29 ธันวาคม 2548 20:16 น.

นิทาน...นาย นิทาน

เศษทาน

นิทาน...นาย  นิทาน
                               ตอน...ตะวันลับท้ายไร่
           ชีวิตในช่วงเยาว์วัยที่ได้อาศัยอยู่ในไร่ห้วยนางทอง  ที่เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพรที่บริสุทธิ์สดใส  ในกลิ่นอายของธรรมชาติที่ข้าเองลืมมิได้นั้น  มันช่างเป็นมนต์เสน่ห์ที่ติดตรึงตราในใจยิ่งนัก  
          เริ่มจากยามเย็นที่เราได้เห็นตาวันค่อยๆคล้อยเอนต่ำลงลับเหลี่ยมเขาที่มองจากหลังห้างที่ข้าได้อาสัยหลับนอนในยามค่ำคืน   มันช่างสวยเสียนี่กระไรหากวันนั้นข้ามีกล้องคงได้ถ่ายรูปเก็บไว้มากมายในทุกๆวินาทีที่ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากแสงแดดที่ร้อนแรงจ้าแล้วค่อยๆอ่อนลงๆจางลงทีละนิดๆจากตาวันดวงเล็กๆที่แจ่มแจ้งด้วยแสงสูรย์จนมองเห็นเป็นดวงใหญ่สีส้มโตอยู่บนยอดเขาไรๆเห็นหมู่มวลแมกไม้ที่ขึ้นหนาแน่นบนยอดเขาไกลๆโน่น
       หากแต่น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถบันทึกไว้ได้  ทำได้แค่เพียงบันทึกด้วยกล้องสองตาที่มีอยู่แล้วเก็บข้อมูลเหล่านั้นใส่แผ่นซิปสมองไว้  รอวันและเวลาให้มานั่งนึกย้อนอดีตแต่ก่อนเก่า   มาบรรยายผ่านตัวหนังสือเป็นเรื่องเล่าให้นึกถึงวันวานที่ผ่านมา  ในเรื่องแห่งความทรงจำเมื่อครั้งอดีต   แล้วมันจะได้อะไรเล่าจากความทรงจำนั้นๆ   ไม่เลยไม่เคยคิดหวังอยากได้อะไรทั้งสิ้น  เพียงแค่แอบคิดว่า   หากเป็นไปได้เราอยากให้วันนี้ย้อนไปหาวันวานได้   แล้วเราจะเป็นสุขยิ่งนัก   เราได้อยู่ใกล้ธรรมชาติที่แสนงดงาม   ดื่มด่ำความบริสุทธิ์ที่ธรรมชาติของโลกพลีมอบให้มวลมนุษย์ทุกผู้ทุกคนได้รับอย่างเท่าเทียมกัน   ไม่แบ่งชนแบ่งชั้นว่ายากดีมีจน  ธรรมชาติพลีมอบให้เท่าเทียมกัน
         หากแต่มนุษย์ต่างหากเล่าที่แก่งแย่งกันเอง  เอาเปรียบธรรมชาติ  รุกรานข่มเหง  ย่ำยี   จนธรรมชาติทั้งหลายทั้งมวลไม่อาจทานน้ำมือของคนได้
        ตาวันจะลับลาฟากฟ้า  นกกาผกผินบินกลับรวงรัง   ต่างส่งเสียงเซ็งแซ่บนต้นปูข้างห้างของข้า   ข้าคิดในใจว่ามันคงพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่มันได้ออกไปพบมาในวันนี้กระมัง    เสียงจักจั่นก็ร่ำร้อง  หริ่งหรีดเรไร  ต่างขับขานประสานเสียงเป็นบทเพลงที่ไม่สามารถหาฟังได้ง่ายๆ   ใบตองกล้วยที่ปลูกไว้เป็นแนวเขตแดนแบ่งเนื้อที่ว่าใครเป็นเจ้าของนั้นสะบัดกวัดใบตามแรงลมปะทะเสียงสั่นพั่บๆพั่บๆชวนให้น่ากลัวยิ่งนัก   เจ้าฝูงไก่ขันเรียกร้องพวกพ้องให้ขึ้นคืนคอนบนหลังคอกงัวบ้าง   เข้าไปนอนในเล้าที่ทำไว้บ้าง   บางตัวก็ขึ้นไปนอนบนกิ่งต้นปูที่ย้อยต่ำระย้าลงมา   แสงตาวันลับขอบฟ้าเปลี่ยนจากเวลากลางวันเป็นกลางคืน   เจ้านกเค้าตัวเขื่องที่หลับใหลในยามวันลืมตาตื่นขึ้นมาร้อง  ฮูกๆอยู้บนต้นปูใหญ่  เป็นสัญญาณให้รู้ว่าถึงเวลาของนักล่ายามราตรีต้องออกหากินแล้ว   หลังจากหลับใหลมาตลอดทั้งวัน   
      ยิ่งดึกยิ่งเงียบยิ่งได้ยินเสียงแปลกๆแปร่งๆยิ่งนักยามอยู่ท่ามกลางป่าเขา   มองออกไปไกลๆเห็นแสงตะเกียงรำไรๆจากห้างของเพื่อนไร่ที่ยังไม่หลับนอน  บางคราก็ได้ยินเสียงคนร้องเรียกตะโกนดังกึกก้อง   สอดแทรกเสียงแห่งราตรี  เสียงยุงที่บินหวี่ๆจากตัวเดียวรวมกันหลายๆตัวจนเปลี่ยนเสียงเป็นดังกังวานไปทั่วรอบๆห้าง   ยามนั่งกินข้าวต้องคอยปัดยุงไปกินไปท่ามกลางแสงตะเกียง   มันช่างสุนทรีย์ยิ่งกว่าไปกินดินเนอร์ใต้แสงเทียนในโรงแรมหรูราคาแสนแพงเสียอีก   พ่อแม่ลูกนั่งกินข้าวล้อมวงนั่งขัดตะหมาดปุ้มข้าวด้วยมือใส่ปาก  กินอย่างเอร็ดอร่อย   มีน้ำพริกถ้วยน้อย  กับแกงส้มผักที่เก็บเอาปลายไร่  และต้มผักแกมอีกอย่างสองอย่าง   
       กินข้าวอิ่มแล้วสิ่งที่ลืมไม่ได้คือไอ้เพื่อนยากที่มันนอนรออยู่ข้างล่างรอเศษข้าวปลาอาหารจากเราผู้เป็นนายนำลงไปขุนไปได้กินอิ่มให้อิ่มหนำตามประสาคนกะหมาที่อยู่ด้วยกันแบบชาวไร่ชาวนา   กระนั้นมันก็ยินดียิ่งนักยามเราเอาหม้อข้าวหิ้วลงไปเทใส่รางให้มันได้กิน   มันสะบัดหางร้องหงิงๆแลบลิ้นเลียปากวิ่งไปรอที่รางข้าวของมัน   ใช่สิถึงแม้มันจะเป็นเพียงเศษอาหารที่เหลือจากเราผู้เป็นนายได้กินแล้วหากแต่มันผสมด้วยน้ำข้าวที่เลิศรส  มันจึงชอบยิ่งนัก  อย่างน้อยๆไอ้ขาวเพื่อนยากของข้ามันก็อ้วนหัวหลิม   แม้มันจะไม่เคยชิมอาหารหมาเลิศรสอย่างหมาๆในปัจจุบันก็ตามที
         (โปรดติดตามตอน*น้ำข้าว*ได้ในตอนต่อไปขอรับกระผม)
                          เศษทาน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเศษทาน
Lovings  เศษทาน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเศษทาน
Lovings  เศษทาน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเศษทาน
Lovings  เศษทาน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเศษทาน