31 มกราคม 2551 19:12 น.

​เอ​แบค​โพล​เผยคน​เชื่อมั่นรัฐบาล"สมัคร"​แก้ปัญหา ศก.​ได้ ​แต่อยู่​ไม่​เกิน 2 ปี

ลุงแทน

31 ม.ค. 2008 12:15 น.

     ศูนย์วิจัย​เอ​แบคนวัตกรรมทางสังคม ​การจัด​การ​และธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ​เผยผลสำรวจ​ความ​เชื่อมั่นของประชาชนต่อนายสมัคร สุนทร​เวช นายกรัฐมนตรี ​เกี่ยวกับ​การ​แก้​ไขปัญหาสำคัญของประ​เทศ​ และลักษณะของรัฐมนตรีที่พึงประสงค์ พบว่า ประชาชนส่วน​ใหญ่ต้อง​การนายกรัฐมนตรีที่มีคุณสมบัติ​เรื่อง​ ความซื่อสัตย์สุจริตมากที่สุด รองลงมาคือเชื่อมั่นมากที่สุดว่านายสมัครจะสามารถ​แก้​ไข​ได้

    จาก​การสำรวจยังพบว่าประชาชนส่วน​ใหญ่ 48% ต่างต้อง​การ​ให้รัฐบาล​ทำงานอยู่จนครบวาระ ​เนื่องจาก​เห็นว่า​เป็นพรรคที่​ทำงาน​ให้ประชาชน​ได้ดีที่สุด ​และคนของพรรคมี​ความรู้​ความสามารถ ​แต่​ทั้งนี้ประชาชนส่วน​ใหญ่​ถึง 58.5% ต่างคาด​การณ์ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีอายุ​การ​ทำงาน​ไม่​เกิน 2 ปี​เท่านั้น
         "​เนื่องจากประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ประชาชนส่วน​ใหญ่​จึงคาด​การณ์ว่ารัฐบาลจะอยู่​ไม่​เกิน 2 ปี ​เพราะจะ​เกิด​ความ​แตก​แยกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล พรรค​การ​เมืองบางพรรคอาจถูกยุบตามกระบวน​การยุติธรรม ​เกิดปัญหาทุจริตคอรัปชั่น มี​ความ​ไม่​แน่นอน​เกิดขึ้น​ได้ตลอด ​เกิด​การชุมนุมประท้วงขัด​แย้งรุน​แรง ​ไม่​เชื่อมั่นต่อพรรคร่วมรัฐบาล ​และอาจ​เกิด​การปฏิวัติ รัฐประหาร​ได้อีก" นายนพดล กรรณิกา ​ผู้อำนวย​การศูนย์วิจัย​เอ​แบคนวัตกรรมทางสังคม ​การจัด​การ​และธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ระบุ
         อย่าง​ไร​ก็ดี สิ่งที่ประชาชนต้อง​การ​ให้รัฐบาลชุดนี้นำ​แบบอย่างของรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี มา​เป็น​แบบอย่างคือ ​เรื่อง​ความซื่อสัตย์ สุจริต ขณะที่ต้อง​การ​ให้นำ​แบบอย่าง​เรื่อง​การ​แก้ปัญหารวด​เร็ว​และกล้าตัดสิน​ ใจ ของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มา​ใช้​เป็น​แบบอย่าง
         ​ทั้งนี้ผลสำรวจดังกล่าวมาจาก​การสอบถาม​ความคิด​เห็นของประชาชน​ ผู้มีสิทธิ​เลือกตั้งที่มีภูมิลำ​เนา​ใน 27 จังหวัดของประ​เทศ จำนวน​ทั้งสิ้น 3,506 ตัวอย่าง ​ในช่วงระหว่างวันที่ 20-30 ม.ค.ที่ผ่านมา				
31 มกราคม 2551 18:53 น.

*** บทความเพื่อคุณครู ***

ลุงแทน

คำว่า “ครู” นั้น หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของสังคมและประเทศชาติ ดังนั้น หน้าที่ของครูจึงมิใช่เพียงการหล่อหลอมคนๆหนึ่งให้มีวิชาความรู้เท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึง การดูแลอบรมสั่งสอนทั้งด้านความประพฤติ และอบรมด้านศีลธรรมจรรยาแก่เด็กด้วย ภาระของครูจึงเป็นภาระที่หนักยิ่ง 
    ดร.รุ่ง แก้วแดง อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้เขียนในหนังสือ "ปฏิวัติการศึกษาไทย” ความตอนหนึ่งว่า "ครู มีบทบาทและความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้ให้การศึกษาของชาติ ครู คือ ผู้กำหนดอนาคตของคนในชาติ ชาติใดก็ตามที่ได้ครูเป็นคนมีความรู้ เป็นคนเก่ง เป็นคนเสียสละ ตั้งใจทำงาน เพื่อประโยชน์ของนักเรียน ชาตินั้นจะได้พลเมืองที่เก่งและฉลาด มีศักยภาพและมีความสามารถที่จะแข่งขันกับทุกประเทศในโลกได้”

          จากคำกล่าวดังกล่าว จะเห็นได้ว่า “ครู” เป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญเพียงใด เพราะนอกเหนือจากการเป็นผู้ให้การศึกษาแก่เด็ก ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์แล้ว ครูยังต้องเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่สั่งสอนอบรมให้เด็กและเยาวชนได้พบกับแสงสว่างทางปัญญา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง และช่วยนำพาสังคมและประเทศชาติก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไปในอนาคตด้วย

          ด้วยเหตุที่ เป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญเพียงใด เพราะนอกเหนือจากการเป็นผู้ให้การศึกษาแก่เด็ก ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์แล้ว ครูยังต้องเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่สั่งสอนอบรมให้เด็กและเยาวชนได้พบกับแสงสว่างทางปัญญา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง และช่วยนำพาสังคมและประเทศชาติก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
ในอนาคตด้วยด้วยเหตุที่ “ครู” มีทั้งบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญยิ่งดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้มีการกำหนด มีทั้งบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญยิ่งดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้มีการกำหนด “วันครู” ขึ้น เพื่อให้ผู้เป็นศิษย์ได้ระลึกและตระหนักถึงบุญคุณของครูทั้งหลาย ที่ได้ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นจำนวนมาก และเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน อีกทั้งเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติคุณของครูให้ปรากฏแก่สาธารณชน ขึ้น เพื่อให้ผู้เป็นศิษย์ได้ระลึกและตระหนักถึงบุญคุณของครูทั้งหลาย ที่ได้ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นจำนวนมาก และเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน อีกทั้งเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติคุณของครูให้ปรากฏแก่สาธารณชน

          อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้เขียนในหนังสือ ความตอนหนึ่งว่า เป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญเพียงใด เพราะนอกเหนือจากการเป็นผู้ให้การศึกษาแก่เด็ก ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์แล้ว ครูยังต้องเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่สั่งสอนอบรมให้เด็กและเยาวชนได้พบกับแสงสว่างทางปัญญา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง และช่วยนำพาสังคมและประเทศชาติก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง
ต่อไปในอนาคตด้วยด้วยเหตุที่ มีทั้งบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญยิ่งดังที่กล่าวมาแล้ว จึงได้มีการกำหนด ขึ้น เพื่อให้ผู้เป็นศิษย์ได้ระลึกและตระหนักถึงบุญคุณของครูทั้งหลาย ที่ได้ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นจำนวนมาก และเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อท่าน อีกทั้งเพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติคุณของครูให้ปรากฏแก่สาธารณชน


มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู

1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์
    จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสีย
    เกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับ
    บัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและ
ระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตน
    ไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบัง
    ใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหา
    ประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงาน
    และของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน				
31 มกราคม 2551 18:49 น.

*** พระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ พระราชอำนาจเพื่อปวงประชา ***

ลุงแทน

รัฐธรรมนูญ  เป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ  ซึ่งบทบัญญัติต่าง ๆ ของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะเปลี่นแปลงไปตามสภาพการณ์ของบ้านเมืองในกาลสมัยนั้น และนับตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ  เมื่อวันที่  ๙ มิถุนายน ๒๔๙๐ มีรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้ในรัชสมัยของพระองค์ท่าน  ประกอบด้วยรัฐธรรมนูญที่ผ่านกระบวนการพิจารณา
และให้ความเห็นชอบจากรัฐสภาหรือองค์กรด้านนิติบัญญัติ  ซึ่งจัดทำอยู่ในรูปของสมุดไทย จำนวน  ๘ ฉบับ  และรัฐธรรมนูญที่มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  เนื่องจากเป็นรัฐธรรมนูญที่มีการประกาศใช้โดยมิได้ผ่าน
กระบวนการพิจารณาและให้ควมเห็นชอบจากรัฐสภา จำนวน  ๗ ฉบับ  รวมเป็น ๑๕ ฉบับ ดังนี้


          ๑.  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว)  พุทธศักราช ๒๔๙๐  มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมขุนชัยนาทนเรนทร  ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ลงนาม  เมื่อวันที่  ๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๐
          ๒.  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๔๙๒  จัดทำเป็นสมุดไทย และคณะอภิรัฐมนตรี  ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  จำนวน  ๕ คน  เป็นผู้ลงพระนามและลงนาม  เมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๔๙๒    ณ พระที่นั่งราชกัลณยสภา
          ๓.  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๔๗๕  แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕   จัดทำเป็นสมุดไทย   และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่  ๘ มีนาคม ๒๔๙๕  ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
          ๔.  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๐๒  มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๐๒
          ๕. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๑๑  จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๑๑  ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม
          ๖. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๑๕  มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม  ๒๕๑๕  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
          ๗. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๑๗  จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๗ ๒๕๑๗   ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
          ๘. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๑๙  มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม  ๒๕๑๙  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
          ๙. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๒๐  มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน  ๒๕๒๐  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
         ๑๐. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๒๑  จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม  ๒๕๒๑  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
         ๑๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๓๔  มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม  ๒๕๓๔  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
         ๑๒. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๓๔  จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม  ๒๕๓๔  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
         ๑๓. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๔๐  จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม  ๒๕๔๐  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
         ๑๔. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชัวคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙  มิได้จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม  ๒๕๔๙  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
         ๑๕. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๕๐  จัดทำเป็นสมุดไทย  และทรงลงพระปรมาภิไธย  เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม  ๒๕๕๐  ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน

          การลงพระปรมาภิไธในรัฐธรรมนูญ  เป็นการแสดงให้เห็นถึงการใช้พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประการหนึ่ง  ซึ่งที่ผ่านมาในอดีตถึงแม้จะไม่ปรากฏว่าทรงใช้พระราชอำนาจยับยั้งร่างรัฐธรรมนูญโดยการ
ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยก็ตาม  แต่เคยมีกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงไม่เห็นด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช ๒๕๑๗  ที่ได้ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนั้นแล้ว  โดยทรงเห็นว่าควรมีข้อแก้ไขบางประการและทรงมีกระแสพระราชดำรัสกับหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์  ปราโมท  ลงมาก่อนที่จะทรงลงพระปรมาภิไธย  ทั้งนี้ ทรงตั้งข้อสังเกตบางประการเกี่วกับร่างรัฐธรรมนูญ  ที่สำคัญคือทรงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้ประธานองคมนตร
ีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก  ด้วยเหตุที่ว่าประธานองคมนตรีเป็นผู้ที่พระมหากษัตริย์ทรงเลือกและแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย  ซึ่งการบัญญัติเช่นนี้จะทำให้ขัดกับหลักการตามระบอบประชาธิปไตยที่ว่า  พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมือง  ซึ่งในเวลาต่อมารัฐบาลขณะนั้นได้ดำเนินการแก้
ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวตามคำแนะนำของพระองค์ท่าน  จะเห็นได้ว่าการที่พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมิได้ยับยั้งร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าว  อาจเนื่องด้วยทรงเล็งเห็นว่าบ้านเมืองในขณะนั้น
มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องประกาศใช้รัฐธรรมนูญ  ซึ่งหากใช้พระราชอำนาจยับยั้งไว้อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติได้  ดังนั้นจึงทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ เพื่อประกาศใช้ก่อนแล้วึงทรงแนะนำให้แก้ไขเพิ่มเติมภายหลังในส่วนที่ไม่เหมาะสม  แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านที่มรงใช้พระราชอำนาจ  โดยคำนึงถึงประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร
์และความเจริญก้าวหน้าหมั่นคงของประเทศชาติเป็นสำคัญ

          ตลอดระยะเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่าง ๆ  ภายใต้กรอบของกฎหมายและทรงยึดหลักทศพิธราชธรรมในการปกครองประเทศอย่างเคร่งครัด  แม้ในยามที่บ้านเมืองประสบภาวะวิกฤติเกิดความสับสนวุ่นวายขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ วันมหาวิปโยค  เหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อวันที่  ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙  หรือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เมื่อปี ๒๕๓๕ ก็ตาม  พระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้พระปรีชาญาณอันสุขุม  และทรงใช้วิธีการตามครรลองแห่งวิถีประชาธิปไตยเข้าแก้ไขปัญหาในเหตุการณ์หลาย ๆ เหตุการณ์ให้คลี่คลายลง  โดยพระราชทานคำแนะนำต่าง ๆ แก่รัฐในเรื่องที่รัฐนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อขอพระราชทานคำปรึกษา  รวมทั้งทรงตักเตือนเพื่อยุติเหตุแห่งปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  ซึ่งจากที่กล่าวมาจึงถือได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น  "พระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตย" อย่างแท้จริง				
29 มกราคม 2551 10:06 น.

ข่าวประชาสัมพันธ์ "จากแก้ว"

ลุงแทน

โครงการคืนแสงสว่างให้ผู้ป่วยต้อกระจกและต้อเนื้อ ขอเรียนเชิญผู้ป่วยทุกท่านมารับ บริการผ่าตัดต้อต้อกระจกและต้อเนื้อ ฟรี โดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น
โดยมีแพทย์ของโรงพยาบาลบ้านแพ้ว(องค์การมหาชน) สาขาสุขุมวิท ซอย 24 ติดต่อได้ที่
               บริษัททาสของแผ่นดิน จำกัด (02-2629454-5, 02-2618213-7) เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์ 8.00-17.00 น.
               เลขที่ 99/359-360 ซอยสุขุมวิท 24(เกษม) ถนนสุขุมวิท ! แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
               โทร 02 262 9454-5 แฟ็กซ์ 02 262 9454
     ****เอกสารที่ต้องนำมาด้วย ถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรทอง อย่างละ 2 ใบ แพทย์จะทำการตรวจคนไข้ใหม่เฉพาะวันพุธและวันศุกร์ กรุณาโทรแจ้งล่วงหน้า****  
คนบางคนอาจจะเห็นว่าไม่สำคัญแต่สำหรับบางคนอาจจะต้องการแสงสว่าง
เพื่อที่จะทำให้ชีวิตเค้ามีค่ามากว่าอยู่ในความมืดมัว ถ้าใครมีจิตศรัทธาที่จะทำบุญช่วยกัน บอกต่อๆไปด้วย การทำบุญด้วยการให้แสงสว่างแก่คนมีค่ามากกว่าสิ่งใดเพราะมันจะช่วยให้
ชีวิตหนึ่งชีวิตที่พวกคุณหยิบยื่นไปให้ได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง				
28 มกราคม 2551 19:18 น.

^*^ เกิดมาทำไม? ^*^

ลุงแทน

อุปมาแห่งชีวิต :
เรียบเรียงจากหนังสือธรรมโฆษณ์ /ชุดสันทัสเสตัพพธรรม
พุทธทาสภิกขุบรรยาย
..........“สิ่งสำคัญในพุทธศาสนาที่ได้กล่าวไว้โดยภาษาธรรม
ทำไมจึงพูดโดยหัวข้อนี้ ที่พูดถึงสิ่งสำคัญในพุทธศาสนาพูดไว้โดยภาษาคน
แต่ต้องถือเอาตาม ความหมายตาม ภาษาธรรม?
เพราะว่าคำพูดที่เกี่ยวกับหลักธรรมในพุทธศาสนานั้น
มันเป็นเรื่องที่สูงที่ลึก มีภาษาพูดเป็นของตัวเองเฉพาะ
แต่ทีนี้มันก็พูดไม่ได้เสมอไป
คือ มันยากเกินไปบ้าง มันเข้าใจไม่ได้สำหรับคนทั่วไปบ้าง
ก็ต้องพูด โดยภาษาที่คนธรรมดาพูด แต่ให้มีความหมายพิเศษแปลกออกไป
เพื่อความหมายของผู้ที่รู้ธรรม ที่เรียกว่าการประพฤติพรหมจรรย์
หรือ การเดินไปตามอริยมรรคมีองค์แปด
เป็นการเดินไปทางข้างหน้า ที่สูงกว่า ชีวิตจึงเป็นการเดินทาง
............”สิ่งสำคัญในพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าเรื่องการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์
การทำความดับทุกข์ เราเปรียบเทียบเป็นอุปมาได้หลายอย่าง เป็นการเดินทางก็มี
เป็นการอะไรก็มี หลายอย่างด้วยกัน ซึ่งจะยกตัวอย่างมาให้ดูสัก ๑๒ อย่างคือโหลหนึ่งพอดี
ทั้งนี้ก็เพราะว่า ถ้าหาก ท่านทั้งหลาย เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านี้โดยถูกต้องแล้ว
จะมีประโยชน์มาก จะสะดวกมากในการที่จะฟังธรรมะ ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะต่อๆไปข้างหน้า ทีนี้ลองฟังดู ในขั้นแรกนี้จะยกหัวข้ออุปมานั้นมาพูด คือพูดแต่โดยหัวข้อก่อนแล้วก็พูดรายละเอียดทีหลัง
ข้อที่ ๑. ข้อที่ สำคัญที่สุด คือมีมากที่สุดที่ใช้พูดกัน ก็คือว่า ชีวิตนี้เหมือนกับการเที่ยวเรือไปในทะเล เหมือนกับพ่อค้าเรือท่องเที่ยวไปในทะเลเพื่อหาสิ่งที่ต้องประสงค์ สมัยก่อนนี้เห็นได้ง่าย เขาไม่มีรถไฟ ไม่มีเรือบิน มันมีเรือเดินทะเล เขาก็เที่ยวกันไปกระทั่งทั่วโลกได้เหมือนกัน ลงเรือไปในทะเลก็เพื่อไปหาอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเขา จนกว่าจะได้ พอได้แล้วก็หยุด หยุดเลิกเที่ยว ชีวิตของคนเราเหมือนกับลงเรือค้า เที่ยวไปค้าขายหาอะไรที่ต้องการ คือ เงิน ตามถิ่นต่าง ๆ จนกว่าจะหยุด
ข้อที่ ๒. ชีวิตนี้เหมือนกับเดินทางไกล เดินทางบก เดินทางเท้าไปที่เมือง ๆ หนึ่ง
ที่เรียกว่าเมืองนิพพาน หรือเมืองอมตะ ก็แล้วแต่จะเรียก มันก็ต้องเดินทางไกล ก็ไป
ด้วยความยากลำบาก อริยมรรคมีองค์แปด เปรียบเหมือนกับเดินทางไกลก็ได้
คนจะเดินทางไกลต้องมีความรู้ เช่นแผนที่ ที่เราจะเดินไปต้องมีการตระเตรียม
ต้องมีการอารักขา ต้องมีเสบียงอาหาร ต้องมียานพาหนะ แม้ที่สุดแต่รองเท้าหรือร่ม นี้ก็เรียกยานพาหนะ จนกว่าจะไปถึงเมืองนั้นชีวิตนี้ก็เหมือนกัน ก็เดินทางวิญญาณ เดินทางนามธรรม
เดินอยู่ภายใน จนกว่ามันจะถึงจุดหมายปลายทาง การ ปฏิบัติ อริยมรรคมีองค์แปด
เป็นการเดินทางอยู่ข้างใน.
ข้อ ๓. ชีวิตเปรียบเหมือนกับว่า ออกไปสู่ฝั่งโน้น แผ่นดินฝ่ายนี้มีแต่ เรื่องร้ายกาจทั้งนั้น ก็อยากจะออกไปสู่ฝั่งโน้น ฝั่งนี้เรียกว่า ตีระ ฝั่งโน้นเรียกว่า ปาระ นิพพานเป็นชื่อของปาระ คือฝั่งโน้น, โลกิยะ เป็นชื่อของ ตีระ คือฝั่งนี้ แต่ว่าน้อยคนนักที่จะออกไปสู่ฝั่งโน้นได้ ส่วนมากก็วิ่งเลาะอยู่ตามฝั่งนี้ อย่างบทสวดมนต์ที่เราสวดกันอยู่ทุกวัน
ข้อที่ ๔. ชีวิตเปรียบเหมือนออกจากโลกไปสู่โลกอุดร ฟังดูคล้ายว่า โลกนี้มันไม่ไหว จะไปสู่โลกอื่น คือโลกอุดร ที่แท้คำว่า “โลกอุดร” แปลว่า เหนือโลก พ้นโลกไม่เกี่ยวกับโลก โลกหรือโลกิยะนี้มันเหลือทน ทีนี้ต้องการจะออกไปเสียจากโลก ไปสู่นอกโลก คือ โลกุตตระ นี้ก็เรียกว่า ๔ อย่างที่กล่าวมานี้เป็นเรื่อง “ ไป ” ชีวิตไม่ได้หยุดนิ่ง เป็นชีวิตที่ ไป-ไป-ไป ฯลฯ เที่ยวเรือไปในทะเล ไปหาที่ต้องการ
หรือว่าเดินทางไกลไปสู่เมืองนิพพาน หรือว่าออกไปเสียจากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น หรือออกไปเสียจากโลกไปสู่ โลกุตตระ
ข้อที่ ๕. อุปมาอีกพวกหนึ่ง เป็นเรื่องจะได้เอาอะไร เช่นเปรียบชีวิตหรือการปฏิบัติธรรมเหมือนกับการทำนา การทำนาทุกคนรู้จักดีว่าทำอย่างไร แต่ทำนาตามแบบของพระพุทธเจ้ายังไม่รู้จัก เป็นการทำนาที่มี อมตะ เป็นข้าวเปลือก เนื่องจากมีคนต่อว่าพระพุทธเจ้า ทำนองด่าใส่หน้า ว่าดีแต่กิน ไม่เห็นทำอะไร พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า ท่านก็ ทำนา เหมือนกัน ทำนาที่มี อมตะ เป็นผล, มีศรัทธา เป็น ข้าวพืช เป็นข้าวกล้า เป็นเม็ดข้าวพืช, มีตบะ เป็นน้ำฝน, มีปัญญา เป็นตัวไถสำหรับไถนา เพราะมันคม, มีหิริ ความละอายบาปที่ทำให้งามเป็นงอนไถ, มีใจ เป็นเชือกไถ มีครบทุกอย่างเหมือนกัน แล้วมีการบรรลุมรรคผลนี้ เป็นการสิ้นสุดฤดูทำนา หยุดการทำนา ได้ผลเป็นข้าวเปลือก เป็นอมตะ ถ้าพูดอย่างนี้กับคนทำนา เขาเข้าใจได้ง่าย ตาพราหมณ์คนนั้นกำลังไถนาอยู่ พระพุทธเจ้าท่านแกล้ง
ท่านทรงแกล้งเข้าไปให้มันด่าเล่น แล้วท่านก็ตอบคำถามนี้ นี้เรียกว่า ชีวิตเป็นการทำนา การปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปดนี้เป็นการทำนา จนกว่าจะได้ข้าวเปลือกเป็นอมตะมา
ข้อที่ ๖. ว่าชีวิตนี้เหมือนกับการรักษาคนให้หายจากโรค คนที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ก็พยายามรักษาตนให้หายจากโรค แต่นั่น มันเป็นโรคทางกาย อย่างดีก็เป็นโรคทางจิต ไปโรงพยาบาลธรรมดาไปโรงพยาบาลโรคจิต แล้วก็ไปรักษาให้หาย
แต่โรคที่ร้ายนั้นคือโรคทางวิญญาณ ต้องไปโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า โรคทางวิญญาณ ก็คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง อะไรเหล่านี้ที่ มันเสียบแทง เผาลนอย่างยิ่ง ทนทรมานอย่างยิ่ง
ต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า แล้วรักษาให้โรคนี้หายไป เปรียบชีวิตนี้ก็เหมือนกับการรักษาตนให้หายโรค เพราะเราเกิดมาก็มี โลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นงอกงาม ขึ้นมาเรื่อย ก็เป็นโรคที่เจริญขึ้นเรื่อย ก็หาทางรักษาให้หายไป ชีวิตนี้ ก็เหมือนการรักษาตนให้หายจากโรค
ข้อที่ ๗. ว่า ชีวิตนี้เหมือนกับการถอนลูกศรที่กำลังเสียบอยู่ คือว่าใครคนหนึ่งถูกลูกศรเสียบอยู่ที่ตัว ก็ต้องรีบพยายามอย่างยิ่งที่จะถอนออกมาเสียแล้วก็รักษาแผลให้หายเสีย
อย่ามัวโง่ไปเที่ยวถามอยู่ว่าใครยิงกู ยิงเพราะเหตุไร มันเอาอะไรทำลูกศร มันเอาอะไรทำสายศร
นั่นมันเป็นความคิดที่จะคิดไปโง่ ๆ เสียเวลาเปล่า มันต้องรีบคิดรีบทำไปในทำนองว่า จะเอาออกได้อย่างไร จะรักษาหายได้โดยเร็วอย่างไร อย่าไปมัวโง่ถามว่า วิญญาณมีหรือไม่มี ตายแล้วอะไรไปเกิด เกิดด้วยอะไรอย่างไร มันเป็นคำถามที่โง่ ๆ ไปมัวคิดเรื่องที่ไม่จำเป็น ต้องมีคำถามว่า มันเกิดอยู่แล้วอย่างนี้ มันมีปัญหาคืออะไร จะแก้ปัญหานี้อย่างไร
มันมีความทุกข์ มันจะต้องดับทุกข์ ทุกข์มันเกิดจากอะไร ก็ต้องแก้ที่นั่น ไม่ต้องมัวถามว่าตายแล้วเกิด หรือไม่เกิดเป็นต้น มันควรจะถามว่า ที่เกิดอยู่นี่ทำอย่างไร ถ้าทำให้เสร็จเรื่องมันก็จบ ถ้าทำเสร็จคือรู้ว่าดับทุกข์อย่างไร ดับได้แล้วนี้มันดับตัวกูของกูหมด ตับตัวตนเสียหมด ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
นั่นปัญหาเรื่องเกิดเรื่องตายมันก็สูญหายไปเลย เหลือแต่ว่ามีความทุกข์ แล้วก็ดับทุกข์เสียได้
นี้แหละ ชีวิตนี้ เหมือนการ ถอนลูกศร ที่กำลังเสียบ อยู่ที่ตัว เรามีหน้าที่ถอนออกให้ได้เท่านั้น
ข้อที่ ๘. ชีวิตเหมือนกับการดับไฟที่ไหม้อยู่ที่ศีรษะ
นี้ก็คล้ายกับที่แล้วมา เพียงแต่เขาเปรียบเป็นไฟที่กำลังไหม้อยู่บนศีรษะ นี้ ก็เพื่อให้มองเห็นว่าเป็นเรื่องรีบด่วนเหลือเกิน รีบด่วนอย่างยิ่ง อย่าไปมัวรอช้าอย่างอื่น ต้องรีบดับไปที่ไหม้อยู่ที่ศีรษะ ไฟนี้มีความหมายร้อน ร้อนก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ อีกนั่นแหละ
ราคัคคินา ร้อนด้วยไฟ คือราคะ
โทสัคคินา ร้อนด้วยไฟ คือโทสะ
โมหัคคินาร้อนด้วยไฟ คือโมหะ,
หมายถึงมันร้อนมันเผา ส่วนลูกศรนั้นหมายถึงเสียบแทง มันต่างกันเพียงความหมายที่ว่า ร้อนหรือเสียบแทง แล้วก็ต้องรีบดับโดยไม่ต้องไปมัว ค้นว่าต้นไฟอยู่ที่ไหน ใครมันจุด;
นั่นไว้ทีหลัง หรือ ไม่ต้องก็ได้ ดับไฟให้ได้แล้วอย่าให้มันลุกขึ้นมาได้อีกก็พอแล้ว
ข้อที่ ๙. ชีวิตนี้เปรียบเหมือนการพยายามติดตามฆ่ายักษ์มาร ยักษ์มารในภาษาคนมันก็รู้กันอยู่แล้วในนิยายนิทานว่ามีอยู่อย่างนั้น ๆ ติดตามกันด้วยความยากลำบาก อุบายฉลาดฆ่ายักษ์ฆ่ามารสำเร็จไปได้; แต่ความหมาย ทางภาษาธรรม นั้น มันก็ละเอียด เพราะมารนี้ยังไม่รู้อยู่ที่ไหนด้วยซ้ำไป
จะไปฆ่ามันอย่างไร.
กิเลสมาร ขันธมาร สังขารมาร มัจจุมาร เทวปุตตมาร ล้วนแต่เป็นมารทั้งนั้น กิเลสก็เป็นมาร,
ร่างกายตามธรรมชาติก็เป็นมาร , ผลกรรมก็เป็นมาร, ความตายก็เป็นมาร, เทวดาอีกประเภทหนึ่งก็เป็นมาร เทวดาประเภทนี้หมายถึง กามารมณ์ มันเป็นมาร เมื่อเราไม่รู้จักมาร มันก็เป็นมารเสียเอง ตัวเองก็เป็นมารเสียเอง จะไปฆ่ามารอะไรได้ ฉะนั้นเป็นหน้าที่ ที่จะต้องรู้จักมารและเครื่องมือเครื่องใช้อุบายวิธีที่จะฆ่ามาร ชีวิตนี้มันเหมือนกับการพยายามติดตามฆ่ามาร มิฉะนั้นมารก็จะเจริญงอกงามมากขึ้น ๆ นี้ให้รู้จักว่ามารอยู่ที่ตรงไหนคืออะไรบ้าง อุปมาเรื่องมารนี้เขียนเป็นนิยายกันสนุกสนานมาก
ข้อที่ ๑๐. สูงขึ้นไปในทางธรรม ชีวิตนี้เปรียบเหมือนการทำลายเปลือกหุ้มฟองไข่ ออกจากที่ มืด มาสู่ที่ สว่าง ฟองไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่นกอะไรก็ตามมันหุ้มสัตว์ตัวเล็ก ๆไว้ในไข่นั้น ถ้าสัตว์ตัวเล็ก ๆ นั้น ทำลายเปลือกฟองออกมาไม่ได้ มันต้องตายแน่ มันต้องตายอยู่ในเปลือกไข่ แล้วมันก็ได้ตายไปเป็นส่วนมากเหมือนกัน สำหรับคนเราเปลือกฟองไข่นั้น คือ อวิชชา พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนั้น พระพุทธเจ้า ท่านเป็นบุคลแรก เป็นลูกไก่ตัวแรกที่ทำลายเปลือกฟอง คืออวิชชา ออกมาได้; นี้เป็นพุทธภาษิตที่ท่านตรัสเอง ไม่ใช่ว่าเราพูด อวิชชาเป็นเปลือกหุ้มเหมือนกับเปลือกไข่หุ้มลูกไก่ในฟองไข่ มันก็ใช้ปากดันออกมาให้ทะลุ ใช้เท้าถีบให้แตกออกไป มันออกมาได้ นั้นแหละคือผู้สามารถทำลายเปลือกฟองไข่ คืออวิชชา ผิดกันแต่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นตัวแรก ท่านเรียกพระองค์เองว่า ลูกไก่ตัวพี่ที่สุด ที่สามารถออกเป็นตัวอย่างเป็นตัวแรก แล้วก็มีลูกไก่มากมาย ทำได้ตามอย่าง ออกมาเป็นพระอรหันต์อีกมาก เดี๋ยวนี้ คนเราไม่รู้สึกตัวว่า เรานี้กำลังอยู่ในเปลือกฟองไข่ก็เลยอวดดี ยกหูชูหางอย่างนั้นอย่างนี้ มันหารู้ไม่ว่ามันกำลังอยู่ในเปลือกฟองไข ที่เรา นั่ง นอนยืนเดิน ทำอะไรวุ่นไปหมด อยู่เดี๋ยวนี้
มันอยู่ในเปลือกฟองไข่อย่างไรไม่รู้ทั้งนั้น;
ฉะนั้น ส่วนมากที่สุดมันจึงตายอยู่ในเปลือกฟองไข่ ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดมาจนเข้าโลงไป มันมีอาการเหมือนกับตายอยู่ในเปลือกฟองไข่จนตลอดชีวิต ชีวิตที่เป็นการทำลายเปลือกฟองไข่ออกมาได้นี้
นับว่าประเสริฐ เป็นอุปมาที่เป็น ธรรมะ มากขึ้น
ข้อ ๑๑. ที่สูงขึ้นไปเป็นธรรมะยิ่งขึ้นไปคืออุปมาที่ ๑๑ ว่า ชีวิตนี้มันเหมือนกับการหาจุดเย็นที่สุดในกลางเตาหลอม ขอให้นึกถึงเตาหลอม หลอมเหล็ก หลอมอะไรก็ตามใจ มันต้องใช้ ความร้อนสูง มากมันจึงจะทำให้โลหะละลายได้ แล้วเขาบอกให้หาจุดเย็นที่สุดตรงจุดศูนย์กลางของ เ ตาหลอม ก็ลองหลับตามองเห็นภาพเตาหลอมขนาดใหญ่ หลอมเหล็กทีละร้อยตัน มันใหญ่เท่าไร? มันร้อนเท่าไร? แล้วก็หาจุดเย็นที่จุดศูนย์กลางเตาหลอมได้อย่างไร นั้น มันเป็นเรื่องวัตถุ ส่วนเรื่องของจิตใจ นี้เราต้องรู้ว่า สัตว์ที่เวียนว่ายอยู่นี้ นั้นเหมือนกับอยู่กลางเตาหลอม คือว่า โลกทั้งโลก ใหญ่เท่าไรก็ตามใจ รู้เอาเองก็แล้วกัน ว่าโลกทั้งโลกมันเป็นเตาหลอม แล้วมันเต็มอยู่ด้วยไฟ คือโลภะ โทสะ โมหะ ยิ่งสมัยนี้แล้วไฟร้อนจัดขึ้นทุกที สมัยปัจจุบันนี้ความเจริญก้าวหน้าแบบใหม่ของเขานี้ก็คือ ทำโลกให้เป็นเตาหลอมมากขึ้นทุกที ถ้าเราไม่มีปัญญาจะต่อสู้ เราจะสุกไหม้อยู่ในเตาหลอม นั้นแหละ แต่เรามีปัญญา ของพระพุทธเจ้า หรือ หลัก ของพระศาสนามาช่วยเราก็หาพบจุดเย็นที่สุดท่ามกลางเตาหลอม ยิ่งร้อนเท่าไร ยิ่งเย็นเท่านั้น คือมันเท่ากัน : ไฟดวงน้อย ๆ เราดับมันลงไป มันก็เย็นที่สุด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวมันจะร้อนเท่าไรก็ตามใจ เราดับได้มันก็เป็นเรื่องเย็นที่สุด มันอยู่ที่ตรงกลาง ท่ามกลางความร้อนที่สุด ความเย็นที่สุดมันอยู่ที่นั่น แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ปรากฏ เพราะว่ามันเป็นความร้อนอยู่ เราโง่ดับไม่ได้ พอดับได้มันก็เป็นความเย็นที่สุดอยู่ที่ตรงนั้นเอง ไม่ต้องไปหาที่อื่น
ที่สวนโมกข์นี้ เรามีสัญลักษณ์ข้อเท็จจริงข้อนี้ ที่ว่า มะพร้าว นาฬิเกร์ อยู่กลางทะเลขี้ผึ้ง: ทะเลขี้ผึ้ง คือ วัฎฎสงสาร ที่เวียนไปตาม อำนาจกิเลส เป็นของร้อน มะพร้าวนาฬิเกร์คือ นิพพาน อยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ของวัฎฎสงสาร หรือ ทะเลขี้ผึ้ง. หยุดไม่ทำขี้ผึ้งให้มันเป็นขี้ผึ้ง
คือเดี๋ยวเหลว- เดี๋ยวแข็ง เดี๋ยวดี-เดี๋ยวชั่ว เดี๋ยวบุญ-เดี๋ยวบาป เดี๋ยวสุข-เดี๋ยวทุกข์
เดี๋ยวอะไรสลับกันไป อย่าให้มันเป็นอย่างนั้น มันก็หยุดและเย็น อยู่ที่ตรงนั้นเอง
ความร้อนมันก็อยู่ที่ความเย็น ความเย็นมันก็อยู่ตรงที่ความร้อน:
เอาความร้อนออกไป ความเย็นก็อยู่ที่นั่น: ความเย็นออกไปความร้อนก็เข้ามา มันก็อยู่ที่นั่น
สภาพที่ตรงกันข้ามอย่างนี้ ถือว่ามันอยู่ที่นั่นโดยไม่ต้องแยกกันไว้คนละทาง
ถ้าเอาไว้คนละทางจะหาไม่พบ คือถ้าเอาพระนิพพานไปไว้เสียทิศหนึ่งแล้ว
เอา วัฎฎสงสารไปไว้ทิศหนึ่ง อย่างนี้มันไม่มีวันหาพบทั้งสองอย่าง;
แล้วโดยแท้จริงมันอยู่ในใจคน ใจของคน เดี๋ยวเป็นวัฏฏสงสาร
เดี๋ยวเป็นนิพพาน เดี๋ยวเป็นวัฏฏสงสาร เดี๋ยวเป็นนิพพาน สลับกันอยู่อย่างนี้ อยู่ที่ใจนั้น.
แล้วแต่ว่าการปรุงแต่งมันจะมีขึ้นอย่างไร ถ้ามีการปรุงแต่งขึ้นมาก็เป็นวัฎฎสงสาร
ร้อนไป ถ้าหยุดการปรุงแต่งเสีย มันก็เย็นอยู่ที่นั่น
ฉะนั้นจึงอุปมาเหมือนกะว่า ท่านทั้งหลายจงหาจุดเย็นท่ามกลางเตาหลอม
ข้อที่ ๑๒. อุปมาสุดท้ายนี้พูดว่า ชีวิตนี้ หาให้พบเพชรที่มีอยู่แล้วที่หน้าผาก
มันมีคนโง่ไปเที่ยวหาเพชร มันก็หาไปจนตายมันก็ไม่พบ เพราะว่าเพชรมันอยู่เสียที่หน้าผากของคน ๆ นั้น นี้เป็นอุปมา ทางวัตถุทางภาษาคน แต่ความหมายในทางภาษาธรรมมันมีอยู่ว่า ในร่างกายนี้ มันมีความดับทุกข์ หรือนิพพานอยู่แล้ว คู่กันกับความทุกข์
ทีนี้เรามันมองไม่เห็น ด้วยอำนาจอวิชชา จากความโง่เขลา มันมองไม่เห็นทั้งที่มันมีอยู่แล้ว เหมือนกับว่ามันมีอะไรอยู่ที่หน้าผาก แล้วมองไม่เห็น ถ้าเอาอวิชชาหรือความโง่เขลาออกไปเสีย มันก็จะว่าอ้าว, มันอยู่ที่ตรงนี้เอง มันใกล้เสียยิ่งกว่าใกล้
ฉะนั้นชีวิตที่แท้จริงนั้น ถ้าทำให้ดีแล้ว มันเหมือนกับหาให้พบเพชรที่มีอยู่แล้วที่หน้าผาก มันไม่ยากเย็นลำบากมันไม่เหลือวิสัย มันไม่อะไรเลย แต่ถ้าหาไม่เป็นแล้วมันยิ่งกว่าเหลือวิสัยนะ คิดดูบางทีแว่นตาสวมอยู่แท้ ๆ มันลืมไป ก็เที่ยวหาแว่นตาอย่างนี้ก็ยังเคยมี เรื่องจะหานิพพานมันก็เหมือนกัน ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่เพียงพอมันก็จะหาพบง่าย ๆ เหมือนกับหาพบเพชรที่อยู่ที่หน้าผาก
นี้เท่าที่ยกมาให้ดูเป็นตัวอย่างก็มากแล้วตั้ง ๑๒ อย่าง พอกันที ใน ๑๒ อย่างนี้ ให้เอาไปพิจารณาดูให้ดี มันก็จะตรงเรื่องของเราเข้าสักอย่างเป็นแน่
ทีนี้จะบอกเคล็ดอันสุดท้ายให้ ซึ่งจะเรียกว่าอุปมาหรือ เคล็ด หรือเรียกอะไรก็ได้ ว่า
“อยู่เฉย ๆ ดีกว่า ไม่ต้องทำอะไร” อย่าทำอะไรขึ้นมา อย่าสร้างอะไรขึ้นมา
คำนี้ฟังยาก นักปราชญ์ราชบัณฑิตในกรุงเทพฯหลายคนฟังไม่ถูก ด่าอาตมาอยู่เรื่อย.
ที่ว่า “อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร” มันมีความหมายพิเศษ; บอกแล้วว่าเป็น ภาษาธรรม ไม่ใช่ภาษาคน ในภาษาคน การอยู่เฉย ๆ คือ ไม่กระดุกกระดิก ไม่เคลื่อนไหวมือเท้าอะไร
นี่คือ ไม่ทำอะไร แต่ในภาษาธรรมนั้น คำว่าอยู่เฉย ๆ นั้นคือว่า อย่าให้สังขารปรุงแต่งอะไรขึ้นมา อย่าปรุงแต่งตัวกูของกูขึ้นมา อยู่เฉย ๆ เสีย อย่าให้ความคิดเกิดปรุงแต่งเป็นตัวกูของกูขึ้นมา อยู่นิ่ง ๆ อยู่เฉย ๆ อยู่ว่างๆ หรือจะพูดอีกทีว่า รักษา สภาพเดิมแท้ ไว้ซิ เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ จิตนี้มีธรรมชาติเป็นประภัสสร คือไม่มีกิเลส ใสกระจ่างอยู่ ไม่มีตัวกู ไม่มีของกูอยู่ในความรู้สึกนั่น:
อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลสเสหิ อุปกิสิฎฺฐํ แต่จิตมันเปลี่ยนไปสู่ความมืดมัวเศร้าหมอง เพราะว่ามีอาคันตุกะ คือ กิเลสเข้ามาแทรกแซง นี้หมายความว่ากิเลสนี้มันถูกปรุงขึ้นมาเป็นของใหม่ เรียกว่า อาคันตุกะ ถ้าเราอย่ารับเอาของใหม่ คงเหลือไว้แต่ของเก่า มันก็ประภัสสรอยู่ตามเดิม ฉะนั้นอยู่นิ่ง ๆ อย่าซุกซน อย่าแส่ไปหาเรื่อง ให้เกิดการปรุงแต่งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นตัวกูของกูขึ้นมา นี้อันสุดท้ายจะเรียกว่า ข้อที่ ๑๓ ก็ได้ ว่าอยู่เฉย ๆ อยู่เฉย ๆ ชีวิตนี้ที่แท้จริงอยู่เฉย ๆ ก็เป็นความดับทุกข์ เป็นการถึงสิ่งที่ควรถึงคือนิพพาน ยิ่งเดินยิ่งไม่ถึง ยิ่งอยู่เฉย ๆยิ่งถึง ยิ่งเอายิ่งไม่ได้ อยู่เฉย ๆ ยิ่งได้ นี่เป็นอุปมาอย่างนี้.......”
.. ” ปัญหาหนักต่อมา อยู่ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะเฉยได้ ?”
............................................................................................				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงแทน