21 กันยายน 2550 12:47 น.

เรื่องจริงของฉันกับเขา (คนดีที่ไม่รัก...) ตอน อวสาน

เสราดารัล

เมื่อเราตกลงใจจะมีลูก เขาก็มาเกิดได้ทันใจเราจริงๆ เขาดูแลฉันเป็นอย่างดี ขณะฉันท้อง ทนรับอารมณ์ที่ปรวนแปรง่ายของคนท้องได้อย่างไม่ถือสา หาความ ทุกสิ่งที่ฉันต้องการ เขาจะหามาให้ได้เสมอ ที่สุดเราก็ได้ลูกสาวมาเชยชม ในขณะที่เขาต้องเข้ารับตำแหน่งใหม่ เป็นทส. ของเจ้ากรมต้นสังกัด  ภาระหน้าที่ของทส. เป็นงานที่ไม่มีเวลาที่แน่นอนตายตัวแล้วแต่ว่าเจ้านายจะต้องไปที่ไหน อย่างไรบ้าง เขาช่วยแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงลูกของฉันได้อย่างดีทีเดียว พ่อแม่มือใหม่ทั้งคู่อย่างเรา ที่อาศัยอยู่กัน 2 คนโดยไม่มีผู้ใหญ่ให้คำแนะนำปรึกษา ออกจะเป็นเรื่องที่สาหัสพอควร เกือบทุกคืนที่ลูกตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก เราจะช่วยกันอุ้ม ปลอบจนกว่าเขาจะหายร้อง ฉันเห็นเขาอุ้มลูกวางบนตัก และเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัวอยู่หลายครั้ง ทั้งๆที่เขาออกไปทำงานทุกวัน ช่วงกลางคืนก็ช่วยฉันเลี้ยงลูก ชงนม เปลี่ยนผ้าอ้อม อุ้มลูกเดิน เขาแทบจะไม่ได้นอนหลับพักผ่อน แต่เขาก็ไม่เคยปริปากบ่น คงรับภาระหน้าที่นี้ ด้วยความเต็มใจและให้กำลังใจฉันตลอดมา


             เมื่อลูกได้ 6 เดือน ฉันต้องกลับไปทำงาน และเขาได้รับคัดเลือกให้ไปเรียนเสธ. เราจำต้องส่งลูกไปให้คุณยายช่วยเลี้ยงที่ต่างจังหวัด เรามักกลับไปหาลูกทุกเสาร์-อาทิตย์ หลายครั้งกับภาพที่เห็นเขาใช้มือนึงไกวเปลลูก และอีกมือนึงถือหนังสืออ่าน เพื่อเตรียมสอบในแต่ละวิชาที่เรียน เขาทำหน้าที่พ่อ และสามีได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ใครจะคิดว่านายทหารผู้องอาจเข้มแข็งอย่างเขาทั้งท่วงท่าและบุคลิกที่สง่างาม จะเป็นคนซักผ้าอ้อม เสื้อผ้าของลูก จะเปลี่ยนผ้าอ้อม อาบน้ำและทำความสะอาดให้ลูกอย่างคล่องแคล่ว เขาทำหน้าที่แทนฉันได้ทุกอย่าง ฉันสามารถปล่อยลูกให้เขาดูแลได้อย่างไม่ต้องกังวล

            ฉันจำได้ว่าช่วงที่ลูกอายุได้ 4 เดือน ฉันต้องไปราชการที่จ.เชียงใหม่ เป็นเวลา 4 วัน ห่วงและกังวลสารพัด(ตามประสาแม่ลูกอ่อน) ที่ลูกจะต้องอยู่ตามลำพังกับพ่อ 2 คนช่วงฉันไม่อยู่ เขาเองก็ต้องลางานเพื่อมาเลี้ยงลูก (ตอนนั้นเรายังไม่ได้ส่งลูกไปอยู่กับคุณยาย) ฉันแทบจะโทรกลับมาเช็คเขาทุกชั่วโมง วันที่ฉันกลับบ้าน ฉันนั่งรถไฟกลับมาถึงกรุงเทพช่วงเช้า นั่งรถแท็กซี่ต่อเข้าไปที่บ้าน
ภาพแรกที่เห็น เขาอุ้มลูกของเรา มารอฉันอยู่หน้าบ้าน เห็นทั้งลูกทั้งพ่อ ดีใจที่ได้เห็นฉัน ฉันแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่จริงๆ ตั้งแต่นั้นมา ฉันจึงวางใจได้ว่า ถ้าฉันไม่อยู่ เขาสามารถดูแลลูกแทนฉันได้จริงๆ

             ตอนนี้ลูกสาวเกือบ 5 ขวบแล้ว ได้เข้าเรียนในโรงเรียนสตรีที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ โรงเรียนนี้ขึ้นชื่อว่าเข้ายากที่สุด แต่เราก็พยายามจนสุดความสามารถเพื่อให้ลูกเข้าเรียน แม้จะต้องบริจาคเงินก้อนใหญ่ให้กับทางโรงเรียน เพื่อการนี้ก็ตาม สำหรับครอบครัวข้าราชการธรรมดาๆอย่างเรา ถือเป็นยอดเงินที่สูงมาก แต่เรามีความเห็นพ้องต้องกันว่า ถือว่าเราลงทุนเพื่อให้สิ่งแวดล้อมที่ดีแก่ลูก ลูกจะได้รับการอบรมกิริยามารยาทตามแบบวิถีไทย ได้ความรู้ทางวิชาการที่เข้มแข็ง อยู่ในโรงเรียนที่มีมาตรการดูแลความปลอดภัยของนักเรียนอย่างเข้มงวด เราได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขาแล้ว

            ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขา หลังจากเคยเกิดวิกฤตในครอบครัว ช่วงที่ลูกอายุได้ 3 ขวบ เขาทนอึดอัดกับพฤติกรรมของฉัน ที่อยู่กับเขาเหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่เหมือนคู่สามีภรรยาทั่วไปจนเขาเอ่ยปากถาม เขาให้ฉันเปิดใจ เป็นโอกาสที่ฉันจะได้พูดกับเขาอย่างหมดเปลือก  เขาถามฉันว่า รักเขาบ้างไหม ฉันตอบเขาไปว่า ฉันรักเขา แต่ฉันรักเขาแบบเพื่อน แม้ฉันรับรู้ตลอดมาว่า เขารักฉัน และไม่มีใครอีกแล้วที่จะรักฉันได้มากเท่าเขา ทำทุกอย่างให้ฉันได้แบบที่เขาทำ ยิ่งเขาดีกับฉันมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกเสียใจ ว่าทำไมฉันถึงรักเขาไม่ได้ หัวใจคนมันบังคับกันไม่ได้จริงๆ ฉันรู้สึกผิด และรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเขาเลยที่ต้องมาอยู่กับฉัน คนที่ไม่เคยมีหัวใจรักให้เขา เขาควรจะไปเจอคนที่ดีกว่าฉัน และรักเขา เขาคงมีชีวิตที่มีความสุขกว่านี้ ฉันขอหย่ากับเขา 

               ฉันไม่คิดว่า คำพูดของฉัน มันทำร้ายจิตใจของเขาอย่างถึงที่สุด เขากอดฉัน และร้องไห้อย่างหนัก อาการของเขาทำให้ฉันทั้งตกใจ และเสียใจอย่างที่สุด นี่ฉันทำผิดอีกครั้งนึงแล้วใช่ไหม ฉันทำร้ายจิตใจผู้ชายแสนดีคนนี้ได้อย่างไร เมื่ออาการเขาสงบขึ้น เขาบอกฉันว่า เขาอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่เขาก็รักฉันมากเกินกว่าจะยอมสูญเสียฉันไป ฉันเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่เขารัก เขาไม่คิดว่าเขาจะรักใครได้อีก เขาถามว่า เขาไม่ดีตรงไหน ทำไมฉันถึงไม่รักเขา ถ้าเขาไม่ดี ฉันไม่ชอบอะไร ให้บอก เขาจะปรับปรุงตัว ฉันบอกเขาไปว่า เขาดีทุกอย่าง ฉันไม่เห็นข้อเสียอะไรของเขาเลย เขาเป็นพ่อที่ดีของลูก เป็นสามีที่ดีของฉัน ฉันอยากจะรักเขา ฉันพยายามแล้วที่จะรัก แต่ไม่รู้ทำไมมันทำไม่ได้ ฉันขอโทษเขาที่เรื่องราวทั้งหมดเป็นแบบนี้ เขาขอร้องให้ฉันอยู่กับเขา ถึงแม้ฉันไม่คิดจะทำเพื่อเขา ก็ให้ฉันคิดถึงลูก 

               ทุกวันนี้ เราอยู่กันแบบเพื่อนที่ดี เขาเข้าใจฉันมากขึ้น ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากฉันอีก เราใช้ชีวิตครอบครัวพ่อ-แม่-ลูกอย่างมีความสุข เพราะความรักของเขา เพราะความรักของเรา ที่มีต่อลูก คนภายนอก มักรู้สึกอิจฉาฉันที่สามีดี รักและเอาใจใส่ครอบครัว กลับจากงาน ก็ใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับลูกและภรรยา ช่วยเลี้ยงลูก ทำงานบ้านสารพัด เขามีความสุขที่ได้อยู่กับฉัน กับลูก แต่ฉันกลับมีความสุขที่ไม่มีเขากับลูก ฉันชอบใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียว ทำกิจกรรมที่ชอบเพียงลำพัง เขาเข้าใจความเป็นฉันได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นทุกๆวันหยุด เขาจะพาลูกไปหาคุณปู่-คุณย่า โดยไม่มีฉัน เพียงแค่มีช่องว่างเล็กๆแค่นี้ ให้ฉันได้หายใจ ก็ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะต่อสู้ต่อไปแล้วค่ะ


            ฉันตอบแทนความรักและความดีของเขา ด้วยการซื่อสัตย์กับเขา ไม่ประพฤติตัวนอกลู่นอกทาง เพราะเคารพในเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา ฉันเป็นแม่ที่ดีของลูก (แต่อาจจะไม่ใช่ภรรยาที่ดีนัก) แค่นี้เขาก็บอกว่า เขาดีใจอย่างที่สุดแล้ว แม้ฉันจะพยายามไขว่คว้าหาความรักแค่ไหนก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ความเป็นจริงก็คือฉันมีครอบครัวที่มีความสุขรออยู่ที่บ้านอยู่แล้ว

              ทุกครั้งที่ทำบุญ ฉันอธิษฐานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขอให้ฉันรักเขา ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันยินดีชดใช้ให้เขา ขอให้ฉันเป็นฝ่ายได้รักเขาบ้าง.....ก็พอ 


                                     จบบริบูรณ์				
14 กันยายน 2550 12:50 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร..ถ้าได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากกัน13ปี ตอน สุดท้าย..

เสราดารัล

ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั้น ฉันมองเห็นสายตาของเขาที่แลเลยไปยังด้านหลังของฉัน ตาเขาเบิกกว้างคล้ายดีใจกับสิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า เขายิ้ม..จนฉันแปลกใจ กำลังจะหันมองตามสายตาของเขา..พลันก็มีมือหนาหนักตะปบลงมาที่บ่าฉัน ฉันสะดุ้งสุดตัว หันมองตามมือที่วางบนบ่า..แล้วฉันก็กรีดร้องเบาๆด้วยความรู้สึกทั้งตื่นเต้น ตกใจ และก็ดีใจ

           ใช่ค่ะ เซอร์ไพรส์ที่เขาบอก มาอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว เจ้าของมือที่วางบนบ่าฉันตอนนี้ ก็คือ เพื่อนรักที่สุดของฉันนั่นเอง เราไม่เจอกันเป็นเวลาหลายปีแล้วแต่ ยังคงมีการพูดคุยผ่านทางสายโทรศัพท์บ้าง เราแทบไม่ได้เจอหน้ากันเลย หลังจากที่เรียนจบ และแยกย้ายกันไปทำงาน เพื่อนฉันได้งานทำที่จังหวัดใหญ่ ทางภาคอีสาน ส่วนฉันเป็นประชาชนคนกรุงเทพนับแต่เรียนจบ เพื่อนฉัน มาพร้อมกับเพื่อนสนิทของเขา....เราทักทายกันเสียงดัง แทบไม่มีใครฟังใคร ความดีใจของเราทั้งคู่ทำให้แขกในร้าน โต๊ะข้างๆต่างอมยิ้มไปด้วย

           พวกเราพูดคุยกันอย่างออกรส...หลังจากที่เขาและเพื่อนของเขาปล่อยให้ฉันทักทาย พูดคุยกับเพื่อนของฉันอย่างเต็มที่ไปแล้วเรื่องที่เรานำมาพูดคุย หยอกล้อ หนีไม่พ้นเรื่องสมัยเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องครู และวีรกรรมสุดแสบ (อย่างหลังนี่ เป็นเรื่องฉันคนเดียวเท่านั้นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนอย่างเขา กับเพื่อนของฉัน คงไม่ทำเรื่องแบบนี้เป็นแน่)..เรามีเรื่องมากมายมาเล่าสู่กันฟัง อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่มีสิ่งใดมาดึงความสนใจจากเราไปได้ แม้แต่อาหารหน้าตาน่าทานบนโต๊ะมากมายหลายจานที่เราสั่งมา ก็กลับไม่มีคนแตะ ราวกับจะไม่ยอมเสียเวลาที่มีค่าแม้ซักวินาทีเดียวเพื่อการนั้น

             หลายครั้ง ที่เสียงของฉันกับเขาเงียบไป..(ขณะที่เพื่อนฉันกับเพื่อนเขาสนทนา)...เราแอบสบตากันเงียบๆ เราอ่านความรู้สึกของเราทั้งคู่จากสายตาแค่เขามองฉันนิ่งๆ ฉันกลับรู้ความหมายทั้งหมด..ฉันรู้ว่าเขากำลังพูดอะไร และเขากำลังจะบอกอะไรกับฉัน ฉันเห็นตัวฉันในเงาตาของเขา ฉันเห็นหัวใจของฉัน อยู่ในหัวใจของเขา ฉันเห็นสายตาเขาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความอาทรเหมือนเดิม ฉันเห็นตาคู่เดิมที่มองมายังฉันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่เดือน กี่ปี ก็ยังไม่เปลี่ยน ฉันได้ยินเขาขอโทษ เขาเสียใจ เขารู้สึกผิด ฉันเห็นความห่วงหา อาวรณ์..ฉันเห็นทุกอย่าง ฉันรับรู้สิ่งที่เขาอยากจะบอกฉันทั้งหมดแล้ว....โอ้ว....ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า เขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย..พลันที่หัวใจฉันรับรู้อย่างนี้แล้ว...ความรู้สึกที่อยู่ในใจฉันเป็นเวลานานหลายปี เหมือนถูกปลดปล่อยไปด้วยเช่นกัน....ฉันไม่ต้องทนทรมานกับความเสียใจ กับความผิดหวังใดๆอีกแล้ว เพราะไม่ว่าชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไร หรือเขาจะมีใครคอยอยู่เคียงข้างเขาก็ตาม...ฉันยังพบว่าฉันยังคงอยู่ในใจเขาเสมอ

             เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้...เราก็ควรทำชีวิตในวันนี้ให้ดีที่สุด...ฉันจะต้องทุกข์ใจไปอีกทำไม ในเมื่อความรักของเขายังคงอุ่นอวลในใจฉัน
จริงๆแล้ว มันอยู่ในใจฉันตลอดมา แต่เพราะมันถูกบดบังด้วยทิฐิ ด้วยความเขลา จึงทำให้ฉันมองไม่เห็น วันนี้สายตาของเขาได้ทำให้ทิฐิ และความเขลาของฉันหายไป..ฉันรู้สึกโล่ง เบาสบาย...หัวใจฉันเบาแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน....

-ฉันมองเห็นเด็กผู้หญิงคนนึง ถือกระเป๋าให้หนุ่มน้อยขี้อาย ที่มีรอยยิ้มแทนคำขอบคุณในรถประจำทางสายที่เคยคุ้น
-ฉันเห็นภาพเขากับฉันนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำหน้าอำเภอทุกเย็นในช่วงปิดเทอม
-ฉันเห็นภาพเขายืนบนรถไฟทั้งคืน(ตั๋วที่นั่งเต็ม) เพือมาหาฉันที่เชียงใหม่ในช่วงเทศกาล
-ฉันเห็นเขาปั่นจักรยานจากหอพักหน้าม.เกษตรเพื่อมาซื้ออาหารโปรดที่ฉันอยากทานที่สามแยกเกษตร
-ฉันเห็นภาพเขาจูงมือฉันฝ่าผู้คนนับพันเพื่อไปมุงดูผลสอบเอ็นทรานซ์ของฉันที่สนามจุ๊บ
-ฉันเห็นรอยยิ้มกว้าง เสียงหัวเราะดีใจ สายตาภาคภูมิใจของเขาที่มองฉัน หลังจากมีชื่อฉันในบอร์ด
-ฉันเห็นภาพเขาทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองฉัน พาฉันไปรายงานตัวและตรวจสุขภาพที่สนามศุภฯ
-ฉันเห็นภาพเขายืนกุมแผลที่เพิ่งผ่าตัดใหม่ๆเพื่อมาหาฉันที่บางกะปิ
-ฉันเห็นภาพ ฉันปีนขึ้นไปเหยียบบนบ่าเขา เพื่อได้ชมนักร้องคนโปรดในคอนเสิร์ตโลกดนตรี
-ฉันเห็นภาพนั่งมอเตอร์ไซด์ฝ่าสายฝนเพื่อกลับบ้าน (ในขณะที่ฉันนั่งรถที่ที่บ้านส่งมารับฉันที่ท่ารถประจำทางเรานั่งรถทัวร์จากกรุงเทพกลับบ้านพร้อมกัน รถมาถึงตัวจังหวัด เราต้องต่อรถเข้าบ้านอีก แต่เพราะฉันอยากทานอาหารแพงๆในขณะที่เราทั้งคู่ มีเงินแค่พอเป็นค่ารถกลับบ้าน แต่เขาก็ตามใจฉัน ซื้ออาหารให้ฉันทาน โดยที่เขาเสียสละไม่ทาน ทำให้เราไม่มีค่ารถพอที่จะต่อรถกลับบ้าน
ฉันโทรศัพท์ให้รถที่บ้านมารับ เขาอยุ่รอจนรถที่บ้านมารับฉัน ฉันไม่กล้าให้เขานั่งรถไปด้วย เพราะกลัวแม่รู้ว่าเรามาด้วยกัน เขาจึงต้องเหมามอเตอร์ไซด์กลับบ้านเอง ในขณะที่ฝนตก) ฉันแนบหน้ามองเขาจากกระจก เขาโบกมือ และมีแก่ใจยิ้มให้ฉัน ทั้งๆที่ฉันเองที่ทำให้เขาลำบากขนาดนี้....
                                                     ฯลฯ
              ผู้ชายคนนี้ ทำทุกอย่างให้ฉัน อย่างที่ไม่มีใครคนไหนทำได้....ผู้ชายคนนี้ได้ให้ความรัก ความอบอุ่น เข้าใจ ห่วงใยเด็กผู้หญิงบ้านแตกคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโต เราผ่านคืนวันทั้งที่เลวร้าย และแสนสุขมาด้วยกัน....เรามีสายใยบางเบา แต่แน่นเหนียวที่เชื่อมหัวใจสองดวงของเราให้อยู่คู่กันจนเหมือนว่า ไม่มีใครจะพรากเราจากกันได้....แม้ใครจะพรากเขาไปจากฉัน แต่เขาก็ได้ไปเพียงกาย...เพราะหัวใจของเขา อยู่ที่ฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น

              ถึงตอนนี้ ฉันนึกถึงคำพูดของเพื่อนฉัน ที่แม่เธอเป็นเพื่อนกับแม่เขา หลังจากรู้ข่าวว่าเขาจะแต่งงาน เพื่อนโทรมาหาฉันด้วยความห่วงใย เพื่อนบอกฉันว่างานแต่งงานครั้งนี้ จัดขึ้นเพราะผู้ใหญ่..เขาไม่ได้เต็มใจ แต่ขัดแม่ไม่ได้...ฉันเถียงเพื่อนไปว่า ยุคนี้แล้วนะ คงไม่คลุมถุงชนกันได้ง่ายๆหรอก ถ้าเขาไม่ตกลงแม่จะบังคับได้อย่างไร ฉันไม่เชื่อที่เพื่อนบอก แต่อย่างไรก็ขอบคุณที่เพื่อนเป็นห่วงและหวังดีกับฉัน

             ฉันยังจำได้ เมื่อต้นปีช่างเสริมสวยข้างบ้านที่เป็นรุ่นพี่ฉัน เล่าให้ฟังว่า เพื่อนเธอ (เป็นภรรยาของเขา) บ่นให้ฟังว่า ชีวิตแต่งงานไม่มีความสุข เขาเป็นแฟมิลี่แมน ใครเห็นก็ชม ว่าครอบครัวนี้ดี ดูอบอุ่น ไปไหนไปด้วยกันตลอด แต่ไม่มีใครรู้หรอกนะ..ว่าจริงๆแล้วเป็นอย่างไร...เหมือนเขาพยายามทำหน้าที่ของเขาให้สมบูรณ์ แต่เขาไร้หัวใจ..หลายครั้งที่เห็นเขาชอบปลีกตัวไปนั่งเงียบๆคนเดียว เหมือนคิดอะไรอยู่ การพุดคุยกันในบ้านน้อยลง ตั้งแต่แต่งงานกันมาไม่เคยเห็นเขาร่าเริง ไม่มีการหยอกล้อ ไม่สวีท ถามคำ ตอบคำ...เพื่อนเขามาที่บ้าน ยังพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่ (หมายถึงฉัน) ผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีหรอทำไมพี่เขาไม่ลืม....."

               เธอคงไม่รู้หรอก ว่าฉันไม่ใช่แค่แฟนเก่า..แต่เรามีความหมายต่อกันและกันมากกว่านั้น...เราเป็นเลือดเนื้อ เป็นจิตวิญญาณของกันและกันต่างหาก

              ขณะที่คุยกัน หลายครั้งที่เพื่อนเขาถาม แต่เขาพยักหน้าให้ฉันตอบแทน ซึ่งฉันก็ตอบแทนเขาได้หมด ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร หรืออยากพูดอะไรออกไป  ฉันมักรู้เท่าทันความคิดเขาเสมอ....จนเพื่อนเขาออกปากว่า....เสียดายว่ะ กูเสียดายจริงๆ..ทำไมไม่ใช่คนนี้วะ..มันผิดฝาผิดตัวไปหน่อยนะ


              ช่วงที่เขาออกไปเลื่อนรถ..เพื่อนเขาบอกฉันว่า "พี่เคยได้ยินชื่อนี้(หมายถึงฉัน) มาเกือบ 20 ปีแล้วนะ ไม่คิดว่าจะได้มาเจอ และก็แปลกนะที่พี่ก็ไม่ลืมชื่อนี้เหมือนกัน มันโทรมาบอกพี่ว่าจะมาหาเพื่อนที่กรุงเทพ  ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรา...มันไม่เคยลืมเราเลยนะ พี่เห็นมันเจอกับเราวันนี้ก็รู้แล้ว...ไม่เคยเห็นมันมีความสุขมีชีวิตชีวาแบบนี้มานานแล้วนะ... ..เฮ้อ...ไม่น่าเลยไม่น่าจะเป็นแบบนี้เลย คนสองคนรักกันขนาดนี้..แต่ทำไม....

               ตอนนี้ฉันได้เรียนรู้แล้วว่า ความรักที่แท้จริง อาจไม่ใช่การได้ครอบครอง...ที่ใดมีรัก ที่นั่นก็มีความสุขได้เสมอ ถ้าเราจะรุ้จักรักให้เป็น

               ฉันบอก..ฉันไม่คิดอะไรแล้ว วันนี้ควรเป็นวันที่เราทุกคนมีความสุขฉันได้เจอเพื่อน เจอพี่ ร่วมรำลึกอดีตสนุกๆด้วยกัน ก็แฮปปี้แล้วล่ะ...เราไม่สนใจเวลาที่เดินไปแต่ละนาทีจนมารู้สึกตัวว่าเวลาล่วงเลยมามากแล้ว ก็ต่อเมื่อพบว่าเหลือเราเป็นโต๊ะสุดท้ายในร้าน พนักงานเก็บโต๊ะอื่นๆจนหมดแล้ว นั่นเป็นสัญญาณว่าพวกเราควรแยกจากกันเสียที

              เขาเดินมาส่งฉันที่รถ ไม่มีคำอำลาใดๆเหมือนเช่นเคย ฉันเห็นเขายื่นมือมาเพื่อจะจับมือฉัน แล้วเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาชักมือกลับ สายตาของเขาที่ทอดมองมายังฉันบอกถึงความอาลัยอาวรณ์ ฉันก็คงมีสายตาแบบนั้นให้เขาเช่นกัน แต่...เรารู้ว่าเราควรทำอย่างไร และเรามีขอบเขตแค่ไหน...เราไม่เคยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลและความถูกต้องประโยคสุดท้ายที่เรากล่าวขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน..."ขับรถดีๆนะ"

             ฉันขับรถกลับบ้านอย่างมีความสุข ฮัมเพลงโปรดคลอกับเสียงร้องที่ดังมาจากเครื่องเล่นเทปภายในรถ ...wherever you go ..whatever you do ...i'll be right here waitng for you.... เผลอมองตัวเองในกระจก เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้าง แววตาสุกใสที่บ่งบอกถึงความสุขอย่างล้นเปี่ยม..ฉันอิจฉาผู้หญิงในกระจกคนนั้นจัง อะไรน๊อที่ทำให้เธอมีความสุขได้ขนาดนี้ ราวกับว่าโลกทั้งใบได้อยู่ในกำมือเธอไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น

              ก่อนเลี้ยวรถเข้าบ้าน ฉันได้รับโทรศัพท์จากเขา ถามฉันด้วยน้ำเสียงห่วงใยว่า "ถึงบ้านหรือยัง เรียบร้อยดีมั้ย" เขาเป็นห่วงฉัน ทั้งๆที่เขายังขับรถอีกไกลกว่าจะถึงอยุธยาหัวใจฉันเต็มตื้นขึ้นมาอีกครั้ง...จะนานแค่ไหน..เขาก็ยังเหมือนเดิม

              ขอบคุณเบื้องบนที่ส่งเขามาให้ฉันได้รัก
              ขอบคุณความรักของเขาที่ทำให้ฉันเป็นฉันในวันนี้
              ขอบคุณโลกหมุนวน ที่ทำให้ฉันและเขาได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
               ขอบคุณใครก็ตามที่ลิขิตให้เราทั้งสองได้มาเจอกัน และมีวันเวลาที่ดีร่วมกัน
              ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆค่ะ....

                                 จบบริบูรณ์				
1 กันยายน 2550 20:40 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร..ถ้าได้เจอคนรักเก่าที่พรากจากกันถึง 13 ปี ตอน เพราะโลกหมุนวน คน 2 คนจึงได้มาเจอกัน

เสราดารัล

ช่วงเวลาที่ใช้สำหรับการตัดสินใจ ฉันบอกเขาไปว่า วันนี้ฉันมีสอนนักศึกษาภาคสมทบ ต้องเลิกค่ำหน่อย ไม่แน่ใจว่าจะสะดวกหรือเปล่า ฉันขอให้คำตอบเขาช่วงเย็น เขาบอกหลังเลิกสัมมนาแล้ว เขาจะโทรมาอีกครั้ง

         ระหว่างนั้น ฉันโทรหาพี่ปุ้ม (พี่ชายคนนึง) ที่ฉันให้ความเคารพนับถืออย่างมาก ซึ่งพี่คนนี้ก็เคยรู้เรื่องของฉันกับเขามาแล้ว ฉันขอคำปรึกษาว่า ฉันควรทำอย่างไรดี (ซึ่ง จริงๆแล้ว ฉันได้ตัดสินใจลงไปแล้ว ว่าจะให้คำตอบเขาไปว่าอย่างไร แต่การฟังคำแนะนำจากคนที่หวังดี และไว้ใจได้อย่างพี่คนนี้ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ฉันไม่ควรมองข้าม)

         พี่ปุ้มบอกว่า การพบกันระหว่างฉันกับเขา ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ขอให้คิดว่า เราแค่ไปเจอเพื่อนเก่าคนนึง ที่ไม่ได้เจอกันมานานมากแค่นั้นเอง แล้วถ้าเพื่อนกัน จะต้องมาเจอกัน จะเป็นไรไป..ขอแค่เราอย่าคาดหวังกับการเจอกันในครั้งนี้ อย่าไปคิดว่า เราจะเจออะไร หรือไม่เจออะไร..ถ้าเราคาดหวัง เรามีข้อกำหนดไว้ในใจอย่างนี้แล้ว ถ้ามันไม่เป็นไปตามนั้น เราจะผิดหวัง เสียใจ..ขอให้เปิดใจ และคิดว่า เขาคือเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น..ซึ่งเพื่อนคนนี้ เราไม่ได้เจอเขานานมาก ซึ่งแน่นอน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ทั้งตัวเขาและตัวเรา ซึ่งก็น่าเท่ากับคนที่เพิ่งทำความรู้จักกันใหม่เสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเปลี่ยนไปจากเดิม ก็ต้องไม่รู้สึกอะไร ทั้งนั้นนะ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ การไม่คาดหวังต่ออะไรเลย ย่อมจะดีที่สุด

        ฉันบอกพี่ปุ้มว่า แต่ฉันกลัว ฉันกลัวว่า ฉันจะปิดบังอาการตื่นเต้น ดีใจของฉันไม่มิด ฉันกลัวว่า สายตาฉันมันจะฟ้องว่าหัวใจของฉัน มันยังคงอยู่ที่เขาคนเดียว ฉันอาย ถ้าเขาจะรู้ความจริงบางอย่างนี้..ฉันควรจะทำอย่างไร  พี่ปุ้มบอกว่า ก็ไม่เป็นไร เราก็เป็นตัวของเราเองนี่แหละ การจะปิดบังความในใจของตัวเอง ด้วยการเสแสร้ง ทำเย็นชา ห่างเหิน นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี จะมีประโยชน์อะไรที่ต้องทำแบบนั้น อึดอัดใจกันเปล่าๆ..ที่สำคัญก็คือ ฉันกับเขา รู้จัก ผูกพันกันมาตั้งแต่เด็ก เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว ว่าฉันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น สายตาจะปิดไม่มิด ก็ช่าง ถ้าเราดีใจ อาการดีใจมันจะออกมา ก็ไม่ต้องไปสน...ฉันโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว มันจะมีอาการอะไรออกไปบ้าง มันก็ยังคงมีกรอบในตัวของมัน

         พี่ปุ้มรู้ว่าฉันตื่นเต้นมาก จากน้ำเสียงตะกุก ตะกัก ร้อนรน การเรียบเรียงเรื่องวกวน สับสน ในช่วงแรกๆที่เล่าให้เขาฟัง ทำให้พี่ปุ้มรู้ว่า ฉันค่อนข้าง nerveพอสมควร พี่ปุ้มให้กำลังใจฉัน ให้ฉันใจเย็นๆๆ ไม่ต้องตื่นเต้น พี่ปุ้มแนะนำให้ฉันตอบรับการชวนของเขา (ในเมื่อฉันรอวันดีๆอย่างนี้มาทั้งชีวิต ทำไมฉันจะต้องวิ่งหนีมัน) แล้วรายงานให้พี่ปุ้มทราบด้วย หลังจากนั้น

         เมื่อเขาโทรมาอีกครั้ง ฉันตอบรับการนัดครั้งนี้ของเรา เรานัดกันที่ห้างสรรพสินค้าชานเมืองกรุงเทพ..ใกล้เวลานัด ขณะที่ฉันขับรถไปยังที่นัดหมาย ฉันยิ่งตื่นเต้นหนักขึ้น มือไม้เย็นเฉียบ หัวใจเต้นโครมครามอยู่ตลอดเวลา ฉันกลัว...ฉันไม่รู้ว่า เขาจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน เราจะคุยกันอย่างไร คุยเรื่องอะไร ท่าทีที่ขัดเขินของฉัน จะทำให้เขาหัวเราะฉันในใจหรือเปล่า ฯลฯ ความขี้ขลาด ทำให้ฉันแทบขับรถย้อนกลับบ้าน ไม่กล้าไปเจอกับเขา แต่..ฉันได้ยินคำแนะนำของพี่ปุ้มดังอยู่ในใจ ฉันต้องไม่คิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด ฉันต้องไม่คาดหวังกับอะไรทั้งนั้น ทำตัวสบายๆ เป็นตัวของตัวเอง อะไรจะเกิด ก็ปล่อยมันเป็นไป..

       และแล้ว ฉันก็มาถึงที่หมาย เขารอฉันอยู่ในห้างสรรพสินค้า เมื่อฉันขับรถเข้ามาเพื่อหาที่จอดรถ ฉันสะดุดตาเข้ากับร้านอาหารนึง อยู่ในบริเวณห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่นั้น เป็นร้านอาหารบรรยากาศดี ลักษณะเป็นลานโล่งๆ มีน้ำพุอยู่ตรงกลาง ตกแต่งร้านอย่างสวยงาม ถูกใจฉัน ฉันจึงโทรบอกเขาว่า ฉันรอเขาอยู่ที่ร้านนี้ ให้เขาเดินมาเจอได้ที่นี่

       เพียงแค่ 5 นาที ฉันเห็นผู้ชายคนนึง เดินเข้ามาในร้าน เสื่อยืดโปโล สีขาว ขริบแดง ขับผิวเขาให้เด่นยิ่งขึ้น กางเกงสแลค สีน้ำตาลเข้ม ตัดจากผ้าเนื้อดี ฝีมือปราณีต ทำให้บุคลิกของผู้ชายคนนี้โดดเด่น สง่างาม รูปร่างสูง โปร่ง ไหล่กว้าง ไม่มีไขมันส่วนเกินใดๆปรากฏให้เห็น ต้องถือว่า ผู้ชายคนนี้ ยังดูดีอยู่มาก
เขาเดินเข้ามาใกล้ สายตาไล่เลียงทีละโต๊ะ เพื่อมองหาใครคนนึง ฉันโบกมือทักทายเป็นสัญญาณให้เขารู้ว่า คนที่เขากำลังมองหา นั่งอยู่โต๊ะนี้

      ฉันลุกขึ้นยืนไหว้เขา เขารับไหว้และยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ฉันรู้สึกได้ว่า เจ้าของรอยยิ้มมีอาการขัดเขินพอตัว ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากว่า อย่างน้อยอาการแบบนี้ ก็ก็ไม่ได้เกิดกับฉันคนเดียว

       ฉันลอบมองเขาอย่างเงียบๆ ดวงหน้าเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง เครื่องหน้าได้รูป คิ้วเข้มหนา ขับให้ใบหน้าเขาดูคมเข้มขึ้น ขนตาที่งอนยาว(ยิ่งกว่าผู้หญิง) อยู่รอบดวงตาที่ฉายแววอาทร อ่อนโยนอยู่เป็นนิตย์ ไม่มีริ้วรอยต่างๆบนใบหน้า ในแบบที่คิดว่า คนวัย40 ปีอย่างเขาจะต้องมี ผิวหน้าของเขา บาง เรียบเนียน ทำให้ฉันรู้ว่า เวลาไม่อาจทำร้ายเขาได้เลย..ฉันเสียอีก ที่ดูเปลี่ยนแปลงมากกว่าเขา

      สิ่งที่ฉันพอจะมองเห็นว่า เขาเปลี่ยนไป นั่นคือผิวที่คล้ำ และทรงผมที่ตัดสั้นขึ้นเท่านั้น นอกนั้นแล้ว ฉันมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆเลย...หรือเขาถูกสต๊าฟไว้ที่อายุ 20 กว่าๆเท่านั้นเอง...ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้

      เราคุยกันได้ซักพัก เขาบอกว่า วันนี้เขามีเซอร์ไพรส์ฉัน ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีนี้ ฉันจะได้พบเซอร์ไพรส์นั้นแล้ว...ฉันถามเขาว่า คืออะไร เขาบอกว่า บอกก็ไม่เซอร์ไพส์ซิ

      คุณๆช่วยลุ้นกับฉันหน่อยนะคะ...มันคืออะไร				
29 สิงหาคม 2550 11:27 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร..เมื่อได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากกันถึง 13 ปี ตอน เพราะเรามีกัน

เสราดารัล

เป็นเช้าที่ฉันยังไม่ลุกจากที่นอน...การทำงานอย่างดึกดื่นของคืนก่อน ทำให้ฉันอยากตื่นสายกว่าปกติ ฉันถูกปลุกด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะเล็กข้างเตียงนอน

         รับสายอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก...นึกไม่พอใจคนโทรว่าช่างรบกวนกันได้แต่เช้า กรอกเสียงไปอย่างเสียไม่ได้ น้ำเสียงงัวเงีย หงุดหงิดของฉัน ทำให้คนปลายสายอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนพูดว่า "...เปิดรายการจมูกมด ช่อง7 ซิ พี่อ๊อด คีรีบูนของเรามาแน่ะ พี่จำได้ว่าเราชอบพี่อ๊อดมากนี่"....น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคย เบอร์โทรที่ไม่คุ้นตา ไม่ทำให้ฉันแปลกใจได้เท่า เจ้าของเสียงที่โทรมานี้ เป็นใคร....คนที่รู้ข้อมูลเชิงลึกของฉันขนาดนี้ ไม่ใช่เพื่อนเรียนมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพื่อนที่ทำงานแน่ๆ ต้องเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยม..แต่ถ้าเพื่อน ก็จะไม่แทนตัวว่าพี่...เขาคือใคร...ใครที่รู้เรื่องของฉันดีขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่สนิทกับฉันมากๆๆแน่
ฉันถามว่าเขาเป็นใคร ...แต่เขาไม่ตอบ ยังชวนฉันคุยไปเรื่อยๆ...ฉันไม่กล้าคุยด้วยมาก เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นใคร....เขาบอกว่าฉันเปลี่ยนไป น้ำเสียงเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ดูพูดจาเป็นงานเป็นการ เด็กร่าเริง ขี้เล่น ที่พี่รู้จักหายไปไหน...เมื่อเขาพูดประโยคนี้จบหัวใจฉันกระตุกวูบ...ใจเต้นแรงแทบนับจังหวะไม่ทัน..เป็นสัญญาณว่าความรู้สึกตื่นเต้นของฉันมาถึงขีดสุดแล้ว...ใช่...เขา....เขาจริงๆค่ะ...

       น้ำเสียงเขาแปลกไปจากเสียงที่ฉันเคยคุ้น แต่คนที่พูดแบบนี้กับฉัน ก็ไม่มีใคร นอกจากเขา ฉันทั้งแน่ใจ และไม่แน่ใจ ว่าจะใช่เขา ความคิดสับสน ขัดแย้งกันไปมา เขาโทรมาได้อย่างไร ทำไมเขาถึงโทรมา..ทุกคำถามวนเวียนอยู่ในใจฉัน..แปลกที่ฉันกลับพูดไม่ออก อยากถาม แต่ก็ถามไม่ออก เหมือนเขาได้ยินเสียงคำถามในหัวใจฉัน...เขาตอบ ทุกคำถามโดยที่ไม่ได้ยินเสียงฉันถามซักคำ เมื่อเขาพูด ทุกอย่างจึงกระจ่าง...ใช่ค่ะ....คือเขาจริงๆ

         13 ปีที่ผ่าน น้ำเสียงเขาเปลี่ยน จนฉันจำแทบไม่ได้ นอกจากน้ำสียงแล้ว เขาจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างอีกมั๊ยน๊อ...แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันเพิ่งแน่ใจในวันนี้ ว่าเขาไม่มีวันเปลี่ยน ก็คือ ฉันยังคงอยู่ในใจเขาเสมอ..การกระทำของเขาวันนี้ พิสูจน์ได้ดีค่ะ (ฉันไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไปหรอกนะคะ)

         เขาบอกว่า ที่ทำงานของเขา เปิดรายการนี้พอดี เขาเห็นพี่อ๊อดมาออกรายการ จำได้ว่าฉันชอบ เขาเลยรีบโทรมาบอก เขาได้เบอร์โทรฉันจากเพื่อนสนิทของฉันมานานแล้ว คิดอยู่หลายครั้งว่าควรโทรหรือไม่โทรดี หลายครั้งที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์แล้วก็วางสาย พอวันนี้เขาแทบไม่มีเวลาคิดด้วยซ้ำว่าจะโทรดีหรือไม่ เห็นรายการแล้ว กดโทรศัพท์หาฉันทันที 

         (ทำไมเขาจะจำไม่ได้ว่าฉันชอบพี่อ๊อดมากแค่ไหน...เมื่อตอนฉันเรียนมัธยมต้น วงคีรีบูน มาทำการแสดงที่งานประจำจังหวัดบ้านฉัน เมื่อทางวงประกาศหน้าไมค์ ขออาสาสมัครผู้หญิงร้องเพลงคู่กับพี่อ๊อด ฉันเป็นคนแรกที่กระโดดขึ้นบนเวที โดยมีเพื่อนทั้งกลุ่มช่วยกันดันขึ้น(เวทีสูงมาก) คืนนั้นฉันได้กุหลาบแดงจากพี่อ๊อด 1 ดอก ปลื้มไปหลายปี หลังจากนั้น วันรุ่งขึ้น ไม่มีใครในโรงเรียนที่ไม่รู้จักฉัน (ดังชั่วข้ามคืน...ทำไปได้) ตอนมัธยมปลาย เมื่อปิดเทอม ฉันลงมาหาเขาที่กรุงเทพ เพื่อจะกลับบ้านพร้อมกัน ฉันมาหาเขาพร้อมผลสอบได้ที่ 1 ของฉัน เขาให้รางวัลฉัน โดยพาฉันนั่งแท๊กซี่ไปหาพี่อ๊อดถึงบ้าน...ปลื้มจริงๆ)

         เราคุยกันไม่นานนัก..ต่างคนต่างขัดเขิน เราไม่รู้ว่าเราควรพูดคุยกันได้อย่างไร แค่ไหน..คนที่ไม่ได้ติดต่อกันถึง 13ปี ด้วยเหตุผลความจำเป็นบางอย่างที่เราต่างก็กระอักกระอ่วนใจที่จะพูดถึง แล้วมาวันหนึ่ง เรากลับมาคุยกันอีกครั้ง จะด้วยเหตุอะไรก็แล้วแต่ การพูดคุยสนิทสนมแบบก่อน ก็คงไม่ใช่ วันเวลาเปลี่ยน ชีวิตคนก็เปลี่ยน เราห่างเหินกันมานาน จนแทบเรียกว่ากลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันก็ว่าได้

          แต่.....เขาก็กลับมา...ด้วยสายใย ด้วยความผูกพัน..ฉันรู้จักวงคีรีบูนตั้งแต่ปี 2527 เขารู้ว่าฉันชอบวงดนตรีวงนี้มาก..นี่ปี2550 เวลาผ่านมาถึง 23 ปี เขายังคงจำได้ว่าฉันชอบพี่อ๊อด วงคีรีบูน คุณจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไร....ถ้าจะบอกว่า เขาไม่เคยลืม เขาไม่เคยลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉัน...เขามีเบอร์โทรของฉันอยู่ในมือมานานมาก แต่เขาก็หักห้ามใจที่จะไม่โทรหาฉัน แต่มาวันนี้ แค่เพียงเขาเจอพี่อ๊อด คีรีบูนนจอทีวี เขารีบโทรหาฉันโดยไม่รั้งรอ

         ฉันรีบเขียนเมล์ไปยังรายการจมูกมด ขอบคุณรายการที่ทำให้ฉันได้มีวันดีๆอย่างนี้อีกครั้ง...ขอบคุณเขา ที่ยังมีฉันในความทรงจำ...

        คงไม่ต้องบอกว่าฉันดีใจ ปลาบปลื้ม และซาบซึ้งใจแค่ไหน ที่เขายังจำทุกรายละเอียดของฉันได้ แม้กาลเวลาจะผ่านเนิ่นนานแค่ไหน...แต่นั่น ก็เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านมาเพียงชั่วครู่ ให้ฉันรู้สึกเย็นใจชั่วขณะเท่านั้น แล้วมันก็จะผ่านไป ฉันไม่หวังอะไรมากกว่านี้อีกแล้ว...แค่วันนี้ที่ได้ยินเสียงเขา ได้สัมผัสความอาทรอบอุ่นของเขาที่มีต่อฉัน..ก็เป็นความสุขใจในชีวิตอย่างที่สุดแล้วล่ะค่ะ

       แต่เหมือนเบื้องบน ต้องการทดสอบความเข็มแข็งในจิตใจของฉันอีกครั้ง...เมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันได้รับโทรศัพท์จากเขา....เขาโทรมาบอกว่า เขามาสัมมนาที่อยุธยา เขาอยากมาทานอาหารเย็นกับฉัน..เขาจะขับรถมาหาฉันที่กรุงเทพ...แม้จะดีใจที่เขาอยากเจอ..แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เตือนว่า ฉันไม่ควรเจอกับเขาอีก..สถานภาพของเขาเปลี่ยนไป...อะไรๆมันไม่เหมือนเดิม แล้วฉันจะให้คำตอบเขาอย่างไรดี...ทำตามใจตัวเอง หรือทำตามความถูกต้อง

       ถ้าเป็นคุณ คุณจะเลือกอย่างไหนกันคะ				
26 สิงหาคม 2550 23:19 น.

คุณจะรู้สึกอย่างไร...เมื่อได้กลับมาเจอคนรักเก่าที่พรากจากันถึง 13 ปี ตอน สายใยคงมั่น ความผูกพันคงมี

เสราดารัล

ฉันเคยคิดว่านิยายน้ำเน่า เป็นเรื่องเพ้อฝัน เป็นเรื่องสมมติ ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้กับคนในชีวิตจริง...ฉันยังคงเชื่อเช่นนั้น ถ้าวันนึงเรื่องน้ำเน่าเหล่านี้ มันจะไม่เกิดขึ้นกับฉัน

               หลังจากเสียงสะอิ้นไห้ของฉันเบาบางลงไปมากแล้ว...แม่บอกฉันว่า ทำใจเสียเถอะ อย่างไรเรื่องของฉันกับเขาก็ไม่มีวันลงเอยกันได้ เพราะบ้านเขา ไม่ชอบบ้านเรา...เหตุผลน่ะหรอ....บ้านคหบดีที่มีฐานะร่ำรวย มีลูกชายคนเดียวอย่างบ้านเขา คงไม่ต้องการลูกสะใภ้ที่เป็นลูกแม่ค้าธรรมดาๆอย่างฉันเป็นแน่..ถูก..แม้ฉันจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างไม่ได้ลำบาก..อยากได้อะไรแม่ก็หาให้ได้เสมอ..แต่ความที่เราสร้างเนื้อสร้างตัวมาจากการค้าขาย...ไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศชื่อเสียงสมกับตระกูลผู้ดีเก่าอย่างเขา...ฉันจึงถูกกีดกันจากชีวิตเขาโดยสิ้นเชิง

               เมื่อฟังแม่เล่าถึงตอนนี้ ฉันอดมองย้อนภาพในวันวาน ที่บัดนี้มันกลับกระจ่างชัดขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้...ในวันที่ฉันไปเยี่ยมเขาที่เข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลนั้น ฉันเจอคุณพ่อ คุณแม่ และพี่สาวคนโตของเขาที่เป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น ทุกคนให้การต้อนรับฉันอย่างเย็นชา หมางเมิน พ่อเขารับไหว้ฉัน แต่ไม่ทัก ไม่พูดกับฉันซักคำ ส่วนแม่เขา ก็ซักถามถึงเรื่องราวที่บ้านฉัน จนฉันอึดอัด และพี่สาวเขาที่ลอบมองฉันเงียบๆ ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ในคืนนั้น เขาฝากฉันนอนกับพี่สาวเขา ที่มีที่พักอยู่ในโรงพยาบาล...แต่เมื่อลับตาเขาไปนั้น..พี่สาวเขาไม่ได้สนใจไยดี หรือดูแลฉันตามที่เขาฝากฝังแม้แต่น้อย คนที่เอื้อเฟื้อให้ที่นอน ที่พักกับฉัน กลับกลายเป็นเพื่อนของพี่สาวเขา..ฉันต้องนอนกับคนที่ฉันไม่เคยรู้จัก แต่ช่างมีน้ำใจต่อฉันอย่างมากมายเหลือเกิน..รุ่งเช้า ฉันขอเขากลับไปพักกับเพื่อนที่บางกะปิ โดยไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อคืนวาน กับความไร้น้ำใจของพี่สาวของเขาแต่อย่างใด...เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้น ฉันเพิ่งได้คำตอบในวันนี้นี่เอง 

                  แม่ฉันบอกว่า...เขาทำให้เราเสียใจในวันนี้ ต่อไปเราต้องทำให้เขารู้สึกเสียดายเราได้เช่นกัน ขอให้น้ำตาของความเสียใจ ผิดหวังของลูก จงเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้เราต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้...เราแม่ลูก..จะพิสูจน์ตัวเอง

                    ความรู้สึกสูญเสีย ความผิดหวัง ความเสียใจ ทำให้ฉันผูกใจเจ็บโดยไม่รู้ตัว..ฉันคิดแต่ว่า..ต่อไปนี้ ฉันกับเขาคงเหมือนอยู่คนละโลก..ฉันจะไม่ติดต่อกับเขาด้วยวิธีใดๆก็ตาม..เมื่อเขาไม่เห็นค่าฉัน...ฉันก็ไม่ควรวิ่งตามเขาอีก เขาจะแต่งงานแล้ว แล้วเขาก็จะเป็นของผู้หญิงคนอื่น..ฉันต้องตัดใจ..และลืมเขาเสียตั้งแต่วันนี้ ฝังอดีตของเขากับฉันไว้ทั้งหมด ฉันไม่ควรคิดถึงเรื่องราวต่างๆอีกต่อไปแล้ว ชีวิตฉัน ตัวฉัน ยังมีค่า ไม่ได้ต่ำต้อยน้อยหน้าใคร ฉันควรจะรอวันที่จะมีใครซักคน เห็นค่าของเรา และรักเราอย่างจริงใจ  ชีวิตฉันยังคงต้องดำเนินต่อไป..ฉันไม่ควรที่จะโหยหาอาลัยกับสิ่งที่เขาได้เลือกแล้ว ด้วยตัวเขาเอง...

                     ฉันไม่คิดว่าแม่จะจริงจังกับคำพูดนั้น..ตราบจนเมื่อเวลาผ่านไป..จากแม่ค้าธรรมดาที่ต้องเช่าตึกเพื่อค้าขาย กู้แบงค์เอาเงินมาลงทุน เดี๋ยวนี้เราเป็นเจ้าของตึกแถว 4 คูหา ปลดหนี้แบงค์ได้ทั้งหมดกิจการค้าของแม่ขยายไปอย่างใหญ่โตและรวดเร็ว..เป็นร้านค้าที่ขายสินค้าครบวงจร ใหญ่ที่สุดในอำเภอ สำหรับฉัน..2 ปีให้หลัง แม่ส่งฉันเรียนในระดับปริญญาโท ซึ่งฉันสามารถสอบเข้าเรียนได้ในมหาวิทยาลัยรัฐอันดับ1ของเมืองไทย ฉันเรียนจบภายในเวลา 2 ปี และตัดสินใจอำลาชีวิตพนักงานบริษัท ทิ้งรายได้ก้อนโต เพื่อมาทำงานราชการ ฉันสอบบรรจุได้เป็นข้าราชการครู สอนระดับอุดมศึกษา ณ.มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพ...


                      ปี 2542 ฉันได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรอบรมครูในสังกัด สปช.ที่จังหวัดบ้านเกิดของฉัน...1 ในครูที่เข้าร่วมอบรมในวันนั้น เป็นพี่สาวคนที่ 2 ของเขา พี่เขายิ้มให้ฉัน และเข้ามาทัก พี่สาวคนนี้ แตกต่างจากคนแรกโดยสิ้นเชิง..แม้คุยกันไม่กี่คำ แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงน้ำใจไมตรีที่พี่เขาหยิบยื่นให้ ในวันสุดท้ายของการอบรม หลังจากพิธีปิดการอบรมเสร็จสิ้นลงแล้ว พี่สาวเขา เดินมาหาฉันพร้อมดอกไม้ช่อโต...โอว..เป็นดอกไม้โปรดของฉันเสียด้วย อดแปลกใจไม่ได้ว่า..ทำไมพี่เขาช่างเลือกได้เหมาะเจาะตรงใจฉันเช่นนี้ ฉันแอบคิดสงสัยอยุ่ได้ไม่นาน คำตอบมาถึง เมื่อพี่เขายื่นดอกไม้มาให้ฉัน พร้อมกับพูดว่า "มีคนฝากมาให้ และแสดงความยินดีกับอีกก้าวหนึ่งของฉัน" แม้จะไม่มีการ์ดอวยพรจากคนฝาก แต่ฉันก็จำข้อความนั้นได้ขึ้นใจ...เขาไม่เคยลืมฉัน....

                      ตอนนี้ แม้ดอกไม้ช่อนั้น จะเหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลา..แต่เขาจะรู้ไหมว่า...มันยังคงบานอยู่ในใจของฉันตลอดไป...และแม้ใจจะบอกให้ลืมเขาอย่างไร..ฉันกลับไม่เคยลืมเขาได้ซักวัน..ฉันใจไม่แข็งพอที่จะปฏิเสธดอกไม้ช่อนี้ของเขา...มันมีความหมายมากมายกับฉันจริงๆ

                      เวลาผ่านไป..ผ่านไป...และก็ผ่านไป.13 ปีที่เขาหายไปจากชีวิตฉัน ฉันเพียงแต่ทราบข่าวคราวของเขาเป็นระยะๆ จากเพื่อนฝูง จากคนในครอบครัว...ทุกครั้งที่ญาติๆฉันไปติดต่อธุรกรรมที่แบงค์ที่เขาทำงานอยู่ เขาก็มักจะช่วยอำนวยความสะดวกให้อยู่เสมอๆ และก็ถามข่าวคราวของฉันแทบทุกครั้ง

                     เราต่างรับรู้เรื่องราวของกันและกันอย่างเงียบๆๆ จนวันหนึ่ง เมื่อช่วงเดือน  พฤษภาคมที่ผ่านมา..ฉันได้รับโทรศัพท์จากเบอร์ไม่คุ้นตา ผ่านทางมือถือฉัน..แม้เมื่อรับสายแล้ว เสียงที่ฉันแน่ใจว่า ไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็ทำให้ฉันงุนงงสงสัยเป็นชั่วครู่ว่า...เขาคือใคร....

คุณๆรู้มั้ยคะ... เขาคือใคร?????				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเสราดารัล
Lovings  เสราดารัล เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเสราดารัล