เรื่องดีๆ เรื่อง ....อาคารขายเวลา...

idaho

-----Subject: อาคาร..ขายเวลา 
             
ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องราวอย่างนี้มันเรื่อมต้นขึ้นที่ไหน 
             ฉันเพียงแต่รู้สึกเหมือนว่ามีคนเอารั้วยาวๆสองแถว 
             มากั้นในทุ่งกว้างให้เป็นทางเดินแคบๆ 
             
แล้วก็ต้อนพวกเราให้เข้าไปเบียดเสียดกันเดินตามทางเดินแคบๆนั้น 
             และเมื่อถึงปลายทาง เขาก็เปิดประตูรับเราไม่หมดทุกคน 
             คนที่ได้มีโอกาสเข้าไปก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนคนที่ไม่ได้ผ่านเข้าไป 
             แน่ล่ะ...มันก็คงแย่มากทีเดียว จริงอยู่ แม้จะมีทางเลือกอื่นสำหรับบางคน 
             
ที่จะตัดสินใจมุดหรือปีนรั้วออกไปข้างนอกเพื่อหาทางเดินที่ดีกว่า 
             ฉันเองก็อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง แต่ฉันยังไม่เก่งและกล้าพอ 
             ฉันเอาคางเกยขอบโต๊ะ ไล่ปลายนิ้วไปตามสันหนังสือที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวรอให้อ่าน 
             ต้องลองสู้ดูสิ...สักครั้ง แต่อีกใจหนึ่งก็คอยบอกว่าเดี๋ยว...ยังขี้เกียจอยู่      ขอนอนก่อน ขอดูที.วี.ก่อน ขอไปเที่ยวก่อน ฯลฯ 
             
               เวลาเป็นปีที่เขาเตรียมไว้ให้เราเตรียมตัวจึงผ่านไปอย่างไม่เป็นชิ้นเป ็นอัน เพราะความเฉื่อยชาของฉันเอง 
             อากาศกำลังดี ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนอนที่คลุมด้วยผ้าห่มผ้าขนหนูลายนกนางนวลสีเขียว      เห็นหนังสือกองโตที่ยังค้างคารอให้ฉันไปอ่าน 
             พัดลมขายาวส่งเสียงครางเบาๆแล้วฉันก็หลับไป        มาพบตัวเองอีกทีที่หน้าอาคารหลังใหญ่ 
             ดูเหมือนจะสร้างด้วยหินอ่อนลักษณะคล้ายธนาคาร 
             มีบันไดหินสีขาวเป็นมันวับเรียงรายเป็นชั้นๆ 
             สุดบันไดขั้นสุดท้ายมีประตูกระจกติดฟิล์มกรองแสงเข้ม 
             มีป้ายแผ่นหนึ่งแขวนไว้ตรงประตูเขียนข้อความว่า 
                                        "มีเวลาขาย" 
             ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรือเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้ขาทั้งสองข้างก้าวขึ้นไปบนอาคารหินอ่อนแห่งนั้น 
             เมื่อเอื้อมมือผลักประตูกระจกเข้าไป ไอเย็นของเครื่องปรับอากาศก็ปะทะร่างกาย 
             สถานที่นั้นดูโอ่โถงและสวยงามดูราวกับห้องรับรองชั้นดี มีโต๊ะไม้สีเข้มตัวยาวซึ่งกองแฟ้มเอกสารเรียงรายอยู่บนนั้น 
             ชายหนุ่มคนที่นั่งประจำโต๊ะเอ่ยทักทายฉัน ท่าทางเขาอบอุ่นและเป็นมิตร 
             "สวัสดีครับ" 
         "ค่ะ" ฉันตอบรับคำเขาเบาๆ 
              "ผมคิดว่า คุณคงจะไม่ได้มาซื้อเวลา    ท่าทางคุณยังเป็นเด็กอยู่เลยอายุคงยังไม่เกิน 20" 
             "ฉันไม่ได้มาซื้อเวลาหรอกค่ะ" 
             
ฉันตอบไปทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่าสินค้าหรือบริการอะไรกันแน่ที่เขากำลัง ขายอยู่ 
             "เพียงแต่ว่าฉันอยากมาดู...ผู้คน แล้วก็การซื้อขายของคุณเท่านั้น" 
             "ตามสบายเลยครับ" เขายิ้มอย่างมีไมตรี "เชิญนั่ง" 
             เขาผายมือไปทางโซฟาชุดที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง 
             ฉันจึงถอยไปทรุดตัวลงนั่ง   
ลูกค้าคนแรกที่ฉันพบในอาคารขายเวลาคือชายร่างเล็กผอมเกร็ง 
ผมขาวโพลน 
             ใบหน้าซีดเหลือง เขาพยุงตัวให้ก้าวผ่านบันไดทีละขั้นๆ 
อย่างลำบากยากเย็น 
             จนกระทั่งผลักประตูมาหยุดยืนตรงหน้าชายขายเวลา 
             "ผมมาขอซื้อเวลาที่ผ่านไป...ห้าปี" 
             น้ำเสียงเขาแหบแห้งและสั่นพร่าอย่างคนที่กำลังป่วยหนัก 
             "หมอบอกว่าผมมาหาหมอช้าไปห้าปี        ไม่อย่างนั้นแล้วโรคก็คงมีวิธีรักษาให้หายได้" 
             คนต่อมาเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี แต่งตัวสะอาดสะอ้าน 
             เพียงแต่ว่าดูหม่นหมองและหมดหวัง... 
             "ขอซื้อเวลา สามเดือน" เขาพูดกับชายขายเวลา "คุณรรู้ไหม ผู้หญิงที่ผมรัก เธอไปเมืองนอกเมื่อสามเดือนก่อน เราคบกันมาเป็นปี แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกรักเธอ  ทั้งๆที่รักเธอมาก เธอไปโดยไม่รู้อะไรเลย" 
             ชายขายเวลามีทีท่าว่าเห็นใจ 
             ฉันคิดว่าเขาเป็นนักขายเวลาที่มีความอดทนมากทีเดียว 
             ที่จะต้องพบลูกค้าที่ล้วนแล้วแต่มีปัญหาต่างๆกันไป 
             
พร้อมๆกับนึกเสียดายแทนผู้ชายคนนี้ที่เขาผ่านเวลาร่วมปีไปโดยเปล่าประโยชน์ แล้วเพิ่งจะมาเห็นคุณค่าของเวลาเหล่านั้น...เมื่อมันได้ผ่านไปแล้ว     ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มคนนั้นจะก้าวพ้นประตูออกไป      หญิงสาวคนหนึ่งก็เดินสวนเข้ามา  หล่อนสวมชุดไว้ทุกข์สีดำ ใบหน้ายังเปื้อนคราบน้ำตา ดวงตายังมีรอยบอบช้ำ 
             "อยากได้เวลาค่ะ สักสองปี ปีเดียวหรือเพียงครึ่งปีก็ได้" 
             หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าโศก 
             "ผมคิดว่า คุณคงมีปัญหาเกี่ยวกับเวลาในอดีตเหมือนคนอื่นๆ"          ชายขายเวลากล่าวขึ้น 
             ค่ะ" หล่อนรับคำเสียงแผ่ว 
             "คุณแม่ของดิฉันเพิ่งเสียเมื่อสองวันก่อน 
             ท่านดีกับดิฉันมาก เลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจ 
             
แต่ดิฉันยังไม่ทันทำอะไรให้แม่ชื่นใจเลยมีแต่ตั้งแง่ตั้งงอน             ท่านก็มาด่วนจากไป" 
             "คุณเลยอยากซื้อเวลาที่ผ่านไปเพื่อทำดีกับคุณแม่ของคุณ" 
             ฉันนึกเวทนาหล่อน 
เวทนาที่หล่อนมาคิดอะไรอะไรได้ก็เมื่อสายไป 
             ถ้าหากหล่อนได้ทำอะไรไปตั้งนานแล้ว 
ก็คงไม่ต้องมานึกเสียดายตอนนี้ 
             วูบหนึ่งจึงนึกย้อนกลับมาที่ตัวเอง 
             คนต่อมาเป็นเด็กหนุ่ม ใบหน้าของเขายังอ่อนเยาว์ 
             แต่พกริ้วรอยความกังวลไว้เต็มเปี่ยม 
             "ต้องการเวลาเท่าไหร่ดีครับ" ชายขายเวลาถามขึ้นก่อน 
             "สองปี" เขายิ้มอย่างอ่อนเพลีย 
            "ผมอยากกลับไปเลือกแผนการเรียนใหม่ 
             ผมพลาดไปตอนนั้น บางทีผมอาจเริ่มต้นใหม่ด้วยดี 
             จะได้เรียนวิชาที่ชอบแทนวิชาที่น่าเบื่อตอนนี้" 
             แล้วเขาก็จากไป เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว 
             
ฉันเห็นชายขายเวลาหลับตาลงในขณะที่กำลังเว้นว่างจากลูกค้า แต่เมื่อฉันขยับตัว....         เขาก็ลืมตาขึ้นแล้วหันมายิ้มให้ฉัน ดวงตาเขาอบอุ่น... 
เป็นเวลานานเท่าไรก็ไม่ทราบที่ฉันนั่งมองผู้คนเดินผ่านไปมา 
             ล้วนแล้วแต่มีท่าทีวิตกกังวล ผิดหวัง เสียดาย เสียใจ 
แล้วก็มาซื้อเวลาไป 
             เพราะว่าพวกเขาได้พลาดสิ่งที่น่าจะทำในอดีต 
             แล้วชายขายเวลาก็ปิดแฟ้มพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาทางฉัน 
             สักครู่จึงเดินมาทรุดตัวนั่งเก้าอี้โซฟาข้างๆ 
             "จะปิดร้านแล้วหรือคะ" ฉันถาม 
             "ครับ...ได้เวลาแล้ว" 
             "ขอบคุณมากนะคะสำหรับวันนี้ ฉันเห็นจะกลับเสียที" ฉันว่า 
             แม้จะไม่แน่ใจว่าฉันจะกลับไปไหน...อย่างไร... 
             "เชิญครับ ขอให้คุณโชคดี 
จงใช้เวลาของทุกวินาทีที่ผ่านไปอย่างคุ้มค่า 
             ผมหวังว่า...คงจะไม่ได้เห็นคุณมาที่นี่เพื่อซื้อเวลา" เขากล่าวในที่สุด... 
             "ขอบคุณมากค่ะ ฉันจะไม่ลืมคุณ...และที่นี่" 
ฉันลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นไฟก็ดับวูบ 
             ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่ 
             เอื้อมมือไปรูดผ้าม่านหน้าต่างสีครีม 
             พบว่าท้องฟ้ายังไม่สว่างดี และไก่ก็ยังไม่ขัน 
             ฉันลุกขึ้นมาเก็บที่นอนและกระโดดเข้าห้องน้ำอย่างสดชื่น 
             
แล้วถึงกลับเข้านั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเดิมซึ่งฉันไม่เคยจริงจังด้วยมานานแล้ว คิดอยากจะฮัมเพลงไปด้วยซ้ำ 
ถ้าไม่ติดอยู่ว่าจะทำลายสมาธิในการอ่านหนังสือ 
             วูบหนึ่ง...ฉันรู้สึกดีใจที่ฉันยังมีเวลาเหลืออยู่ 
             ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มลงมือทำอะไรๆอย่างมีความหวัง 
             
ไม่เหมือนกับผู้คนเหล่านั้น...ที่ฉันพบที่...อาคารขายเวลา... 
				
comments powered by Disqus
  • พรายดาว

    30 พฤศจิกายน 2546 11:27 น. - comment id 70343

    ให้ข้อคิดดีๆเชียวค่ะ  พรายดาวชอบมากๆ
  • หมูด่าง

    6 ธันวาคม 2546 12:31 น. - comment id 70385

    น่ารักมากเลยครับ
  idaho

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน