13 ธันวาคม 2556 19:34 น.

กำมะหยี่สีเขียว

สมภพ แจ่มจันทร์

กำมะหยี่สีเขียว...

ผมสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด

สดชื่น...หอมดี... และหอมมากๆ

หนึ่งสัปดาห์ของการเป็นประชากรแฝงในเมืองนี้ ผมไม่รู้จักใครเป็นการส่วนตัวจะรู้จักก็แต่พนักงานห้าหกคนในที่ทำงานของผม และก็มีอาของผมคมเดียวเท่านั้นที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน หลังเลิกงาน ซึ่งเป็นเวลาว่างของผม นอกจากการอ่านหนังสือแล้วเวลาว่างส่วนที่เหลือของผมจะมีกิจกรรมอะไรอีกเล่า

ผมตั้งคำถามให้ตัวเอง

“โทรศัพท์คุยกับเพื่อน” ก็ไม่รู้จะคุยอะไรกันมากมาย

“อินเตอร์เน็ต” ไร้ซึ่งสัญญาณ

3G” ไม่ต้องพูดถึง

“ปั่นจักรยานเที่ยว” คือคำตอบที่ตามมา เมื่อผมเหลือบไปเห็นจักรยานญี่ปุ่น ที่ย่าของผมฝากมาให้ ดังนั้นแล้วเย็นวันหนึ่งในช่วงหลังเลิกงาน ผมจึงเริ่มปั่นจักรยานออกมาจากบ้านเช่า แล้วมุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้านใกล้ๆ ผมว่าหมู่บ้านนี้ดูๆ ไปก็เหมือนเมืองในประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวนะ ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงคิดอย่างนั้น แต่เอาเป็นว่า เมื่อพ้นเขตหมู่บ้านไปแล้ว ผมยังไม่อยากกลับ ผมยังคงมุ่งหน้าออกแรงปั่นต่อไป เพื่อออกไปยังนอกหมู่บ้าน

แล้วสิ่งที่ผมเลือกก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง...

ผืนกำมะหยี่สีเขียวอ่อนกำลังทาทับบนผืนดิน แล้วมันก็มีกลิ่น หอม...ครับ มันหอมมาก กลิ่นหอมของต้นข้าวที่กำลังโต ผมไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปมาด้วย จะมีก็เพียงโทรศัพท์กลางเก่ากลางใหม่เครื่องเดียวเท่านั้นที่ติดตัวมา

ผมกดปิดเพลง แล้วเอาหูฟังถอดเก็บไว้ในย่ามใบเก่าของผม แม้ว่ากล้องในโทรศัพท์มันจะไม่ชัดสักเท่าไหร่ แต่ก็เอาเถอะ มันสวยมากเสียจนผมไม่อยากจะเห็นมันเพียงคนเดียว

ปรอยฝนเม็ดเล็กๆ ถูกสายลมพัดมา มันไม่ถึงกับทำให้ผมเปียก แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเย็นสบายดี ข้างหน้าของผมนั้น เป็นนาข้าวเกือบจะสามร้อยหกสิบองศา สุดปลายสายตาเป็นภูเขา หรือจะเรียกว่าเทือกเขาดีล่ะ ที่โอบคลุมนาข้าวเหล่านั้นไว้ เมฆที่กำลังจะเป็นเม็ดฝนก็มันต่ำลงๆ จนผมคิดไปว่าหากผมไปถึงตีนเขา กลุ่มเมฆอาจจะกลืนกินผมไปก็เป็นได้

ความฉ่ำเย็นของละอองฝน กับความเย็นตาของนาข้าว ผมเหนือจะบรรยายจริงๆ ผมได้แต่ถ่ายรูปไว้ หมายว่าจะทำเป็นโปสการ์ดส่งไปให้มิตรที่เพิ่งจากลากันมา

ต้นเดือนสิงหาคม ต้นข้าวยังสูงไม่ถึงหัวเข่า นาบางแปลงมีสระน้ำอยู่ด้วย บางแปลงมีการปลูกผักแทรกตรงร่องน้ำเหมืองก่อนจะถึงแปลงนา ดินที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก ผมสังเกตดูจากสีของดิน ที่มันช่างดำดี (สีไม่ตก) ผักที่ปลูกมีทั้งผักกาด ผักชีไทย ผักชีฝรั่ง โหระพา ฯลฯ อ้อ...ผมลืมบอกไปว่า ทางภาคเหนือนั้นลำคลองเล็กๆ ที่แยกออกมาจากแม่น้ำใหญ่ เขาจะเรียกกันว่าน้ำเหมือง เมื่อมีการขุดร่องน้ำเพื่อผันเข้าสู่พื้นที่การเกษตร ก็จะเรียกว่าร่องน้ำเหมือง ตอนแรกที่ผมได้ยินว่าน้ำเหมือง ผมนั้นคิดไปถึงโน่น...เหมืองแร่ ก็ไอ้คำว่าเหมืองนี่ถ้าเอ่ยขึ้นใครๆ น่าจะคิดเหมือนผมนะครับ

เสียงน้ำเหมืองไหลจ้อกๆ มันไม่ลึกครับ ประมาณเลยหัวเข่า แต่ชาวบ้านบอกว่ามันจะไหลอย่างนี้ทั้งปี ไม่ว่าหน้าฝน หรือหน้าแล้ง เออนะ มันช่างต่างกับอีกหลายพื้นที่ตามข่าวนะครับ ที่ขาดแคลนน้ำทำการเกษตร และที่สำคัญที่เมืองนี้ไม่เคยมีน้ำท่วมหรือฝนแล้งเลย อันนี้เป็นคำบอกเล่าของแม่ค้าขายผักคนหนึ่งในตลาดนะครับ แบบว่าการันตีถึงความอุดมสมบูรณ์ในบ้านตัวเองว่างั้นเถอะ

ลุงกับป้าสองคนปั่นจักรยานสวนทางกันกับผม ผมส่งยิ้มไปให้พร้อมกับพยักหน้าเหมือนการทักทาย ท่านทั้งสองก็ยิ้มตอบให้ผม อีกอย่างหนึ่งที่ผมลืมไปเสียสนิท ผู้หญิงทางเหนือจะสูบบุหรี่กัน เรียกตามภาษาถิ่นคือ “มูลีขี้โย” ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ยายของผมก็สูบเหมือนกัน แต่เมื่อยายจากผมไป ผมก็ลืมไปเลย เมื่อมาเห็นป้าคนที่เพิ่งผ่านผมไป ป้าแกสูบมูลีขี้โยเหมือนยายของผมเลยครับ นี่แหละ “คนบ่าเก่า” ของจริง

ผมปั่นจักรยานออกมาจากหมู่บ้านราวสามกิโลเมตร แต่ทว่าท้องทุ่งสีเขียวยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลงสักที ผมนึกชื่นชมคนในหมู่บ้านนี้ และเมืองนี้ ว่ายังคงทำนาปลูกข้าวกันเป็นล่ำเป็นสัน เพราะที่ผ่านๆ มาผมเห็นชาวนาบางพื้นที่ เปลี่ยนไปปลูกอย่างอื่น บางทีเปลี่ยนจากนาข้าวเป็นบ่อกุ้ง บางที่ก็ทำสวนยางพารา อีกอย่างหนึ่งคงเพราะที่นี่มีแหล่งน้ำด้วยละมั้ง

การเดินทางของผมมันช่างสวนทางกับผู้คนเสียจริงๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อกลับบ้าน แต่ผมกลับมุ่งหน้าออกจากหมู่บ้าน ลุงกับป้าอีกคู่หนึ่งเดินแบกจอบกับข้องใส่ปลาสวนทางมา แกถามผมว่าจะไปไหน (เหมือนคนคุ้นเคยกัน) ผมบอกว่าจะไปเที่ยว แกยังถามต่อว่าที่นี่มีอะไรให้เที่ยว มันก็จริงของแกละครับ ลุงกับป้าคงจะอยู่ที่นี่มาชั่วชีวิต และเห็นทุกอย่างจนชินตาจนเป็นภาพปกติ แต่สำหรับผมแล้ว มันน่าตื่นเต้นสำหรับสถานที่พักพิงแห่งใหม่แห่งนี้

“ระวังฝนฮำหัวเน้อ” ป้าตะโกนไล่หลัง

มันก็จริงอย่างที่ป้าเขาว่า ข้างหน้าผมนั้นมีก้อนเมฆสีดำกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในหมู่บ้าน หากผมยังขืนไปต่อมีหวังเปียกแน่นอน เอาวะ แล้วค่อยมาใหม่ ผมบอกตัวเองอย่างนั้น ก่อนจะเลี้ยวจักรยานกลับโดยมีลุงกับป้าหัวเราะคิกๆ อยู่ด้านหลัง

เหมือนภาพส่งท้ายก่อนกลับบ้าน ระหว่างทางกลับ มีฝูงนกกระยางบินมาร่วมสิบตัว ผมจอดจักรยานแล้วมองตามไป จนกระทั่งมันไปเกาะกลุ่มกันที่ต้นไม้กลางทุ่งนา ที่อยู่ไม่ไกลจากถนนมากนัก และผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนต้นไม้นั้นก็มีนกกระยางอยู่แล้วกลุ่มหนึ่ง น่าจะเกินกว่าสิบตัว เมื่ออีกกลุ่มหนึ่งบินไปสมทบ ต้นไม้ทั้งต้น ก็กลายเป็นสีขาวเกือบหมด

โอ้โห...สวยอีกแล้วครับท่าน ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มิวายลุงกับป้าคู่เดิมจะเดินตามมาทัน คราวนี้ลุงเป็นฝ่ายบอกว่า มันมาทุกเย็นนั่นแหละ พรุ่งนี้มาก็เห็นเหมือนกัน ผมได้แต่ส่งยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะออกแรงปั่นจักรยานเข้าหมู่บ้าน

ผมได้แต่คิดว่าอีกไม่เดือนข้างหน้านาข้าวพวกนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีทอง ดังนั้นคำว่าทุ่งรวงทองก็กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า และกิจกรรมที่ตามก็คือการลงแขกเกี่ยวข้าว การตีข้าว มันคงจะเป็นภาพที่สวยงามดี ผมจะรอจนถึงวันนั้น และหากมีโอกาสผมอยากจะไปตีข้าวอีกครั้ง หลังจากที่เคยตีข้าวครั้งแรกตอนอายุ 17 ปี มันสนุกมากมายเหลือล้น แต่ตอนนี้ทำได้แค่ รอ...เท่านั้นครับ

แสงสว่างโรยลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปรอยฝนที่กำลังเริ่มเปลี่ยนเป็นเม็ดฝน โชคดีที่ผมรีบเลี้ยวจักรยานกลับ เพราะหากขืนยังไปต่อ ต้องปั่นจักรยานกลับบ้านฝ่าความมืดพร้อมด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอนเป็นแน่  เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่  แต่ตอนนี้ผมต้องเร่งแรงปั่นก่อนละครับ เพราะแสงสว่างมันกำลังจะหมดจริงๆ เสียแล้ว

9 ธันวาคม 2556 19:47 น.

ผมกลับมาแล้ว

สมภพ แจ่มจันทร์

24/1/2556

คำนำ

ผมมาอยู่ที่เมืองนี้เกือบหกเดือนแล้ว แรกๆ ผมก็ยังรู้สึกแปลกนะครับ ก็เมืองในจินตนาการของผม ที่มันหลุดลอยไปแล้วนั้น จู่ๆ มันก็กลับมาโดยไม่ทันตั้งตัว เพราะผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจออีกแล้ว เมื่อครั้งก่อนโน้นที่ผมบ่ายหน้าจากเมืองกรุงมุ่งสู่เมืองตะเข็บชายแดน ผมก็ได้แต่วาดฝันไว้ว่าเมืองที่ผมจะไปอยู่นั้น มันจะไม่เป็นอย่างเมืองที่ผมเคยสัมผัสมาก่อน แต่จนแล้วจนรอด ความสาวของเมือง ก็ทำให้เมืองถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา จากเมืองแห่งความเงียบ ก็กลับกลายเป็นอะไรที่ไม่ต่างจากเยาวราชหรือตรอกข้าวสารสักเท่าไหร่

นั่นแหละครับในที่สุด ความพลุ่งพล่านของผู้คน มันก็ถีบผมออกมาเอง โดยที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน ผมโบกมืออำลาให้กับเมืองที่ผมคิดว่าจะใช้เป็นสถานที่ที่ใช้ดินกลบหน้า

แล้วจะไปที่ไหนดีล่ะ...เมืองในอุดมคติมันยังมีอยู่หรือ

เพ้อฝัน...หรือเพ้อเจ้อ?

ผมก็ยังแอบถามตัวเองอยู่ลึกๆ

ก่อนการเดินทางสักหนึ่งสัปดาห์เห็นจะได้ รุ่นพี่คนหนึ่งให้ผมหยิบยืมหนังสือของคุณลุงรงค์ ผมนั่งอ่านอยู่สามวัน เออ...นะสิ่งที่เราเป็น อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไม่ได้ นั่นสิ...เราควรจะดำเนินชีวิตในสิ่งที่เป็นเราจริงๆ และไม่ควรจะทนอยู่กับสิ่งที่เราอยู่แล้วไม่ได้สร้างสรรค์อะไรให้กับชีวิต

ดังนั้น...

ผมจึงตอบรับคำชักชวนของญาติผู้ใหญ่ หลังจากที่ท่านบอกเล่าว่าไม่มีใครช่วยทำงาน

และแล้วการเดินทางของผมมันเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง

คราวนี้ผมออกห่างจากกรุงเทพพระมหานครไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร และอยู่สูงกว่าทุกเมืองที่ผมเคยอยู่มา นั่นแหละครับ มันก็เป็นที่มาของเรื่องราวทั้งหมด มันมีทั้งสิ่งที่ผมพอจะรู้มาบ้าง สิ่งที่ผมรู้อย่างลึกซึ้ง และสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน...

ก่อนนั้นผมอยู่ที่ตะเข็บชายแดนแห่งลุ่มน้ำใหญ่สายหนึ่ง บัดนี้ผมอยู่ในลุ่มแม่น้ำสาขา ที่ไหลลงสู่แม่น้ำสายนั้น ความเป็นมาและความเป็นไป มันน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่ (ในบางเรื่อง) ซึ่งบางสิ่งผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน เอาเป็นว่าเรื่องราวต่อไปนี้ มันเรื่องที่ผมประสพมากับประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งหกของผมก็แล้วกัน มีอะไรก็หยิบจับเอามาถ่ายทอดเล่าสู่กันฟัง สนุกบ้างไม่สนุกบ้าง มีสาระบ้าง เบาสมองบ้าง คละเคล้ากันไป ลองอ่านดูก็แล้วกันนะครับ

 

สมภพ แจ่มจันทร์

มกราคม 2556

20 สิงหาคม 2554 23:57 น.

ตัวกู

สมภพ แจ่มจันทร์

ความหน้าใหญ่ใจโต มันมีอยู่ในใต้จิตสำนักของทุกคนหรือไม่ แต่หากทำแล้วไม่ทำให้ใครเดือดร้อนมันก็พอทน การที่เราทำงานร่วมกับคนหมู่มาก มันย่อมหมายถึงการวางตัวอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาความสงบโดยส่วนรวม แต่ถ้าหากจะมีใคร ที่เอาความหน้าใหญ่ใจโตของตนเองไปทำให้เสียถึงส่วนรวมแล้ว จะเรียกว่าอะไร 

การยึดติดถือมั่นว่านี่คือกู โดยที่ไม่ยอมมองคนรอบข้างหรือสังคมรอบข้างว่าเป็นอย่างไร อยู่กับใคร อย่างนี้เรียกว่าอะไร การที่ไม่ยอมปรับตนเองให้เข้ากับส่วนรวม โดยยังรักษาความเป็น กู อยู่นั้น มันดีแล้วหรือสำหรับการอยู่ร่วมกับคนหมู่มาก หากยังเป็นเช่นนั้นสมควรไหมที่จะอยู่คนเดียว โดยให้อยู่กับ ตัวกู ต่อไป

กาลเวลาผันร่างกายและมันสมองให้เติบใหญ่มาเกือบครึ่งค่อนชีวิต มันน่าจะบ่งบอกได้ว่าสิ่งใดทำแล้วก่อให้เกิดผลดี และสิ่งใดก่อให้เกิดผลเสีย แล้วสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตนั้นมันมีเรื่องราวที่ดีมากน้อยแค่ไหน ในการเป็นแบบที่ กู เป็น หากเป็น ตัวกู อยู่แล้วทำให้ชีวิตประสบผลสำเร็จ มั่นคง หรือทำให้ตัวกูและคนรอบข้างมีความสุข มันก็น่าจะรักษาความเป็น ตัวกู เอาไว้ และดำเนินชีวิตไปในแบบที่กูเป็นไป แต่ในทางตรงกันข้าม หากสิ่งที่ตัวกูเป็นแล้วผลออกมามันตรงข้ามกัน สมควรหรือเปล่าที่ ตัวกู จะลองย้อนมองดู ตัวกู บ้าง ว่าได้คิดและปฏิบัติสิ่งที่เหมาะสมแล้วหรือ

ลองมองดูคนอื่นบ้าง มองดูด้านดีและด้านมืดของแต่ละคน แล้วพิจารณาเอาว่าสิ่งไหนที่ทำแล้วจะเจริญหรือไม่เจริญ เพราะแม้ชีวิตของ ตัวกู จะมีเพียงแค่ลมหายใจของ ตัวกู แต่อย่าลืมว่ายังมีใครบางคนที่เฝ้ามอง ตัวกู และเป็นห่วง ตัวกู อยู่ แม้ว่า ตัวกู จะทำผิดมากมายสักแค่ไหน ใครคนนั้นก็ยังให้อภัยและพร้อมที่จะยืนเคียงข้างเสมอ ฉะนั้นสิ่งที่ตัวกู คิด มอง และทำในทุกๆ วันนี้ ไม่ใช่สักแต่ว่า กูจะเป็นอย่างนี้ อย่างที่กูเป็น แล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน ตัวกู ลองคิดบ้างสิ ว่าใครคนหนึ่งจะเสียใจเพียงใด หากรู้ว่าคนรอบข้างมอง ตัวกู ว่าเป็นตัวอะไรสักตัวหนึ่งที่เกิดมาโดยไม่มีใครสั่งสอน อบรม

แล้ววันหนึ่ง ตัวกู ก็จะรู้ว่าการยึดมั่นถือมั่นมากจนเกินไป ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร				
22 กรกฎาคม 2554 15:23 น.

แด่เธอ...ที่เพิ่งได้พานพบ

สมภพ แจ่มจันทร์

ฉันมองเห็นเธอเดินเข้าออกในร้านของฉันทุกวัน จากที่ไม่รู้จักจนกลายเป็นลูกค้าประจำ จากลูกค้าประจำ กลายเป็นเพื่อน บางคราฉันอยากจะปลอบประโลมเธอ ยามที่ใบหน้าเธอหม่นเศร้า บางคราฉันอยากจะโอบกอดเธอยามเธอมีน้ำตา แต่วันนี้สิ่งที่ฉันทำได้คือสิ่งนี้ ที่มันกลั่นกรองจากการพบปะและพูดคุยกันชั่วระยะหนึ่ง หวังว่าเธอคงจะรับมันไว้บ้าง ในบางมุมของความรู้สึก

ในห้วงชีวิตของเธอใช่จะมีแต่ความเงียบเหงา ว้าเหว่ และทุกข์ระทม
เธออาจอยู่กับความเป็นจริงนี้มานานแสนนาน

แม้เข็มนาฬิกาจะหมุนเวียนไปรอบแล้วรอบเล่า เธอก็ยังจ่อมจมกับบาดแผลอันร้าวลึกนี้

เธอบอกว่าเธอหนาวเหน็บสะท้านกายจนชาชิน รุ่มร้อนในหัวใจจนความรู้สึกนี้เหือดแห้ง

เธอย้ำบอกจะไม่โทษใครหรือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่คือสิ่งที่เธอได้เลือกเอง ด้วยสติสัมปชัญะ 

ทุกๆ วันของเธอก็ยังคงดำเนินไป พร้อมกับความรู้สึกเช่นนี้ 

ผ่านไปแล้ว เป็นวินาที นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี มีแต่สิ่งๆ นี้ที่เกาะกุมหัวใจ

นึกอยากจะให้มันหลุดหายออกไป นานเท่านานมันก็ยังคงอยู่

ความเงียบเหงา ความเดียวดาย เป็นสิ่งที่เธอเคยบอกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด ที่มันยังคงอยู่กับเธอ 
ราวกับว่าถูกคำสาป

ฉันรอว่าสักวันหนึ่ง เพื่อนที่ดีของเธอจะเดินจากไป

เธอจ๋า ฉันอยากจะบอกให้เธอรับรู้ไว้อีกอย่างหนึ่งว่า ตอนที่เธอก้มหน้าร้องไห้ก็อย่าลืมว่าครั้งหนึ่งเธอเคยแหงนมองดวงดาวด้วยรอยยิ้ม ฉันคนนี้เป็นเพียงพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีเพียงความห่วงใยมอบให้ ที่แห่งนี้พร้อมที่จะอ้าแขนรับเธอ เพื่อให้เธอหยุดพักเหนื่อยและกอบโกยเอาความสุขและรอยยิ้มกลับบ้านไป				
21 กรกฎาคม 2554 13:31 น.

ขอเพียงระลึกถึงกัน ในวันที่สายฝนพรำ

สมภพ แจ่มจันทร์

ผมขอขอบคุณเธอมากสำหรับแรงบันดาลใจ และไฟดวงเล็กๆ ที่จุดประกายชีวิตผมให้เห็นทางเดิน ระหว่างผมกับเธอนั้น เราเป็นเพียงแค่คนผ่านทางเท่านั้น หรือจะเป็นเพียงคนที่จูนกันติดในบางเรื่อง จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เรื่องมันเริ่มขึ้นก็ตอนที่ฝนตก ผมต้องการที่หลบฝนสักที่ พอที่จะไม่ทำให้สัมภาระผมเปียก ผมวิ่งฝ่าฝนมาจนเจอร้านหนังสือเล็กๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งมันคือร้านหนังสือที่ผมมาอุดหนุนเป็นประจำ ร้านนี้เป็นร้านหนังสือมือสอง และหนังสือหายาก นานๆ ทีผมถึงจะได้แวะและนั่งพูดคุยกับเธอ เจ้าของร้านหนังสือร้านเล็กๆ ร้านนั้น 

เธอเป็นคนไม่จัดว่าสวย แต่งตัวธรรมดาๆ ไม่หวือหวาเหมือนสาวๆ ทั่วไป แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ผมต้องแวะมาหาเธอถ้ามีโอกาสก็คือ ความสละสลวยของคำพูด แต่ละคำ แต่ละวลี มันเหมือนหลุดออกมาจากบทประพันธ์ หรือหนังสือปรัชญาอะไรทำนองนั้น เธอเป็นคนพูดตรง ไม่ค่อยมีจริตมารยาอะไรมากมาย นั่นแหละคือแม่เหล็กตัวใหญ่ที่ดึงผมให้เข้ามาหาเธอ

วันนี้ก็เช่นกัน หากฝนไม่ตกผมก็กะว่าจะแวะไปหาเธอสักหน่อย เผื่อว่าเธอจะมีหนังสืออะไรดีๆ บ้าง แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกอย่างกับฟ้ารั่วเสียนี่ ระยะทางไม่ถึง 100 ม.ก็จะถึงร้านเธอแล้ว ผมสูดลมหายใจลึกๆ แล้วตัดสินใจวิ่งไปหาเธอ ซึ่งเธอก็ต้อนรับผมดีเช่นเคย เธอจัดการหาผ้ามาเช็ดเก้าอี้ให้ผมนั่ง และดึงผ้าใบลงครึ่งหนึ่งเพื่อป้องกันกองหนังสือจากละอองฝน เราเริ่มต้นคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระเช่นเดิม จากนั้น เธอก็ปล่อยให้ผมเลือกรื้อหนังสือของเธอได้ตามใจชอบ โดยมีเธอแนะนำอยู่ข้างๆ 

ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมแนะนำว่าให้เธอดึงผ้าใบลงปิดหน้าร้านให้มิดชิดดีกว่า เพราะผมกลัวว่าหนังสือกองโตนั้นจะได้รับอันตราย ซึ่งเธอก็เห็นดีด้วย เพราะหากจะปิดร้านแล้วกลับบ้านก็กลับไม่ได้ หรือหากจะปิดร้านเลย ก็จะพาลไม่มีอากาศหายใจกันเสียเปล่าๆ นั่นเองภายในร้านจึงมีแค่เราสองคน

เรานั่งสนทนากันได้ครู่ใหญ่ เธอถามผมว่าผมทำงานอะไร ผมตอบเธอไป และบอกต่อไปอีกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ตรงกับที่ผมเรียนมาเลย แต่ที่ผมเลือกทำงานนี้ก็เพราะรายได้ดี แล้วผมก็ย้อนถามเธอไปบ้างว่าแล้วเธอหล่ะ เธอตอบผมอย่างมั่นใจว่าเธอเรียนจบสายอาชีพมา แต่เธอชอบที่จะอ่านหนังสือ และชอบที่เห็นคนอื่นได้อ่านหนังสือ เธอจึงตัดสินใจเปิดร้านหนังสือร้านนี้ แม้มันจะเป็นเพียงร้านเล็กๆ ก็ตาม เพราะนั่นคือความสุข เธอยินดีที่จะให้ใครต่อใครมารื้อค้นหนังสือดู แม้จะไม่ซื้อก็ตาม มีความสุขเมื่อร่วมวงสนทนากันเกี่ยวกับหนังสือ หรือนักเขียนหลายๆ ท่าน วันเสาร์ อาทิตย์ ก็มีความสุขที่ไปเดินสวนฯ เพื่อไปดูหนังสือหายาก ถ้ามีเงินมากหน่อยก็หาซื้อเก็บไว้ เล่มไหนพอใจขายก็ขาย เล่มไหนชอบมากก็เก็บไว้เอง นี่แหละคือความสุขของชิวิตแล้ว

แล้วความสุขของคุณหล่ะ อยู่ที่ไหน อยู่กับการได้ทำอะไร เธอถามผมอีกครั้ง แต่แปลกนะ ผมไม่ยักกะตอบเธอได้ มันเหมือนมีก้อนอะไรมาอุดปากไว้เสียอย่างนั้น ผมได้แต่นั่งนิ่ง ภาพวันเก่าๆ มันย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่วันแรกที่ผมได้เข้าทำงานที่สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง วันที่ผมได้เขียนหนังสือ วันที่ผมได้ออกสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ วันที่ผมอยู่กับกองหนังสือและเอกสารกองโต จนถึงวันนี้ วันที่ผมเบนเข็มทิศชีวิตของตัวเอง มาสู่อีกสาขาอาชีพหนึ่ง ที่เม็ดเงินสะพัดกว่า แต่ในใจลึกๆ ของผม มันก็ยังโหยหาที่จะเขียนหนังสืออยู่ 

เธอสัมผัสแขนผมเบาๆ เพื่อเรียกผมกลับคืนมา นั่นสินะ ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นมากน้อยเพียงไร ผมไม่เคยถามคำถามนี้กับตัวเอง ผมรู้เพียงว่าผมทำงานหนักเพื่อแลกกับเงินเดือนก้อนโต ซึ่งมันทำให้ชีวิตของผมสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก ผมมองหน้าเธออีกครั้ง และยิ้มให้เธออย่างขอบคุณ ที่เธอทำให้ผมคิดถึงตัวตนของผมมากขึ้น

ฝนเริ่มซาแล้ว แต่ผมยังไม่อยากแยกจากเธอ ความรู้สึกพิเศษบางอย่างมันบังเกิดขึ้น ผมเชื่อว่าความรู้สึกของผมมันคงปิดเธอไม่อยู่ ผมเริ่มถามเธอว่าเธอมีคนรักแล้วหรือยัง เธอตอบว่าขอบเรียกว่าเพื่อนชายได้ไหม เพราะคนรักของเธอนั้นมีมากมายหลายคน แต่เพื่อนชายนั้นมีคนเดียวที่สนิทที่สุดในตอนนี้ ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าเพื่อนชายของเธอจะเข้ากับเธอได้มากน้อยแค่ไหน หรือไปด้วยกันนานสักเท่าไหร่ เธอเปิดประเด็นการพูดคุยเกี่ยวกับความรัก ซึ่งนั่นเองยิ่งทำให้ผมรู้สึกกับเธอมากมายขึ้นไปอีก แต่เธอช่างเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงเสียจริง

ในวันวานผมไม่รู้ว่าเธอกับเพื่อนชาย มีอนาคตร่วมกันอย่างไรบ้าง แต่ในเวลานี้ วินาทีนี้ ผมรู้สึกต้องการเธอมาอยู่ข้างๆ ผมเสียจริง ผมต้องการคนแบบนี้แหละ ผมส่งยิ้มให้เธอ เหมือนเธอจะอ่านใจผมออก เธอเอื้อมมือมาสัมผัสหลังมือผม แล้วบอกว่าเราเป็นเพียงคนผ่านทางที่แวะมาทักทายกันเท่านั้น ซึ่งบางเรื่องเราอาจจะจูนกันติดเร็ว หรือคุยเข้าใจกันง่ายกว่าคนอื่นๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะเข้ากันได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ความสัมพันธ์ต่างๆ มันต้องมีชั้นตอน ให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามที่ใจอยากจะให้เป็น แต่ต้องให้มันดำเนินไปตามวันและเวลาที่เหมาะสมของมันเถิด นั่นคือความประทับใจอีกครา ที่เธอเปล่งวาจานั้น ผมอยากจะกอดเธอไว้ให้แน่นเสียจริงๆ เธอจะได้ไม่ไปจากผม 

แต่ความจริงมันก็คือความจริงวันยังค่ำ ผมรู้จักเธอเท่าที่เธอยอมให้ผมรู้จัก แม้ว่าตัวผมเองอยากจะเปิดเผยตัวตนของผมให้เธอรู้จักมากเท่าใดก็ตาม มันก็ถูกของเธอ ผมควรจะปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามขั้นตอนดีกว่า วันนี้ผมได้รู้จักบางมุมของเธอ ในวันข้างหน้าผมอาจจะมีโอกาสได้รู้จักเธอมากกว่านี้

หลังจากฝนหยุด ผมบอกขอบคุณที่เธอให้ที่หลบฝน และให้แง่คิดบางอย่างกับผม ผมจำใจเดินจากเธอมาทั้งๆ ที่ใจผมยังติดตรึงอยู่กับเธอ ผมไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ผมจะมีโอกาสได้มานั่งพูดคุยกับเธอเช่นนี้อีกหรือไม่ เพราะงานของผมนั้นมันช่างยุ่งดีเสียจริงๆ ก่อนกล่าวคำอำลา ผมมองหน้าเธออีกครั้ง เมื่อสายตาของเราทั้งสองประสานกัน ผมแน่ใจว่าเธอเองคงมีความรู้สึกไม่ต่างจากผมมากนัก

หลังจากนั้นอีกเกือบ 5 เดือน ผมก้าวย่างไปหาเธออีกครา ซึ่งก็เช่นเดิม ในวันที่มีสายฝน ผมนั่งคุยกับเธอใต้แสงไฟสลัวท่ามกลางบรรยกาศชุ่มฉ่ำของสายฝน แม้เวลาจะผ่านไปนาน แต่ความรู้สึกของผมมันยังหมือนกับเมื่อวันนั้น วันที่ฝนตกหนัก ผมบอกกับเธอว่าผมตัดสินใจลาออกจากงาน โดยที่ยังไม่มีงานใหม่รองรับ เธอค่อนข้างตกใจว่าเหตุใดผมจึงทำเช่นนั้น ผมตอบเธอไปว่า เธอนั้นช่างโชคดีที่ค้นหาตัวเองเจอกและทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ส่วนผมไม่อาจจะอยู่กับการหลอกตัวเองได้อีกต่อไป ผมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งมันค่อนข้างเป็นก้อนโต ผมจะทำในสิ่งที่ผมต้องการทำ เผื่อว่าสักวันหนึ่งผมจะค้นหาตัวตนของผมได้บ้าง

 ผมอยากจะกอดเธอไว้แน่นๆ เสียจริง แม้ว่าการตัดสินใจของผมจะทำให้ผมไม่มีโอกาสได้พบกับเธออีก แต่มันก็ทำให้ผมได้เลือกทางเดินชีวิตตามแบบของผม ผมได้แต่จับมือเธอไว้แน่น แล้วพร่ำบอกเธอว่า ได้โปรดอย่าลืมผม ผมไม่ได้ต้องการความรักจากเธอ ผมต้องการเพียงแค่ความระลึกถึงกันบ้าง โดยเฉพาะในวันที่มีสายฝนพรำ เพียงเท่านั้น 

ผมเองไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกเช่นนั้นบ้างหรือไม่ นับตั้งแต่วันที่ผมกล่าวคำล่ำลากับเธอ แต่โดยความจริงผมไม่เคยลืมเธอเลย ณ วันนี้ ผมได้อยู่ในสถานที่ที่ผมใฝ่ฝัน ได้ทำงานอย่างที่ผมอยากทำ ได้ดำรงชีวิตตามวิถีที่เรียบง่าย ซึ่งบางวันที่ฝนตกหนัก ผมก็อดที่จะคิดถึงเธอไม่ได้ เพราะนอกจากเธอแล้วความสวยงามของภาษาในการสนทนา ผมยังมองหาคนอื่นไม่เจอ ผมเองก็ได้แต่หวังว่า ในบางอารมณ์หรือบางสถานการณ์เธอจะระลึกถึงผมบ้าง เหมือนอย่างที่ผมกำลังรู้สึกในตอนนี้				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสมภพ แจ่มจันทร์
Lovings  สมภพ แจ่มจันทร์ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสมภพ แจ่มจันทร์