น้ำตาของวารี

พีรเดช นวลสาย

ฉันตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดหลังจากรับโทรศัพท์สายนั้น  ข่าวร้ายจากต้นสายทำให้ฉันถึงกับยืนตัวสั่น โลกหมุนคว้างเหมือนหัวกำลังทิ่มลงในหล่มโคลนเหลวๆ  คนแจ้งข่าวคือพี่สาวฉันเอง เธอพูดแค่ว่า แม่เสียแล้ว..วารีรีบกลับบ้านเรา จากนั้นก็มีแต่เสียงสะอื้นไห้ ก่อนที่หูฉันจะอื้อจนไม่ได้ยินอะไรอีก  พอเริ่มตั้งสติได้ฉันรีบออกจากที่ทำงานโดยไม่ได้บอกใคร นั่งแท็กซี่ตรงกลับบ้านเปลี่ยนชุดทำงานสวมชุดดำไว้ทุกข์ เก็บเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นยัดลงกระเป๋าเดินทาง ฉันอยากร้องไห้แต่น้ำตามันไม่ยอมไหล ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกคาอยู่กลางอก

ฉันนั่งแท็กซี่ไปยังโรงเรียนอนุบาล ติดต่อครูผู้ดูแลเพื่อขอรับยัยหนูกลับบ้านก่อนเวลา แค่บอกว่ามีธุระต้องเดินทางไปต่างจังหวัดก็ไม่มีใครซักไซร้อะไรอีก ยัยหนูทำหน้างง ถามฉันว่า “แม่จ๋าเราจะไปไหนกันคะ?” ฉันฝืนยิ้มบอกลูกว่า “เราจะไปเที่ยวบ้านคุณยายจ้ะ” แกร้องไชโยดีใจตามประสาเด็กที่จะได้เจอคุณยายซะที 

“คุณยายดุไหมคะคุณแม่?” น้ำเสียงแกตื่นเต้นมองฉันด้วยดวงตาใสแป๋วไร้เดียงสา “ไม่หรอกจ้ะ คุณยายใจดีที่สุดในโลก” ฉันรั้งร่างน้อยๆ นั้นเข้ามากอดรัดไว้แน่นแนบทรวงอก ราวกลัวว่าร่างของเธอจะมลายหายไปในอากาศ ตัวฉันสั่นกระตุกเหมือนจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก

ฉันวางแผนว่าจะกลับไปเยี่ยมแม่ให้เร็วที่สุดเมื่อทุกอย่างพร้อม แต่จนแล้วจนรอดมันก็เป็นแค่แผนการในอากาศที่ไม่เคยได้เอาออกมาใช้ ได้แต่หวังว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งฉันต้องกลับไปกราบลงบนตักแม่ แม่จะลูบหัวฉันอย่างทะนุถนอมพร้อมกับปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไรแล้วลูก ไม่เป็นไรแล้ว” ฉันจะแนะนำให้แม่รู้จักกับยัยหนู แม่จะต้องเห็นความมหัศจรรย์ของแกเหมือนอย่างที่ฉันเห็น แต่...ฉันมัวแต่รออะไรอยู่ รอจนกระทั่งแม่ไม่ยอมรอฉัน

“แม่จ๋าหนูหายใจไม่ออก” เสียงเล็กๆ ของยัยหนูเรียกสติฉันกลับมา ฉันคลายวงแขนและรีบปาดน้ำตา “คุณแม่ร้องไห้เหรอคะ” ยัยหนูพลอยสีหน้าสลดตาม  “เปล่าจ้ะ”  ฉันโกหก  “เอาล่ะ เรามาตกลงกันอย่างนี้นะ พอเราไปถึงบ้านคุณยาย คุณยายจะนอนพักผ่อนอยู่ ห้ามหนูกวนคุณยายนะคะ คุณยายไม่สบายคุณหมอสั่งให้พักผ่อนเยอะๆ เข้าใจมั้ยคะ”  “เข้าใจค่ะ” ยัยหนูตอบเสียงใส

รถไฟโดยสารแล่นกึงๆ ไปบนรางเหล็ก ผ่านย่านชุมชนแออัดของกรุงเทพฯ กลิ่นเหม็นคลุ้งของน้ำเน่าในคลองลอยมาเตะจมูก เด็กๆ หลายคนยืนหย่อนเบ็ดตกปลาอย่างไม่ยี่หระกับกลิ่นและกองขยะที่เต็มล้นตลิ่งสองฟากลามลงไปถึงในน้ำ ลำคลองสีดำทะมึนของกรุงเทพฯ ทำให้ฉันคิดถึงลำคลองที่บ้านทุกทีไป แม้จะห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยกิโลเมตรแต่มันช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน คลองลำดวนที่ไหลผ่านหน้าบ้านฉันนั้นเป็นสาขาแยกมาจากแม่น้ำสายใหญ่ น้ำใสสะอาดจนแทบมองเห็นพื้นโคลน ฉันกับเพื่อนๆ ดำผุดดำว่ายเล่นกันทุกวัน จะว่าฉันโตมากับคลองลำดวนก็ไม่ผิด ทุกอย่างล้วนอยู่ในคลองตั้งแต่อาหารยันพระสงฆ์ พ่อฉันจับกุ้งจับปลาจากในคลองมาให้แม่ทำอาหาร ส่วนแม่ก็สอนฉันตื่นเช้าตักบาตรพระสงฆ์ริมคลองนี้เหมือนกัน

ที่นี่เราไม่จำเป็นต้องมีถนนเพราะลำคลองคือเส้นทางสัญจรหลัก เชื่อมต่อกันจนไหลออกสู่แม่น้ำสายใหญ่ เรือแจว เรือยนต์คือยานพาหนะหลักที่พาเราเดินทางสู่จุดหมาย หน้าบ้านทุกหลังจึงหันสู่ลำคลอง แต่ละบ้านมีท่าน้ำของตนสำหรับลงไปอาบน้ำ และตักเอาน้ำขึ้นมาใช้ในครัวเรือน แม้บางทีสายน้ำจะนำพาสิ่งที่เราไม่ต้องการมาด้วยอย่างพวกกอสวะ หรือซากสัตว์เน่าเปื่อย แต่นับตั้งแต่จำความได้ฉันก็ยังไม่เคยเห็นคลองลำดวนเน่าเสียเลยสักครั้ง น้ำยังคงใสจนวันที่ฉันหันหลังจากมา

“แม่จ๋า ถ้าคุณยายตื่นหนูคุยกับคุณยายได้ใช่ไหมคะ?” เสียงยัยหนูถามขึ้น

ฉันมองหน้าใสซื่อที่กำลังรอคำตอบอย่างไม่รู้จะตอบยังไงดี ถ้าฉันบอกความจริงว่าคุณยายเสียแล้ว แกก็คงจะสงสัยอีกว่า แล้วเมื่อไหร่คุณยายจะหาย เมื่อไหร่คุณยายจะลุกขึ้นมาคุยกับแกได้

“ก็คงได้จ้ะ แต่จำที่เราตกลงกันได้ไหม๊ ว่าหนูจะต้องไม่รบกวนคุณยาย” ฉันเลือกที่จะให้ความหวังกับแก

“จำได้ค่ะ หนูจะไม่รบกวนคุณยาย” ยัยหนูรับปาก

“ดีมากจ้ะ” ฉันลูบหัวลูกสาวตัวน้อยเบาๆ ขณะที่ความคิดล่องลอยออกไปนอกหน้าต่างรถไฟ มันลอยทวนเข็มนาฬิกากลับไประลึกถึงอดีต

 

ตอนนั้น ฉันยังเป็นนักเรียนชั้นม.ปลาย ฉันเป็นเด็กเรียนดี และตั้งใจเรียนมาตลอด แต่ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวในคืนหนึ่งได้เปลี่ยนแปลงชีวิตฉันและชีวิตคนรอบข้างไปตลอดกาล ฉันกับเพื่อนชายเลยเถิดก้าวข้ามเส้นแบ่งแห่งวัยเยาว์ด้วยความอ่อนไหวในบรรยากาศสลัวริมคลอง แย่กว่านั้นคือฉันตั้งครรภ์ ฉันไม่กล้าบอกความจริงอันแสนเจ็บปวดนี้กับพ่อแม่ มีเพียงพี่สาวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ความจริงและกอดกันร้องไห้ทุกคืนอย่างไม่รู้จะหาทางออกกันอย่างไร

นับวันท้องของฉันค่อยๆ โตขึ้น อาการแพ้ท้องเริ่มรุนแรงและบ่อย สุดท้ายฉันกับเพื่อนชายตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยมีปลายทางที่กรุงเทพฯ เรานัดเจอกันที่สถานีรถไฟในตัวเมือง ฉันมาถึงก่อนเวลาจึงไปนั่งรอเขาอยู่ในมุมลับตา จนถึงเวลานัดเขาก็ยังไม่มา รถไฟเข้าและออกจากสถานีไปหลายขบวนก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะโผล่มาตามนัด  สุดท้ายญาติลูกพี่ลูกน้องของเขาคนหนึ่งเป็นคนมาบอกข่าวร้ายว่าเขาจะไม่ไปกับฉัน เพราะพ่อแม่ของเขาไม่ยอมให้ไป ฉันรู้สึกเหมือนมีแก้วเป็นร้อยๆ ใบแตกกระจัดกระจายอยู่ภายในตัวฉัน มันบาดลึกเข้าไปทุกซอกของความรู้สึก จากนั้นโลกก็หมุนติ้ว มันหมุนเหมือนจงใจจะเหวี่ยงฉันออกไปให้พ้นๆ

พอตั้งตัวได้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนทางแยก ทางหนึ่งนั่งเรือกลับบ้านแล้วก้มหน้ายอมรับชะตากรรมทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น อีกทางหนึ่งขึ้นรถไฟไปยังที่ที่ฉันไม่เคยเหยียบย่างไปเลยสักครั้งในชีวิต แต่ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกทางไหนชีวิตฉันนับจากวินาทีนี้ก็จะไม่มีวันย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

ที่สุดเมื่อนึกถึงความเข้มงวดของพ่อฉันก็เลือกก้าวขึ้นรถไฟ ฉันนั่งกอดกระเป๋าไว้แน่นใจล่องลอยไปไกลแสนไกล คำถามหนึ่งเฝ้าติดตามฉันไปทุกหนทุกแห่ง ‘อะไรทำให้ชีวิตฉันก้าวมาไกลขนาดนี้?’

รู้ตัวอีกทีฉันก็มานั่งอยู่ริมคลองสีดำสนิทสายหนึ่งในกรุงเทพฯ กลิ่นเหม็นเน่าลอยตลบอบอวลรอบตัวไปหมด มีบางอย่างก่อตัวในช่องท้องฉันมันเหมือนลมหมุนที่กำลังหาทางออก สุดท้ายฉันก็อ้วกออกมา อ้วกจนน้ำตาไหลพราก ต่อจากนั้นฉันก็ร้องไห้

สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความเจ็บปวดให้ฉัน แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดกลับทำให้รู้สึกวิตกยิ่งกว่า ต่อจากตรงนี้ ฉันจะไปไหนดี ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่คนแปลกหน้า และแปลกปลอมต่อชีวิตฉัน ไม่มีคลองลำดวน ไม่มีเรือแจว มีแต่ถนนและรถยนต์แน่นขนัด จนเกือบสิ้นหวังฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าพี่สาวเคยบอกว่ามีเพื่อนอยู่กรุงเทพฯ ฉันจึงตัดสินใจโทรหา ทันทีที่ได้ยินเสียงฉัน พี่มีอาการตื่นตระหนก ถามว่าฉันหายไปไหนแต่เช้า ฉันตัดสินใจเล่าความจริงให้ฟัง พี่ร้องไห้ทันที และต่อว่าฉันที่ทำอะไรโดยไม่ยอมบอกเธอสักคำ ฉันกล่าวคำขอโทษ หลังคำตัดพ้อเธอเริ่มกลับมาเป็นห่วงเป็นใยฉันตามเดิม และพยายามกล่อมให้ฉันกลับบ้านบอกว่าจะมารับเอง แต่ฉันขอร้องพี่ไม่ให้มา และขอร้องไม่ให้บอกพ่อกับแม่ ฉันอ้อนวอนว่าถ้าพี่อยากช่วยจริงๆ ก็ต้องให้สัญญากับฉันว่าจะเก็บทุกอย่างเป็นความลับระหว่างเราสองคน เธอพยายามหาเหตุผลมาโต้แย้ง แต่ฉันก็ยืนยันหนักแน่นว่าต้องการทางเลือกนี้  สุดท้ายพี่จำต้องยอมช่วยโดยติดต่อให้เพื่อนมารับฉัน

ฉันอาศัยอยู่บ้านเพื่อนพี่สาวระยะหนึ่ง ไม่นานก็ขอแยกออกมาเมื่อได้งานประจำในโรงงานประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง พวกเขาดูแลฉันดีมากและพยายามจะรั้งฉันให้อยู่ด้วยกันต่อไป แต่ฉันอ้างความไม่สะดวกในการเดินทางไปทำงาน ที่สุดก็ได้ย้ายออกมาเช่าห้องเล็กๆ อยู่ตามลำพัง เรื่องนี้ทำให้พี่สาวฉันไม่พอใจอย่างมาก เธอโทรต่อว่าฉันทันทีที่รู้ข่าว หลังคำต่อว่าน้ำเสียงพี่อ่อนลงจนกลายเป็นสลด เธอเล่าความเป็นไปของบ้านริมคลองให้ฟัง ว่าตอนนี้อาการป่วยของพ่อเริ่มทรุดลงอีก พ่อเริ่มป่วยตั้งแต่รู้ข่าวฉันอุ้มท้องสาวหนีออกจากบ้าน ส่วนแม่ไม่เคยปริปากพูดถึงเรื่องของฉันแม้แต่คำเดียว แต่แค่นี้ฉันก็รู้แล้วว่าทั้งสองท่านหัวใจแหลกสลายและเจ็บปวดเพียงใด

ฉันบอกพี่ว่าอยากกลับไปเยี่ยมพ่อ แต่ก็ทำไม่ได้ ฉันรู้ว่าความผิดที่ทำลงไปนั้นสร้างความอับอายให้ครอบครัวของเรา พ่อผิดหวังในตัวลูกสาวคนโปรดที่ท่านคาดหวังจะส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาเป็นเกียรติประวัติของครอบครัว จนล้มป่วยลง ส่วนแม่กล้ำกลืนทุกข์ทุกอย่างไว้ในอก ฉันจึงอยากให้พวกท่านลืมๆ ฉันไปเสีย ให้บ้านเรามีลูกสาวที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวก็พอ ฉันจึงทำได้แค่แวะเวียนไปทำบุญที่วัดและสวดมนต์ภาวนาให้ผลบุญช่วยให้พ่อหายป่วยโดยเร็ว

แต่..มันก็ไม่เป็นผลฉันได้รับข่าวร้ายจากพี่สาวในอีกไม่กี่เดือนต่อมาว่าพ่อเสียแล้ว ฉันอยากกลับไปดูหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อกราบขอขมาท่านในความผิดมหันต์ของฉัน แต่ก็ทำไม่ได้เพราะตรงกำหนดคลอดพอดี ลูกของฉันออกมาลืมตาดูโลก ส่วนพ่อไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหลานสาวของท่านไปตลอดกาล

พี่บอกว่า..แม่ไม่ร้องไห้เลย และยังไม่ปริปากพูดถึงฉันเหมือนวันแรกที่ได้รู้ข่าว ฉันว่าแม่คงอยากคิดว่ามีลูกสาวแค่คนเดียว ไม่เคยมีลูกอย่างฉัน แม่อาจจะประกาศในใจท่านแล้วว่า ฉันไม่ได้เป็นลูกของท่านอีกต่อไปแล้ว

 

รถไฟพาฉันกับยัยหนูมาถึงตัวจังหวัดในช่วงเย็น พี่มารอรับที่สถานี เธอโผเข้ามากอดฉันพร้อมกับร้องไห้โฮอย่างไม่อายใคร เรากอดรัดกันอยู่หลายนาที จากนั้นฉันแนะนำให้พี่รู้จักกับหลานสาวของเธอ ยัยหนูยกมือไหว้คุณป้าตามคำบอกของฉัน พี่อุ้มหลานสาวกอดฟัดจนยัยหนูทำตัวไม่ถูก แต่ก็ยอมให้ป้ากอดและหอมแก้มโดยไม่ขัดขืนอะไรมาก

“เธอนี่ใจร้ายจัง มีลูกหน้าตาน่ารักน่าชังขนาดนี้ ก็ไม่ยอมให้พี่ไปเยี่ยมบ้างเลย หรือจะพากลับมาเยี่ยมบ้างก็ไม่เคยเลยล่ะ” พี่ตัดพ้อ

“ฉันขอโทษ” ฉันยกมือไหว้ “ฉันก็แค่ไม่อยากให้พี่เป็นห่วงน่ะ ยิ่งพี่เห็นฉันพี่ก็จะยิ่งห่วงฉันมากขึ้นเท่านั้น”

“เอาเถอะๆ เรารีบไปไหว้แม่กันดีกว่า” พี่อุ้มยายหนูเดินนำฉันไปยังท่าเรือ

หลังจัดการงานศพแม่เสร็จ บ้านก็กลับมาเงียบเชียบ  ยัยหนูติดป้า สองคนขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวัน ฉันจึงมีเวลาว่างอยู่กับตัวเอง ฉันชอบไปนั่งเล่นที่ศาลาริมคลอง ตรงนี้แม่สอนให้ฉันใส่บาตรพระเป็นครั้งแรก ฉันยังจำความตื่นเต้นในครั้งนั้นได้ มือฉันสั่นจนไปชนขอบบาตร พระท่านอมยิ้มบอกว่าไม่ต้องกลัวพระ พระไม่ทำร้ายใครหรอก จากนั้นท่านก็ให้พรแล้วแจวเรือออกไป แม่หัวเราะอารมณ์ดีตลอดเช้านั้น

ทุกเย็นแม่จะให้ฉันกับพี่ช่วยเอาถังตักน้ำจากคลองไปรดผักในสวน แม่ปลูกผักหลายอย่าง เอาไว้กินกันเองในบ้าน เหลือกินก็เก็บแบ่งไปขาย และปันให้ญาติบ้านติดกัน ผักของแม่นอกจากสวยแล้วยังกรอบอร่อย แม่บอกว่าเป็นเพราะแม่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยหมักไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและไม่ฉีดยาฆ่าแมลงเหมือนผักที่เขาขายในตลาด พวกสารเคมีนอกจากมันจะตกค้างในผักแล้วมันยังถูกชะไหลลงลำคลองทำให้น้ำเสีย ถ้าทุกคนใช้สารเคมีกันหมดไม่นานแม่น้ำก็จะเน่า กุ้ง หอย ปู ปลาที่เคยมีก็จะค่อยๆ หายไป เพราะพวกมันอยู่ไม่ได้ แม่บอกว่าอยากให้คลองลำดวนใสสะอาดไปจนกระทั่งฉันโต และกระทั่งลูกฉันโต..

ภาพใบหน้าเรียบเฉยในร่างไร้ลมหายใจของแม่ที่ฉันเห็นเป็นครั้งสุดท้ายนั้น คล้ายแฝงความกังวลบางอย่าง ฉันคิดว่าแม่อาจจะกังวลเรื่องฉัน เพราะฉันทำให้ท่านเสียใจและผิดหวังเป็นอย่างมาก พี่บอกว่าแม่ค่อนข้างเก็บตัวนับแต่ฉันจากไป นอกจากเฝ้าไข้พ่อแล้วก็ไม่ค่อยไปไหน ไม่ค่อยพูดคุยกับใคร พอพ่อหลับ แม่ก็จะมานั่งที่ศาลานี้ เพื่อมองสายน้ำไหลเอื่อยๆ อย่างไม่รู้เบื่อ เหมือนกับว่าแม่อยากจะฝากถ้อยคำในใจบางอย่างไปกับสายน้ำ นอกจากที่นี่ก็มีแค่แปลงผักในสวนเท่านั้นที่แม่เข้าไปขลุกอยู่ได้เป็นนานในช่วงเย็นของทุกวัน

เมื่อได้นั่งมองสายน้ำไหลเอื่อยๆ ในคลองลำดวน ฉันก็ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง น้ำในคลองมีสีเข้มขุ่นกว่าที่เคยเป็น ต่างจากตอนที่ฉันจากไป ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูน้ำหลาก  แถมบางครั้งมีกลิ่นเหม็นแปลกๆ ลอยคลุ้งขึ้นมาเตะจมูก ทำให้ฉันนึกถึงภาพน้ำสีดำสนิทของลำคลองในกรุงเทพฯ ใช่แน่ๆ คลองลำดวนกำลังเปลี่ยนไป น้ำในคลองกำลังเริ่มเน่าเสียอย่างช้าๆ จนหลายคนอาจจะไม่ทันฉุกคิด หรือไม่ก็อาจจะไม่มีใครใส่ใจ เพราะระยะหลายปีหลังมีถนนใหญ่หลายสายตัดเข้ามาสู่หมู่บ้าน ทำให้บ้านหลายหลังหันหน้าออกไปหาถนน ชาวบ้านเก็บเรือหันไปซื้อรถยนต์ รถเครื่องมาขับแทน เพราะเดินทางรวดเร็วสะดวกสบายกว่า แม่น้ำเปลี่ยนจากที่เคยเป็นหน้าบ้านมาเป็นหลังบ้าน สิ่งปฏิกูล ขยะต่างๆ ถูกทิ้งลงน้ำด้วยความมักง่าย คนไม่รักและหวงแหนแม่น้ำเหมือนเก่า ในสายตาฉัน ที่นี่กำลังเป็นแบบนั้น เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ทุกคนเต็มใจอ้าแขนรับ

“ไง นั่งคิดอะไรอยู่เหรอ?” เสียงพี่สาวฉันดังขึ้น พี่เดินจูงแขนหลานสาวตัวน้อยเดินมานั่งข้างๆ ฉัน

“พี่รู้สึกไหมว่าน้ำในคลองกำลังมีอะไรผิดปกติ” ฉันหันไปถาม

“รู้สิ! ตั้งแต่เธอไม่อยู่ บ้านเรามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง มีโรงงานมาเปิดริมน้ำหลายที่ โรงงานพวกนี้เป็นของนายทุนจากต่างถิ่นที่มากว้านซื้อที่ดินชาวบ้าน พอโรงงานตั้งได้ไม่นานน้ำในคลองก็เริ่มขุ่นขึ้น แถมยังมีกลิ่นแปลกๆ” พี่เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่ฉันยังไม่รู้

“แล้วทำไมพวกชาวบ้านถึงยอมขายง่ายๆ ล่ะ” ฉันสงสัย

“จริงๆ แล้วก็ไม่มีใครอยากขายหรอก แต่มันจำเป็น ชาวสวนแถวบ้านเราเป็นหนี้กันเยอะ ก็หนี้จากค่าปุ๋ย ค่ายาฆ่าแมลงนั่นแหละ เพราะอยากมีรายได้เยอะก็เลยต้องเร่งปุ๋ยเร่งยา พอผลผลิตออกมาเยอะมันก็ราคาตก เงินเลยไม่พอใช้หนี้เขา ทำให้หนี้สินพอกพูนขึ้นทุกวัน ยิ่งใช้สารเคมีมากขึ้น ดินมันก็ยิ่งเสีย น้ำก็พลอยเสียไปด้วย สุดท้ายก็จำต้องขายที่ดินใช้หนี้ โรงงานมันก็เลยมาแทนที่สวน มาทำให้น้ำเสียเร็วขึ้น” พี่เล่าหน้าเครียด

“ไม่มีใครร้องเรียนเลยเหรอ?”

“ก็ ชาวบ้านเรานี่แหละ รวมกลุ่มกันเพื่อรวบรวมข้อมูลหลักฐานและร้องเรียนไปยังอำเภอ แต่เรื่องก็เงียบไป ว่ากันว่าเป็นเพราะเจ้าของโรงงานเค้าเส้นใหญ่ทางอำเภอเลยไม่กล้าทำอะไร เราจึงร้องต่อไปที่จังหวัด แล้วก็มีเจ้าหน้าที่มาเก็บตัวอย่างน้ำไปตรวจ ตอนนี้ก็รอผลกันอยู่” พี่สาวฉันเล่าในเรื่องที่ฉันไม่เคยได้ยินเธอพูดมาก่อน

“พี่ อยู่ในกลุ่มด้วยใช่ไหม?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ใช่ พวกเรารวมกลุ่มกันเพื่อช่วยกันเป็นหูเป็นตาดูแลแม่น้ำและคลองลำดวนของพวกเรา แม้จะเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่เราก็ทำหน้าที่กันอย่างเข้มแข็ง ไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ” เธอบอกอย่างภาคภูมิใจ

ฉันถึงกับอึ้งปนทึ่ง เพราะไม่คิดว่าผู้หญิงเงียบๆ อย่างพี่สาวของฉันจะกลายเป็นนักอนุรักษ์ที่ต่อสู้เพื่อลำคลองของเรา เพียงแค่เวลาไม่กี่ปีที่ไม่ได้เจอกัน

“เราไม่ทำแล้วใครจะทำ” เธอว่า “ความจริงจะโทษแต่โรงงานฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ชาวบ้านเราเองก็มีส่วนทำน้ำเสียไม่น้อย เพราะทุกวันนี้เราหันหลังให้วิถีเกษตรอินทรีย์ หันมาพึ่งสารเคมีกันเยอะ สารตกค้างจึงถูกชะลงในแม่น้ำลำคลอง ไปปะปนอยู่ในน้ำ ทำให้เกิดการเสียสมดุลของระบบนิเวศน์ในแหล่งน้ำ นี่ยังไม่รวมน้ำทิ้งและขยะจากครัวเรือนที่ถูกทิ้งลงแหล่งน้ำในปริมาณสูงทุกๆ วัน แม่น้ำกำลังกลายเป็นแหล่งสะสมของเสียที่เราไม่ต้องการ  คนริมน้ำเริ่มไม่รักและหวงแหนแม่น้ำเหมือนแต่ก่อน”

“ฉันก็คิดอย่างนั้น น้ำเสียจะโทษใครคนใดคนหนึ่งคงไม่ได้ ฉันว่าพวกเราทุกคนมีส่วนร่วมเป็นต้นเหตุทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ เราเห็นแก่ตัวกันมากขึ้น นั่นคงเป็นเพราะความเจริญที่เปลี่ยนแม่น้ำจากเคยเป็นหน้าบ้านกลายมาเป็นหลังบ้าน ธรรมชาติของคนมันจะใส่ใจดูแลหน้าบ้านมากกว่าหลังบ้าน” ฉันสนับสนุน

“แม่จ๋า ป้าจ๋า หนูขอไปเล่นทางโน้นนะคะ” ยัยหนูขัดจังหวะขึ้น เพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เราสองคนกำลังคุยกัน

“ได้จ้ะ แต่อย่าไปไหนไกลนะ” ฉันหันไปกำชับ  ยัยหนูรับปากแล้ววิ่งออกไปที่ลานหน้าบ้าน ซึ่งมีต้นดาวเรืองแปลงใหญ่ชูช่อสีเหลืองล่อบรรดาผีเสื้อและผึ้งงานที่มาดูดเก็บน้ำหวาน

“ให้ฉันร่วมกลุ่มด้วยได้ไหม ฉันอยากทำอะไรเพื่อคลองลำดวนของเราบ้าง อย่างน้อยๆ ฉันก็อยากมีส่วนรักษาน้ำในคลองที่แม่รักที่สุดสายนี้ให้ใสสะอาดอย่างที่มันเคยเป็น” ฉันบอกพี่สาว

“ได้สิ แล้วชีวิตของเธอที่กรุงเทพฯ ล่ะ?” เธอสงสัย

“ที่นั่น ไม่มีอะไรเหมาะกับฉัน มันมีแต่ถนนที่แน่นขนัดด้วยรถยนต์ ลำคลองก็เน่าจนกลายเป็นสีดำสนิท ฉันไม่อยากให้คลองลำดวนของเรากลายเป็นอย่างนั้น ฉันอยากให้น้ำในคลองใสไปจนยัยหนูโตเป็นสาว ไปจนลูกของแกโต พวกแกจะได้มีแม่น้ำเป็นแหล่งอาหาร เป็นหน้าบ้านเหมือนที่แม่ได้เคยรักษาไว้ให้เรา” ฉันบอกความตั้งใจ

“พี่ดีใจที่เธอจะกลับมาอยู่ด้วยกัน และร่วมต่อสู้ด้วยกัน” พี่บีบมือฉัน “ถึงเราจะเป็นแค่คนกลุ่มเล็กๆ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานคนอื่นๆ จะเห็นความสำคัญและมาร่วมมือรักษาแม่น้ำกับเรา”

“ฉันเข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมแม่ถึงสอนให้เราเคารพต่อสายน้ำ ก็เพราะถ้าเราเคารพเราก็จะเกิดความรักความหวงแหน และเราจะไม่ทำร้ายแม่น้ำซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อเราอย่างมหาศาล” ฉันหันไปมองสายน้ำในคลองลำดวนที่กำลังไหลเอื่อยๆ ผ่านศาลาริมน้ำไป

ภาพในอดีตของแม่ลอยเด่นชัดขึ้นมาในความคิดของฉัน ค่ำคืนวันเพ็ญเดือนสิบสองแม่เป็นคนนำพวกเราลงไปลอยกระทงที่เย็บอย่างสวยงามจากใบตองที่ศาลาริมน้ำ แม่บอกว่าสายน้ำของเราได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากพระแม่คงคา ตลอดเวลาที่ใช้ประโยชน์จากสายน้ำเราอาจจะไปล่วงเกินท่านโดยไม่ตั้งใจ เราจึงต้องลอยกระทงประทีปเพื่อขอขมาลาโทษต่อท่าน ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจสิ่งที่แม่พูดหรอกฉันรู้แต่ว่าคืนวันลอยกระทงเป็นคืนพิเศษที่ฉันจะได้ทำกระทงสวยๆ แล้วปล่อยให้มันลอยเอื่อยๆ ไปกับสายน้ำ ฉันจะนั่งมองประกายแสงเทียนจากกระทงจนมันค่อยๆ ลับหายไปตามความโค้งของลำคลอง

“เธอยังจำแปลงผักของแม่ได้ไหม?”  พี่ถามฉันพร้อมรอยยิ้มเหมือนปกปิดบางอย่าง “ตั้งแต่เธอไม่อยู่ แม่ใช้เวลาอยู่กับมันมากขึ้น แม่ขลุกอยู่ในนั้นจนฟ้ามืดจึงกลับเข้าบ้าน เท่าที่สังเกต ตั้งแต่พ่อจากไป ฉันว่าแม่เอาใจใส่กับมันมากกว่าอย่างอื่นโดยไม่ยอมให้ใครเข้าไปยุ่ง เธอน่าจะเข้าไปดูหน่อยนะ”

ฉันพยักหน้ารับ พี่จึงขอตัวไปเล่นกับหลาน ปล่อยฉันนั่งในศาลาตามลำพังอีกครั้ง สีขุ่นของน้ำในคลองลำดวนกวนใจฉันจนไม่อาจนั่งมองได้ต่อไป ฉันลุกขึ้นและคิดว่าควรจะไปดูแปลงผักของแม่สักหน่อย จึงเดินเข้าไปในสวน  แปลงผักอยู่ตรงนั้น ตรงที่เดิมที่ฉันเคยช่วยแม่รดน้ำตั้งแต่ยังเด็ก ผักของแม่งอกงามมาแล้วไม่รู้กี่รุ่น  มันแตกยอดเขียวอ่อนดูสวยงามบนผืนดินที่แม่ดูแลเป็นอย่างดี

ฉันนั่งลงตรงข้างแปลงผัก ที่ผืนดินรอบๆ โคนต้นผักยังมีรอยนิ้วมือของแม่ประทับอยู่ ฉันค่อยๆ วางมือลงบนรอยนิ้วมือนั้นและหลับตาลง มือของฉันคล้ายสัมผัสได้ถึงไออุ่นที่แม่ทิ้งไว้ มันเป็นความรู้สึกที่เต็มด้วยความรักและความห่วงใยอย่างล้นเหลือ ดวงตาฉันเปียกรื้นด้วยน้ำตาที่ไหลเอ่อท้นออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

บัดนี้ ฉันได้รู้แล้วว่าที่ผ่านมาฉันคิดผิดมาโดยตลอด ฉันคิดว่าแม่โกรธจนไม่มีวันจะให้อภัยได้ในสิ่งที่ฉันทำลงไป ฉันคิดว่าแม่ไม่ต้องการลูกสาวคนนี้อีกแล้ว ทว่าในความเงียบงันที่แม่แทบไม่ปริปากพูดกับใครนั้น แม่ได้ให้อภัยกับฉันทุกวันผ่านการดูแลแปลงผักเหล่านี้  แปลงผักซึ่งแต่ก่อนแม่จะปลูกผักหลายอย่างไว้ด้วยกัน แต่วันนี้ แปลงผักของแม่มีแต่ผักที่ฉันชอบเท่านั้น มันชูกิ่งก้านสวยงามโอนไหวล้อกับสายลมเย็นที่พัดผ่านมาแผ่วเบาจากคลองลำดวน

คำพูดของแม่ดังก้องขึ้นมาในใจฉันอีกครั้ง “แม่อยากให้น้ำในคลองลำดวนใสสะอาดไปจนกระทั่งลูกโตเป็นผู้ใหญ่ และใสไปกระทั่งลูกของลูกโตเป็นหนุ่ม เป็นสาว” .

comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน