คนจรจัด

พีรเดช นวลสาย

ชายคนนั้น    เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักว่าเขาเป็นใครมาจากไหนหรือแม้แต่ชื่ออะไร ความจริงคือไม่มีใครสนใจอยากรู้ ไม่มีใครนึกอยากจะเรียกชื่อเขาเลยด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่คนละแวกนี้รู้เกี่ยวกับตัวเขาคือเขาอาศัยกินอยู่หลับนอนอยู่บนถนนสายนี้ ถนนที่แออัดยัดทะนานด้วยรถยนต์ หาบเร่แผงลอย  หมาจรจัด  หนูและสารพัดขยะ  เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะอาศัยอยู่บนถนนสายนี้มานานกว่าใครบางคนที่ปรายตามองราวกับเห็นเขาเป็นตัวประหลาด  หรือกระทั่งบางคนที่มักคิดในใจบ่อยๆ ว่าเขาเป็นส่วนเกินของถนนสายนี้ซะอีก ทุกเช้าหรืออาจสายโด่งในบางวันเขาจะงัวเงียตื่นขึ้นมาจากซอกเล็กๆ  ซอกใดซอกหนึ่งของถนนแล้วแต่ว่าคืนนั้นจะสมัครใจซุกหัวนอนตรงซอกมุมไหนและก็ไม่สำคัญหรอกว่ามันจะเป็นหน้าบ้านร้านรวงของใคร  เพราะทุกตารางนิ้วบนถนนสายนี้มันคือบ้านของเขา   บ้านที่อาจจะมีหลังคาคลุมหัวในบางวันโดยเฉพาะวันที่ฝนตกอ้อยอิ่งไม่ยอมหยุดราวกลัวว่าท้องฟ้าจะแห้งเฉา  หรืออาจจะเปลือยโล่งโจ้งในคืนที่นึกอยากนอนนับดาวเล่น  ถังขยะใบเขื่องเรียงรายตามริมทางนั่นก็เป็นห้องครัวที่เขาได้อาศัยฝากท้องเป็นประจำ  บางทียังมีขนมไหว้ในจานสังกะสีเก่าๆ ของอาแปะตาฟางที่แกชอบเดินย่องแย่งถือออกมาวางไว้หน้าร้านโชวห่วยของแก  กองเปลือกส้มบิดเบี้ยวของแม่ค้าน้ำส้มคั้น เศษขนมปังที่คนเดินเท้าโยนเกลื่อนเต็มพื้นฟุตบาธให้เป็นอาหารนกพิราบฝูงใหญ่ ซึ่งเขามักจะถูกไล่ตะเพิดเป็นประจำ   เพราะคนพวกนั้นอยากให้นกกินมากกว่าให้คนจรจัดสกปรกอย่างเขา  
    วันที่ท้องฟ้าแจ่มใสเขาจะเดินทอดน่องสำรวจไปทั่วทุกซอกมุมของบ้าน หว่านยิ้มให้ผู้คนขวักไขว่เสมือนเจ้าบ้านกำลังออกหน้าต้อนรับแขกเหรื่อผู้มาเยี่ยมยาม  ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังรอยยิ้มนั้นคืออะไร  ทุกคนเพียงแต่เบือนหน้าหนีและเดินเลี่ยงออกห่าง  เขาอาจตะขิดใจบ้างหรือไม่ก็ไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะรอยยิ้มยังเปื้อนหน้าแจกจ่ายให้กับทุกคน แม้แต่กับป้าผมสีดอกเลาผู้เคยสาดน้ำทิ้งเปียกขากางเกงเขาตรงหน้าร้านขายกาแฟของแกนั่นก็ด้วยความไม่ตั้งใจหรอก แกรีบขอโทษขอโพยแถมยังจะให้โอเลี้ยงแก่เขาเป็นการไถ่โทษ พอดีว่าวันนั้นเขากินเปลือกส้มมาจนอิ่มแปล้แล้วเลยยืนหัวเราะเอิ้กอ้าก 2-3 ที ก่อนจะเดินจากไป
    เย็นวันหนึ่งพวกเด็กซนเอายางสะติ๊กมาไล่ยิงเขาเป็นที่สนุกสนานจนต้องวิ่งหนีกระเซอกระเซิงไปหลบหลังรั้วมะขามเทศเตี้ยๆ ของบ้านไม้สีขาวหลังหนึ่ง ปกติเขาจะไม่กล้าเข้าใกล้บ้านหลังนี้มันดูลึกลับและน่ากลัวอยู่ในที เขาเคยได้ยินคนแก่ๆ แถวนี้พูดกันว่ามันเคยเป็นเรือนของ
ข้าหลวงเก่าเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว  ตอนหลังตกเป็นของลูกหลานแต่ไม่มีใครมาอยู่จนมีสภาพไม่ต่างจากบ้านร้าง  ยิ่งบริเวณบ้านรกครึ้มด้วยไม้ยืนต้นสูงทะมึนก็ยิ่งช่วยเสริมบรรยากาศกันเข้าไปใหญ่  มองจากข้างนอกรั้วมันดูเหมือนป่ามากกว่าจะเป็นบ้านอยู่อาศัย  ชื่อถนนสายนี้ก็ได้ยินว่าตั้งตามชื่อข้าหลวงผู้นี้เพื่อเป็นเกียรติที่ท่านเคยก่อคุณงามความดีและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนย่านนี้ไว้มาก  ท่านข้าหลวงคงจะเบาใจไม่น้อยถ้ารู้ว่าตอนนี้ถนนสายนี้มีเขาเป็นผู้เฝ้าดูแลอยู่เป็นอย่างดีเสมือนเป็นบ้านของเขาเอง
   ที่ที่เขาชอบที่สุดบนถนนสายนี้ไม่ใช่ลานดินโล่งที่เคยเผลอไผลไปนั่งฮัมเพลงในวันอับแสงแดด  แต่เป็นห้องแถวเล็กๆ ตรงเกือบสุดหัวมุมถนนนั่น   มันถูกทาด้วยสีเขียวตองอ่อนทั้งข้างในและข้างนอก  ตกแต่งอย่างหยาบๆ ด้วยรูปเปลือยประดามีของหญิงสาวมากหน้า  เขาไม่ได้ใส่ใจกับรูปถ่ายนุ่งน้อยห่มน้อยพวกนั้น หรือแม้แต่ลีลากวัดแกว่งตะไกรอันคล่องแคล่วลื่นไหลบนหัวลูกค้าของชายหน้าติดหนวดท่าทางอารมณ์ดีผู้เป็นเจ้าของร้านตัดผมแห่งนี้ แต่เขาชอบเสียงเพลงลูกทุ่งและลูกกรุงที่ดังมาจากเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์ตรงมุมห้องนั่นต่างหาก  มันช่างเป็นสำเนียงเพลงอันไพเราะจับใจ ยิ่งถ้าวันไหนอากาศดีมีลมโบกพัดเจ้าโมบายเปลือกหอยที่แขวนไว้ตรงประตูกับหน้าต่างจะส่งเสียงฮัมเพลงกรุ๋งกริ๋งๆ รับกันเป็นจังหวะ   ราวกับเป็นเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว ทุกบ่ายของวันที่ว่างจากการเดินสอดส่องดูแลบ้านเขามักจะมานั่งติดกับประตูหน้าร้านหลับตาพริ้มฟังเพลงอย่างมีความสุข ช่วงแรกๆ ก็เคยโดนเจ้าของร้านไล่ให้ถอยไปนั่งไกลๆ  แต่นานวันเข้าเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ลุ่มล่ามหรือเป็นพิษเป็นภัยกับใคร  เขาก็แทบจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร้านตัดผมไปโดยความคุ้นชิน ลองวันไหนหายหน้าไปก็มักจะมีคนถามถึงแต่จะด้วยความเป็นห่วงหรือแค่รู้สึกไม่คุ้นตาก็สุดจะเดาได้ในเมื่อ เขา เป็นแค่คนจรจัดในสายตาคนอื่นเท่านั้น
    เขามีชีวิตอย่างนี้ อย่างเงียบเชียบบนถนนที่เขาภาคภูมิใจในความเป็นเจ้าของ ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นความสำคัญของการมีตัวตนอยู่ของเขานัก อาจเป็นเพราะไม่เคยมีใครรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือมาอยู่ได้อย่างไร แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้แต่เพียงว่าเมื่อตื่นลืมตาขึ้นมาในทุกๆ เช้าก็เห็นถนนสายนี้ เห็นผู้คน รถรา เห็นความเคลื่อนไหวของชีวิตที่ตื่นจากหลับไหลหลังการจากไปอันเงียบเชียบของค่ำคืน ซึ่งเป็นภาพชินตามาเนิ่นนาน และมันก็นานเกินกว่าจะจดจำจุดเริ่มต้นได้  และเขาก็เห็นพ้องกับคนอื่นๆ ว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องใส่ใจ
    อาคารแบบสมัยใหม่ขนาดมหึมาหลังนั้น  ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางแสงไฟสว่างไสวนับร้อยดวงที่ทำหน้าที่ขับไล่ความมืดมิดของค่ำคืนให้จำนนถอยร่นไป การปรากฏตัวของมันออกจะอึกทึกเอิกเริกผิดวิสัยผู้มาใหม่อยู่ไม่น้อยแต่ชั่วไม่กี่อึดใจมันก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่อย่างง่ายดายบนความยินยอมของผู้คนซึ่งถูกจูงใจชวนเชื่อด้วยความสะดวกสบายสารพัดตามแบบวิถีชีวิตสมัยใหม่อันจะพึงมีให้เบ็ดเสร็จในนั้น
    "ได้ยินมาว่าเขาจะสร้างศูนย์สรรพสินค้าอะไรนี่แหละ ไอ้แบบที่มีข้าวของทุกอย่างตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบให้เลือกซื้อได้ในนั้นน่ะ" 
     ประโยคหนึ่งที่เขาเคยได้ยินตอนเดินผ่านหน้าร้านกาแฟแว่วดังขึ้นมาในความคิดอีกครั้ง  หลังจากยืนนิ่งจมอยู่ในความเงียบงันพักใหญ่    ตอนนั้นเขาไม่ค่อยจะเข้าใจนักว่ามันหมายถึงอะไร มโนภาพเกี่ยวกับศูนย์สรรพสินค้าที่ว่าไม่เคยมีอยู่ในความนึกคิดของเขาเลย จนกระทั่งบ่าย
ของวันที่พุ่มรั้วกระถินหน้าบ้านท่านข้าหลวงเก่าล้มระเนระนาด  ประดาไม้ยืนต้นถูกโค่นหัก  บ้านไม้เก่าแก่กลายสภาพเป็นเศษไม้นอนแน่นิ่งซบพื้นดิน   เขาถึงกับเผลอร้องเสียงหลงท่ามกลางเสียงแผดคำรามของเครื่องจักรกลและกังวานหัวเราะชอบใจของกลุ่มเด็กซนที่ยืนมุงดูเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน   คนงานท่าทางดุดันเหล่านั้นหันมามองแค่แว่บเดียวก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าต่อไปอย่างไม่นึกแยแส  แต่สายตากระด้างนั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาผงะถอยออกจากความคิดจะเข้าไปห้ามปราม เวลานั้นเองที่เขารู้สึกว่ามีภาพของสิ่งแปลกปลอมบางอย่างคุกคามเข้ามาในห้วงความรู้สึกอย่างหนักหน่วง
    สิ่งที่เขาได้ยินต่อมาจากนั้นคือคำบอกเล่าว่าลูกหลานของท่านข้าหลวงเป็นคนสมัครใจขายที่ดินเก่าแก่แปลงนี้เอง ด้วยเหตุผลว่าทิ้งไว้ก็มีแต่จะกลายเป็นที่รกร้างเปล่าประโยชน์สู้ขายเอาเงินไปลงทุนทำกำไรให้งอกเงยเสียดีกว่า  เขาในฐานะเจ้าของบ้าน และฐานะผู้ดูแลถนนสายนี้อยากแย้งเหลือเกินว่านั่นคือบ้านของท่านข้าหลวง มันจะเปล่าประโยชน์ได้ยังไงในเมื่อท่านสร้างคุณงามความดีให้กับผืนแผ่นดินนี้ตั้งมากมาย  แต่ใครจะฟังคำพูดคนจรจัดไร้ค่าอย่างเขา  เขาเคยทำคุณประโยชน์อะไรให้แผ่นดินนี้บ้างถึงจะมีสิทธิ์มาหวงแหนมัน
    ชั่วไม่กี่ค่ำคืนสิ่งก่อสร้างใหม่ได้่เข้ามายืนแทนที่บ้านไม้สีขาวเก่าแก่อย่างไม่เหลือร่องรอยเดิมให้เห็น ซากต้นไม้และเศษกองไม้สีขาวอันตรธานหายไปจากที่ดินที่มันเคยอยู่มาหลายสิบปี ไม่มีใครถามถึงว่ามันระเห็จไปอยู่ไหนทุกคนมัวแต่จดจ่อกับการเติบโตของสิ่งใหม่  ไม่เต็มสามเดือน
ดีนัก   ศูนย์สรรพสินค้าก็พร้อมต้อนรับความอยากรู้อยากเห็นของผู้คน เขาจำได้ถนัดตาว่าเพียงวันแรกที่มันเปิดคนหลายร้อยหลายพันก็เบียดเสียดกันเข้าไปในนั้น เสียงรถยนต์ เสียงตะโกนพูดคุย เสียงดนตรีสมัยใหม่ดังระคนปนเปจนฟังไม่ได้ศัพท์
    "มาอีกแล้วเหรอ บอกแล้วไงอย่ามายุ่มย่ามแถวนี้ ไป-ไปที่อื่น" น้ำเสียงกังวานข่มขู่ของรปภ.ร่างสูงใหญ่ดังขึ้นเกือบข้างๆ หู ผลักเขากระเด็นหลุดจากภวังค์ความคิด จนต้องรีบผงะถอยไปยืนตัวแข็งทื่ออยู่ริมทางเดินหน้าศูนย์สรรพสินค้า
    "พูดไม่ฟังกันคราวหน้าจะเรียกตำรวจมาจับไปขังคุกแล้วนะ" รปภ.คนเดิมทำท่าจะเข้ามาคว้าแขน เขาแจ้นหนีโดยไม่หันหลังกลับไปมอง จนแน่ใจว่ามาไกลพอจะปลอดภัยแล้วค่อยทรุดตัวลงนั่งหอบเหนื่อยกับพื้นฟุตบาธ
    'มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็ได้' เขาครุ่นคิดพลางกวาดสายตาสำรวจไปรอบตัว ตอนนี้บ้านของเขาไม่ใช่บ้านหลังเดิมที่เคยเป็นอีกต่อไปแล้ว ถึงจะยังใช้ชื่อของข้าหลวงท่านนั้นเป็นชื่อเรียกอยู่แต่ก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลยแม้แต่บ้านเก่าแก่ของท่านแท้ๆ ยังถูกลูกหลานขายทอดให้คนอื่น   เพื่อนบ้านเก่าๆ ทะยอยย้ายออกไปทีละคนสองคน คนใหม่ผลัดหน้าเข้ามาไม่เคยซ้ำเดิม  ฝูงนกพิราบที่อาศัยหากินอยู่นับหลายชั่วอายุอพยพจากไปอย่างไม่ย้อนกลับ ร้านรวงน้อยใหญ่ค่อยๆ ปิดตัวเองลงเงียบเชียบ แผงลอยของแม่ค้าน้ำส้มคั้นหายไปพร้อมกองเปลือกส้มบิดเบี้ยว ร้านกาแฟโบราณของป้าผมสีดอกเลาปิดหลังจากศูนย์สรรพสินค้าเปิดได้ยังไม่เต็มเดือน  เพราะคนแห่ไปกินกาแฟฝรั่งในนั้นหมดเขาว่านอกจากจะอร่อยแล้วยังได้นั่ง
ในห้องแอร์เย็นสบายกว่ากันเป็นไหนๆ เขาได้ยินป้าแกตัดพ้อกับตัวเองว่าเห็นทีสูตรกาแฟโบราณเก่าแก่ของปู่ย่าตายายคงตายไปพร้อมกับแกเป็นแน่   และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นแก ถัดมาก็เป็นร้านโชว์ห่วยของอาแปะตาฟางทนอยู่ได้นานกว่าร้านกาแฟหน่อย กัดฟันลดราคาแข่งกับเขาก็ทำ  ลดแลกแจกแถมก็ทำ คนยังแห่ไปซื้อในร้านค้าติดแอร์นั่นอยู่ดีสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ยอมปิดตัวไป ตัวแกเองดึงดันจะทำต่อเพราะร้านนี้ถึงจะเล็กจะเก่ายังไงมันก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงที่แกสู้อุตส่าห์ก่อร่างสร้างสมมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ มันไม่ใช่แค่ร้านขายของแต่มันเป็นเสมือนลมหายใจของแกเลยก็ว่าได้    แต่ลูกชายแกขอร้องแกมบังคับให้เลิกขาย  เขาคงอยากให้พ่อพักผ่อนใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสงบจึงพาครอบครัวย้ายไปอยู่บ้านชานเมืองที่ซื้อไว้
ส่วนร้านนี้ก็ขายให้ศูนย์สรรพสินค้า และแค่ชั่วไม่กี่วันมันก็ถูกรื้อถอนเพื่อขยายที่จอดรถของลูกค้าให้กว้างขวางขึ้น
    ร้านตัดผมเป็นแห่งสุดท้ายที่ยืนหยัดได้นานที่สุด
    ถึงวันที่ปิดก็ยังมีลูกค้าขาประจำมาขอให้ตัดเป็นการส่งท้าย  เพลงลูกทุ่งที่เปิดวันนั้นก็บังเอิญเหลือเกินที่มีแต่บทเพลงอันเศร้าสร้อยหมองหม่น   ทำเอาทุกคนน้ำตาซึม ส่วนเขานั้นไม่ต้องพูดถึงต้องแอบปาดน้ำตาหลายครั้งจนกลัวคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นนั่นเลยเชียว  อันที่จริงร้านตัดผมไม่ได้ปิดเพราะคนแห่เข้าไปตัดที่ร้านติดแอร์ข้างในศูนย์สรรพสินค้ากันหมด ลูกค้าเก่าแก่ยังคงแวะเวียนมาอุดหนุนกันอยู่ไม่ขาดแต่เจ้าของร้านเห็นว่าร้านของเขาเล็กและเก่าแก่ล้าสมัยเกินไปแล้วสำหรับถนนที่เติบโตขึ้นทุกวันสายนี้ ขืนดึงดันอยู่ต่อไปรังแต่จะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมไปเสียเท่านั้น ถึงเวลาที่ต้องหลีกทางให้ความเจริญใหม่ๆ เข้ามาแทนที่จึงตัดสินใจขายร้านให้คนอื่น ส่วนตัวเองจะกลับไปเปิดร้านตัดผมเล็กๆ แบบเดิมนี้ที่บ้านนอกแทน   นับแต่นาทีนั้นแหละที่เขารู้สึกว่าบ้านหลังใหญ่ของเขาถูกโค่นเสาต้นสุดท้ายจนล้มครืนลงต่อหน้า  เขาได้เพียงโมบายเปลือกหอยไว้เป็นของดูต่างหน้า   ความจริงเจ้าของร้านจะโละทิ้งเขาจึงรีบออกปากขอไว้ แม้จะไม่มีประตูหรือหน้าต่างให้แขวนเขาก็ยังอยากจะเก็บมันไว้ วันหนึ่งเขาอาจจะเจอที่เหมาะๆ
สำหรับแขวนมันก็ได้
    ศูนย์สรรพสินค้ายังคงยืนทะมึน ต้อนรับผู้คนเข้า-ออกไม่ขาดสาย
    แต่สำหรับเขา...มันกำลังแสดงความเป็นเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างเต็มตัว และกำลังตะโกนขับไล่เขาซึ่งเคยเป็นเจ้าของบ้านคนเก่า เสมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมในบ้านเก่าแก่หลังนี้
    เขายกมือขึ้นปาดน้ำอุ่นๆ ที่เอ่อท้นออกมานอกเบ้าตา ไม่รู้ว่ามันไหลจากความเศร้าสร้อยหรือขุ่นเคืองกันแน่มันสับสนปนเปจนบอกตัวเองไม่ถูก
    'มันอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ แล้วก็ได้'  ความคิดเดิมแว่วซ้ำเข้ามาในห้วงนึกคิดอีกครั้ง  และครั้งนี้มันชัดเจนราวมีคนมาตะโกนกรอกใส่ข้างหู
     'แล้วจะให้ไปอยู่ไหนล่ะที่นี่มันบ้านของฉัน นานเท่าที่จำได้ฉันก็เห็นตัวเอง กิน อยู่ หลับนอน ในบ้านหลังนี้ สุข ทุกข์ก็ไม่เคยอย่างกรายพ้นชายคาไปที่อื่นเลย' เขาทักท้วงเสียงที่ดังเข้ามาในความคิดนั้นพลางทรุดตัวนั่งลงก้มหน้าซบสะอื้นไห้กับพื้นทางเท้าอุ่น
    และเนิ่นนานเท่าไดไม่รู้ที่ความเงียบงันเข้าโอบคลุมระหว่างตัวเขากับบ้านของเขา  กระทั่งชายจรจัดตัดสินใจยันตัวลุกขึ้น...แล้วก้าวเดินออกไป  พร้อมดวงตาอันเลื่อนลอย 
    ทิ้งบ้านที่เขารักไว้เบื้องหลัง...				
comments powered by Disqus
  • Dr.Rose

    28 ตุลาคม 2549 19:14 น. - comment id 93222

    ค่ะเห็นด้วย...
    เมื่อไม่กี่วันเพิ่งมีโอกาสไปพบลูกค้า แถวๆกองทัพเรือเลยโรงพยาบาลศิริราช ทางเข้าไปในกองทัพเป็นซอยเล็ก แต่ดูแปลกตามมากเพราะเป็นเรือนไม้โบราณทั้งนั้น เตี้ยๆ และเป็นโทนสีครีมน้ำตาลทั้งหมด เห็นแล้วประทับใจดีค่ะ มาอ่านเรื่องที่เขียนแล้วสะท้อนใจ....
  • โคลอน

    21 พฤศจิกายน 2549 16:38 น. - comment id 93814

    อืม...คนจรจัดในกรุงเทพฯเยอะนะ...ความรู้สึกแรกต้องยอมรับเลยว่า กลัว แต่พออ่านเรื่องนี้แล้วทำให้เข้าใจแง่มุมของอีกชีวิตหนึ่งได้ดีขึ้น
    
    ปล.เราพูดจริงๆนะ คุณ พีรเดช นวลสาย ส่งเรื่องที่คุณเขียนไปสำนักพิมพ์แล้วรวมเล่มเถอะ...ขอยอมรับในฝีมือเลยอ่ะ...29.gif ... หวังว่าสักวันหนึ่งคงจะเจอปลายปากกาของคุณตามแผงหนังสือนะ6.gif36.gif
  • boytilldie

    22 พฤศจิกายน 2549 19:19 น. - comment id 93848

    ผมเคยหวังอย่างนั้น เมื่อนานมาแล้ว 
    (ตอนนี้ก็ยังหวังอยู่)  บางทีเกือบโยนความหวังทิ้ง  แต่พอหันกลับมามองว่าเราทำอะไร ไปแค่ไหนแล้วบ้าง  อืม...ต้นกล้าของเราอาจจะยังไม่พร้องที่จะเกิดมั้ง (555)  แต่ก็ยังไม่ทิ้งความหวังหรอกครับ  ขอบคุณสำหรับกำลังใจ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน