ริมทางเท้า

แมงกุ๊ดจี่

...ลมเย็นพัดพลิ้วไหว    ยอดไม้รอบบริเวณรอบ ๆ   
เอนไหวตามแรงลม  ผิวน้ำในสระกว้างไหวเป็นระลอก...
ฉันนั่งคิดอะไรเรื่อย  ๆ   เฉื่อย  ๆ   ปล่อยความคิดล่องลอยไป
ให้พลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดบางเบา.....
...ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงแล้วสำหรับวันพักผ่อน
สวนสาธารณะแห่งนี้   เป็นที่   ที่ฉันชอบมานั่งแล้วปล่อยให้ตัวเอง
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย... ก็ลมที่พัดอ่อน ๆ  เป็นลมที่เย็น...มันทำให้สบายใจดี...
... พอแล้วสำหรับวันนี้   กับการปล่อยอารมณ์ตามจินตนาการ...
ฉันยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ   ได้เวลากลับบ้านแล้วสินะ  
หมดไปอีกหนึ่งวัน   เวลาผ่านไปเร็วจัง...ฉันเดินเลาะริมสระน้ำมาเรื่อย
เพื่อเดินไปหาประตูทางออกของสวนสาธารณะ...
ระหว่างที่กำลังเดินได้มองอะไรรอบ  ๆ   เป็นภาพที่สวยในความรู้สึก...
...ตอนเย็น  ๆ   ผู้คนกำลังทยอยมากัน   มากันเป็นครอบครัว   
คู่รักหนุ่มสาว...และเด็กหนุ่มสาววัยรุ่น   มาออกกำลังกายบ้าง
มาปิกนิคกันบ้าง   มาเดินเล่นบ้าง   แต่ส่วนใหญ่เห็นมาออกกำลังกาย...
ที่นี่  มีอะไรหลายอย่างที่น่ามอง  ผู้คนก็น่ามอง... เด็กเล็ก  ๆ  วิ่งเล่นสนุกสนาน
มองดูแล้วก็ทำให้มีความสุข  สบายใจไปอีกแบบ...(ไม่ใช่นางงามแต่ก็รักเด็ก)
...เดินเพลินแป๊บเดียวก็ถึงประตูทางออกแล้วเหรอ?   
ช่วงเวลาความสุขผ่านไปเร็วจัง   แต่ก็คงต้องกลับไปสู่ความชาชินที่เคย...
*อ้าว...มะกรูดมาทำอะไร*  ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่คุ้นเคยทักขึ้น  ฉันยกมือไหว้สวัสดี...
*มะกรูดมาเดินเล่นค่ะ*   ฉันตอบกลับไป   พร้อมกับยิ้ม ๆ  เขิล ๆ 
*เหรอ?   แล้วมากับใครล่ะ*   ท่านถามพร้อมกับมองหาคำตอบ  แต่ฉันไม่มี...อิอิ
*มะกรูดมาคนเดียวค่ะ *  ฉันตอบกับไป   ยิ้มอย่างเคย
*อ้าวนึกว่าจะมีใครมาด้วย*  ท่านยิ้ม   พร้อมกับแววตาค้นหาคำตอบ
*^________^ *   ฉันยิ้ม
*แล้วจะกลับยังไง ?  กลับด้วยกันมั้ย?*  ท่านใจดีอย่างนี้เสมอ...
*ขอบคุณค่ะ   ไม่เป็นไรค่ะ   เดี๋ยวมะกรูดจะแวะที่อื่นด้วยค่ะ*   ฉันยิ้ม
*เหรอ...เอ้องั่นไปแล้วนะ*   ท่านจะกลับแล้ว   ฉันยกมือไหว้ลาท่าน...
....ฉันเดินเลาะริมรั้วของสวนสาธารณะมาเรื่อย  ๆ   เพื่อมารอรถเมล์...
ซึ่งไกลจากสวนประมาณ   50   เมตรได้     เดินมาเรื่อย   ๆ   ถึงป้ายแล้วแป๊บเดียวเอง...
นั่งรอรถอยู่เป็นนานทำไม?  ยังไม่มาอีกน๊า  20   นาทีแล้วนะ  หงุดหงิดใจไม่น้อย
จึงตัดสินใจ    เดินก็แล้วกันนะ   เดินมากสักพักก็ทำให้คิดถึงคำพูดของพี่ชายคนโต...
*ทำไม?  แกไม่ซื้อรถขับ  เงินเดือนก็มี*   นึกไปก็ยิ้มไปเอ้ย...ยุคน้ำแพงแบบนี้
ยิ่งไม่ต้องการใหญ่เลย   ไว้ใช้ของพี่ชายไปก่อนแระกัน  อิอิ...เดินตามริมทางมาเรื่อย ๆ
ฉันนับการก้าวแต่ละก้าว  มาถึง 1,231   ก้าว   ฉันไปหยุดอยู่ตรงสี่แยกพอดีข้ามสี่แยกไป
ก็จะเป็นร้านหนังสือ  แต่สิ่งที่เป็นจุดสนใจตอนนั้นไม่ใช่ร้านหนังสือ...ฉันมองอยู่ครู่หนึ่ง
จึงล้วงเหรียญ  10   บาท   สามเหรียญที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์แล้วเดินตรงไป
เพื่อไปหาสิ่งที่เป็นจุดสนใจที่ทำให้หยุดก้าวก่อนนี้...  
...ฉันเดินตรงไปหาหญิงชรา   มีผ้าพันหัวไว้เพื่อกันแดด  ใส่เสื้อแขนยาว  
ออกสีน้ำตาลออกจะแดง ๆ   ดูเก่าและขาดวิ่น  และใส่ผ้าซิ่นที่เป็นคราบแข็ง   
เหมือนไม่เคยผ่านการซักมาเลยระหว่างที่เดินไปหาฉันก็มองทุกส่วน
ฉันกวาดสายตาดูทุกอย่างในความเป็นยาย...ที่นั่งอยู่กับขันพลาสติก   1  ใบ  
ยายดูอายุมากแล้ว...ผมเป็นสีขาวโพนแล้ว...ฟันก็เหมือนจะไม่มีเหลือแล้วสักซี่   
แกไม่ได้ยิ้มให้เลยไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า อิอิ   แต่เท่าที่ดูคือ  คงไม่มีสักซี่    
ยายแกคงไม่ยิ้มหรอกเพราะแววตาของแกดูเศร้าและหม่นหมอง...
ขี้ตาเคอะขอบตา   สงสัยแกไม่ค่อยสบายหรือเปล่า...ฉันก็ไม่แน่ใจ...
พอเข้าไปใกล้   ฉันหย่อนเหรียญ  10  บาท  3  เหรียญที่ล้วงในกระเป๋ากางเกง
ลงในขัน...แล้วยายแกก็ให้พรมา...*ขอให้จำเริญ  ๆ *  ประมาณนี่แร่ะ
เพราะไม่คอ่ยได้ยินแกพูดอู้อี้ฟังไม่ค่อยชัด...แล้วก็เดินจากแกมา...
...เดินมาจากยายคนนั้น  ก้าวอีก  10  ก้าว   ก็ถึงประตูทางเข้าร้านหนังสือพอดี
แวะหน่อยก็ดี...ภายในร้านวางหนังสือตามหมวดหมู่   เป็นระเบียบน่ามองน่าจับ
ฉันกวาดสายตามองไปทั่ว  ตามหมวดหมู่   มาหยุดที่หมวดเรื่องสั้นวรรณกรรม 
ตาก็กวาดมองหาหนังสือสักเล่มเอาไว้อ่านยามว่าง   เห็นชื่อเรื่อง   เห็นชื่อผู้แต่ง
สนใจหลายเล่มเหมือนกันราคาก็โอเค   ใช้เวลาอยู่ในร้านหนังประมาณ   30  นาที
ได้หนังสือถูกใจมา  2   เล่ม  ใช้เวลานานไม่ได้    มืดมากแล้วจะกลับไม่ได้   
เดี๋ยวจะเป็นภาระคนอื่น...ต้องรีบ
...เดินมาอีกประมาณ  10   นาที   ลืมนับว่ากี่ก้าว   เพราะสาวเท้าเร็วจนลืมนับ
กลัวจะไม่ทันรถสองแถว    ถ้ารถหมดเดี๋ยวจะเป็นภาระต้องให้คนอื่นมารับ....
ริมทางเท้ายังมีอะไรให้เราได้เรียนรู้อีกหลายอย่าง...
...แต่วันนี้กลับมานั่งคิด   เราซื้อหนังสือไปตั้ง  สามร้อยกว่าบาท...
บาทกว่าที่ว่านั้น...มันมากกว่าเงินที่ใส่ลงไปในขันของยายคนนั้นอีก...
กลับมาถามตัวเองว่าทำไม?   เราเป็นคนเห็นแก่ตัวมากขนาดนี้นะ...
ถ้าให้เงินจำนวนที่ซื้อหนังสือ...ให้ยายคนนั้นไป   อาจจะได้ประโยชน์มากกว่านี้ก็ได้...
				
comments powered by Disqus
  • เฌอมาลย์

    29 กันยายน 2549 19:04 น. - comment id 92868

    แบบนี้เขาเรียกว่าเห็นแก่ตัวเหรอคะ?
    
    เฌอว่าพี่มะกรูดอย่าคิดมาก เดี๋ยวเหนื่อยหน่ายอีก เฌอเป็นห่วงค่ะ64.gif
    
    ทำบุญ ทำทาน แล้วแต่ใจ ศรัทธาและกำลัง(ทรัพย์)ของเรา ต่างหาก ถ้าเราทำให้คุณยายไปสามร้อย แล้วกลับมาบ้านเราไม่มีอะไรจะกินล่ะคะ (เฌอไม่ได้ว่าพี่มะกรูดไม่มีสตางค์นะ) คือแค่เปรียบเปรยนะคะ ทำบุญได้แต่ถ้าทำแล้วเราเดือดร้อนก็ไม่ได้บุญจริงไหมคะ?
    
    คุณยายท่านอาจลำบาก ยากจน ไม่สบาย แต่ถ้ามีคนใจดีแบบพี่มะกรูดสัก10 คน ให้คุณยายคนละ30 บาท วันนึงยายก็ได้300บาท ความจริงคุณยายคงไม่ต้องการเงินถึงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่พออยู่พอกินยายคงมีความสุขแล้วนะคะ 
    
    เฌอเคยคิดแบบพี่มะกรูดเหมือนกันนะคะ มียายแก่ๆคนนึง เฌอเห็นตั้งแต่เฌอยังเด็กๆ ยายขายขนมน่ะค่ะ จนเดี๋ยวนี้แกแก่แล้วและได้ข่าวว่าลูกของยายไม่เลี้ยงดูยาย ทั้งที่ลูกหลานมีเงินนะคะ ตอนนี้ยายเขาเก็บเศษขยะค่ะ หลังแกงอมาก เกือบถึงหัวเข่าบางครั้งแกไสรถเข็นไม่ไหว แกนอนพักกับพื้นริมฟุตบาท วันไหนเฌอมีตังค์ติดตัวเยอะหน่อย แล้วรู้สึก(ต้องรู้สึกด้วย)อยากทำบุญ เฌอก็ให้ตังค์ยาย 20บาทบ้าง100บาทบ้าง มีกับข้าวบางทีก็แบ่งยายค่ะ ยายก็จะให้พร ยกมือไหว้ เฌอต้องรีบไหว้ยายคืนเลยค่ะ กลัวอายุเฌอจะสั้น อิอิ
    บางทีที่เฌอท้อแท้ ก็นึกถึงยายคนนี้ เขาไม่ยอมแพ้ ลูกหลานทิ้ง แต่ยายก็ยังสู้  เราดีกว่ายายมากมาย ทำไมต้องมานั่งท้อแท้กับเรื่องแค่นี้ อิอิ
    
    เฌอ ร่ายซะยาวเลย อ่านหมดไหมเนี่ยพี่มะกรูด69.gif61.gif46.gif
  • พุด

    29 กันยายน 2549 22:21 น. - comment id 92870

    16.gif36.gif
    คนดี ที่พี่พุดรักนักรักหนา ในน้ำใจ
    ในความใสซื่อ พิสุทธิ์
    คนดี การให้ มิได้อยู่ที่จำนวนค่ะ
    เพราะแค่น้องคิดดี ทำดี ก็เกิดอานิสงค์
    แห่งบุญแล้วค่ะ
    
    ยังมีโอกาสอีกมากมายนะคะ
    ที่เราจะทำดีได้อีกค่ะ 
    
    พี่พุดไปเนปาลมา
    หมดตังค์หลายค่ะกับความเมตตา
    วันนึงพี่พุดไปดูวัดนอกเมือง
    แล้วมีหญิงแม่ลูกอ่อนมาขอตังค์พี่พุด
    เค้าไม่รับเป็นเงินนะคะ
    หากให้พี่พุด ซื้อนมที่ร้านข้างๆให้แทน
    พีพุด ซึ้งใจค่ะ
    ที่เขาคงรักลูกเหมือนแม่ทั่วไปนะคะ
    และ
    หากจะเขียนรจนาเรื่องเฉพาะที่ทำทาน
    คงคงมากมายค่ะคนดี และพี่พุดก็คงไม่หยุดทำ
    มีบางคนสอนพีพุดว่า
    ให้เราเพียรทำกับผู้มีศีลนะคะ
    เพราะท่านจะเผยแผ่ความดีความงาม
    ให้โลกนี้ได้สว่างสะอาดสงบขึ้นค่ะ
    
    รักน้องมากมายนะคะ
    
    36.gif
  • เพียงพลิ้ว

    30 กันยายน 2549 10:03 น. - comment id 92871

    น้องสาวจ๋า
    
    อย่าคิดมากเลยน่า คุณยายคงใช้เงินสามสิบบาทที่น้องให้แล้วล่ะป่านนี้ ส่วนน้องสาวก็ใช้ประโยชน์จากหนังสือให้คุ้มค่าก็แล้วกันน้า 
    
    ตั้งแต่เจ้าตัวร้ายบอกหวยถูกนี่ ติดใจมาใบ้หวยใหญ่เลยน้า ตัวเลขเพียบเลย อิอิ
    แล้วพี่กานต์จะซื้ออะไรดีเนี่ย
    
    50-20-1231-10-30
    
    โอยเยอะแยะไปหมดเลย อิอิ
    ซื้อไม่ถูกแหละ สรุปว่า 0 เยอะ ซื้อ 00 ยี่สิบล่ะกาน อิอิ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • whitelily

    30 กันยายน 2549 10:44 น. - comment id 92872

    คุณมะกรูดค่ะ  เราไม่ได้เห็นแก่ตัวหรอกนะค่ะ  (หากเห็นแก่ตัวก็คงเป็นลูกหลานของคุณยายมากกว่า)  ปัจจุบันบนทางเท้าก็มีให้เราเห็นแทบทุกที่ค่ะ  รีจะเป็นแบบคุณเฌอบอกไว้มากกว่าค่ะ  หากใจเราคิดที่จะให้เราก็ให้เขาไป  แต่เราก็ต้องไม่เดือนร้อนเพราะการให้ในครั้งนี้นะค่ะ  
    
    การทำทานก็คล้าย ๆ  กับการทำบุญตักบาตรนะค่ะ  ทำให้ใจเราอิ่มเอิบและมีความสุข  
    
    เราคิดและเราก็ได้ทำไปแล้วอย่ากลับมาคิดซิค่ะ  สิ่งที่เราทำเป็นสิ่งที่ดีนะอย่านำมาเปรียบเทียบเลยค่ะ
    
    36.gif    คิดถึงจ้า   36.gif
  • กฎย.

    3 ตุลาคม 2549 12:03 น. - comment id 92896

    มะกรูดใจดีอ่ะ  เสียดายที่คุณมะกรูดไม่ได้เดินผ่านผมวันนั้นเนอะ
    
    เสียดายจัง
    46.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน