4 สิงหาคม 2547 17:50 น.

เกร็ดน่ารู้ ตอนภาษาถิ่น1

สุชาดา โมรา

ภาษามาตรฐาน				ภาษาถิ่นใต้
 เครือญาติ
เด็กผู้ชาย							บ่าวนุ้ย
เด็กผู้หญิง							สาวนุ้ย
วัยรุ่น							สาว,นุ้ย
คนแก่  ตา,ยาย						เฒ่า  พ่อเฒ่า,แม่เฒ่า
ผู้ใหญ่							คนใหญ่
น้องสาว							สาวนุ้ย
น้องชาย							บ่าวนุ้ย
ลูกชาย							ลูกบ่าว
ปู่								โป
บรรพบุรุษ							โปย่าตายาย
คนที่บวชเณรแล้ว						เณร ( ตามด้วยชื่อ )
คนที่บวชพระแล้ว						เณร,หลวง ( ตามด้วยชื่อ )				
4 สิงหาคม 2547 17:46 น.

พระแม่ของชาวสยาม

สุชาดา โมรา

สมเด็จพระนางเจ้าฯ  พระบรมราชินีนาถ  พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้พระราชโอรส  และพระราชธิดาได้พัฒนาความรู้  ความคิด  และคุณธรรมเพื่อที่จะมาพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป  พระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของปวงประชา  ทรงช่วยพสกนิกรในทุก ๆ ด้านด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมล้น  พระองค์ทรงสนพระทัยต่ออาชีพของราษฎรเพื่อให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น  ทรงเสด็จพระราชดำเนินในทุก ๆ ที่ของประเทศเพื่อทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของประชาราช  ทรงปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขให้แก่ชาวไทย  พระองค์มิเคยบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย  แต่พระองค์กลับสนพระทัยและตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะทำการใด ๆ ให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า  เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศได้  ทรงสนพระทัยที่จะไปดูงานต่างประเทศเพื่อที่จะมาพัฒนาประเทศ  ทรงมีพระราชประสงค์ให้คนไทยรู้เท่าทันโลก  และพัฒนาตนเองให้ก้าวไปสู่จุดเดียวกันกับนานาประเทศ  ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณ  พระองค์จึงทรงเป็นพระแม่ที่ประเสริฐที่สุดของปวงชนชาวไทย				
4 สิงหาคม 2547 17:24 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ ( ตอนที่ 14 )

สุชาดา โมรา

การแข่งขันดำเนินมาจนใกล้ถึงวันสุดท้าย  ฉันฟิตทั้งร่างกายและการรุกคู่ต่อสู้  เมื่อมาอยู่ที่นี่ฉันก็ได้เรียนรู้ท่าใหม่ ๆ ที่จดจำมาอย่างถี่ถ้วนและลองมาทำดูก็เป็นอันว่าใช้ได้  ฉันดีใจเหลือเกินที่ฉันมีพรสวรรค์ในด้านนี้ทำให้ฉันก้าวมาถึงจุดนี้จนได้...
	อาจารย์สุพจน์เรียกฉันไปแข่ง  แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่าน ๆ มา
	"ตั้งใจนะ  ต้องมีสมาธิ  หาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้  อย่าลืมท่าและจังหวะที่ครูสอนเมื่อวานล่ะ  ใช้สมาธินะเพราะคู่ต่อสู้คนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ  ครูรู้สึกเป็นห่วงเธอมาเลย"
	ฉันเดินขึ้นมาที่สังเวียนด้วยความรู้สึกที่หวาด ๆ กลัว ๆ แต่ก็ตั้งใจไว้ว่าเราผ่านมาได้ถึงจุดนี้ก็ต้องสู้เพื่อชัยชนะและชื่อเสียงของชาติ  ฉันจะแพ้ไม่ได้  เพราะอีกแค่เอื้อมเดียวก็จะได้ชัยชนะแล้ว
	"ฮาจิเมะ...!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น
	"เอี้ย..........!!!!"
	คู่ต่อสู้สายดำส่งเสียงร้องข่มฉันอย่างน่ากลัว  แต่ฉันก็รู้สึกชิน ๆ กับเสียงแบบนี้แล้วละ  ฉันเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อทันทีแต่ก็ไม่สามารถที่จะทุ่มได้  ฉันเดินหาจังหวะอยู่พักหนึ่งก็รู้ว่าจุดอ่อนของเขาอยู่ที่ขา  ฉันจึงเกี่ยวโค-ยูชิ-คาริทันทีจนเขาล้มลงก้นกระแทกกับพื้น
	"โคกา....!!!"
	ฉันได้คะแนน 1 โคกาทันที  จากนั้นฉันก็ตรงเข้าไปในขณะที่คู่ต่อสู้เขากำลังลุกขึ้น  ฉันจึงเข้าไปล็อกทันทีด้วยท่าเกซา-กาตาเมะจนกระทั่งหมดเวลา
	"วาซาริ  วาซาเตะ  อิปโป้ง..........!!!!"
	เสียงกรรมการบอกว่าฉันชนะ  ฉันดีใจมาก ๆ เข้าไปจับมือกับคู่ต่อสู้แล้วก็เดินออกมาที่ข้างเบาะ  อาจารย์สุพจน์ขยี้หัวแล้วก็ให้ฉันไปนั่งดูพี่ ๆ แข่งเพื่อเป็นการพักเหนื่อยจนกระทั่งถึงเวลาแข่งอีกครั้ง
	"ฮาจิเมะ.......!!!!"
	"เอี้ย...!!!"  
	...เสียงร้องข่มคู่ต่อสู้ของฉันดังขึ้นพร้อม ๆ กับอารมณ์ที่บ้าครั่ง   ฉันไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้สายน้ำตาลปลายดำชาวต่างชาติคนนั้นแรงขนาดไหน ฉันคิดเพียงว่าจะไม่แพ้  ไม่แพ้  และก็ไม่มีวันแพ้... ฉันใส่ท่าโตโมนาเงะทันที
	"อิปโป้ง...!!!"
	อาจารย์ให้ฉันไปนั่งพักผ่อน  ฉันรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ จึงหลับไป  รู้สึกว่าจะหลับได้ยาวนานมาก ๆ พอมารู้สึกตัวอีกทีก็
	"ดาว...คู่สุดท่ายแล้วนะ  พี่เหลือคู่สุดท้าย  ส่วนรุ่นของเธอเหลืออีก 6 คน  ถ้าเธอแข่งชนะครวนี้ก็จะเหลือแค่ 3 คน  คราวนี้จะชนะหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วว่าจะได้เหรียญอะไร"
	พี่ติ๊กมาเตือนสติฉัน  พี่เขาดีนะที่มาปลุกฉัน  ฉันจึงวานให้พี่เขาพาไปที่ห้องน้ำ  พี่เขาก็รออยู่ที่หน้าห้องน้ำส่วนฉันก็ไปล้างหน้า  ฉันมองเห็นนักกีฬาหลายคนคุยกัน  แต่ฉันก็ฟังไม่ออกหรอกแต่คิดว่าเขาน่าจะคุยเรื่องการชิงดำชิงแดงแน่ ๆ เชียวละ...  อาจารย์ให้ฉันเตรียมตัวแข่งได้แล้ว  ฉันจึงขอร้องให้พี่ติ๊กช่วยกระตุ้นให้ฉันตื่นหน่อยด้วยการตบหลังให้แรง ๆ จนกระทั่งตาสว่าง
	"ฮาจิเมะ.........!!!!"
	กรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันเดินหาจังหวะคู่ต่อสู้  จากนั้นก็กระชากคอเสื้อทันที  ฉันรู้สึกได้เลยว่าคู่ต่อสู้แกร่งมาก ๆ จนฉันรู้สึกตัวว่าเขากำลังจะทุ่มฉันได้แล้ว  ฉันจึงย่อตัวและหมุนตัวเข้าไปทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออิ-นาเงะทันทีทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวและลงตบเบาะทันที  แต่ด้วยความที่คู่ต่อสู้เจนสนามจึงทำให้ตบเบาะอย่างไม่เต็มตัว  ฉันจึงพยายามไม่ให้คู่ต่อสู้มีโอกาสเข้าใกล้ได้ด้วยการจับคอเสื้อแล้วย่อตัวกระชากให้เขาออกมาห่างจากขอบเบาะและปัดทันทีทำให้คู่ต่อสู้ลอยและลงมาตบเบาะอย่างสวยงาม
	"อิปโป้ง..........!!!!"
	ฉันทำสำเร็จแล้ว....!!!!  ฉันกู่ก้องร้องบอกตัวเองในใจ  อย่างน้อย ๆ ฉันก็ได้เหรียญทองแดงแล้วละทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้แข่งคู่ต่อไปแต่ก้รู้ได้ทันทีด้วยสัญชาตญาณนักสู้  เพราะตอนนี้รุ่นน้ำหนัก 45 กิโลเหลือเพียง 3 คนสุดท้ายแล้ว...
	แม่...หนูจะทำสำเร็จแล้วนะคะแม่  หนูจะเอารางวัลอันทรงเกียรตินี้มามอบให้แม่เป็นของขวัญให้ได้เลยค่ะ  หนูสัญญา...
	"ฮาจิเมะ.....!!!!"
	กรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันเข้าไปกระชากคอเสื้อแล้วก็เข้าท่าทุ่มทันที  แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้เพราะคู่ต่อสู้แกร่งมาก ๆ ฉันจึงต้องพยายามหาจุดอ่อนแต่ก็มองไม่เห็นทางเลย  คู่ต่อสู้คนนี้สุดยอดจริง ๆ ฉันรู้สึกกลัว ๆ เสียแล้ว  ตอนนี้ฉันคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทันที  ฉันนึกถึงเจ้าพ่อศาลพระกาฬ  นึกถึงหลวงพ่อขาวที่อยู่ในโรงเรียน  นึกถึงพระเจ้าอยู่หัวฯ  ฉันอธิษฐานในใจว่าถ้าหากว่าฉันมีชัยกลับไปฉันจะใส่ชุดยูโดวิ่งรอบหลวงพ่อขาว 9 รอบทันที
	"อิปโป้ง..........!!!!"
	เป็นไปได้ยังไงกัน  กรรมการบอกให้ฉันชนะทั้ง ๆ ที่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย  ฝ่ายนั้นแพ้ฟาว  สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง จริง ๆ ด้วย  งั้นถ้ากลับไปถึงเมืองไทยคราวนี้ฉันต้องไปแก้บนเลยละสิ...
	ฉันยืนมึนอยู่บนสังเวียนจนกรรมการเดินมาสะกิดให้ฉันคำนับคู่ต่อสู้  จากนั้นฉันก็เดินลงมาหาอาจารย์สุพจน์  อาจารย์ยิ้ม
	"โชคช่วยแท้ ๆ ดาวเราต้องมีสมาธินะเหลืออีกแค่คนเดียวเท่านั้นแล้วนะ"
	"ค่ะ"
	ฉันยังคงไม่เล่าอะไรให้ใครฟังทั้งนั้นจนกว่าจะแข่งเสร็จ  คราวนี้เป็นคู่สุดท้ายแล้วที่จะชิงตำแหน่งแชมป์ยูโดแม็ทอาร์มี่อินดิอาเซี่ยน...ฉันจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อเกียรติของฉัน  ของชาติ  และของวงศ์ตระกูล......สู้..........!!!!
	"ฮาจิเมะ..........!!!!"
	เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น  ฉันจึงเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อทันที  คราวนี้ไม่หมูอย่างที่คิดไว้จริง ๆ คู่ต่อสู้นี่แกร่งมากทีเดียว  ฉันคงแพ้แหง ๆ เลย  ดู ๆ สภาพแล้วไม่น่าจะชนะได้เพราะเรามันกระดูกคนละเบอร์กัน
	ฉันพยายามหาจุดบกพร่องของเขาแต่ก้ไม่มี  ฉันจึงนึกไปถึงอาจารย์ดนัยที่สอนฉันให้เอาความอ่อนโยนเข้าพิชิดความแข็งแกร่ง  ฉันจึงใช้ท่าที่ฉันคิดขึ้นเองอีกครั้งในการแข่งครั้งนี้คือท่าท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิถึงกับทำให้อาจารย์สุพจน์ถึงกับตะลึงทันทีเพราะไม่เคยมีใครเห็นท่าแบบนี้มาก่อน
	"อิปโป้ง........!!!!!"
	ฉันเคารพกันและกันแล้วก็เดินไปจับมือกัน  ฉันดีใจมากที่ได้ก้าวมาถึงจุดนี้ได้ถึงแม้ว่าสื่อมวลชนจะไม่รู้ว่ามีการแข่งขันระดับอามี่ชิงแชมป์เปี่ยนยูโดระดับอาเซี่ยนกันทำให้ไม่เป็นข่าวใหญ่แต่อย่างน้อย ๆ มันก็เป็นข่าวเล็ก ๆ ของหนังสือพิมพ์เฉพาะของวงการยูโดและทหาร...ฉันเดินลงจากเบาะแล้วก็ไปกอดพี่ตุ๊กด้วยอาการมือเย็นเฉียบเพราะความตื่นเต้น  ความหวังและความฝันของฉันอยู่แค่เอื้อมมือแล้ว...
	"ไปเอาท่านั้นมาจากไหน  ครูไม่เคยเห็นมาก่อนเลย"
	"คิดเองค่ะ  หนูคิดมานาแล้ว"
	"เก่งนี่  ท่านั้นชื่อว่าอะไรกัน..."
	"ท่าไทเดบะ-ดุซุชิการิค่ะ"
	ฉันยิ้มแล้วอาจารย์ก็ขยี้หัวฉันและพาพวกเราไปกินข้าว  และพาไปเที่ยวหาซื้อของฝากกลับบ้าน  แต่ว่าฉันไม่รู้ว่าอาจารย์จะไปเลยขึ้นมาอาบน้ำแล้วก็นอนหลับยาว  ไม่มีใครปลุกฉันด้วยสิ  พวกเขาคงเห็นว่าฉันเหนื่อยละมั้งเขาเลยไม่ปลุก  ก็แหมเสียดายจังเลยที่ไม่ได้เที่ยวนะแต่อย่างน้อย ๆ ขากลับฉันก็ได้ซื้อของฝากที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้กลับบ้านมาเหมือนกัน  อาจารย์สงสารก็เลยพาไปซื้อที่สนามบินก่อนกลับ  ฉันจึงได้เสื้อลายสกีนของฟิลิปปินล์มาฝากครบทุกคนเลย...

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...				
4 สิงหาคม 2547 17:20 น.

นิยามรักแห่งสายรุ้ง (ตอนที่3)

สุชาดา โมรา

เช้าวันใหม่ที่แสนจะสดใส  ฉันเดินออกจากตึกด้วยอารมณ์ที่สดชื่น  มองไปทางไหนก็มีความสุขไปหมดจนกระทั่งเดินมาถึงหอชายที่อยู่ตรงข้ามกัน
	"ปิ๊ดปี้ว............ไปไหนเหรอจ๊ะน้องรุ้ง"
	ฉันทำเป็นเดินเฉย ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ชายคนหนึ่งก็วิ่งมาถลักหน้าฉันไว้
	"จะรีบไปไหน...คุยกันหน่อยไหมรุ้ง"
	"นายรู้จักชื่อฉันได้ยังไง...!!!"
	"ทำไมจะไม่รู้จักล่ะในเมื่อน้องรุ้งเป็นคนดังแบบนี้"
	ชายคนนั้นเอาแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา  ฉันจึงหยิบมาจากมือของเขา  พอฉันอ่านแล้วก็เห็นว่ามันคือโปสเตอร์ประกาศรับสมัครของชมรมยูโดแต่มีภาพของฉันและชื่อของฉันอยู่ด้วย  ฉันจึงรีบปลีกตัวออกห่างจากพวกนั้นและเดินไปที่โรงยิมส์ทันทีด้วยความรีบร้อน
	ปัง....
	ฉันกระแทกกระดาษแผ่นนั้นที่โต๊ะ
	"นี่มันอะไรกันคะ  ฉันไปเป็นประธานชมรมตั้งแต่เมื่อไร  แล้วทำไมเอาภาพฉันขึ้นหลาขนาดนี้  ฉันไม่เข้าใจ"
	"ใจเย็น ๆ นะรุ้งค่อย ๆ พูดกับพี่เขาดี ๆ ก็ได้"
	"ไม่ยงไม่เย็นแล้ววี...ฉันไม่ชอบเลยนะที่จู่ ๆ ก็เอาความดังเข้ามาใช้เรียกคนให้มาสมัคร  ฉันเกลียดการทำแบบนี้ที่สุด"
	"น้องพี่...."
	พี่ประธานชมรมพยายามอธิบายแต่ฉันก็ไม่ฟังจนกระทั่ง
	"มีอะไรเหรอเชิด...อ๋ออาจารย์เชิญ ๆ ๆ ๆครับ"
	"นี่....นายเอิร์ท  นายเป็นรุ่นพี่ฉันแล้วทำไมมาเรียกฉันแบบนี้  แล้วนายมาทำอะไรที่นี่"
	ฉันถึงกับอึ้งทีเดียวที่เห็นนายเอิร์ทใส่ชุดยูโดจีนแดง  และฉันก็รู้สึกงง ๆ ว่าทำไมนาย      เอิร์ทถึงมาอยู่ที่ชมรมยูโดได้
	"อ้าว...ก็อาจารย์รุ้งบอกว่าให้พวกเราเป็นศิษย์พวกเราก็เลยไปซื้อชุดมาใส่แล้วก็มาวอล์ม
ร่างกายเพื่อรออาจารย์ไง...อาจารย์จะงงไปทำไมกัน  หือ..."
	"อย่ามาทำท่ายียวนใส่ฉันนะนายเอิร์ท  ฉันว่าเมื่อวานฉันฝันไปไม่ใช่เหรอ  จะบ้าเหรอ"
	"ไม่บ้าหรอก  มันเรื่องจริง"
	ฉันก็เลยต้องจำยอมที่จะสอนคนพวกนี้  วันนี้เราจึงมีการทำพิธีมอบหน้าที่ประธานชมรมให้แก่ฉันต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์และต่อหน้ารูปของปรำมาจารย์จิโคโร  กาโน
	"โชเมนิ...เรอิ  เซนเซนิ...เรอิ"
	ฉันพูดนำให้ทุกคนเคารพพระเคารพพระบรมฉายาลักษณ์และเคารพปรำมาจารย์และอาจารย์ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
	"ก่อนอื่นนะคะดิฉันขอแนะนำตัวก่อน  ดิฉันนางสาวรุ้งรัตน์  รินทรานะคะเป็นประธานคนใหม่ของที่นี่  ชื่อเล่นนะคะชื่อว่ารุ้ง  ดิฉันจะพยายามทำความฝันของทุกคนให้เป็นจริงให้ได้ค่ะ  ขอบคุณค่ะ"
	เสียงทุกคนปรบมือกันเกรียวไปหมด
	"ดิฉันขอแต่งตั้งพี่เชิดที่เป็นประธานคนก่อนขึ้นมาเป็นประธานระดับเดียวกันกับฉันเพื่อสนองงานและดำรงตำแหน่งเป็นประธานฝ่ายซ้าย  ส่วนดิฉันเป็นฝ่ายขวาเพื่อไม่ให้เป็นการลดชั้นของรุ่นพี่และไม่เป็นการหักหน้ากัน  ส่วนรองประธานดิฉันของให้ทุกคนเลือกนะคะ  ขอให้เสนอชื่อด้วยค่ะ"
	"เอิร์ท  เอิร์ท  เอิร์ท......"
	เสียงทุกคนเรียกเป็นเสียงเดียวกัน  ที่จริงฉันไม่อยากให้หมอนี่มาเรียนที่นี่ด้วยซ้ำเพราะฉันรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าอย่างแรงทีเดียว  รู้สึกเหม็นขี้หน้าทุกที  แต่ก็เอาเถอะประชาธิปไตยก็คือประชาธิปไตยเราจะไปขวางเขาก็ไม่ได้
	"ตกลง...นายเอิร์ทเป็นรองประธานมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยตลอดรายการ"
	"เฮ.............!!!!"
	เสียงทุกคนดังกึกก้องไปหมด  ฉันเหลือบไปมองที่ประตูห้องชมรม  ฉันเห็นอาจารย์ท่านหนึ่งมายืนแอบมองอยู่ฉันจึงยิ้มให้ท่านแต่ท่านก็เดินหลบหน้าไป  ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าอาจารย์ท่านนั้นมาทำอะไรแต่ที่รู้ ๆ ก็คืออาจารย์เขามาแอบมองชมรมเราแน่ ๆ
	"ฉันขอประกาศกฎที่ฉันตั้งขึ้นไว้ว่า  ข้อแรกห้ามส่งเสียงดัง  ทุกคนต้องมีสมาธิ  ข้อสองทุกคนที่ไม่ได้ขึ้นซ้อมในขณะนั้นต้องนั่งอยู่ที่เบาะแดงเท่านั้น  ข้อสามคือก่อนขึ้นมาบนเบาะควรเรียงรองเท้าให้เป็นระเบียบและเคารพเบาะทุกครั้งที่ขึ้นและลงจากเบาะ  ข้อสี่ใครที่มีสายสีแล้วถ้าวันไหนไม่ใส่สายสีของตัวเองจะถูกปรับด้วยการยึดพื้น 50 ทีตามขั้นสาย  ส่วนพวกสายขาวที่แอบเอาสายสีมาใส่ให้โทษถึงสองเท่า  ข้อห้าทุกคนเมื่อมาถึงแล้วควรทำความสะอาดเบาะอย่าให้มีฝุ่นจับและควรวอล์มร่างกายให้พร้อมด้วยการไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลคนละ 3 รอบ  ข้อหกห้ามขโมยของในล็อกเกอร์หรือแม้แต่ของสำคัญที่วางไว้บนโต๊ะถ้าใครฝ่าฝืนไล่ออกสถานเดียว  ข้อเจ็ดทุกคนต้องเข้าออกตรงต่อเวลาและห้ามมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นที่นี่  แต่ที่อื่นไม่ห้าม  ข้อแปดทุคนต้องมีน้ำในเป็นนักกีฬาห้ามทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเราถือว่าเรามีจิตวิญญาณเป็นนักกีฬายูโดเหมือน ๆ กันและห้ามยกพวกตีกันกับนักกีฬาที่อื่นหรือนักกีฬาต่างชนิท  ข้อเก้าเครื่องแต่งกายของยูโดต้องเรียบร้อยซ้ายทับขวา  สายก็เช่นเดียวกันซ้ายทับขวาและขวาทับซ้าย  คาดสายให้ตรงกับสะดือหรือต่ำกว่า  ห้ามรัดจนฟิตหรือจนเอวกิ่ว  และผู้หญิงควรใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวข้างในห้ามีลวดลายหรือสีอื่นข้อสุดท้ายต้องเคารพในสายและเคารพผู้ฝึกซ้อมนอกจากนั้นต้องเคารพในกฎระเบียบและกติกาการแข่งขันรวมทั้งกรรมการด้วย  กฎ 10 ข้อทำได้ไหม....!!!"
	ทุกคนหมอบคำนับเพื่อเป็นการตอบรับว่าทำได้  ฉันจึงเริ่มทำการวอล์มร่างกายกันก่อน จากนั้นก็ฝึกการตบเบาะท่าที่หนึ่งถึงสี่จนกระทั่งถึงช่วงพักเบรกให้ดื่มน้ำ  แต่ฉันไม่ลงไปดื่มด้วยเพราะการที่ดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้มีผลต่อการฝึกซ้อม  แม่เคยบอกว่าจะทำให้จุกจนเล่นไม่ได้
	"อาจารย์ครับผมสงสัยครับ"
	"นี่บอกอีกข้อก็คือห้ามเรียกฉันว่าอาจารย์อีกให้เรียกชื่อเฉย ๆ ก็พอ...แล้วมีอะไรเหรอ"
	"เสื้ออาจารย์ที่ด้านหลังทำไมมีตัวที 2 ตัวและมีตัวเอ 1 ตัว  ตรงแขนขวามีธงของไทยแล้วทำไมแขนซ้ายถึงมีธงญี่ปุ่นครับ"
	"  TTA  ก็คือไทยทูเอ  หมายถึงเบอร์หนึ่งของเมืองไทย  ธงของสองชาติหมายถึงเราเล่นกีฬาของเขาก็ต้องเคารพกฎของเขาส่วนของไทยคือการบ่งบอกให้รู้ว่าเราเล่นกีฬาให้ชาติไทยไงล่ะจะถามอะไรอีกไหม"
	"ผม ๆ ๆครับ  ผมอยากถามว่าน้องรุ้งทำไมมีนามสกุลคล้าย ๆ คนในวงการยูโดคนหนึ่งที่เคยลงหน้าหนังสือพิมพ์บ่อย ๆ จนกลายเป็นประวัติศาสตร์วงการกีฬาคนนั้นล่ะครับ"
	"นายเอิร์ทนี่นายจะถามถึงบรรพบุรุษฉันด้วยเหรอไงกัน"
	"แหมถามหน่อยก็ไม่ได้แค่นี้ทำเป็นหวง"
	"อยากรู้ก็ไปสืบมาสิ  ถ้านายแน่จริงนะ  ฉันไม่ชอบตอบอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการซ้อม"
	"เออ...คุณรุ้งครับทำยังไงผมถึงจะได้ใส่สายดำอย่างคุณล่ะครับ"
	"ฝึกซ้อมสิคะ  ขยัน ๆ หน่อยแล้วจะดีเอง"
	"แล้วคุณได้สายเขียวตั้งแต่สมัยไหนครับ"
	"อืม...ตั้งแต่ 10 ขวบได้มั้ง  เอออย่าถามเลยรีบ ๆ ซ้อมเถอะเดี๋ยวก็กลับเย็นค่ำหรอกมันอันตรายสำหรับผู้หญิง  อ้อ...พวกเธอถ้าจะเรียนยูโดต้องขยันให้มากกว่านี้แล้วห้ามโอดครวญว่าเมื่อยหรือบ่นว่าซ้อมหนักเพราะถ้าไม่รีบ ๆ ฟิตร่างกายก็จะทำให้สู้เขาไม่ได้  อีกอย่างถ้าพวกเธอไม่มาพรุ่งนี้มันก็จะปวดเมื่อยแบบนี้ไปตลอด  เราต้องทำให้ร่างกายอยู่ตัว  ไป...นั่งที่แล้วมาหัดท่าตบเบาะท่าต่อไป  ซึ่งจะเป็นการกันกระแทกเวลาถูกทุ่ม  ขอให้พี่ที่เป็นแล้วมาเป็นหุ่นหน่อยจะได้รู้ว่าท่านี้เขาใช้ทำอะไรได้บ้าง"
	เมื่อทุกคนนั่งที่ขอบเบาะ  พี่เชิดก็ออกมาเป็นหุ่นให้ฉันทุ่ม  ฉันจึงทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที  พี่เชิดตบเบาะได้สวยมากสมกับที่เป็นสายน้ำตาล  ทุกคนปรบมือกันเกรียวไปหมด  และพวกเราก็เริ่มซ้อมกันต่อ
	วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยต่อการเป็นผู้นำมากทีเดียว  ฉันคิดถึงแม่และพ่อ  คิดถึงโรงยิมส์ที่บ้าน คิดถึงอนาคตที่ฉันจะต้องไปแข่งในนามสถาบันการศึกษา  ฉันจะทำยังไงดี  ฉันอยากให้พ่อแม่มาอยู่เป็นกำลังใจให้ฉัน  ฉันรู้สึกเหงา ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะดูแกร่งยังไงแต่ฉันก็รู้สึกโดดเดี่ยวจริง ๆ...

โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...				
4 สิงหาคม 2547 17:18 น.

ทรัพย์ธรนินทร์ (ตอนที่3)

สุชาดา โมรา

ต่อมาไม่นานนักคุณท่านก็ทราบเรื่องและไล่ให้คุณทั้งสามไปเป็นเพียงบ่าวท้ายครัวเท่านั้น  คุณพยอมจึงโชคดีกลายเป็นที่รักของคุณท่านทันที
	"แม่พยอมมานั่งใกล้ ๆ พี่สิพี่มีของมาให้"
	คุณพยอมคลานเข้าไปใกล้ ๆ คุณท่านจากนั้นคุณท่านก็เอาสร้อยทับทิมออกมาคล้องคอคุณพยอม
	"ขอบพระคุณเจ้าค่ะ"
	คุณพยอมก้มลงกราบแทบเท้า  คุณท่านจึงพยุงตัวขึ้นมานั่นบนเตียง  คุณพยอมจึงเรียนขอคุณท่านเรื่องพี่ ๆ ทั้งสามคน
	"วันนี้วันเกิดอิฉันคุณพี่ให้ทับทิมเส้นนี้มาแต่อิฉันอยากจะขออีกเรื่องนึงเจ้าค่ะ"
	"แม่พยอมจะขออะไรพี่ให้ได้ทุกอย่างเลย...บอกมาสิ"
	"อิฉันอยากให้คุณพี่ยกคุณพี่ทั้งสามขึ้นมาเหมือนเดิมเจ้าค่ะเพราะคุณ ๆ ก็เป็นถึงลูกพระน้ำพระยาฉะนั้นถ้าใครรู้เข้าจะครหาได้นะเจ้าคะ"
	คุณพยอมพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน
	"อย่าพูดเรื่องนี้ได้ไหม.......!!!!"
	คุณท่านโกรธทันทีเมื่อได้ยินคุณพยอมเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วก็เดินออกจากห้องไป  คุณพยอมจึงวิ่งตามออกไปแล้วกอดขาคุณท่านเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เศร้า ๆ
	"คุณพี่ลองคิดดูอีกทีนะเจ้าคะว่าถ้าคุณพระยาเขารู้ว่าลูกท่านทั้งสามคนลดตัวจากเมียกลายเป็นขี้ข้าในครัวเขาจะต้องโกรธและอาจจะทูลฟ้องได้นะเจ้าคะเพราะคุณหญิงเอี่ยมท่านเป็นข้าหลวงเก่าและยังเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ข้างในตลอดเวลา  คุณพี่มิเกรงบ้างหรือเจ้าคะ"
	คุณท่านถึงกับหยุดคิดทันทีแล้วก็พยุงคุณพยอมกลับเข้าห้องไป....
	พอเช้าคุณท่านก็เรียกบ่าวสองคนให้มาพบที่เรือนหลังเล็กของคุณพยอม
	"อีอิ่มมึงไปตามอีสามคนนั่นมา..."
	"สามคนไหนเจ้าข้า"
	"นายมึงนั่นแหละ...ถามมากกูจักเอาหวายเฆี่ยนมึง  นี่กูยังไม่ได้ลงโทษมึงนะอีอิ่ม"
	นางอิ่มวิ่งเข้าครัวไปตามคุณทั้งสามมาทันทีเพราะกลัวคุณท่านจะเฆี่ยน  พอคุณทั้งสามมาถึงเรือนคุณพยอม
	"มาแล้วเหรอ...แม่พยอมเขาขอร้องข้าเอาไว้ข้าเลย  หึ....!!!!  มึงกลับมาเหมือนเดิมได้แต่มึงไม่ใช่เมียกู  มึงต้องไปไถ่บาปด้วยการไปดูแลคุณผอบแก้วด้วย  แล้วถ้าอีบ่าวสี่คนนั่นมันรังแกมึงกูก็ช่วยไม่ได้นะเพราะมึงทำกับมันไว้นี่"
	คุณทั้งสามก้มลงกราบคุณท่าน  แต่คุณท่านชักเท้าหนีแล้วก็เดินออกจากห้องไปด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างหงุดหงิด  คุณท่านก็โกรธที่คุณทั้งสามไปทำร้ายคุณผอบแก้วเมียรักของท่าน  แต่ท่านก็รักคุณทั้งสามเหมือนกันท่านจึงทำท่าโกรธไปอย่างนั้นเอง
	"คุณพี่...มืด้านหมดแล้วโถ่..."
	"ขอบใจนะแม่พยอมพี่คิดอยู่แล้วว่าหล่อนต้องช่วยพี่"
	คุณทั้งสามจึงรุมกอดคุณพยอมด้วยความรัก  เพราะคุณทั้งสามก็ไม่มีลูกเนื่องจากก็อายุมากแล้วจึงมีความรู้สึกว่ารักคุณพยอมมากและยิ่งคุณพยอมช่วยพูดให้คุณท่านลดโทษให้คุณทั้งสามก็ยิ่งรักคุณพยอมมากเข้าไปใหญ่
	1 เดือนผ่านไป
	"อวก....อวก...อวก....!!!!"
	"คุณพยอมเป็นอะไรเจ้าคะ...หรือว่า"
	เสียงบ่าววิ่งกระหืดกระหอบมาที่เรือนหลังใหญ่ด้วยสีหน้าเลิกลัก
	"มาทำไมอีอิ่ม....กูถามมึงไม่ได้ยินหรือ"
	"ไม่ใช่เรื่องของมึงอีมา  กูจักมาเรียนคุณท่าน"
	"คุณคนไหนล่ะมีหลายคุณ"
	"มึงอย่ามากวนตีนกูนะ  ถอยไป...."
	นางอิ่มใช้รูปร่างอ้วน ๆ ผลักนางมาจนตกบันไดไปแล้วก็ขึ้นไปหาคุณท่านที่บนเรือน
	"มึงมาทำไมอีอิ่ม...เรือนของมึงอยู่นู่น....!!!!"
	อิ่มถึงกับทำหน้าเสียเมื่อเห็นคุณผอบแก้วออกมานั่งที่นอกชานแล้วก็ชี้ไล่อิ่มไม่ให้มาที่นี่
	"มีอะไรหรืออิ่ม"
	"คุณโสภี...คือคุณพยอมเธอไม่สบายเจ้าค่ะบ่าวก็เลยมาตามคุณท่าน"
	"ไม่สบายก็ไปหาหมอสิมาเรียกท่านให้ปวดหัวทำไม"
	"คุณแม่คะพยอมก็เป็นเมียคุณพ่อนะเจ้าคะคุณแม่น่าจะอนุโลมบ้าง  ทีคุณแม่ยังอยากให้คุณพ่อมาดูแลในยามป่วยเลยแล้วทำไมพยอมจะให้คุณพ่อไปดูแลไม่ได้  อย่าลืมสิคะพยอมไม่เคยทำร้ายคุณแม่นะเจ้าคะ...  และอีกอย่างพยอมก็เป็นเพื่อนลูกที่โรงเรียนด้วย  เป็นถึงลูกเสนาบดีคุณแม่จะใจร้ายไม่ให้คุณพ่อไปได้อย่างไรกัน"
	คุณพยอมถึงกับอึ้งแล้วก็ให้นางอิ่มเข้าไปพบคุณท่านที่ในห้อง  นางอิ่มกระซิบที่ข้างหูคุณท่านเบา ๆ ต่อหน้าเมียบ่าวหลายคนที่กำลังบับนวดให้คุณท่านอยู่  คุณท่านถึงกับทำตาโตแล้วก็วิ่งกระหืดกระหอบมาที่เรือนหลังเล็กของคุณพยอมทันที
	"เป็นอย่างไรบ้างแม่พยอม  แพ้มากไหม"
	คุณพยอมยิ้มแล้วก็ทำท่าเขินอายคุณท่านจึงมาดูแลคุณพยอมทั้งวันจึงทำให้คุณผอบแก้วเกิดความสงสัยมากยิ่งขึ้น
	"คุณพี่...แม่พยอมเป็นอะไรหรือเจ้าคะ"
	"ก็แค่ป่วยนั่นแหละ"				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา