29 เมษายน 2549 22:24 น.

แล้วเราก็เข้าใจกัน(ตอนจบ)

เรียงร้อยเป็นเรื่องราว

"ตั้งใจเรียนนะลูก ทำใจให้สบาย ไม่ต้องคิดอะไรมาก" ผู้เป็นยายกล่าวขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง ขณะหวีผมให้หลานสาวอยู่ตรงหน้ากระจก 
"หวานไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องเรียนหรอกจ๊ะยาย" หลานสาวพูดขึ้นมา 
"แล้วหนูก็ต้องไม่เอาอดีตมาปะปนกับปัจจุบันด้วยลูก" ผู้เป็นยายกล่าวชวนให้คิด และหลังจากนั้นไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกเลย 

 

"หวาน! ทันทีที่เห็นเพื่อนไอซ์และตุ๊กตาก็ตรงดิ่งเข้าหาทันที 
"พวกฉันดีใจนะที่เห็นเธอมาเรียนวันนี้น่ะ เป็นห่วงกลัวว่าจะมาไม่ได้เสียอีก" ไอซ์พูดขึ้นมาอย่างดีใจ 
"ไปหาครูภาวิณีกันเถอะ ว่าเธอมาเรียนแล้ว" ตุ๊กตาบอกแล้วจูงมือหวานให้เดินมาด้วยกัน พร้อมกับไอซ์ที่ตามมา 

 

 

"หายดีแล้วหรือเบญจลักษณ์" ครูผู้ชายที่สอนวิชาพละส่งเสียงถาม เมื่อเห็นหวานเดินเข้ามาในห้องพักครูกับเพื่อนอีกสองคน 
"คะครู" หวานเอ่ยพร้อมยกมือไหว้ แล้วเดินตามเพื่อน ๆ ไปหาครูภาวิณีที่นั่งอยู่ด้านในสุดของห้อง 
"ครูขาสวัสดีคะ" ภาวิณีเงยหน้าจากงานขึ้นมองหวานที่กำลังยกมือไหว้เธอ รอยยิ้มที่เปิดออกแสดงให้เห็นถึงความดีใจ 
"ดีขึ้นแล้วใช่ไหมจ๊ะ" 
"คะครู" 
"แล้วหัวใจของหนูล่ะ..มันแข็งแรงขึ้นมาด้วยไหม" คำถามของภาวิณีไม่ได้ทำให้หวานตอบสิ่งใดออกมา เด็กสาวนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น และภาวิณีเองก็ไม่ได้ถามต่อเช่นกัน เพียงแค่เอ่ยอะไรบางอย่างออกมาว่า 
"เดี๋ยวสักวันมันก็จะแข็งแรงขึ้นด้วยตัวหนูเองจ๊ะ" 

 

 

"ฉันว่าแทนที่แกจะโทรหาลูกแล้วถามว่าเป็นไงบ้าง ดีกว่ามานั่งคิดมากอยู่อย่างนี้อีกนะ" พนัศพูดขึ้นมา ช่วงระหว่างหยุดพักร้อนนี้ เขามักมาหาทัศนัยที่ทำงานทุกวัน 
"ฉันโทรหาหลายครั้งแล้ว แต่ยัยหวานไม่ยอมรับสักครั้ง" ทัศนัยบอกด้วยน้ำเสียงที่บ่งชัดถึงความท้อแท้ 
"ถ้างั้นแกก็ต้องไปหาที่บ้านแม่ยายแก" ทัศนัยส่ายหน้าก่อนจะโต้ประโยคนี้ของเพื่อนขึ้นมาว่า 
"ไม่มีทาง ขนาดโทรไปยังไม่รับ แล้วถ้าฉันไปหา คิดหรือว่าจะยอมเจอหน้า" "แต่การหนีปัญหามันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเหมือนกัน" พนัศพูดเป็นเชิงให้สติ ซึ่งมันก็ทำให้ทัศนัยได้คิดตาม และรู้สึกหวาดกลัวกับการสูญเสีย ซึ่งเขาเองไม่อยากให้มันเกิดขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน 
"ขอบใจแกมากนะนัศ" 
"เพื่อเพื่อนน่ะฉันยินดีเสมอเว้ย แล้วว่าแต่แกเหอะจะไปหาลูกเมื่อไรกัน ฉันจะได้ขอตามไปด้วย อยากเห็นหน้าหลานเต็มทีแล้ว" 
"เย็นนี้เลย" 

 

 

"นั่นไงเจ้าหวานกลับมาพอดี หวาน เข้ามานี่ก่อนลูก" อุษาร้องเรียกหลานสาว 
"เป็นยังไงบ้างลูก" ทัศนัยถามลูกสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ห่วงหาและคิดถึง 
"หนูสบายดีคะ" หวานบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่กระนั้นก็ยังถูกจับได้ด้วยความรู้สึกของพนัศว่า ปากกับใจของเธอมันสวนทางกัน เมื่อความเศร้าที่อยู่ในแววตาของเธอมันฟ้อง  และเมื่อมองลึกลงไปได้มีบางอย่างอิงแอบอยู่ใน ดวงตาคู่นี้ และสิ่งนั้นมันก็ทำให้เขายิ้มออกมา 
"คืนนี้หนูไม่ต้องเหงาเพราะคิดถึงพ่ออีกแล้วนะหวาน เพราะคืนนี้พ่อเขาจะค้างกับหนูที่นี่" คำพูดของพนัศทำให้หน้าของหวานแดงก่ำ ด้วยความที่พูดอะไรไม่ ออก และเกิดความสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง ทำให้เธอต้องรีบเดิน ออกจากตรงนี้ทันที ทั้งทัศนัยและอุษาต่างมองมาที่พนัศอย่างงุนงง สายตาของพวกเขาที่ส่งมา เหมือนกับจะถามพนัศว่า "มันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวในตอนนี้อย่างงั้นหรือ" 
"คุณปรางค์ไม่ได้คอยแกคนเดียวนะทัศ"
"นี่แกหมายความว่า!" ทัศนัยโพลง หัวใจของเขาเริ่มเต้นถี่ 
"ใช่..ยัยหวานคอยแกมาพร้อมกับคุณปรางค์ตลอด" คำพูดของพนัศได้สร้างความตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกให้กับทัศนัยอย่างมากมาย
"จริง ๆ แล้วลูกก็รักแกนะทัศ" พนัศพูดพลางเอามือตบไหล่เพื่อนเบา ๆ 
"ความเป็นสายเลือดมันตัดกันไม่ขาดหรอกนะ" อุษาที่เงียบไปพูดขึ้นมา 
"แต่เป็นเพราะคนที่เจ้าหวานมันรักต้องเจ็บปวดทรมาน มันจึงรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาไง แต่ขณะเดียวกัน... เด็กที่ปราศจากพ่ออย่างมันก็โหยหาไออุ่นจากคำ ๆ นี้เหมือนกัน
"อย่าเพิ่งท้อนะเพื่อน อีกไม่นานหรอก.. อีกไม่นาน" พนัศพูดเป็นเชิงให้กำลังใจ

 

 

          คืนนี้ที่หวานร้องไห้ เธอไม่ได้ร้องเพราะความโกรธแค้น หรือเสียใจแต่ประการใด น้ำตาอันร้อนผ่าวมันรินไหลพร้อมกับความรู้สึกที่ไหวหวั่น เหตุใดหนอ เหตุใด เมื่อเขาทำให้แม่ของเธอเจ็บปวดมากมายขนาดนี้ ใยหัวใจเธอยังร่ำร้องเรียกหาเขายามเมื่อต้องห่างไกลกัน ตลอดเวลาที่เธอเห็นแม่ต้องทรมาน เป็นเพราะความใจร้ายของเขามิใช่หรือ แล้วทำไมกัน แล้วทำไม หัวใจเธอมันจึงเต้นตึกตักด้วยความยินดีเมื่อได้เห็นเขา  ภาพวันวานมันหวนคืน เด็กสาวยามเยาว์วัยในครานั้น ร้องเรียกหาพ่ออยู่ทุกคืนวันว่าพ่อจ๋า! พ่อจ๋า!อยู่ไหนกัน มาหาหนูหน่อยได้ไหม หนูคิดถึงพ่อเหลือเกิน....แต่แล้วเมื่อภาพอันแสนชอกช้ำของแม่มาเทียบซ้อน ไฟแค้นที่เกือบดับมอดกับลุกโชนในทันตา มาลุกโหมบดบังความต้องการอันจริงแท้ให้แอบซ่อนลึกในหัวใจ....จู่ ๆ ดูเหมือนมันกำลังฝ่าเปลวไฟออกมา ไฟที่มันพยายามโหมซัดกระหน่ำด้วยพลังอันแค้นเคือง
"จริง ๆ แล้วฉันต้องการอะไรกันแน่นะ" หวานกล่าวกับถามตัวเองขึ้นมา ด้วยความที่นอนไม่หลับ และไม่อยากคิดสับสนอยู่บนเตียง เธอจึงลุกออกจากห้อง เพื่อหาน้ำเย็นดื่มบรรเทาให้ใจได้ดีขึ้น


"ห้องมันแคบไปหน่อยนะลูก" หญิงชราพูดออกมาอย่างเกรงใจ กลัวว่าผู้มาเยือนจะลำบาก เพราะเคยนอนแต่ห้องที่กว้างขวาง
"ไม่แคบหรอกครับแม่ ผมชอบห้องนี้ครับ เพราะมันเคยเป็นห้องของปรางค์ เขา" ทัศนัยพูดออกมา เขาเห็นแม่ยายเหม่อมองไปที่หน้าต่างตรงหัวเตียง
"ทัศรู้อะไรไหม หน้าต่างบานนั้นน่ะ เป็นหน้าต่างที่ปรางค์เฝ้ามองหาแกอยู่ทุกวันนะ" หญิงชราบอกออกมา
"แม่ครับและแม่รู้อะไรไหม ตลอดหลายปีที่ชีวิตผมปราศจากปรางค์ หลายปีนั้นหัวใจของผมก็ไม่เคยให้ใครมาครอบครองหัวใจของผมอีกเลย เพราะชีวิตทั้งชีวิตผมมีแต่เธอคนเดียว"
"จริงหรือคะ!!!" เสียงของหวานทำให้พ่อและยายหันมามองเธอพร้อมกันที่ประตู...หวานที่ก่อนหน้าลุกออกจากห้องเพื่อไปหาน้ำดื่มที่ชั้นล่าง แต่ต้องเดินผ่านห้องของแม่ก่อน เธอจึงได้ยินเสียงของยายกับพ่อที่คุยกันอยู่ตลอด แต่ประโยคที่พ่อเพิ่งกล่าวมา มันทำให้เธออยากได้ยินชัด ๆ อีกครั้ง
"คุยกันไปนะ แม่ขอตัวก่อน" หญิงชรากล่าวแล้วก่อนที่จะเดินผ่านพ้นประตูไป เธอยังเอ่ยกับหลานสาวขึ้นว่า
"อย่าให้อะไรมาเอาชนะความต้องการที่แท้จริงของตัวเองไปได้นะลูก" 
"พ่อยังรักแม่อยู่หรือคะ" หวานถามเมื่อผู้เป็นยายเดินออกไปจากห้องแล้ว
"ใช่ลูก พ่อยังรักแม่จ๋าของหนูอยู่"
"แต่ทำไมตอนนั้น" สีหน้าของหวานตอนนี้มันฉายแววแห่งความสงสัยและงุนงงออกมา
"ตอนนั้นพ่อยังไม่รู้ความต้องการที่แท้จริงของตัวเองยังไงล่ะลูก แต่ตอนนี้พ่อรู้แล้วว่าชีวิตทั้งชีวิตและหัวใจของพ่อมีแต่แม่จ๋าของหนูคนเดียว" ทัศนัยพูดออกมา และเขาจะรู้หรือไม่ว่า ไฟแค้นที่อยู่ในใจของลูกสาวได้ดับมอดลงด้วยคำพูดของเขาในทันใด
"พ่อไม่ได้โกหกหนูนะคะ!"
"ไม่ลูก เพราะพ่อไม่อยากสูญเสียหนูไปอีกคน มันทรมานนะลูก มันทรมานมากเลย!" 
"พ่อคะ!!!" หวานโผเข้ากอดพ่อ  ร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนอกพ่ออยู่อย่างนั้น ร่างบางของเธอถูกร่างของพ่อกระชับแน่น ราวกับกลัวเธอหนีจากไปอีกครา และหวานเองก็เช่นกันกอดพ่ออยู่อย่างนั้น ในใจพลันคิดว่า ถ้าคลายกอดจากพ่อแล้ว พ่อจะหายลับไปในทันทีหรือไม่ ยิ่งคิดร่างสองร่างก็ยิ่งกระชับด้วยสายสัมพันธ์แห่งรักในสายเลือดอันยิ่งใหญ่
"หนูขอโทษนะคะพ่อ หนูขอโทษ!!!!"
"ไม่เป็นไรลูก" ทัศนัยกล่าวพลางค่อย ๆ บรรจงเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว
"มากับพ่อตรงนี้สิครับ" เขาบอกแล้วจูงมือลูกสาวให้เดินมาที่หน้าต่างตรงหัวเตียงด้วยกัน
"หนูเห็นดวงดาวดวงนั้นไหมลูก" หวานมองตามพ่อไปยังดาวดวงนั้นที่ส่องประกายระยิบระยับราวดั่งกากเพชรอันหลากสี 
"ดาวดวงนั้นเห็นไหมมีแม่จ๋ายิ้มให้พ่อกับหนูอยู่ในนั้น"
"โอว์! จริงด้วยคะพ่อขา  ดูยิ้มของแม่สิคะ เป็นรอยยิ้มที่ช่างเต็มไปด้วยความสุขเหลือเกิน"
"ใช่ลูก แม่เขามีความสุขแล้ว มีความสุขพร้อมกับเราสองคนในตอนนี้ไงลูก"
"แม่คะพ่อเขากลับมาหาแม่แล้วนะคะ!" หวานกล่าวขึ้นในใจพลางยิ้มออกมาให้กับดาวดวงนั้น และข้าง ๆ เธอนั่นเองได้มีเสียงนึงดังขึ้นจากในใจของพ่อเธอเช่นกัน
"ชีวิตนี้ทั้งชีวิตผมมีแต่คุณคนเดียวนะปรางค์..ผมรักคุณนะครับ!" ทั้งทัศนัยและหวานหันมายิ้มให้กันและกัน

"พ่อคะหนูรักพ่อคะ!"

"พ่อก็รักหนูลูก!" แล้วสองพ่อลูกก็ยิ้มให้กันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะเนิ่นนาน หัวใจสองดวงมันสุขล้น เพราะว่า..

                          *แล้วเราก็เข้าใจกัน*				
26 เมษายน 2549 16:38 น.

แล้วเราก็เข้าใจกัน(ตอนที่14)

เรียงร้อยเป็นเรื่องราว

"ครูขา..หวานเขาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ พวกหนูไม่เห็นเขามาเรียนตั้งสามวันแล้ว" ไอซ์ชวนตุ๊กตาเข้ามาถามภาวิณีที่กำลังตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ที่โต๊ะ
   "หวานเขาแค่ไม่สบายนิดหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอกจ๊ะ" ภาวิณีให้คำตอบที่ทำให้นักเรียนทั้งสองของเธอคลายกังวล
   "เลิกเรียนแล้วไปเยี่ยมหวานก็ดีเหมือนกันนะจ๊ะ ไปกับครูนี่แหละ"
   "ดีเหมือนกันคะครู" ตุ๊กตากล่าวขึ้นมา

 

          กำลังตาที่เริ่มถดถอยไปตามอายุที่มากขึ้น ได้มองข้าวของเครื่องใช้ในห้องนี้ที่ยังคงเดิม เพียงไร้กายของคนเคยอยู่ ทิ้งไว้แค่ความทรงจำที่เจ็บปวด น้ำตาเอ่อล้น เมื่อภาพของผู้จากไปเข้ามาฉายในห้วงคำนึง


                                                                                                      .   .   .

 

           ดวงตาคู่โศกทอดออกไปนอกหน้าต่าง กำลังคอยใครสักคนด้วยความรู้สึกร้าวราน ช่วงเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน แต่ทางข้างหน้าที่ทอดมอง ยังไร้คนซึ่งเฝ้าคอย ร่างโปร่งบางที่อยู่บนเตียงได้ไหวตามแรงสะอื้น น้ำตาไหลอาบแก้มพร้อมใจที่จวนเจียนแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ 
   "ทัศคะปรางค์กำลังรอคุณอยู่นะคะ!!!"


                                                                                                    .   .   .


   "ยายจ๋า!" ภาพต่าง ๆ เลือนหาย เมื่อถูกเสียงเรียกของหลานสาวปลุกให้ตื่นจากอดีต
   "ยายจ๋า..หวานคิดถึงแม่จ๋า! คิดถึงเหลือเกิน!" หวานเดินร้องไห้เข้ามาหาผู้เป็นยาย
   "ยายจ๋า ได้โปรดช่วยปลุกให้หวานตื่นจากฝันร้ายนี้ทีได้ไหม หวานกลัวเหลือเกินจ๊ะยายจ๋า!!!"
   "โถ! หลานยาย" ผู้เป็นยายร้องอุทานพร้อมเข้ากอดหลานด้วยความเวทนา
   "หวานกลัว! ยายจ๋าช่วยหวานด้วย! มันรู้สึกเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน!"
   "โอ๋! ไม่ต้องกลัวนะลูก ยายอยู่นี้แล้ว ขวัญเอ๊ยขวัญมา"
   "หวาน หนูต้องเข้มแข็งให้ได้นะลูก แล้วหนูก็จะได้ตื่นจากฝันร้ายนี้เอง" อุษาที่เดินเข้ามาเห็นพอดี รู้สึกหดหู่เวทนาหลานอย่างจับจิต

 


   "เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับผู้จัดการ" นายพงษ์เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าทัศนัยดูไม่สดใสเท่าที่เคย
   "ผมไม่เป็นไรหรอกพี่พงษ์" ทัศนัยบอก แต่ดูเหมือนนายพงษ์จะรู้ว่าคำตอบที่เขาได้นั้นมันไม่ตรงกับใจของผู้จัดการคนนี้สักเท่าไร
   "ถ้าไม่มีก็ดีครับ แต่ถ้ามีแล้วมัวมานั่งกลุ้มอย่างนี้ไม่ดีแน่ ปัญหาเขามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้มานั่งกุมขมับอย่างนี้นะครับ" นายพงษ์พูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากห้องทำงานของทัศนัย


   "หวานอยู่บ้านหลังนี้หรือคะครู" ตุ๊กตาถามอย่างแปลกใจ เมื่อบ้านที่เห็นไม่เหมือนกับที่หวานเคยเล่าให้ฟัง
   "นี่เป็นบ้านยายของหวานน่ะจ๊ะ" ภาวิณีตอบข้อสงสัยให้ลูกศิษย์ 
   "นั่นคงจะเป็นยายของหวานแน่เลยคะ" ไอซ์พูดเมื่อมองเข้าไปเห็นหญิงชรากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่
   "คุณยายขา! คุณยาย!" หญิงชรามองไปที่ประตูอย่างแปลกใจว่าใครกันมาเรียกตน
   "หนูสองคนกับคุณครูมาเยี่ยมหวานน่ะคะคุณยาย" ตุ๊กตาส่งเสียงบอก....หญิงชรายิ้มให้แขกผู้มาเยือนพร้อมเปิดประตูต้อนรับ
   "สวัสดีคะคุณยายหนูชื่อภาวิณีเป็นครูประจำชั้นของหวาน วันนี้พาเด็ก ๆ มาเยี่ยมหวานน่ะคะ" ทั้งไอซ์และตุ๊กตาต่างยกมือไหว้หญิงชราตามคุณครูของพวกเธอ
   "หนูชื่อไอซ์นี่ตุ๊กตาคะคุณยาย เราสองคนเป็นเพื่อนร่วมห้องของหวาน เห็นเขาหยุดไปนานก็เลยเป็นห่วง" หญิงชรายิ้มให้กับความน่ารักของเด็กทั้งสอง 
   "หวานอยู่ในบ้านน่ะจ๊ะ" หญิงชราบอกแล้วเดินนำคนทั้งสามเข้ามาในบ้าน เมื่อเข้ามาในบ้านทั้งภาวิณีและเด็กทั้งสองต่างยกมือไหว้อุษาที่นั่งอยู่..อุษาเองก็ยกมือไหว้ตอบตามมารยาทอันควร
   "ตามสบายกันนะจ๊ะ" หญิงชราบอกแล้วเดินออกไปจากห้องรับแขก
   "เดี๋ยวฉันไปตามยัยหวานมาให้นะครู" อุษาบอกแล้วเดินออกไปเช่นกัน
   "บ้านคุณยายน่าอยู่ดีนะคะ ต้นไม้เต็มไปหมดเลย ดูร่มรื่นดี" ตุ๊กตาพูดกับจังหวะที่หญิงชราเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำหวานเย็น ๆ กับส้มโอที่ผ่านการแช่เย็นมาอย่างดี
   "อุ๊ย!ส้มโอน่าทานจังคะ" ไอซ์พูดขณะช่วยรับถาดจากหญิงชรา แล้วกล่าวพร้อมเพื่อนว่า
   "ขอบคุณนะคะ" หญิงชรายิ้มอย่างเอ็นดูและชื่นชมในมารยาทของเด็กทั้งสองที่คงถูกอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี
   "ขอบคุณมากนะคะคุณยาย ส้มโออร่อยมากเลยคะ" ภาวิณีเองก็กล่าวขึ้นเช่นกัน
   "ตามสบายเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวทานข้าวเย็นด้วยกันที่นี่เสียเลยสิ" หญิงชราเอ่ยปากชวนขณะที่อุษาพาหวานเข้ามาพอดี....หวานยกมือไหว้ภาวิณี ก่อนพาตัวเองไปนั่งรวมกับเพื่อนทั้งสอง
   "เป็นอะไรมากหรือเปล่าหวาน ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า" ไอซ์กับตุ๊กตาต่างแย่งกันถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
   "ไม่เป็นไรมากหรอกจ๊ะ แค่เป็นไข้นิดหน่อย" 
   "พวกฉันเอาการบ้านและงานช่วงที่เธอขาดไปมาให้ทำด้วยนะ" ตุ๊กตาบอกพลางยิ้มสมุดออกจากกระเป๋านักเรียนส่งให้หวาน
   "ชวนเพื่อนขึ้นไปทำการบ้านบนห้องด้วยกันสิหวาน" อุษาบอก
   "คะน้าษา" แล้วหวานก็นำเพื่อนทั้งสองออกไป
   "สภาพจิตใจยัยหวานตอนนี้เป็นไงบ้างคะ" ภาวิณีอดที่จะเอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้
   "ยังแย่เหมือนเดิมคะครู ไม่รู้จะทำยังไงกันดีแล้ว" อุษาพูดอย่างจนใจ
   "ทุกสิ่งทุกอย่างมีทางแก้ไข อย่าวิตกไปเลยคะคุณษา ยังไงเราต้องร่วมมือช่วยยัยหวานกันนะคะ" ภาวิณีพูดแกมให้กำลังใจ
   "แต่ตัวยัยหวานเองก็ต้องช่วยเราอีกแรงด้วยนะครู" อุษาพูดพลางถอนใจ....
   "แล้วมันจะยอมหรือเปล่าน่ะสิ เพราะความแค้นมันฝังรากลึกออกอย่างนี้"				
25 เมษายน 2549 17:40 น.

แล้วเราก็เข้าใจกัน (ตอนที่13)

เรียงร้อยเป็นเรื่องราว

"โถ!คนดีของน้า" ขณะที่หวานสะอึกสะอื้นร่ำไห้อย่างปวดร้าว ขณะนั้นอุษาก็เจ็บปวดเช่นเดียวกันที่ต้องเห็นสภาพเช่นนี้ของหลานสาว มันทำให้เธอรู้สึกสงสารอย่างจับใจ
  "หวานจ๊ะ" อุษาเชยคางที่เรียวได้รูปของหวานขึ้น ปลายนิ้วค่อย ๆ บรรจงเกลี่ยน้ำตาให้ 
  "น้าว่าหนูทนทุกข์ทรมานจากการทำเพื่อตัวเองมามากแล้วนะ
    ทำไมถึงไม่ทำให้ตัวเองมีความสุขสักทีล่ะ"
  "ทำยังไงล่ะคะ" หวานถามด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
  "อภัยให้พ่อเขาไงล่ะ"
  "อภัยให้งั้นหรอ!" หวานส่งเสียงอยู่ในใจ เธอจะให้อภัยได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่เคยมาเหลียวแลแม่ของเธอสักครั้ง
  "น้าษาคะหวานอภัยให้เขาไม่ได้หรอกคะ!" หวานพูดโดยไม่สบตาน้าสาวสักนิด
  "แล้วหนูจะปล่อยให้ตัวเองทนทุกข์อยู่อย่างนี้เรื่อยไปหรือหวาน"
  "น้าษาคะหวานอยากอยู่คนเดียวคะ"
  "ตามใจนะ ถ้าการอยู่คนเดียวมันจะทำให้หนู
    คิดอะไรดี ๆ  ให้ตัวเองขึ้นมาได้"
    หวานปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง เมื่อน้าสาวพาร่างออกจากห้องนี้ไป ไฟแค้นที่มันสั่งสุมมานาน ความทรงจำที่ยังเก็บภาพในอดีตอันขมขื่นของแม่ไว้  มันทำให้ยากเกินอภัยเชียวหรือ
  "หลานเป็นอย่างไรบ้าง" อุษาไม่ตอบผู้เป็นแม่ เธอส่ายหน้าไปมาพร้อมทรุดนั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง
  "โธ่!หวานของยายทำไมหนูถึงไม่รู้จักปล่อยวางบ้างล่ะลูกเอ๊ย"



        ทันทีที่ทราบเรื่องภาวิณีรีบมาหาทัศนัยที่ทำงานทันที โดยได้พาพนัศที่กำลังลาพักร้อนอยู่มาด้วย ซึ่งตอนนี้เธอและพนัศกำลังคุยกับทัศนัยอยู่ในห้องทำงานของเขา
  "ภาไม่อยากเชื่อเลยว่าที่คุณปรางค์ฆ่าตัวตาย มันเกี่ยวข้องกับคุณด้วย!" ภาวิณีพูดออกมาด้วยความตกใจ แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า สิ่งที่

เธอคิดวิตกมันคือความจริง
  "ผมนี่มันเลวกับปรางค์เขาจริง ๆ เลยนะ สมควรแล้วล่ะที่โดน
    ยัยหวานกล่าวว่า ๆ เป็นฆาตกรน่ะ!"
  "อย่าโทษตัวเองเลยว่ะ" พนัศเอ่ยขึ้นมา
  "ถ้าหลายปีก่อนกันไม่ถือทิฐิ แล้วกลับไปหาปรางค์เขา
      เรื่องมันคงไม่ลงเอยแบบนี้เป็นแน่" ทัศนัยยังคงกล่าวโทษตัวเองอย่างเสียใจ
  "จริงอยู่ที่แกทำร้ายจิตใจคุณปรางค์ แต่เธอก็ไม่ได้ตายเพราะแก"
  "จริงอย่างที่นัศพูดนะทัศ" ภาวิณีพูดออกมาอย่างเห็นด้วยกับพนัศ
  "คุณปรางค์เธอไม่ได้ตายเพราะคุณ เธอตายเพราะทุกข์ที่ไม่รู้จักปล่อยวางต่างหาก"
  "ฉันว่าแทนที่แกจะห่วงเรื่องของตัวเอง ฉันว่าแกควรห่วงยายหวานมากกว่านะ
    เพราะคนที่น่าเป็นห่วงตอนนี้ไม่ใช่แก แต่เป็นลูกสาวแกต่างหาก" คำพูดของพนัศได้สร้างความงุนงงให้กับทัศนัยขึ้นมา
  "ทำไมแกถึงพูดอย่างนี้ว่ะไอ้นัศ" เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัยและอยากรู้
  "เพราะตอนนี้ลูกสาวแกกำลังแบกความทุกข์เหมือนกับที่คุณปรางค์เคยแบกเอาไว้ยังไงล่ะ"


    แม้เรื่องเมื่อคืนมันผ่านพ้นไปแล้ว แต่มันยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของทัศนัย ยิ่งต้องมารับรู้กับสภาพจิตใจของลูกสาวตอนนี้ ยิ่งทียิ่งปวดร้าวหัวใจ  เป็นเพราะความคิดเห็นแก่ตัวของเขาทีเดียว  ที่ทำร้ายจิตใจของคนถึงสองคนด้วยกัน  ยิ่งกว่านั้นคือคนที่เขารักด้วยกันทั้งคู่  ต่อให้พนัศกับภาวิณีพูดว่าการที่นวลปรางค์ฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นเพราะเขา แต่ถ้าเขาไม่มีความคิดที่เลวร้ายกับเธอ เธอก็คงไม่ด่วนจากเขาไป  และลูกสาวคงไม่ต้องมามีสภาพผูกใจเจ็บเช่นทุกวันนี้ เขานึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ยิ่งคิดเหมือนยิ่งถูกเข็มทิ่มแทงลึกลงไปถึงขั้วหัวใจ 
"ปรางค์!!คุณช่วยบอกผมที ผมควรจะช่วยลูกของเราให้หลุดพ้นจากสภาพเช่นนี้อย่างไรดี"				
24 เมษายน 2549 21:19 น.

แล้วเราก็เข้าใจกัน(ตอนที่12)

เรียงร้อยเป็นเรื่องราว

"ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ หวานมีความสุขดีแล้วหรือ!" หวานทวนคำถามของน้าสาวอยู่ในใจหลายรอบ แววตาของเธอที่เคยถูกน้าสาวมองว่าเต็มไปด้วยแรงแค้น ณ. ช่วงเวลานี้กลับฉายแววแห่งความสับสน

"ว่าไงล่ะหวาน" หวานรีบก้มหน้าลงทันที เมื่อถูกน้าสาวรุก ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา ไม่รู้ว่าจะตอบน้าสาวเช่นไรดี ตลอดเวลาที่ไฟแห่งแรงแค้นของเธอลุกโชติช่วงอยู่ในหัวใจ ตลอดเวลานั้นเธอไม่เคยรู้สึกว่าสุขหรือทุกข์ คิดอย่างเดียวคือการแก้แค้น

"ตอนนี้หวานได้แก้แค้นพ่อเขาสำเร็จแล้วนะลูก" คำพูดของอุษาทำให้หวานต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย

"เรื่องเมื่อคืนพ่อเขาเล่าให้น้าฟังหมดแล้ว และพ่อเขาก็สำนึกได้ด้วยตัวเองแล้วนะลูก"

"ทำไมน้าษาถึงคิดว่าเขาสำนึกแล้วล่ะคะ" หวานถามอย่างไม่มั่นใจ

"เพราะพ่อเขามองเห็นความผิดที่เขามองข้ามไปตลอดจากอดีตที่พรั่งพรูมาจากปากของหวาน ไงล่ะลูก" 

"งั้นก็หมายความว่า เขารับรู้ได้ด้วยตัวเองแล้วใช่ไหมคะน้าษา เขารู้แล้วใช่ไหมคะว่า

เพราะความคิดที่เห็นแก่ตัวของเขาทำให้แม่จ๋าต้องตาย"

"หวานจ๊ะฟังน้าให้ดีนะ" อุษากล่าวพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลานสาว

"แม้ว่าพ่อเขาผิดที่ทำร้ายจิตใจแม่จ๋า แต่แม่จ๋าไม่ได้ตายเพราะพ่อ แม่จ๋าตายเพราะทำร้ายตัวเอง

แม่จ๋าของหวานสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง ๆ นะลูก หนูลองคิดให้ดีสิว่าเป็นอย่างที่น้าพูดไหม"

หวานไม่พูดอะไรออกมา เมื่อภาพอดีตที่เธอย้อนไปมันเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว ในช่วงเวลานั้นที่เธอเห็นแม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ร่ำไห้คร่ำครวญเสียอกเสียใจ กับการรอคอย ไม่ใช่เพราะพ่อ แต่เป็นแม่ของเธอเองต่างหากที่ทำร้ายตัวเอง อย่างที่ผู้เป็นน้าพูดไว้ เพราะตลอดเวลาที่เธอเห็นแม่ต้องมีสภาพเช่นนั้น ตลอดเวลานั้นพ่อเองไม่ได้มาอยู่ตรงนั้นเพื่อรับรู้ความทุกข์ของแม่แต่อย่างใด 

"ไม่ใช่แต่แม่จ๋าของหวานเท่านั้น ตัวหวานเองก็กำลังสร้างความทุกข์ให้กับตัวเองอยู่นะลูก"

"หวานนี่หรือคะน้าษาที่สร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง!" 

"จ๊ะ ความทุกข์ที่หนูต้องการแก้แค้นพ่อเขาให้ได้ไงลูก และน้าก็เชื่อว่าต่อให้หวานแก้แค้นสำเร็จ หวานก็ยังคงทุกข์อยู่ดี"

ใช่แล้ว เป็นอย่างที่อุษาพูดไม่ผิด ถึงหวานจะรับรู้ว่า พ่อได้สำนึกกับความผิดที่ตัวเองทำไปแล้ว แต่ในใจของเธอยามนี้ ยังคงมีแต่ความทุกข์ เมื่อรู้ว่าเธอแก้แค้นสำเร็จ เธอกับไม่มีความรู้สึกดีใจแต่อย่างใด มันเป็นเพราะอะไรกันหรือ

"เป็นเพราะหนูไม่สามารถทำให้แม่จ๋ารับรู้ในสิ่งที่หนูทำได้ไงล่ะหวาน หนูรู้ว่าคนตายไปแล้ว

ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ แต่หนูก็ยังดึงดันที่จะแก้แค้นพ่อเขาให้ได้เพื่อแม่ แต่จริงแล้วหนูทำเพื่อตัวหนูเองต่างหาก!!!"

"น้าษา!!!" 

"เพราะคนที่หนูรักต้องมีสภาพแบบนี้ มันทำให้หนูต้องเจ็บปวด และความเจ็บปวดนี้ไง ที่ทำให้หนูรู้สึก

โกรธ เกลียด และคิดแก้แค้นพ่อเขา"

"โฮ....!!!!" หวานปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น พร้อมกับโผเข้ากอดน้าสาว

"ตอนนี้อยากร้องไห้แค่ไหนก็ร้องออกมาให้พอ ร้องมันออกมาให้สะใจเลยลูก"				
22 เมษายน 2549 21:15 น.

แอบรักเธอยัยจอมแก่น(8)

เรียงร้อยเป็นเรื่องราว

"สวัสดีคะคุณพ่อคุณแม่" พวกเด็ก ๆ ต่างยกมือไหว้คุณเกรียงไกรและคุณวัลภาพร้อมกับเสียงทักทายอย่างสดใส
"สวัสดีจ๊ะเด็ก ๆ " คุณวัลภารับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม คุณเกรียงไกรเองก็เช่นกัน แถมยังพูดจาแซวแม่กระเทยสาวอย่างเป็นกันเองอีกต่างหาก
"ไม่เห็นหนูตั้งนานดูสวยขึ้นเยอะนะเดนนี่"
"อุ๊ย! คุณพ่อปากหวานจังคะ เดนนี่ช๊อบ ชอบ คุณพ่อเองก็ยังดูนุ๊มมมหนุ่มอยู่เลยนะคะ
  ดูหุ่นคุณพ่อสิคะยังเฟิร์มอยู่เลย"
"แม่เขาถึงได้หลงมาจนถึงทุกวันนี้ไง" คุณเกรียงไกรพูดแล้วก็หันไปส่งแววตาเป็นประกายให้ภรรยา
"แหม! คุณเนี่ยอายเด็ก ๆ เขานะคะ" คุณวัลภาพูดอย่างเหนียมอาย ภาพหยอกล้อของคนวัยผู้ใหญ่ สร้างรอยยิ้มให้พวกเด็ก ๆ ได้ยิ้มกันอย่างสุขใจ
"พอดีเพื่อน ๆ มาทำรายงานกันน่ะคะ" ชีสบอกพ่อและแม่ขึ้นมา
"งั้นตามสบายนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ยกขนมและน้ำหวานขึ้นไปให้"
"ขอบคุณคะ แต่พวกหนูเกรงใจน่ะคะ" แอนนี่กล่าวขึ้นมา ซึ่งเป็นที่ชื่นชมอยู่ในใจของคุณวัลภาไม่น้อย แม้เป็นลูกครึ่ง แต่เด็กสาวนัยน์ตาสีน้ำขาวกับมีความเกรงอกเกรงใจเฉกเช่นเดียวกับนิสัยคนไทย
"ขออนุญาตจัดการกันเองได้ไหมคะ" แอนนี่กล่าวถามด้วยท่าทางนอบน้อม ยิ่งเพิ่มความเอ็นดูให้คุณวัลภาเข้าไปอีก
"ตามสบายจ๊ะ ถือว่าเป็นบ้านของพวกลูก ๆ ก็แล้วกันนะจ๊ะ"


"เนี่ยหรอบ้านหลังนี้ที่พี่เรียวอยู่ บ้านหลังใหญ่จัง ถ้าคงรวยน่าดู" บิวพูดออกมา
"รวยสิทำไมจะไม่รวย แม่เป็นเจ้าของร้านเพชรอยู่ที่อเมริกา ส่วนพ่อพี่เรียวเป็นโปรแกรมเม่อร์แถมยังเปิดโชว์รูมขายเบนซ์อยู่ที่โน้นอีก" พอชีสสาธยายมาเท่านั้นแหละ ต่างพร้อมใจกัน
"โอ้โฮ้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"ออกมาอย่างตะลึงกันเลยทีเดียว
"แต่โทษทีนะ เห็นพี่แกคาบช้อนทองออกมาจากท้องแม่อย่างนี้ ทำตัวยังกะยาจก ไม่รู้ว่าทุกวันนี้รู้ตัวเปล่าไม่รู้ว่าเป็นลูกคนรวย" 
"ดีแล้วนี่คนติดดินแบบนี้ ถ้าทำตัวฟุ้งเฟ้อหล่อนก็คงไม่ชอบพี่เขาหรอก"เดนนี่พูดขึ้นมาอย่างรู้ใจเพื่อน
"แน่นอน..มารีบ ๆ ทำรายงานกันเถอะ"
"ดีเหมือนกันมัวชักช้าเดี๋ยวกลับบ้านดึกกันพอดี" โรสพูด
"เดี๋ยวลงไปเอาขนมกะน้ำหวานมาให้ ปะ เดนนี่ไปช่วยกัน" แล้วชีสกับเดนนี่ก็ลงไปเอาขนมกับน้ำหวานกันข้างล่าง 

"บ้านอยู่ติดกันดีนี่หว่า" กวางพูด และนี่เป็นการบังเอิญ หรือเพราะสวรรค์ลิขิตมิอาจหยั่งรู้ได้ เมื่อนายเรียวได้พานายต้นและนายกวางที่ร่ำร้องอยากเจอหน้าว่าที่แฟนเพื่อนให้ได้มาที่บ้าน 
"อยู่ติดกันอย่างนี้สิ มันถึงได้ปีนหน้าต่างมาหาข้าน่ะ"
"เฮ้ย!"ต้นและกวางต่างส่งเสียงร้องออกมาเกือบพร้อมกัน
"ไม่ต้องเฮ้ย บอกแล้วไงว่ามันน่ะแก่นแก้วเกินใคร เรื่องปีนป่ายโลดโผนขอให้บอก แม่คุณเชี่ยวชาญนักหนา
  เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ขึ้นไปซ่อมหลังคาด้วยตัวเองเชียวนะเว้ย" ยิ่งฟังนายเรียวเล่าเช่นนี้ทำให้เพื่อนทั้งสองยิ่งอยากเจอชีสมากขึ้นทุกที


"ดูเหมือนพี่เรียวจะกลับมาแล้วนะชีส"บิวพูดเมื่อเห็นไฟในห้องนายเรียวเปิด
"ไหน เอ่อจริงด้วย" แล้วแม่สาวน้อยก็ลุกไปที่หน้าต่าง ตะโกนเรียกนายเรียวอย่างอาจหาญ
"พี่เรียว..พี่เรียวจ๋าาาาาาาาาาาาาาา"

"นี่ไงเสียงนี้แหละคนที่ข้ากำลังนินทาให้พวกเอ็งฟัง" นายเรียวบอกแล้วก็ลุกไปที่หน้าต่างตามด้วยนายต้นและนายกวาง
"พี่เรียวสองคนนั่นใครน่ะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย" แม่สาวน้อยเล่นเอานายต้นกับนายกวางแทบอึ้ง เมื่อมาเจอกับการถามซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ แถมยังมองพวกตนโดยไม่มีการหลบสายตาอีกด้วย
"เพื่อนพี่"นายเรียวบอกขณะเดียวกับที่เดนนี่ บิว โรส และแอนนี่โผล่หน้ามาพอดี
"อ้าวนี่พวกโรสก็มาด้วยหรอ"
"คะพี่เรียวคิดถึงจังคะ" พอเจอหน้าแม่กระเทยสุดสวยก็ปากหวานขึ้นมาทันที
"จะตะโกนคุยกันอย่างนี้หรอว่ะ" ต้นถามเมื่อรู้สึกเกรงใจเพื่อนบ้านขึ้นมา
"เดี๋ยวพี่กะเพื่อนไปหาที่บ้านนะ"
"ดีคะจะได้ปรึกษาเรื่องรายงานด้วย"


"พวกลูก ๆ เอารายงานมาทำข้างล่างกันสิจ๊ะ ออกไปทำกันที่ม้านั่งตรงหน้าบ้านก็ได้จ๊ะ อากาศกำลังเย็นสบายเลย" คุณวัลภาเสนอ ซึ่งพวกเด็ก ๆ เองก็ไม่ขัดข้องในความหวังดีแต่อย่างใด


"พี่ต้นนี่เก่งจังนะคะ" บิวกล่าวชม เมื่อนายต้นอธิบายเรื่องรายงานอย่างคนเชี่ยวชาญ
"ไม่หรอกน้องบิว พอดีช่วงที่พี่เคยอยู่ม.ปลายเคยทำรายงานเรื่องนี้มาเหมือนกัน"
"อ้าวหรอคะบังเอิญดีจังเลยนะคะ"ชีสพูดขึ้นมา
"แต่น้อง ๆ ครับอย่าหาว่าพี่โอ้อวดเพื่อนเลยนะครับ ไอ้ต้นเพื่อนพี่คนนี้
 เรื่องรายงานได้ที่หนึ่งตลอด" นายกวางกล่าวออกมา
"จริงหรอคะ" แอนนี่หันมาทางนายต้น
"ครับ" นายต้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
          ถ้าว่าความหวังที่จะได้แรงสนับสนุนจากเพื่อน ๆ ของชีสสำหรับนายเรียวนั้น คิดว่าไปได้สวยเลยทีเดียวเชียวคะคุณผู้อ่านที่น่ารักของดิฉันขา แบบว่าเด็ก ๆ เขาสนิทสนมกันรวดเร็วปานสายฟ้า น่ายกย่องเนอะคะ ผูกมิตรฉันท์เพื่อน ดีกว่าสร้างศรัตรูให้เพิ่มพูน แหม..อีกฝ่ายก็ตั้งใจทำรายงาน อีกฝ่ายก็ตั้งใจอธิบาย เครียดนักก็พากันพูดคุยกระเซ้าเหย้าแหย่กัน น่ารักคะ น่ารักม๊ากกกก และดูท่าว่านายเรียวมีหวังอย่างแน่นอน คนเขียนอย่างดิฉัน ขอฟันธงคะ!!!! อย่าคิดว่าพวกเพื่อน ๆ ของน้องชีสเอาแต่คุยกับนายเรียวนะคะ แอบศึกษาและสังเกตพฤติกรรมรวมไปถึงนิสัยเบื้องต้นของนายเรียวไปด้วยคะ มาแอบมีใจให้เพื่อนรักอย่างนี้ จะปล่อยคนสะเปะสะปะเข้ามาเป็นแฟนเพื่อนได้ไงล่ะคะ มันก็ต้องคัดสรรคนดี ๆ เพื่อเพื่อนกันหน่อย และนายเรียวนี่แหละคะที่ทำให้เพื่อน ๆ ของชีสต่างมั่นใจว่า คนนี้แหละใช่ของเพื่อนเลย				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเรียงร้อยเป็นเรื่องราว
Lovings  เรียงร้อยเป็นเรื่องราว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเรียงร้อยเป็นเรื่องราว
Lovings  เรียงร้อยเป็นเรื่องราว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเรียงร้อยเป็นเรื่องราว
Lovings  เรียงร้อยเป็นเรื่องราว เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเรียงร้อยเป็นเรื่องราว