต์อันเป็นกิจของสงฆ์ จากนั้นจึงเข้าที่ภาวนาภายในกลด กำหนดจิตเข้าสู่สมาธิตามลำดับ เมื่อจิตรวมเป็นหนึ่งเดียวก็บังเกิดแสงโอภาสสว่างไสวไปทั่ว


ขณะ อยู่ในสมาธิได้เกิดนิมิตเห็นผีผู้หญิงผุดขึ้นมาเบื้องหน้า และผีตนนั้นก็ดิ่งเข้ามาหาหลวงปู่ตื้อด้วยกิริยาไม่น่าไว้วางใจ วิสัยของหลวงปู่ตื้อท่านไม่เคยหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อสิ่งใดอยู่แล้ว เมื่อเห็นผีตรงรี่เข้ามาหาท่านจึงเพ่งจิตเข้าหยุดมันให้ชะงักงัน แล้วท่านก็ถามว่า “เจ้ามาจากไหน ถึงกล้าล่วงเกินต่อพระภิกษุผู้ทรงศีล”


ผีนางนั้นตอบว่า “ฉันตายทั้งกลม ลูกตายในท้อง เขาเอามาฝังไว้ที่นี่”

หลวงปู่ตื้อถามอีกว่า “เจ้าใช่ไหมที่กระทำต่อพระภิกษุ” ผีก็รับว่า “ใช่”

ท่านถามต่อไปอีกว่า “ทำไมบังอาจกระทำเช่นนั้น ไม่รู้หรือว่าเป็นบาปกรรม”

ผีตอบว่า “ฉันชอบพระรูปนั้น ท่านสวยดี ฉันจะเอาพระรูปนั้นไปเป็นผัว”

หลวง ปู่ตื้อได้ฟังแล้วก็เกิดความสลดสังเวช พิจารณาเห็นภัยแห่งกามกิเลสซึ่งร้อยรัดมัดตรึงจิตใจของสัตว์โลกให้ตกต่ำดำ มืดอยู่กับดำกฤษณา ไม่รู้ดีรู้ชั่วถึงเพียงนี้ ดูเช่นผีตายทั้งกลมนางนี้เอาเถิด ขนาดตายไปผุดเกิดอยู่ในภูมอัน เป็นทุกข์ ก็ยังไม่วายจะเกิดอารมณ์ปฏิพัทธ์รักใคร่พระภิกษุที่ตนพึงใจอย่างหน้ามืดตา มัว ไม่กลัวบาปกรรมใดๆทั้งสิ้น


หลวงปู่ตื้อเห็นนางผีมีจิตอกุศล เช่นนี้ ท่านจึงว่ากล่าวให้รู้ว่าเจตนาและการกระทำของมัน ที่ล่วงเกินพระภิกษุผู้กำลังบำเพ็ญสมณธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏเช่น นี้เป็นบาปกรรมอันหนักยิ่ง ตนเองเป็นผีเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนาสาหัสอยู่แล้วยังอยากจะตกนรกหมกไหม้หนัก เข้าไปกว่าเดิมอีกหรือ หลังจากชี้แจงแสดงเหตุผลให้เห็นถึงบาปบุญคุณโทษแล้ว หลวงปู่ตื้อก็ให้ผีตายทั้งกลมรับศีลไปปฏิบัติรักษา เพื่อจะได้มีโอกาสไปผุดเกิดในภพภูมิอันประเสริฐยิ่งกว่าที่เป็นอยู่



นี่ละคือหลวงปู่ตื้อ แม้แต่ผีท่านก็ยังให้รับศีลจนได้


ผี ตายทั้งกลมนางนั้นหลังจากได้รับการอบรมมาจากหลวงปู่ตื้อ มิจฉาทิฐิก็ผ่อนคลายลง เริ่มรู้ดีรู้ชั่วมากขึ้นกว่าเดิม ผีสารภาพว่าไม่รู้หลวงปู่แหวนเป็นพระภิกษุ เห็นท่านสวย ผิวขาวผ่องใส ก็เกิดนึกรักอยากจะให้มาอยู่ด้วยกัน แสดงว่าขณะที่ผีตนนั้นเป็นมนุษย์คงไม่รู้จักพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นคนบ้านป่าถิ่นเถื่อนห่างไกลความเจริญอย่างแท้จริง

หลวงปู่ตื้อ พักอยู่ที่ศาลาแห่งนี้เป็นเวลาถึง ๑ เดือนเต็ม ๆ ตลอดระยะเวลาเหล่านั้นท่านแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ผีตายทั้งกลมสม่ำเสมอ และสอนนางผีตนนั้น ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ กระทั่งจิตวิญญาณอ่อนโยนลง ครั้นเห็นผีเกิดกุศลความดีขึ้นในจิตพอสมควรแล้วจึงสั่งสอนเป็นครั้งสุดท้าย ว่า



“ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจงอย่ากระทำล่วงเกินพระธุดงค์ที่จาริกผ่านมาเป็นอันขาด เห็นท่านพบท่านจงอนุโมทนาสงเคราะห์ทุกรูป ทุกองค์ไป”


จาก นั้นหลวงปู่ตื้อก็เก็บอัฐบริขารจาริกออกจากศาลากลางป่า ติดตามหลวงปู่แหวนไปที่เชียงใหม่ เมื่อพบหลวงปู่แหวนแล้วท่านทั้งสองพากันไปกราบนมัสการพระอาจารย์				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงแทน