7 มีนาคม 2549 15:30 น.

ภาพสวยๆเก็บมาฝากจาก อยุธยา ครับ

หมึกมรกต

ทราบไหมครับว่า...ถ่ายมาจากสถานที่ไหนบ้าง 
ฝีมือดอยกับเพื่อนถ่ายเองนะครับ ภาพจึงดูสวยดี(รึเปล่า) คิ คิ				
10 พฤษภาคม 2548 17:55 น.

...เรื่องดีดีระหว่างพี่น้อง...

หมึกมรกต

...6 ครั้ง!..ที่ฉันต้องหลั่งน้ำตาให้น้องชายของฉัน ...

ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน

แต่ละวัน พ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ

ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3 ปี

วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ ของฉันมีกัน
... จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง

พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน

"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด

ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"

พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น

ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้ แล้วพูดว่า
"ผมขโมยเองครับ"

ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง

พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย

พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน "ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้
ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"

คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้ หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย

กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก

น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า "พี่ครับ
ไม่ต้องร้องไห้นะ มันผ่านไปแล้ว"

ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ

หลายปีผ่านไป แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง

ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย

ตอน นั้นน้องของฉันอายุ 8 ปี ส่วนฉันอายุ 11 ปี... 
เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน

คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน

ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี เรียนดีมากนะ"

แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"

ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
"ผมไม่ต้องการเรียนต่อ ผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"


พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่

"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"

คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ ทั่วทั้งหมู่บ้าน เพื่อขอยืมเงิน

ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
"ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"

แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้

ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อป ระทังความหิว
ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน ขณะฉันกำลังหลับ

"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ... ผมจะไปหางานทำ
แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"

ฉันนั่งอยู่บนเตียง อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17 ปี ส่วนฉันอายุ 20 ปี ... 

ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้าง ... ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ อยู่ข้างนอกแน่ะ"

ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ??? ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง ... ฉันถามเขาว่า
"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"

น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"

ฉันน้ำตานองหน้า ค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ "พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"

จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ ... เขาติดกิ๊บให้ฉัน แล้วพูดว่า "ผมเห็นสาวๆ
ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"

ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20 ปี ส่วนฉันอายุ 23 ปี ... 
วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก ฉันสังเกตเห็นว่า
หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว 

เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก

หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"

แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก น้องชายลูกต่างหาก
วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
น้องโดนกระจกบา ดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"

ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลา งใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ

ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม" ฉันถาม

"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
และ..."

น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง

ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23 ปี ส่วนฉันอายุ 26 ปี... 
หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
.. . แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ

ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง แต่เมื่อออกไปแล้ว
ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม

น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป ...
เขาบอกกับฉันว่า "พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"


สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษั ทของครอบครัว
เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท ...
แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้ เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา

วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด ... เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล

ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา ... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า

"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ ดูตัวเองซิ
เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"

คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด ยังคงยืนยันความคิดเดิมของเขา

....??...				
27 กุมภาพันธ์ 2548 23:33 น.

..ชมนก ชมไม้(ภาพสวยๆเก็บมาฝากครับ)..

หมึกมรกต

เมื่อกางปีกกระหยับปาดกางเปลวแดด
ร้อนที่แผดเผาก็พอเพลาก่อน
เมื่อท้องฟ้าสีฟ้ายังมาจร
แล้วค่อยร่อนหลบหายไปตามลม				
13 กันยายน 2547 23:47 น.

ทางเลือกสุดท้ายที่ต้องเลือก

หมึกมรกต


ภีรณุ และกีรติ คู่รักอันหวานชื่นแห่งปี ทั้งคู่คบหากันมานาน
วันนี้เป็นโอกาสดีเพราะทางบริษัทที่เขาทั้งสองทำงานอยู่
ปิดให้พนักงานลาพักร้อนเป็นเวลา 1 อาทิตย์
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายนัก สำหรับสองหนุ่มสาวคู่นี้ที่จะได้มาเที่ยวด้วยกัน

1 อาทิตย์ที่เธอและเขาจะได้ตักตวงความสุข ความสบายใจ เพื่อผ่อนคลายจากความล้า
หลังจากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อยมาแสนนาน
ก็เขาต้องสร้างฐานะ เพื่อที่จะเริ่มสร้างครอบครัวใหม่ของเขานี่

เมื่อแสงตะวันหลบเหลี่ยมเขา แสงแห่งนวลราตรีเริ่มคลี่ม่านคลุม..แผ่ขยายไปทั่วชายหาด
เหมือนเป็นใจให้เธอและเขาได้สัมผัสกับบรรยากาศอันแสนจะโรแมนติก

"วันนี้..คุณมีความสุขไหม" ภีรณุทอดเสียงออกมากระทบโสตสัมผัสของคนที่เขารัก
"มีความสุขซิค่ะมีความสุขมากๆด้วย" เสียงหวานของกีรติตอบรับพร้อมกับรอยยิ้มอันรันจวน

และ แล้วภีรณุ ก็เอ๋ยคำคำนึงที่เขาอัดอั้นตันใจมานานแสนนาน 
รอหาโอกาสดีๆ ที่จะได้พูดกับคนรู้ใจ เพราะฉะนั้นเขาคงไม่พลาดที่จะใช้บรรยากาศนี้
เพื่อที่จะพูดมันออกมา

"แต่งงานกับผมนะ"

กีรติ ได้ยินเช่นนั้นถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ ไม่คาดคิดมาก่อนว่า 
แฟนหนุ่มจะเปิดเกมรุกขอเธอแต่งงาน
ใบหน้าที่แดงก่ำพร้อมกับศัพท์เสียงที่เอียงอายค่อยๆ เผยออกมา 
เพื่อสงวนทีท่ากุลสตรีของเธอ
ทั้งๆ ที่ความจริงเธอก็รอโอกาสนี้มานานเหมือนกัน
"ค่ะ"

ได้ยินเช่นนั้น ภีรณุรีบวิ่งเข้ามาโอบกอด สุดที่รักของของอย่างไม่รอช้า
แล้วทั้งคู่ก็เคล้าคลอพูดคุยกันอยากถูกปาก เลาะเลียบไปกับริมชายหาด 
ที่สาดส่องด้วยแสงแห่งรัติกาล
"นี่ก็ดึกมากแล้วพี่ว่า เรากลับที่พักกันเถอะนะ"
"ค่ะ"


ว่าแล้วภีรณุ ก็เดินจับมือกีรติ ไปยังเต็นที่พักซึ่งทั้งคู่ตกลงกันว่าไหนๆ ก็มาเที่ยวทะเลแล้ว
ก็ควรที่จะดื่มด่ำกับบรรยากาศให้เต็มที่ เต็นจึงถูกเลือกให้เป็นที่หลับนอนสำหรับเขาและเธอ

หยาดน้ำค้างเริ่มย้อย บรรยากาศเริ่มเย็นลงทุกขณะผนวกกับความเหนื่อยอ่อนมาทั้งวัน
จึงไม่ยากนักที่จะทำให้ภีรณุปิดเปลือกตาลง 
พร้อมๆกับคำหวาน ที่หว่านโปรยให้แก่กีรติ
"นอนหลับฝันดีนะครับ แล้วอย่าลืมฝันถึงผมหล่ะครับ" 
ว่าแล้วเขาก็ม่อยหลับไปเหมือนกับว่าไม่ได้นอนมาเป็นแรมปีเลยทีเดียว
ทิ้งให้กีรติ นอนนึกฝันอยู่กับโลกอันแสนหวานของเธอ ที่บัดนี้กลายเป็นสีชมพูเสียหมดแล้ว
เธออดที่จะอมยิ้มไม่ได้ พลางสายตาก็เหลือบไปจ้องมองชายหนุ่มที่เธอหลงรัก
แล้วในใจของเธอก็เพ้อพร่ำ
"รู้ไหมภีรณุ คุณเป็นสุภาพบุรุษเหลือเกิน 
ฉันดีใจจริงๆที่มีผู้ชายอย่างคุณในโลกนี้อะไรนา..ที่ทำให้ฉันได้เจอคุณ"

ขณะที่กีรติกำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงประหลาด
สอดแทรกผ่านมาตามสายลมที่เยือกเย็นทำให้เธอสงสัยไม่ได้ว่า เสียงนั่นมาจากไหนกัน
เธอเหลือบมอง ภีรณุอีกครั้ง เปลือกตาเขายังปิดแน่นเธอคงจะไม่รบกวนเวลาแห่งความสุขของเขาแน่ 
ซึ่งขณะนี้เขาอาจจะนอนหลับฝันดีอยู่ก็เป็นได้
เธอจึงพลิกตัวจากที่นอน สองเท้าของเธอจึงทำหน้าที่ก้าวสลับไป ณ ต้นกำเนิดเสียงนั่นเพียงลำพัง
'ไม่แน่อาจจะมีคนจมน้ำเรียกร้องความช่วยเหลือ" 
ความคิดของเธอผลุดขึ้นขณะที่เธอควบฝีเท้าไปยังแหล่งที่เสียงนั้นดังมา

ทว่า..เมื่อเธอเดินไปถึงต้นเสียงทุกอย่างกลับเงียบสงบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

กีรติอดที่จะประหลาดใจเสียไม่ได้

"มีใครอยู่แถวนี้ไหมค่ะ".


เสียงตะโกนของเธอไม่ได้รับการตอบรับแต่อย่างใด

"สงสัยเราหูแว่วไปเองมั้ง."

ว่าแล้วกีรติก็หันหลังควับ.บ..บกลับไปยังเต้นของเธอ

ในขณะที่เธอก้าวเท้าอยู่นั้นเธอกลับได้ยินเสียงเหมือนว่ากำลังมีคนเดินตามเธออยู่

เสียงนั้นใกล้เข้ามาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ....

เธอจึงหันหลังกลับไปดูให้แน่ใจ


...

นี่เราคงหูแว่วจริงๆ

แล้วเธอก็เดินต่อไปในใจก็ยังคิดถึงคืนวันที่แสนหวานระหว่างเธอและเขา

ทันใดนั้นเอง..

อุ๊บ!!!...ชายหนุ่มร่างใหญ่กระโจนเข้ามาหาเธอพร้อมมือปิดปากเธอไว้แน่น

อ่ะ!!ปล่อยปล่อยนะ..

ปล่อย..ย...ย..ย..ย!!!!



ขณะนี้ใจของกีรติเริ่มสั่นระรัวเต็มไปด้วยความกลัวและความหวาดผวา...

เธอพยายามดิ้น..ดิ้น....ให้ตัวเองหลุดพ้นจากเอื้อมมือของชายผู้นั้น

แต่ชายผู้นั่นยิ่งกอดรัดเธอไว้แน่น พร้อมกับคำข่มขู่อันแข้งกร้าว.


"ถ้าแกขัดขืน..แกตาย"

.. 

. 

. .. . อย่า...ยยยย



สายแสงแห่งจันทราเริ่มทอประกายเป็นสีหม่น คละปนกับหยาดน้ำฝนที่โปรยปราย
สยายไปกับสายลมที่เอื่อยไหลราวกับว่าจะสิ้นใจ ในครานั้น แล้วทิ้งคำถามสุดท้ายว่า




ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์เช่นกีรติหล่ะ
คุณเลือกที่จะยอม หรือ จะ ขัดขืน


เพราะเหตุใดเล่า?????				
10 กันยายน 2547 18:20 น.

รักแท้..ที่เธอลืม

หมึกมรกต

ตอนที่ 3

หญิงสาวหันขวับมายังเสียงเรียก ครั้นพบว่าเป็นใครใบหน้าถึงกับซีดเผือด เธอนึกไม่ถึงว่าแม่จะมา กลุ่มเพื่อนที่รายล้อมทุกคนต่างหันมองมายังหญิงวัยกลางคนในชุดที่ดูมอซอเป็นตาเดียว พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจ นี่หรือแม่ของจันทพร ผู้เป็นดาวคณะ ที่เคยบอกว่าเป็นลูกของนักธุรกิจชั้นนำทางภาคเหนือ ทุกคนมองหญิงแปลกหน้าและดูปฏิกิริยาของเพื่อนสาว พร้อมคำถามที่รอคำตอบ 

"เอ่อ ขอโทษนะคะ คุณป้าคงทักคนผิดแล้วล่ะค่ะ" หญิงสาวตอบกลับไป แล้วสะกิดเพื่อนเดินเลี่ยงไปอีกทางเพื่อถ่ายรูปต่อ 

จำเนียรยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่อยากเชื่อหูกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ เป็นไปได้อย่างไร ที่ลูกจะจำเธอไม่ได้ และไม่อยากเชื่อว่าเธอจะถูกปฏิเสธจากลูกจากหญิงสาวที่เธอทะนุถนอมบรรจงสร้างชีวิตมาตั้งแต่ยัง
แบเบาะจนเติบใหญ่ พร้อมความอบอุ่นที่มีให้มากที่สุด เท่าที่จะให้ได้ เพื่อชดเชยจากการที่ลูกขาดพ่อ ดวงตาของเธอเหม่อลอยดังคนไร้สติ เรี่ยวแรงจะก้าวเดินแทบจะไม่มีเหลือ น้ำตาแห่งความผิดหวังเอ่อล้นจนท่วมใจแล้วไหลอาบลงสองแก้ม เธอหันหลังกลับช้าๆ เดินจากมาอย่างไร้จุดหมาย แต่ในใจส่วนลึกยังคงคิดว่า ลูกคงมีเหตุผล และเธอก็พร้อมที่จะรับฟังเมื่อลูกพร้อมจะเล่า. 

***********

แม้รถจะออกเดินทางจากกรุงเทพฯมานานหลายชั่วโมงแล้ว และผู้คนในรถต่างหลับใหลอยู่ในความมืด มีเพียงเสียงรถและเครื่องปรับอากาศที่ดังเบาๆ แต่จำเนียรยังไม่ได้งีบหลับเลยแม้สักนิด แสงที่สาดเข้ามายามที่รถสวนทาง สะท้อนเงาลำธารน้ำตาที่ไหลพรากเป็นสาย โดยไม่รู้ว่าเสียไปมากเท่าใดแล้ว

เรื่องราวแต่ก่อนเก่า หลายภาพหลายเหตุการณ์วนเวียนเข้ามาในความคำนึงไม่รู้หมดสิ้น ภาพของเด็กหญิงตัวเล็กๆ น่ารัก ช่างเจรจา ที่ค่อยๆ เติบใหญ่ผ่านการดูแลอบรมเอาใจใส่ของเธอและสามี ดุจลูกในไส้ ทุกถ้อยคำในบทสนทนาระหว่างเธอกับเขา ก่อนที่จะมีเด็กหญิงในบ้าน เธอยังจดจำได้ไม่รู้เลือน

เนียร...พี่อยากจะปรึกษาเนียนหน่อยจ้ะ สามีเอ่ยขึ้นหลังอาหารเย็น 
เรื่องอะไรจ๊ะพี่ 
เราอยู่กินกันมาก็นานพี่ว่าเนียนคงจะเหงา...พี่เองก็อย่างที่รู้... พี่เห็นเนียนชื่นชมลูกชาวบ้านเขาก็อดสงสารไม่ได้... เขาจ้องตาเธอจริงจังก่อนพูดต่อ ...เนียรคิดยังไง...ถ้าเราจะไปขอเด็กที่โรงพยาบาลในเมืองมาเลี้ยง...พี่ว่าเด็กที่คลอดมาแล้วแม่ทิ้งนี่ โตมาต้องกำพร้า ขาดความอบอุ่น...น่าสงสารนะ

จริงเหรอพี่... เธอยิ้มตาเป็นประกาย เนี่ยฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน พี่อ้อยบ้านโน้นที่พี่ป้อมแฟนเขาเป็นหมัน เขาก็คิดเหมือนพี่นี่แหละ เขาบอกฉันวา เด็กอ่อนที่โรงพยาบาลในเมือง มีแม่วัยรุ่นคลอดแล้วทิ้งเยอะขึ้นทุกวัน ทางโรงพยาบาลเขาก็อยากหาพ่อแม่บุญธรรมรับไปเลี้ยงเหมือนกันถ้าเราขอมาเลี้ยงซักคน คงจะดี ไอ้สิ่งที่เราช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวมาจะได้มีคนช่วยดูแลต่อ ฉันเองก็จะไม่เหงา มีเด็กวิ่งในบ้าน ครึกครื้นดีออก

งั้น วันมะรืน เราไปที่โรงพยาบาลกันนะ สามีเอ่ยพลางเอื้อมบีบมือเธอ

วันที่เธอกับสามีไปทำเรื่องขอเด็กอ่อนมาเลี้ยง เธอยังจำภาพนั้นได้ดี ภาพของทารกเพศหญิง ที่เพียงได้พบหน้า แววตาสองคู่ที่ประสานกัน เสมือนความผูกพันนั้นมีมานานนัก เธอรักเด็กน้อยตั้งแต่แรกอุ้ม และทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ เฝ้าดูแลเอาใจใส่ อบรมด้วยความรัก แม้ในยามที่สามีจากไป ความรักที่ให้ก็ยิ่งเพิ่มทวีไม่เคยลดน้อยถอยลง ทว่าไม่เคยคาดคิดแม้สักนิดว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนแปร ความรักที่เด็กหญิงซึ่งนางไม่เคยบอกความจริง จะตอบแทนความรักต่อเธอเช่นนี้

คิดถึงเพียงเท่านี้ เสียงกรีดร้องมาจากตอนหน้าของรถก็ดังลั่น แข่งกับเสียงบีบแตรยาว ตามมาด้วยเสียง โครม!!! 

...โปรดติดตามตอนต่อไป...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมึกมรกต
Lovings  หมึกมรกต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมึกมรกต
Lovings  หมึกมรกต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมึกมรกต
Lovings  หมึกมรกต เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมึกมรกต