18 กรกฎาคม 2547 16:58 น.

พ่ายให้แก่…เธอ (ภาค 3 ต่อจากมรสุมทางใจ)

สุชาดา โมรา

ผมมีเพื่อนอยู่หลายคน  เพื่อนแต่ละคนก็ดี ๆ กันทั้งนั้นเดี๋ยวก็เอาเรื่องนั้นมาพูดเรื่องนี้มาพูดไม่เห็นจะสนใจเรื่องเรียนกับเขาเลย  แต่ผมก็ต้องทน ๆ คบกันไปก่อนเพราะผมไม่มีเพื่อนจะให้คบแล้วนี่  เพราะเพื่อน ๆ ก็โดนรีทายไปหมดแล้วก็เหลือแต่พวกหัวเสอย่างผมเนี่ยแหละ  แหมจะยอตัวเองจนเกินไปหรือเปล่าเนี่ย
	ผมอ่านข่าวเมื่อเช้านี้ในห้องคณะนะเขาบอกว่า  ปัจจุบันนี้กระแสอยู่ก่อนแต่งกลายเป็นไฟลามทุ่งหากใครจับคู่ได้เมื่อไหร่ก็มักชวนมาลิ้มลองรสชาติการใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกันด้วยความไวไฟ เอ๊ย!!!อยากรู้อยากลองเหลือเกิ้น...!!!...
                     ผมว่านะถ้าคนเราสมัยนี้จะรอมชอมให้มีการอยู่ก่อนแต่งกันก็อาจเกิดกรณีตรอมใจก็ได้ใครจะไปรู้ว่าอยู่ด้วยกันแล้วจะมันสะแด่วแห้วแค่ไหน ก็เสมือนการเป็นผัวเมียชั่วคราวนั่นแหละ มีหรือ ถ้าได้อยู่สองต่อสองแล้วจะไม่แตะอั๋ง จับโน่นจับนี่จนไฟฟ้ามันสปาร์ก ก็ฮูย...ฮอร์โมนกำลังพุ่งพรวดอย่างกะขีปนาวุธขนาดนี้จะห้ามใจยังไง จะห้ามมือไม้กันไหวหรือแบบนี้ต่อให้เอาช้างมาฉุดหรือเอากางเกงในชนิดพิเศษป้องกันการเสียพรหมจรรย์ให้ใส่ก็รั้งไม่อยู่ร้อก โธ่...ขนาดพ่อแม่เตือนจนปากจะฉีกถึงรูหู  เด็กสมัยนี้ก็ฟังไม่รู้เรื่อง  แถมยิ่งเตือนเหมือนยิ่งยุเสียด้วยนะ   ผมก็เห็นด้วยนะที่ข่าวฉบับนี้เขียนแบบนี้  เพื่อนผู้หญิงหลายคนในห้องก็ออก ๆ ไปกันหมดเพราะท้องเนี่ยแหละ  บางคนก็เลิกลากันไปปล่อยให้เด็กเป็นภาระของสังคม  เห็นแล้วผมรู้สึกสังเวทใจจริง ๆ เล้ย
	"เฮ้ยกฤษ...เข้าเรียนได้แล้วละมัวอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ได้"
	ผมเข้าเรียนสายไปหน่อยเพราะผมมัวอ่านหนังสือพิมพ์  แต่วันนี้ห้องเราได้รับข่าวดีอย่างหนึ่งละแต่ว่าผมยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเลย  เพียงแต่เห็นที่ห้องเขาลือกันให้แซททีเดียว...
	"เฮ้ยกฤษนายเห็นน้องใหม่หรือยังวะ  น่ารักนะเว้ย...!!!"
	"น้องมงน้องใหม่อะไรวะ...ไม่เห็นรู้เรื่องเลย  ทำไมมีเด็กใหม่ในคณะหรือไง"
	"เปล่า  ก็ห้องเรานั่นแหละมีคนย้ายมาจากเชียงใหม่มาเรียนที่นี่น่ารักเชียว  ผมยาว  ขาว  สวยหวาน  โอ้โหเพอร์เฟรคเป็นบ้าเลย  หัวดีเรียนเก่ง  ไฮโซ..."
	"ผู้ชายบ้าอะไรของแกวะไว้ผมรุงรังถ้าเจอนะจะเบิร์ดกะโหลกซะทีว่ะ"...."อ้าวเฮ้ย!...ทำไมถึงเงียบวะ"
	"จะตบใครเหรอคะ..."
	ผมถึงสะดุ้งโหยงทีเดียวที่มีผู้หญิงมาถามว่าจะตบใคร  เพื่อน ๆ นี่ก็ไม่บอกเลยว่าไอ้ที่นินทาอยู่นั่นมันผู้หญิง  แหมน่ารักสมคำล่ำลือจริง ๆ แค่ได้ยินเสียงครั้งแรกนะ  อย่าให้เซทเลยเสียงงี้หวานเชียว  ยิ่งพอหันไปดูนะถึงกับใจหวิวทีเดียวละ  โอ้โหสวยราวกับนางฟ้านางสวรรค์เลย  แล้วดูพวกผมสิหน้าตาโหด ๆ ทั้งนั้นเลย  แล้วเธอยังต้องมารวมอยู่กับกลุ่มผมอีกเพราะกลุ่มผมมันแก่เรียน...
	ตอนทำรายงานกลุ่มนะอื้อหือ...ชื่อคนที่เขียนยากที่สุดก็คือเธอนี่แหละ  ชื่อพยางค์เดียวแต่สะกดยากจะตาย  ชื่อรัน  แต่เขียนฬนน  โห...พ่อแม่ช่างตั้ง  คนตายไปกี่ป่าช้าชื่อมีตั้งเยอะตั้งแยะให้เลือกไม่เลือก  มาตั้งชื่อบ้า ๆ อะไรอย่างนี้นะเขียนยากชะมัดเลย
	"ชื่อะไรนะเราน่ะ.."
	"ฉันชื่อฬนนค่ะ"... "เขียนไม่ถูกค่ะต้องเขียนแบบนี้"
	แล้วเธอก็เขียนให้ดู  ผมนี้งงเลย  เขียนยากเป็นบ้าเลย...
	ผมรู้จักเธอมาประมาณ 6 เดือน  ผมรู้ตัวดีว่าผมก็ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่น ๆ หรอกที่หลงรักเธอเพราะเธอสวยจนเกินห้ามใจได้  จะไม่ให้คิดเกินเลยกับเธอได้ไงล่ะ...  แต่จะทำไงได้ล่ะก็ในเมื่อเธอเป็นเพื่อน  เราก็ต้องวางตัวเป็นเพื่อนที่ดี  ผมจึงทำเฉย ๆ แต่พอไม่มีใครอยู่ผมก็แอบตีสนิทกับเธอด้วยการขอร้องให้เธอติวให้  ทำท่าทีว่าเราสนใจเรียนแต่จริง ๆ แล้วมันเป็นแผนสูงของผมต่างหากล่ะ...  ผมต้องชมตัวเองนะที่มีหัวคิดที่จะจีบผู้หญิงได้ถือว่ายอดจริง ๆ แต่ก็ดู ๆ เธอไม่เห็นจะสนใจผมเลย  สงสัยผมคงแฮ้วแน่ ๆ เพราะเธอสนใจเรียนเกินกว่าที่ผมจะก้าวเข้าไปถึงหัวใจเธอได้  ตกเย็นก็มีคนขับรถมารับเธอ  พอเช้าก็มีคนมาส่งเธอ  ผมไม่มีโอกาสไปส่งเธอเลยเพราะเธอมันคุณหนูส่วนผมมันจน  ต้องโหนรถเมย์  เวลาไปไหนถ้าอยากไปกับใครก็เอาอีแก่ของพ่อขับไป...เฮ้อ...
	"คุณกฤษคะ  เอ่อ...โจทย์ข้อนี้ฬนนไม่เข้าใจเลยค่ะสอนหน่อยได้ไหมคะ"
                      เหมือนคุณฬนนจะเปิดทางให้ผมเลยแต่ก็ดู ๆ แล้วเธอคงไม่คิดกับผมแบบนั้นหรอก  เราก็แค่สนิทกันเรื่องเรียนเท่านั้น...ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว  เพียงแต่ผมคิดกับเธอไปฝ่ายเดียวเท่านั้น...  ฐานะผมมันก็แค่นี้จะไปดีเลิศเท่าลูกคุณหนูได้ยังไงกัน
	เวลาผ่านไปปีกว่าพวกเราเรียนจบปริญญาตรีเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย  ผมก็หางานทำไม่ได้เพราะช่วงนี้มีแต่คนจะเลิกจ้าง  สภาวะเศรษฐกิจมันย่ำแย่ผมก็เลยไม่รู้จะไปทำอะไร  อยู่โรงงานทอผ้าน่ะเหรอไม่เอาหรอก  เจอแต่สาวโรงงานน่าเบื่อจะตาย  ผมก็เลยไปสมัครงานเป็นพนักงานขาย    จิวเวอร์รี่ที่ห้างแห่งหนึ่ง  เพราะผมคิดว่าอย่างน้อย ๆ เมื่อไม่มีเธอผมก็มองสาว ๆ ได้อีกเยอะแยะเพื่อจะได้ลืมเธอเสียที  เพราะผมก็รู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่เคยชอบผม  เธอคิดกับผมแค่เพื่อนเท่านั้น...  แต่ผมมันหมาเห็นเครื่องบิน  เฮ้อ...อย่าไปคิดถึงมันเลยพูดแล้วปวดหัวเปล่า ๆ...
	"สวัสดีครับจะรับเครื่องประดับแบบไหนดีครับแล้ว...เอ่อ...ใช้ในโอกาสอะไรครับ"
	ผู้หญิงคนนี้จ้องหน้าผมแปลก ๆ แล้วก็ถามผมแปลก ๆ
	"น้องพี่ถามหน่อยเถอะ  น้องทำไมถึงใช้นามสกุลนี้ได้ก็ในเมื่อนามสกุลนี้พ่อของพี่เขาบอกว่าเป็นนามสกุลที่ตั้งขึ้นเองนี่นา  แล้ว...เอ..."
	"ก็นี่มันนามสกุลพ่อผมครับ...ถามแปลก ๆ นะเนี่ย..."
	"คือพี่ก็ใช้นามสกุลนี้เหมือนกัน...พ่อน้องชื่ออะไรเหรอ"
	"พ่อผมชื่อวศิลป์  แต่เป็นลุกกับภรรยาใหม่ของท่าน...คุณแม่กระจงแล้วถ้าพี่ใช้นามสกุลเดียวกับผมคุณพี่ก็น่าจะเป็นลูกของคุณแม่พิมพ์ใจใช่ไหมครับ  "
	"อืม...ฉลาดนะ  แต่นายรู้เรื่องของครอบครัวพี่ได้ไงเนี่ย"
	"คือคุณพ่อท่านพูดถึงบ่อย ๆ น่ะ"
	"อืม...งั้นก็ดีพี่ขอเบอร์โทรของพ่อหน่อยได้ไหม"
	"ไม่เชื่อผมเหรอ..."
	"ไม่ใช่อย่างนั้น  เพียงแต่พี่ไม่ได้เจอท่านมานานพี่คิดถึงท่านน่ะ"
	"อ๋อ...ผมเข้าใจ  แล้วพี่คือ..."
	"พี่กิ๊กจ่ะนายกฤษ"
	ผมดีใจมาก ๆ เลยที่ผมได้เห็นพี่สาวคนเล็กของคุณพ่อเป็นครั้งแรก  ผมเคยได้ยินแต่ชื่อเพิ่งเห็นตัวจริงก็วันนี้นี่เอง  เธอทั้งสวยและเก่งเพราะเธอไปเรียนโทที่เมืองนอกโดยมีพี่ชายส่งเรียน  แต่พักหลังเธอก็ส่งตัวเองเรียนนะ  โอ้โหเก่งเป็นบ้าเลย  ตอนนี้ก็เป็นดีไซเนอร์ชื่อดังอยู่บริษัทเค  โก้เป็นบ้า...  วันนี้พี่เขามาซื้อกำไลข้อมือให้เป็นของขวัญแด่คุณแม่พิมพ์ใจ  ผมจึงเลือกเรือนทองคำขาวเป็นลายฉลุพิเศษให้  ประดับด้วยเพชรซีก  น่ารักทีเดียวเหมาะกับคนมีอายุ
	ผมทำงานที่ร้านจิวเวอร์รี่ได้พักหนึ่งคุณพ่อก็อยากให้บวช  เมื่อผมพบกับพี่กิ๊กผมจึงบอกพี่  พี่ก็เลยมาเป็นเจ้าภาพให้  พอผมบวชได้ 7 วันก็สึกมาทำงานต่อ  เพราะถ้าบวชนานก็ไม่ดีหรอกเสียงานเสียการ...  เดี๋ยวนี้เขาบวชแค่แทนคุณและเรียนธรรมะเท่านั้น  ถ้าเราตั้งใจเราก็จะรู้หลักธรรมพอ ๆ กับพวกที่บวชเป็นพรรษา  หรือว่าไม่จริง...
	ผมกลับมาทำงานผมยังไม่ทันจะขึ้นดี  พี่สาวคนสวยของผมก็เปิดบริษัทเป็นของตัวเองได้  แล้วก็มาเปิดร้านที่ห้างแห่งนี้ด้วยทำให้ผมเจอพี่เขาบ่อยขึ้น  ผมมีความสุขมากทีเดียวที่ได้พูดคุยกับพี่คนนี้  แต่ยังไง ๆ ผมก็อยากจะเจอพี่ ๆ ให้ครบทุกคนจริง ๆ เลย  อยากเห็นหน้าพี่ชาย  และพี่สาวคนรองว่าจะหน้าตาเป็นอย่างไร  พี่กอล์ฟจะหล่อไหม  แล้วพี่กิจะสวยแบบพี่กิ๊กหรือเปล่า  แล้วผมก็อยากจะเจอคุณแม่พิมพ์ใจด้วยว่าหน้าตาจะสวยไหม  คุณพ่อถึงได้พูดถึงบ่อย ๆ และอีกอย่างพี่กิ๊กสวยขนาดนี้แสดงว่าท่านต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ เลย...
	"พักเที่ยงแล้วไป...มีนัดหรือยัง  ถ้ายังก็แวะมาทานข้าวที่ร้านพี่นะ  พี่อยากจะคุยด้วย"
	ติ๊ด...........................พี่กิ๊กวางหูดทรศัพท์ปั๊บผมก็ตรงดิ่งไปปุ๊บ...
	"ทำไมนายถึงรู้เรื่องครอบครัวพี่ดีล่ะ  ในเมื่อคุณพ่อท่านแยกทางกับคุณแม่ตั้งแต่พี่อายุได้ 8 ขวบ"
	"คุณพ่อท่านบอกว่าท่านแอบไปดูอยู่บ่อย ๆ พักหลังคุณพ่อก็จ้างคนไปสืบจนรู้"
	"แล้วคุณพ่อท่านทำงานอยู่ที่ไหนล่ะ  ยังขี้เมาอยู่หรือเปล่า"
	"ท่านไม่ดื่มแล้วละเพราะท่านเป็นมะเร็งในตับ  ท่านมีโรงงานทอผ้า  เพราะได้มรดกจากคุณย่า"
	"เหรอ"
	วันทั้งวันผมโดนพี่สาวสุดสวยซักจนละเอียดทีเดียว
	เวลาผ่านไปอีกหลายเดือนคุณพ่อท่านบอกว่าพี่ชายของผมแต่งงาน  แต่ผมไม่ได้ไปเพราะผมติดงาน  ไปไม่ได้  แล้วอีกอย่างถ้าผมไปพี่เขาก็ไม่รู้จักผม  ผมไม่รู้ว่าพี่เขาจะต้อนรับผมแบบพี่สาวคนนี้หรือเปล่า...
	"กฤษ ๆ ฉัน...ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย  ขอร้องละเลิกงานแล้วมาหาฉันที่หน้าห้างได้ไหม  ฉันมีเรื่องเดือดร้อนจริง ๆ"
	ฬนนโทรมาหาผมทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ติดต่อกันมา 5 เดือนเต็ม  ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ทีเดียว  พอเลิกงานผมก็รีบไปหาเธอทันทีเลย
	"ฮัลโหล...ฬนนอยู่ตรงไหนของหน้าห้างเหรอ  มันกว้างจนผมหาไม่เจอแล้ว..."   "อุ้ย"
	ปัก...ผมหันไปชนเธอล้มพอดี  ผมเลยช่วยพยุงเธอขึ้นมา  ผมไม่รู้หรอกว่าเธอมีเรื่องเดือดร้อนอะไร  แต่ยังไง ๆ ผมก็อยากจะช่วยเธอเพราะผมชอบเธอมาก...
	"กฤษ  ฉันอยากคุยกับเธอมากเลย  แต่ที่นี่มันไม่สะดวก  เธอพาฉันไปที่อื่นได้ไหม  ฉันไม่อยากอยู่แถวนี้...ฉันกลัว"
	"กลัวอะไรฬนน  ผมไม่เห็นน่ากลัวตรงไหนเลย"
	"รีบ ๆ ไปเถอะก่อนที่คุณแม่ฉันจะมาเจอ..."
	ผมไม่รู้จะพาเธอไปไหนดี  ผมก็เลยพาเธอขึ้นรถเมย์  เธอคงยืนโหนรถเป็นครั้งแรกเพราะผมดู ๆ แล้วเธอทำหน้าเหวอทีเดียว...  ผมไม่รู้หรอกนะว่าเธอกำลังหนีอะไร  เธอพูดถึงแม่ของเธอจนผมรู้สึกว่ามันแปลก ๆ นะ  ทำไมเธอต้องหนีแม่ของเธอด้วย  เมื่อผมขึ้นรถมาได้พักหนึ่งผมก็พาเธอลงที่แยกลาดพร้าว  พาเธอเข้าไปที่บ้านเช่าของผม
	"ผมไม่รู้ว่าจะพาคุณไปไหนดีที่จะปลอดภัย  เดินไปอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านผมแล้วคุณเดินไหวไหม"
	"ไหวจ่ะ..."
	เธอตอบเสียงนุ่มเหมือนเคย  แต่ลักษณะเธอมันลุกรี้ลุกรนจริง ๆ เลย  ผมพาเธอเข้ามานั่งในบ้านแล้วก็เอาน้ำมาให้ดื่ม  รอให้เธอหายใจหายคอสะดวกก่อนแล้วค่อยถามเธอ  แต่เธอกลับถามผมก่อนน่ะสิ
	"ทำไมคุณถึงพาฉันมาที่บ้านล่ะ..."
	"ผมคิดไม่ออก  แล้วอีกอย่างผมรับรองว่าผมไม่เป็นอันตรายต่อคุณแน่ ๆ จริง ๆ นะ"
	"ฉันเชื่อจ่ะ..."
	"แล้วที่มีเรื่องน่ะ  มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ"
	"ก็แม่เลี้ยงของฉันเขาให้ฉันแต่งงานกับตาแก่ที่ไหนไม่รู้  บอกว่าหวังดีกับฉันแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่หรอก  จะเขี่ยฉันไปให้พ้น ๆ ทางมากกว่าเพราะคุณพ่อท่านก็แก่มากแล้วจะได้ยกมรดกให้เขาคนเดียว  น่าเบื่อมาก ๆ เลย...ฉันต้องหนีหัวซุกหัวซุนทีเดียว  วันนี้เขาก็พาฉันมาลองชุดเจ้าสาว  ยี้...น่าตาก็แก่แถมยังจะลงพุงซะอีก...ฉันไม่เอาด้วยหรอก  ดีไม่ดีที่เขามาแต่งด้วยนี่อาจจะเอาฉันไปเป็นแค่เมียน้อยก็ได้...ฉันทนไม่ได้หรอก.........................................."
	"แล้วมีที่ไปหรือยัง"
	"ยัง...ฉันไม่รู้ว่าจะไปอยู่ไหนดี  กลัวว่าจะถูกสืบเจอน่ะสิ  ฉันคิดถึงเธอเป็นคนแรกเลยนะก็เลยมาหา..."
	เมื่อผมได่ยินแล้วผมก็ต้องปลื้มใจ  คำพูดของเธอทำให้ผมรู้สึกว่ามีความหวังมาก  เหมือนเธอยังคิดถึงผมอยู่ตลอดเวลา  ทำให้ผมฝันซะไกลทีเดียว  แต่ก็ต้องตื่นจากความฝันเพราะนั่นมันภาพลวงตา
	"อ่ะผมทำกับข้าวมาแค่นี้  คุณทานได้ไหม"
	เธอพยักหน้าแล้วก็ทานอาหารอย่างบรรจงคำเล็ก ๆ เข้าปากช้า ๆ ผมเห็นแล้วก็ต้องยิ้มทันที  เพราะเธอมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำให้ผมขำอยู่เรื่อย ๆ
	"ที่นี่มีแค่ห้องเดียวเอางี้ละกันคุณนอนในห้องแล้วผมนอนห้องลับแขกเอง"
	"กฤษ...นอนในห้องก็ได้  แบ่งกันคนละครึ่ง...ฉันเชื่อใจเธอ...มาสิ"
	ผมรู้สึกใจหวิวทันทีเลย  อย่างว่าละน้ำตาลใกล้มด  มดเหรอจะอดใจไหว...แต่ดูเธอสิอุปกรณ์เยอะจริง ๆ ทั้งที่ช็อตยุง  ที่ช็อตไฟฟ้า  ไม้เบสบอล  สนับมือ...  นี่ขนาดเชื่อใจผมนะ  ถ้าเกิดผมนอนดิ้นนิดเดียวมีหวังตายแน่ ๆ  คืนนี้ทั้งคืนผมเลยไม่ได้หลับไม่ได้นอนเพราะกลัวว่าจะนอนดิ้นไปโดนเธอ...
	"เช้าแล้วจ่ะ...ตื่นเถอะ...ฉันทำกับข้าวไว้ให้ทานแล้ว"
	"ผมเดินออกมาจากห้องนอนเพื่อที่จะไปล้างหน้าแปรงฟัน  พอผ่านโต๊ะอาหารผมถึงกับตกใจทีเดียว  ไม่น่าเชื่อว่าลูกคุณหนูอย่างเธอจะทำกับข้าวได้เก่งขนาดนี้  มีทั้งแกงเขียวหวานไก่  มัสมั่น  ไข่ยัดไส้  กุ้งอบหม้อดิน  ต้มยำปลากระพง  อื้อหือ...ถึงกับต้องกลืนน้ำลายทีเดียว  กลิ่นก็ห้อมหอมน่าทานเหมือนเจ้าของเลยละ  อุ้ย....!!!!  แล้วผมก็เดินไปอาบน้ำ  แปรงฟัน
	"คุณนี่แปลกนะ  ปกติเขากินอาหารอ่อน ๆ กันตอนเช้า ๆ เนี่ย  แต่คุณกลับทำของหนักเยอะแยะเชียว  จะเอาไปเลี้ยงใครเหรอ"
	"ก็ทานข้าวต้มมันน่าจะไปทานตอนเย็น ๆ ดีกว่าจะได้ไม่อ้วน  ส่วนเช้า ๆ ก็ทานหนัก ๆ เพราะจะได้มีแรงใช้สมองทำงานไง"
	ผมยิ้มแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทาน  อื้อหือ...อร่อยมาก ๆ เลย  ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะทำเอง  ผมถึงกับชมเธอไม่หยุดปากทีเดียว  เธอก็ยิ้มละไมแต่เช้าทำให้ผมมีกำลังใจที่จะไปทำงาน  ผมสั่งให้เธออยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปไหนเพราะผมก็กลัวว่าแม่เลี้ยงของเธอจะมาพบแล้วก็เอาตัวเธอไปห่างจากผม..
	พอเลิกงานผมกลับมาบ้าน  ผมตกใจมากทีเดียว  จากบ้านที่เคยรกกลับสะอาดได้  มันเหมือนไม่ใช่บ้านผมเลยละ  ผมเดินเข้าบ้านช้า ๆ เพราะไม่อยากจะย่ำพื้นจนทำให้สกปรกเพราะมันสะอาดเกินกว่าที่ผมจะเหยียบได้  ผมไม่เคยเจอบ้านที่สะอาดแบบนี้มาก่อนเลย  เห็นทีเธอจะเจ้าระเบียบน่ดูเชียวละ...  ผมเห็นเธอนอนอยู่ที่โซฟาในห้องนอน  ผมยืนมองเธออยู่นานจนเธอตื่น  เธอน่ารักจังเลย...
	"กลับมาแล้วเหรอคะ"
	ผมยิ้มแล้วก็เดินไปอาบน้ำ  ส่วนเธอก็เตรียมอาหารไว้ให้ทาน  ผมรู้สึกว่าตั้งแต่เธอมาอยู่เนี่ยทำให้ผมเกร็ง ๆ แล้วก็เกรงใจเธอมากทีเดียวเหมือนกับผมมาอาศัยบ้านเธออยู่เลยละ...  ทุก ๆ วันเธอก็ทำอาหารให้ทาน  และผมก็รีบกลับมาให้เร็ว ๆ เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ ๆ เธอ  ผมมีความสุขที่สุดเลยนะ  ผมว่าถ้าใครได้เธอไป...คงจะเป็นบุญมากทีเดียว  
	วันนี้ผมนั่งดูทีวีกับเธอ  จู่ ๆ ก็มีข่าวด่วนออกมาว่า  ดร.ตรีไตร  กับคุณหญิงพร้องเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำ  ตำรวจสัณนิษฐานว่าน่าจะแย่งพวงมาลัยกันรถเลยเสียหลักพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าเสียชีวิตทั้งคู่  เธอถึงกับตาแดงแล้วก็วิ่งไปร้องไห้ในห้องน้ำทีเดียว... ผมรู้สึกสงสารเธอมาก ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยละ  เพราะทั้งพ่อและแม่เลี้ยงของเธอตายเธอก็ไม่รู้จะอยู่กับใครแล้ว ...  ผมก็เลยเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ประคองเธอออกมาให้เธอนั่งทำใจ  เธอกอดผมไว้แน่นทีเดียว  ผมไม่ได้ฉวยโอกาสนะแต่ผมก็คิดนิด ๆ เหมือนกัน  มันเหมือนโชคเข้าข้างให้ผมได้แตะต้องตัวเธอเป็นครั้งแรกในชีวิต  เพราะปกติเธอค่อนข้างวางตัวดีจนผมไม่กล้าเข้าใกล้
	ผมปลอบโยนเธอทั้งคืน  จนทำให้ผมไม่ได้หลับไม่ได้นอน  ตอนเช้าก็เลยไม่ได้ไปทำงาน  ผมพาเธอไปรับศพพ่อกับแม่เลี้ยงที่โรงพยาบาล  แล้วก็จัดแจงเรื่องงานศพ     ผมก็ช่วยเธอได้แค่นี้แหละ  แต่พอเสร็จจากงานศพแล้วเธอก็ดูหงอย ๆ บ้านช่องไม่กลับ  เธอมาอยู่กับผมทุกวันจนผมรู้สึกว่าผมไม่ได้แค่ชอบเธอแล้วละ  แต่ผมรักเธอเข้าแล้ว  เขาถึงบอกกันว่ารักแท้แพ้ใกล้ชิดยังไงล่ะ...  ผมก็เพิ่งมาเชื่อเมื่อได้สัมผัสกับมันก็ตอนนี้เนี่ยแหละ
	วันนี้ผมไปทำงานอย่างคนอารมณ์ดี  ผมขายจิวเวอร์รี่ได้มากทีเดียวจนทำให้ผมได้โบนัสพิเศษ  และผมก็ได้เจอผู้ชายคนหนึ่ง
สวัสดีครับ  คุณต้องการเครื่องประดับแบบไหนครับ  และใช้ในงานอะไร
เขาจ้องมองผมแปลก ๆ แล้วก็ถามแปลก ๆ ด้วย  ผมรู้สึกได้ทันทีเลยว่านี่น่าจะใช่พี่ชายของผม  คนที่ผมอยากเจอมากที่สุดคนหนึ่ง
น้องครับ  น้องหน้าตาคุ้น ๆ มากเลยนะ  พี่ถามจริง ๆ เถอะนามสกุลนี้น้องเอามาใช้ได้ยังไง
โถ่พี่นี่ก็นามสกุลพ่อผมนี่จะให้ผมใช้นามสกุลใคร  พี่นี่ก็ถามแปลก ๆนะ
พ่อน้องชื่ออะไร
พี่จะถามไปทำไมกัน
ก็พี่อยากรู้  พี่เห็นเราใช้นามสกุลเดียวกันเผื่อจะเป็นญาติกัน
พี่อย่ามาอำเลย  ถึงพี่มีนามสกุลเดียวกับผมก็ใช่ว่าผมจะลดราคาให้พี่นะ  ผมน่ะเป็นแค่ลูกจ้างเขาเท่านั้นแหละ
	เขาซักไปซักมาจนผมต้องบอกเขาแล้วก็เล่าเรื่องของพี่กิ๊กให้ฟังด้วย  เขาทำท่าดีใจมาก ๆ เลย  เขากลัวว่าผมจะไม่เชื่อก็เลยเอาบัตรประชาชนออกมาให้ดู  ผมถึงกับยิ้มแก้มปลิทีเดียว  พี่เขามาซื้อเครื่องประดับให้ภรรยา  เพราะวันนี้วันเกิดพี่ลูกแก้ว  ผมก็เลยเลือกเครื่องประดับชุดใหญ่ให้  ทำให้ยอดขายกระฉูดทีเดียว  ผมได้ไปบ้านพี่เขา  พี่เขาชวนผมไปอยู่ด้วย  ผมได้คุยกับคุณแม่พิมพ์ใจ  ผมรู้สึกว่าคุณแม่คนนี้เป็นคนดีมาก ๆ เลย  ท่านไม่รังเกียจผม  แต่ท่านกลับรักผมเหมือนลูกคนหนึ่งด้วยซ้ำ ผมเห็นพี่ชายออกอาการโรมแมนติกต่อหน้าผมและคุณแม่พิมพ์ใจทำให้ผมยิ้มไม่หยุดทีเดียว  ผมแอบดูพี่เขาจู๋จี๋กัน...น่ารักดี  ผมคิดว่าผมน่าจะลองไปใช้กับว่าที่ภรรยาผมบ้าง...  คืนนี้ผมเลยนอนค้างที่บ้านพี่กอล์ฟทั้งคืนจนลืมคุณฬนนทีเดียว
	พอเช้าผมก็รีบมาหาเธอ  แต่เธอไม่อยู่แล้ว...  ผมเก็บข้าวของแล้วย้ายมาอยู่กับพี่ชาย  มาทำงานที่บริษัทของพี่ชาย  เพราะพี่เขาให้เงินเดือนเยอะมาก ๆ ได้ใช้วิชาความรู้ของตัวเองให้เป็นประโยชน์...  ผมโทรหาฬนนทุกวันแต่เขาก็ไม่เปิดเครื่องสักที  ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลย...
	พี่ชายส่งผมเรียนต่อโท  ผมดีใจเหมือนได้โล่เทียวละ  เมื่อผมมาเรียนโทผมก็เลยได้เจอเธออีกครั้ง  เธอเหมือนทำเป็นไม่รู้จักผม  ผมก็เลยไม่กล้าเข้าไปทักเธอ  แต่แล้วเธอก็เข้ามาทักผมแล้วก็คุยกับผม  เธอขอมาทำงานที่บริษัทของพี่ผม  เมื่อผมขออนุญาติพี่  พี่ก็ตกลงทันที...  ผมพาเธอมาให้พ่อแม่ดูตัวบ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่เธอก็ไม่ได้บอกหรอกว่ารับผมเป็นแฟน...
	วันหนึ่งผมรู้ว่าพี่ชายที่แสนดีของผมกำลังโดนสวมเขาผมก็เลยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พี่ฟัง  พี่ก็เลยรวมหัวกับผมจับชู้จนสำเร็จ  เพื่อนของพี่กับภรรยาของพี่ไม่น่าทำแบบนี้เลย  ผมรู้สึกเสียใจจริง ๆ เลยที่พี่ผมได้คนแย่ ๆ แบบนี้เลยทำให้พี่ไม่เป็นอันกินอันนอน  ทำงานก็ไม่รู้เรื่อง  คุณแม่พิมพ์ใจก็เป็นห่วงจนล้มป่วย  ผมต้องดูแลทั้งพี่และคุณแม่พิมพ์ใจ...  น่าสงสารครอบครัวนี้จริง ๆ  โดนมรสุมมาตลอดชีวิต  และนี่ยังมามรสุมทางใจอีก  เฮ้อ...!!!!...ผมต้องถอนหายใจหลายครั้งทีเดียว
	ผมส่งวิทยานิพนธ์เสร็จผมก็ได้รถจากพี่ชาย  คันนี้ทั้งใหม่และหรูหราจนผมไม่กล้าขับ  แต่พี่ก็ซื้อให้เพราะเห็นว่าผมต้องอาศัยคุณฬนนกลับบ้านมาทุกวัน  พอผมมีรถขับผมก็ไปส่งคุณฬนนทุกวันเหมือนกันเพราะเธอบอกกับผมว่าให้ผลัดกันบ้างจะได้รู้จักบ้านของกันและกัน
	หลังจากนั้นไม่นานคุณแม่พิมพ์ใจก็เสียชีวิตด้วยโรคชรา  คุณพ่อท่านเสียใจมากทีเดียว  คุณแม่กระจงก็มางานนี้ด้วย  ผมจึงได้เจอพี่กิเป็นครั้งแรก  ตอนแรกพี่ก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจผมเท่าไรนักแต่พอรู้ว่าผมดีกับคุณแม่พิมพ์ใจ  พี่เขาก็เลยดีกับผม  พี่เขาเป็นคนสวยทีเดียวถ้าเทียบกับพี่กิ๊กแล้วพี่กิเนี่ยแหละสวยที่สุด  พูดจาก็ดีกว่า  ดีกว่าตรงที่พี่กิไม่ค่อยใช้ศัพท์อังกฤษมากนักทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าของบริษัททัวร์น่าจะออกไทยคำอังกฤษคำแต่กลับไม่มีแม้แต่นิดเดียว  ผมชอบพี่เขาตรงนี้แหละ  
	งานศพของคุณแม่พิมพ์ใจทำให้พี่ลูกแก้วได้เข้ามามีบทบาทในครอบครัวอีกครั้ง  พี่กอล์ฟคืนดีกับพี่ลูกแก้ว  ผมก็ดีใจด้วยนะ  ทีแรกผมก็มีอัคติกับพี่เขาแต่พอผมมารู้ความจริงเรื่องคนชื่อต้นนั่นแล้วผมก็รู้ว่าพี่ลูกแก้วเขาไม่ได้ตั้งใจมีชู้เพียงแต่โดนข่มขู่เรื่องที่เขาจะบอกความจริงเท่านั้น หมอนี่เลยได้ใจเห็นเป็นจุดอ่อนเลยรีดไถเงินจากพี่ลูกแก้ว  ได้ทั้งเงินได้ทั้งตัว  ช่วงนั้นพี่ลูกแก้วเลยไม่ยอมมีลูกทั้ง ๆ ที่พี่กอล์ฟอยากมีจนใจจะขาด  แต่เป็นเพราะพี่เขากลัวว่าจะพลาดมีกับลูกคนพันนั้นก็เลยคุมกำเนิดซะ  ที่จริงพี่ลูกแก้วก็รักพี่กอล์ฟจนสุดหัวใจเหมือนกันนะ  ตั้งแต่พี่ลูกแก้วกลับมาพี่กอล์ฟก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น  ส่วนผมก็ไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอพี่เขาหรอก  ผมเลยขอย้ายออกไปอยู่ที่บ้านของคุณฬนนเขา
	ผมมีความสุขที่สุดที่ได้มาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเธออีกครั้ง  คุณฬนนเป็นคนดี  เป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมแต่เธอค่อนข้างขี้เหงาแล้วก็อยู่คนเดียวทั้ง ๆ ที่บ้านช่องใหญ่โตมาก ๆ จนผมต้องเอ่ยปากให้เธอจ้างใครมาอยู่ด้วย  แต่เธอก็ไม่ยอม  เธอค่อนข้างแสนงอน  พูดนิดพูดหน่อยไม่ถูกใจก็งอนแล้ว  ผมต้องตามตื้อเธอตลอด  
	วันนั้นเป็นวันหยุดผมได้เข้าไปทำความสะอาดในห้องของเธอผมมองไปรอบ ๆ ห้อง  ผมเห็นภาพแม่ของเธอแปะไว้เต็มห้องไปหมด  เธอคงคิดถึงแม่มากทีเดียว  ลูกคนรวยก็มักจะมีปัญหาแบบนี้แหละนะ...  พอเธอเห็นผมอยู่ในห้องของเธอ  เธอถึงออกปากไล่ผมออกจากบ้านวันนั้นทีเดียว  ผมพยายามอธิบายแต่เธอก็ไม่ฟัง
	"ฬนนคุณฟังผมก่อน...ฬนน"
	ปัง...เธอปิดประตูใส่หน้าผม  ผมเลยเดินออกไปหน้าบ้านแล้วตะโกนเข้ามาในบ้าน
	"ผมอธิบายได้.....!!!!!"
	เธอถึงกับขว้างกระเป๋าสตางค์ของผมออกมาจากหน้าต่างทันที  ผมรู้ตอนนั้นแหละว่าเธอไม่เคยมีใจให้ผมเลย...ผมมันเข้าข้างตัวเองมาโดยตลอด  ผมก็เลยเดินออกจากบ้านพร้อมข้าวของต่าง ๆ แต่ผมก็ไม่ได้เอาของอย่างนึงออกมาคือกล่องแหวนที่ผมวางไว้ให้เธอที่หน้าประตูห้องพร้อมกับการ์ดใบหนึ่งที่เขียนว่า "ผมรักฬนนมากที่สุด"  จากนั้นผมก็เลยไปอาศัยพี่กิอยู่เพราะบ้านพี่กิอยู่ใกล้ ๆ บ้านของเธอ
	"พักที่นี่ก่อนก็ได้นะกฤษ  พี่ไม่หวงหรอก"
	วันนี้ผมรู้สึกว่าผมอบอุ่นใจมากที่ได้มาอยู่กับพี่สาวของผม  ผมเลยรู้ว่าพี่คนนี้เป็นคนที่โรแมนติกมากทีเดียว  พอ ๆ กับพี่กอล์ฟเลยนะ  พี่เขารักแฟนมากถึงกับไม่ยอมแต่งงานใหม่  ถ้าผมรู้จักพี่เขาเร็วกว่านี้ผมคงรู้เรื่องราวของพี่มากว่านี้...ผมนี่มันก็ช่างสอดรู้สอดเห็นเหมือนกันนะเนี่ย...
	ผมไปทำงานที่บริษัท  ผมเจอเธอผมก็ไม่ทัก  เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ผิด  ผมไม่ต้องง้อเธอก็ได้  แต่แล้วใจผมกลับสั่นเมื่อผมเห็นเธอเอาแหวนของผมที่วางไว้หน้าประตูมาใส่ที่นิ้วนางข้างซ้าย  ผมว่าเธออาจจะมายั่วให้ผมหวั่นไหวเล่น ๆ แน่ ๆ เลย...  ผมเห็นเธอเดินควงคนนั้นทีคนนี้ทีจนผมปวดหัวไปหมด  ทำอะไรไม่ถูก  ผมงงไม่รู้จะทำอย่างไรดีเลยนะ
	"คุณดอมวันนี้ข้าวร้านนั้นอร่อยมากเลยนะคะ  ไปทานกันอีกไหม"
	ผมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าอารมณ์ผมมันพุ้งพร่านออกมาจนผมทนไม่ไหวก็เลยระเบิดออกมาอย่างจังทีเดียว  ตอนนั้นใครได้เห็นผมในคราบของซาตานก็จะรู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน
	"นี่คุณ...งานไม่มีทำหรือไง  แฉลบซ้าบแฉลบขวา  นึกว่ามันว่างนักเหรอ..."
	ผมรู้สึกว่าผมเกรี้ยวกราดจนพนักงานต้องเดินหลบหน้าหลบตาไปนั่งทำงานต่อ  ส่วนผมก็ไปทานข้าว  ผมรู้ว่าต้องมีคนเอาผมไปนินทาแน่นอนแต่ผมก็ไม่สนใจหรอกนะเพราะผมถือว่าผมไม่ได้ขอเงินพวกนั้นใช้  ผมรู้สึกว่าผมตัวใจจากเธอไม่ขาดแต่ผมก็พยายามระงับอารมณ์อย่างถึงที่สุดแล้วละ  ผมกำลังจะลงลิฟเธอก็เข้ามาขวางไว้
	"ฉันไปด้วยนะ..."
	ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ผมก็ก็ไม่ได้ปฏิเสธ  เธอจึงลงมาพร้อมผม  ผมขึ้นรถ  เธอก็เปิดประตูรถแล้วก็เข้ามานั่งกับผม
	"คุณขึ้นมาทำไม..."
	เธอเงียบไม่ยอมตอบผมก็เลยลงจากรถ  เธอก็ลงจากรถ  ผมไปไหนเธอก็เดินตามจนผมรำคาญ  เดี๋ยวก็ไล่  เดี๋ยวก็ป่วนจนผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว  เธอพยายามจะยั่วให้อกผมระเบิดอย่างนั้นเหรอไงกัน  ผมไม่เข้าใจผู้หญิงเลย  ถือว่าผมโง่ตามเกมส์ไม่ทันแล้วมาทำกันแบบนี้น่ะเหรอ  เธอมัน...ผู้หญิงอะไรกันนี่...  ผมนึกแล้วก็เดินกลับไปขึ้นรถ  เธอก็วิ่งตามมานั่งใกล้ ๆ ผมไม่พูดอะไรก็เลยขับรถออกมาดื้อ ๆ ผมเริ่มหมดฟิวตั้งแต่เธอเข้ามานั่งกวนใจในรถแล้วละ
	"เนี่ยเมื่อวานท็อปเอาดอกไม้มาให้ละ...แล้ววันก่อนเก่งก็เอาตุ๊กตาลูกหมามาให้น่ารักมากๆเลย  แล้วพจน์นะซื้อของมาให้บ่อย ๆ ด้วย  เธอว่าฉันจะเลือกใครดีนะ  หือ...?"
	ผมแกล้งไม่ตอบปล่อยให้เธอพูดไปเรื่อย ๆ มีแรงเท่าไรก็ให้เธอพูดไป  จนกระทั่ง สี่ทุ่มเธอจึงหยุดพูด  ผมก็เลยจอดรถข้างทาง
	"จอดทำไมล่ะ  อย่าบอกนะจะให้ฉันลงมืด ๆ แบบนี้..."
	"แล้วทีเธอล่ะ  ไม่ฟังกันแล้วก็ใช้แต่อารมณ์  เห็นผมเป็นตัวอะไร  วันนี้ฟิวมันขาดไปหมดแล้วนะ  ผมเริ่มจะหมดความอดทนกับคุณแล้วนะ  นี่เอามาถ้าไม่ชอบผมก็อย่าใส่มันเลยไอ้แหวนวงนี้เนี่ย  ผมเกลียดคุณจริง ๆ เลย..."
	ผมกระชากมือเธอแล้วถอดแหวนออกขว้างทิ้งในรถ  เธอก็ก้มลงเก็บแหวนขึ้นมาใส่อีก  ผมก็ทำแบบนั้นอีกอยู่หลายครั้ง  จนผมหมดความอดทนก็เลยขว้างแหวนออกไปนอกหน้าต่างรถจนหาไม่เจอแล้ว...  เธอก็ทำท่าจะเดินออกไปเก็บผมจึงดึงมือเธอไว้
	"เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน...แต่ต้องไปหาที่เติมน้ำมันก่อน"
	ผมนั่งเงียบไปพักหนึ่งแต่ยังไม่ได้ขับรถออกไป...แล้วจู่ ๆ เธอก็พูดขึ้นมา
	"ถ้าไม่รักแล้วฉันจะทำแบบนี้เหรอ...คุณนี่โง่จริง ๆ เลยนะกฤษ...ฉันให้ท่าขนาดนี้คุณยังไม่รู้อีกเหรอ  จะให้ฉันต้องพูดหรือไงว่าฉันรักคุณ...ฉันรักคุณ...คุณได้ยินไหม...พอใจหรือยัง"
	เธอตะโกนลั่นรถจนผมแสบแก้วหูไปหมด  ผมคิดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งอึ้ง  ใจผมหวิว ๆ ไปหมดเหมือนกับว่ากำลังตื่นเต้นอะไรสักอย่าง  แต่พอผมนั่งคิด ๆ อะไรอยู่นั้นผมก็มารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อไฟฟ้ามันได้สปาร์กเข้าอย่างจังเลยละ  ไม่น่าเชื่อว่าผมจะถูกเธอจูบ  แทนที่ผมจะจูบเธอ...ผมนี่มันงี่เง่าจริง ๆ เลย  ผมผลักเธอออกแล้วก็เดินออกไปนอกรถเพื่อไปหาแหวนวงนั้น  ผมเดินหาแหวนจนรุ่งเช้าของอีกวัน  แล้วผมก็พบจนได้  ผมวิ่งเข้าไปในรถเอาแหวนสวมให้เธอ  แต่เธอกลับทำงอน  ผมไม่เข้าใจผู้หญิงจริง ๆ 
	ผมขับรถพาเธอไปส่งที่บ้าน  เธอนั่งเงียบมาตลอดทาง  ไม่ยอมพูดกับผมเลย  พอผมไปส่งเธอเธอก็ไม่ยอมลงจากรถ  ผมไม่รู้จะทำยัไงดีก็เลยเดินไปเปิดประตูรถแล้วก็ต้องอัญเชิญเธอลงมาเธอถึงจะยอมลงมา  จีบผู้หญิงนี่มันยาเย็นจริง ๆ เลย  อะไรก็ไม่รู้  งอนแบบไม่มีเหตุผลซะด้วยสิ  แย่จริง ๆ หรือว่าผมยังไม่ละเอียดอ่อนพอกันแน่นะ...
	ผมพาเธอเข้าไปในบ้าน  เธอก็ไม่ยอมเดิน  ผมก็เลยต้องอุ้มเธอเข้าไปในบ้านแล้ววางเธอไว้ที่โซฟาก่อนที่จะออกมาจากบ้าน
	"เดี๋ยวก่อน...อย่าเพิ่งไป"
	เธอเรียกผมไว้ผมก็เลยต้องหันแล้วเดินไปนั่งใกล้ ๆ เธอ
	"มีอะไรเหรอฬนน"
	"ฉันเหงา...มาอยู่กับฉันนะ  มาเป็นครอบครัวเดียวกัน"
	เธอน้ำตาคลอแล้วก็ซบที่อกผม  นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้เป็นผู้ซับน้ำตาให้เธอ  แต่มันเป็นการเสียใจคนละอย่าง  เธอคงฝืนใจมากที่ต้องบอกผมแบบนั้นเพราะเธอเป็นผู้หญิง  ผมนี่มันทึ่มจริง ๆ เลยนะที่ไม่รู้ว่าเธอคิดยังไงกับผมกันแน่  ผมรู้สึกว่าผมแย่มากเลยละ  ผมรู้ตัวแล้วละว่าผมพ่ายให้แก่เธอจริง ๆ ถ้าวันไหนผมขาดเธอไปนะผมคงจะแย่จริง ๆ นะ...
	ผมมาอยู่กับเธอได้เกือบ 6 เดือน  เธอเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีมาก  ไม่ว่าบ้านจะใหญ่แค่ไหนเธอก็ทำได้หมด  สะอาดทุกซอกทุกมุมจนผมสงสารเธอก็เลยจ้างแม่บ้านมาช่วยแบ่งเบาภาระเธอ  เธอดูงอนนิด ๆ แต่ผมก็ต้องอธิบายให้เธอฟังว่าเธอจะได้ไม่เหนื่อยมาก
	ผ่านมาได้อีก 3 เดือนที่ผมมาอยู่กับเธอแบบจริง ๆ จัง ๆ ผมมีความสุขมากทีเดียว  ระยะเวลา 9 เดือนนี่มันไม่น้อยเลยนะ  ผมเก็บเงินได้ก้อนนึงแล้วละ  ถึงแม้ว่าจะมีไม่มากแต่ผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะแต่งงานกับเธอ  ถึงแม้ว่าเราจะอยู่กินด้วยกันมาก่อนแล้วก็ตาม  แต่ผมก็ต้องให้เกียรติเธอเพราะนี่มันคือศักดิ์ศรีของลูกผู้หญิงทุกคน...  ผมจะทำให้เธอเสียใจไม่ได้...
	วันนี้ผมอยากให้เธอสวยที่สุด  ผมซื้อชุดมาจากร้านของพี่กิ๊กแล้วก็เอามาให้เธอใส่  ชุดราตรีสีขาวขนาดพอดีตัวเธอ  ผมเป็นคนคำนวณมันเองด้วยซ้ำว่าเธอใส่ไซท์เท่าไร  เมื่อเธอใส่แล้วเดินลงมาจากบ้าน  ผมยืนรอตรงหน้าบันไดแล้วก็เอื้มมือไปขอมือเธอ  เธอส่งมือมาให้ผมก็ค่อย ๆ ประคองเธอเดินลงมาเพราะชายผ้ามันค่อนข้างยาว ผมพาเธอเดินออกมาที่สวนหลังบ้านตามเสต็บที่พี่กอล์ฟ  สอนผมมา...  แต่พอเอาเข้าจริงผมก็ลืมบทที่พี่ชายผมสอนไว้  ผมจึงต้องพูดอะไรโง่ ๆ ออกมาจนเธอยิ้ม...เหมือนจะยิ้มเยาะผมยังไงยังงั้นเลย
	"วันนี้พระจันทร์สวยนะฬนน"
	"ไหนล่ะไม่เห็นมีเลย  นี่มันเดือนมืดนะจะมีพระจันทร์ได้ยังไง"
	"จินตนาการเอาสิ..."
	"เหรอ...อ่ะก็ได้พระจันทร์สวยนะคะที่รัก"
	"อืม...ดาวก็เช่นกันนะระยิบระยับเชียว..."
	"มีพระจันทร์แล้วทำไมถึงมีดาวเยอะแยะนักล่ะ...อย่าบอกนะว่าจินตนาการอีกน่ะ"
	"ใช่...ผมก็แค่อยากบอกคุณว่าถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้ววันนี้ไม่มีทั้งพระจันทร์และก็ดาว  แต่มันก็ยังจะสกาวเต็มใจผมเสมอ ถ้าคุณคือพระจันทร์ที่ส่องสว่างกลางใจผม  และผมคือดาวดวงเล็ก ๆ ที่อยู่เคียงข้างคุณเสมอ...ก็เท่านั้นเอง...ถ้าหากว่าท้องฟ้าขาดดาวกับพระจันทร์ไปมันก็ไม่มีความหมาย  ฉะนั้นเราต้องอยู่ร่วมทางกันไปตลอดใช่ไหมคนดี"
	ผมชี้ให้ฬนนชมท้องฟ้าในคืนนี้ทั้ง ๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย  แต่ผมก็ได้บอกความรู้สึกภายในใจของผมเสียที  ผมค่อย ๆ อ้อมเข้าไปกอดข้างหลังเธอแน่น ๆ แล้วก็เอนตัวเธอไปมาพร้อมกับบอกเธอว่าผมรักเธอมากที่สุด  จากนั้นผมก็บอกให้เธอหลับตา  ผมเอาผ้ามาปิดตาเธอแล้วก็พาเดินไปเรื่อย ๆ  ผมมาหยุดอยู่ตรงที่ ๆ หนึ่งแล้วก็เปิดตาเธอออก
	"นี่มันอะไรกันคะ..."
	"แต่งงานกับผมนะที่รัก"
	ผมคุกเข่าลงสวมแหวนให้เธอ  ญาติ ๆ และเพื่อนฝูงพร้อมกับคนที่ผมรู้จักในบริษัทต่างก็มาร่วมอวยพรกันยกใหญ่  พี่ชายของผมได้ลูกชาย  พี่กิ๊กแต่งงานแล้วตอนนี้มีลูกด้วยกันกับพี่บอย  ก็เอาลูกชายมาอวดเช่นกัน  ผมดีใจมากที่สุดที่ได้มีวันนี้  ผมรักเธอมากนะฬนน  ผมจะดูแลเธอให้ดีที่สุดตราบนานเท่านาน...ผมสัญญา
	"ยินดีด้วยนะจ๊ะน้องชายของพี่"
	พี่ ๆ ทั้งสามพร้อมเพียงกันอวยพรให้ผม  งานแต่งงานเล็ก ๆ แบบเซอร์ไพท์นี้ก็ทำให้เธอประทับใจแบบไม่รู้ลืม...แล้วผมยังเอาเครื่องเพชรออกมาสวมให้เธอด้วย  ทำให้เธอโผกอดผมไว้แน่น  จนผมรู้สึกได้ว่าเธอกอดผมแน่นแบบนี้เป็นครั้งแรก...ผมมีความสุขที่สุดเลยนะ  ผมอุ้มเธอแล้วก็หมุนไปรอบ ๆ ผมไม่รู้หรอกว่าหมุนกี่รอบ  แต่ผมรู้ว่าผมรักเธอมากก็เพียงพอแล้วละ  ช่วงชีวิตที่เราจะอยู่ด้วยกันต่อไปนี้มันคงจะมีแต่ความสุข  และก็การรวมไปถึงการใช้ชีวิตที่จะต้องเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตด้วย
	"ผมรกคุณ...ฬนน!!!...."
	ผมตะโกนลั่นสุดเสียงทีเดียวแหละ...  คำมั่นสัญญาต่อไปนี้จะเป็นสัจจะตลอดไปว่าผมจะซื่อตรงต่อเธอและทนุถนอมเธอให้ดีที่สุด...ผมจะปกป้องเธอ  ผมมั่นใจว่าผมจะทำได้และต้องทำให้ได้ดีที่สุด...  ผมมีอีกเรื่องนึงที่จะต้องดีใจคือผมกำลังจะเป็นพ่อคนเหมือนกัน...!!!...เธอมาทำให้ชีวิตผมสับสนในตอนแรก  แต่เธอก็มาเปลี่ยนแปลงทำให้ชีวิตผมสดใส  ไม่เหงาไม่ว้าเหว่อีกต่อไป  เธอเป็นสิ่งที่เติมสีสรรค์ให้ผมเสมอมา....
                    อย่าลืมติดตามภาค 4 นะคะในเรื่องวันวาน...ค่ะ
                             ......ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ........				
16 กรกฎาคม 2547 10:46 น.

สวรรค์บันดาล (ฉบับแม่ในวรรณคดี)

สุชาดา โมรา

ชีวิตในวัยเยาว์ของฉัน  ฉันเติบโตมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์มากนัก    ไม่เคยมีแม่และพ่อมาดูแล  เพราะท่านต่างก็มีภาระที่จะต้องทำ  แต่ฉันก็ยังจำได้ว่าทุก ๆ คนในบ้านรักฉันและดูแลฉันมาตลอด  ถึงแม้ว่าฉันจะดื้อและซนเพียงใดแต่ท่านก็เลี้ยงดูฉันมาด้วยความยากลำบาก  ไม่เคยแม้แต่จะบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย  และไม่เคยคิดจะนำฉันไปปล่อยเหมือนหมูเหมือนหมาด้วย   
                โอละเห่เอยเจ้าเนื้ออ่อนเอย  อ้อนแม่จะกินนม  แม่จะอุ้มเจ้าออกชม  กินนมแล้วนอนเปลเอย  เสียงเพลงที่เยือกเย็นกล่อมฉันให้หลับไหลอยู่ทุกวันจนฉันจำได้ดีว่าใครหนอที่นั่งไกวเปลกล่อมฉัน  ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าฉันขาดความอบอุ่น  เพราะฉันก็ยังมีย่าและอาอีกสองคนที่เปรียบเสมือนแม่ของฉัน  ท่านคอยดูแลเลี้ยงดู  อบรมสั่งสอนให้ฉันเป็นคนดี  ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ของฉัน  ฉันจึงรักพวกท่านมาก
                  ย่าเป็นคนชอบดูละครพื้นบ้านมากฉันจำได้ว่าตอนเป็นเด็กทุก ๆ วันเสาร์-อาทิตย์ฉันจะต้องตื่นมาแต่เช้าลุกขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ช่อง  7 เพื่อดูละครเรื่องแก้วหน้าม้า  เหตุนี้แหละที่ทำให้ฉันมีความชื่นชอบวรรณคดีเป็นพิเศษ  ทำให้ฉันติดตามดูละครพื้นบ้านที่ออกอากาศทุกเรื่อง
                  เมื่อฉันอายุสามขวบเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้ว  แม่ของฉันกลับมาหาฉัน  ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่านั่นคือแม่บังเกิดเกล้าของฉัน  ฉันรู้แต่ว่าใคร ๆ เขาก็ให้ฉันเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า  อีเหว่า  ที่จริงคำนี้เมื่อฉันมารู้ตอนโตก็คือ  แม่ทิ้งฉันไปเพราะต้องกลับไปเรียนจึงปล่อยให้ฉันกลายเป็นภาระของย่าและอาทั้งสองคน  ภายหลังเมื่อฉันได้รู้ว่าท่านเป็นแม่ฉันก็รู้สึกพูดไม่ออก  ได้แต่ร้องไห้อยากจะไปอยู่กับแม่  แม่หนูอยากไปอยู่กับแม่  ให้หนูไปนะไม่เอาหนูจะอยู่กับแม่!!!  ตอนนั้นฉันโดนตีเกือบตาย  ก้านมะยมฟาดที่น่องอ่อน ๆ ของฉันจนแตกเป็นแนวยาวไปโรงเรียนไม่ได้  ฉันจำได้ว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่เคยมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับแม่อีกเลย
                   จนกระทั่งฉันขึ้นชั้นประถมจึงได้มาอยู่กับแม่  ตอนนั้นฉันมีความสุขมากที่สุด  มีความสุขจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี  วางตัวไม่ถูกเพราะฉันไม่เคยอยู่กับแม่มาก่อน  แม่เคยบอกกับฉันว่า  เมื่อยามที่แม่ท้อง  แม่ต้องคอยระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ  อยากกินอะไรก็ไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกที่กำลังจะเกิดมา  ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่ารักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน  เพราะกว่าแม่จะเลี้ยงดู  อบรมสั่งสอนจนลูกเติบใหญ่ได้นั้น  ท่านต้องเหนื่อยทั้งแรงใจแรงกาย  ต้องอดทนสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข  อยู่ดีกินดี  ไม่เป็นภาระของสังคม
                  แม่คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน  จนยากที่จะเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งในโลกได้ ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระราชดำรัสไว้ว่า  แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก  คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์นั้น  ต้องไม่ลืมว่าที่บ้านก็มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่ง  เราจึงควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้  พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนักหากเอ่ยคำว่ารักให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง  เพราะเราอาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ  และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า ลูกรักแม่  ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้เลี้ยงเรามาแต่ท่านก็ยังเป็นแม่ของเรา  บุญคุณยิ่งใหญ่นี้จะหาใดเปรียบไม่มีอีกแล้ว  เราจึงควรกตัญญูรู้คุณท่านด้วยการตั้งใจศึกษา  เป็นคนดีมีอนาคตก็เพียงพอต่อการตอบแทนพระคุณของท่านแล้ว
                หลังจากที่ฉันได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง  แม่ก็ต้องจากฉันไปเพราะท่านแยกทางกัน  ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่าฉันกำลังสูญเสียสิ่งที่ฉันถวิลหามาตลอดชีวิต  ฉันคร่ำครวญหาแม่จนไม่เป็นอันกินอันเรียน  เมื่อฉันได้อ่านเสภาขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม  ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ท่านสุนทรภู่ได้แต่งไว้นั้นมีความว่า
                เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่		
ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย			
ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ
แต่ครั้งนี้มีกรรมจะจำจาก				
ต้องพลัดพรากแม่ไปเพราะไอ้ขุน
เที่ยวหาพ่อขอให้ปะเดชะบุญ			
ไม่ลืมคุณมารดาจะมาเยือน
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก				
คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน			
จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว
แม่วันทองของลูกจงกลับบ้าน			
เขาจะพาลว้าวุ่นแม่ทูนหัว
จะก้มหน้าลาไปมิได้กลัว				
แม่อย่ามัวหมองนักจงหักใจ
                     เสภาบทนี้มีอิทธิพลต่อฉันเหลือเกิน  ฉันมีความรู้สึกถึงการที่แม่จากฉันไปโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะมีโอกาสได้เจอแม่อีกหรือไม่  เวลาที่ฉันอ่านตอนนี้ทีไรทำให้ฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่สักที  ฉันมีความรู้สึกเหมือนตัวฉันเองเป็นพลายงามที่กำลังจะต้องจากแม่ไป  มันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่  และเศร้าใจยิ่งนัก  ยิ่งฉันได้อ่านความต่อจากนั้นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าวในใจอย่างที่สุด เพราะตลอดระยะเวลาที่ฉันอยู่กับแม่มาเพียงไม่กี่ปีฉันก็มีความผูกพันธ์กับแม่บ้าง  ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีความผูกพันธ์กันมากนัก  แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจของฉันเสมอ  และฉันก็ยังไม่เคยพูดสักทีว่า  ฉันรักแม่มาก  
                       ฉันนึกถึงนางวันทองที่แสดงความรักต่อลูกในวรรณคดีอย่างเห็นได้ชัดคือตอนที่นางวันทองจัดของไปรับลูกที่วัด แล้วพาไปส่งที่ท่าเกวียน ให้พลายงามเดินทางไปหาย่าทองประศรี ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะลำพังนางวันทองเองคงไม่สามารถคุ้มครองลูกให้ปลอดภัยจากขุนช้างได้ สองแม่ลูกอำลากันอย่างเศร้าสร้อย   สาเหตุที่นางวันทองเลี้ยงลูกไม่ได้และไม่สามารถที่จะปกป้องลูกได้นั้นเป็นเพราะขุนช้างค่อนข้างจะเป็นคนพาลก็จ้องแต่จะทำร้ายลูกอยู่ร่ำไป  นางจึงต้องตัดใจส่งลูกไปอยู่กับย่า  ตอนนี้แหละฉันรู้สึกว่าชีวิตของพลายงามมีอะไรที่คับคล้ายคับครากับชีวิตของฉันเหลือเกิน  จึงทำให้ฉันต้องหยิบยกบทเสภาตอนนี้ขึ้นมาด้วย  ความว่า
                       นางกอดจูบลูบหลังแล้วสั่งสอน		
อำนวยพรพลายน้อยละห้อยไห้
พ่อไปดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย				
จนเติบใหญ่ยิ่งยวดได้บวชเรียน
ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ				
เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน
แล้วพาลูกออกมาข้างท่าเกวียน			
จะจากเจียนใจขาดอนาถใจ
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก				
ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย				
แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น			
แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์		
โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง

                         กวีได้แสดงทัศนะในการแต่งไว้เกี่ยวกับแม่อย่างนางวันทองได้เป็นอย่างดี  กล่าวถึงความรักที่มีต่อลูกอย่างท่วมท้นของนางวันทองเป็นความรักที่บริสุทธิ์  การพลัดพรากจากกันซึ่งแม่และลูกทุกคนถ้าวันหนึ่งต้องจากกันไปนานแสนนานก็ทำใจได้ยาก  สำนวนภาษานั้นกวีใช้ภาษาง่าย ๆ ทำให้เข้าใจง่าย กวีจึงสามารถถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกตรงนี้ได้ลึกซึ้งกินใจสื่อออกมาจากตัวละครได้อย่างชัดเจน  ทำให้ผู้อ่านซึ่งเป็นคนธรรมดาทั่วไปได้รับรู้ถึงความรู้สึกของนางวันทองได้เป็นอย่างดี  เข้าถึงอารมณ์เกิดจินตนาการคล้อยตาม  
                           ลักษณะของนางวันทองนั้นไม่ว่านางวันทองจะเป็นคนอย่างไร  แต่นางวันทองก็ยังมีจิตใจที่รักลูก  ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายลูก  ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ปกป้องลูกด้วยการส่งไปอยู่กับย่าเพื่อไม่ให้โดนขุนช้างทำร้าย  ต่อเมื่อตายไปลูกเดือดร้อนก็ยังมาช่วยลูกโดยเป็นนางแปลงมาห้ามทัพของขุนแผนกับพลายชุมพลที่ปลอมเป็นมอญใหม่ยกทัพมาท้าพลายงามให้ออกรบ  เพื่อไม่ให้พ่อลูกต้องมาสู้รบกันเองนางวันทองจึงเข้าไปขวางการเดินทัพของพลายงามไว้   นางวันทองจึงเป็นแม่ที่ดีที่สุดคนหนึ่งในวรรณคดี  น่าที่จะได้รับการยกย่องให้ผู้อ่านได้รู้และทำความเข้าใจใหม่ว่านางวันทองถึงคนอื่นที่อ่านจะรู้สึกว่านางเป็นคนสองใจแต่ลึก ๆ แล้วนางวันทองเป็นคนดีมีความรักที่แม่มีต่อลูกอย่างเห็นได้ชัดเจน
                           เมื่อยามที่ฉันท้อแท้  คิดถึงแม่ขึ้นมาคราใดบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนี้มักจะเป็นเพื่อนในยามนี้ได้ทุกที  จนฉันรู้สึกว่าเสภาตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรแม่จะกลับมาหาฉัน  และเมื่อไรที่ฉันกับน้องชายจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่สักทีฉันรอคอยวันนั้นมานานเหลือเกิน  
                          แต่ ณ เวลานี้แม่ได้กลับมาหาฉันแล้ว  เราอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ฉันอยากจะให้มีก็ตามแต่ฉันก็มีความสุขมาก  เปรียบดั่งสวรรค์บันดาลให้แม่ต้องกลับมาดูแลลูก ๆ อีกครั้ง  ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว  นอกจากจะขอให้ฉันได้อยู่กับแม่ตลอดไปฉันก็พอใจและมีความสุขที่สุดแล้ว...				
15 กรกฎาคม 2547 15:39 น.

แม่...ผมขอโทษ

สุชาดา โมรา

เกมคือชีวิต เสียงนิ้วเคาะแป้นคีย์บอร์ดให้ตรงจังหวะเพื่อเก็บอาวุธไปขาย หรือออนไลน์คุยกับเพื่อนที่อยู่คนละร้าน วิธีการเล่นสองอย่างนี้เคยดึงดูดให้เด็กน้อยหลายคนต้องเสียเงินเสียทองมาเล่น
                "แม่...!!!!...มีเงินปะ  ผมจะไปทำรายงาน"
                "อีกแล้วเหรอลูก"
                "จะให้หรือไม่ให้  ถ้าไม่ให้ก็ไม่เรียน"
                "จ่ะ ๆ ลูก"
                แม่ต้องควักเงินจ่ายให้ป๋องทุกวันเพราะคิดว่าป๋องจะไปทำรายงานที่บ้านเพื่อน  เพราะป๋องมาบอกแม่ว่าจะเป็ทำรายงานทุกวัน
                "โอ๊ย...เอ้า...เฮ้ย...!!!!"
                เด็กน้อยลุ้นเกมราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
                "เฮ้ยเงินกูหมดว่ะ  ทำไงดีวะ"
                 "เออยืมกูไปก่อนก็ได้..."
                 "ขอบใจโว้ยไอ้โต้ง"
                  เวลาผ่านไปหลายวัน  ป๋องไม่เคยไปเรียนเลย  เอาแต่อยู่ร้านเกมส์  จนกระทั่งอาจารย์โทรศัพท์มาบอกคุณแม่ที่บ้าน
                 "ฮัลโหลคุณโสรยาเหรอคะ  ลูกคุณไม่มาเรียนเป็นเดือนแล้วจะเอายังไงคะจะเรียนต่อหรือจะลาออก  พรุ่งนี้ช่วยมาคุยกับดิฉันที่โรงเรียนหน่อยนะคะ"
                 แม่ตกใจมาก  เมื่อป๋องกลับมาแม่ก็ไต่ถาม  ป๋องอ้ำ ๆ อึ้ง  ๆ  แม่จึงตีป๋อง  ทำให้ป๋องต้องหนีออกจากบ้าน  เมื่อแม่ไปตามก็ไม่พบ  แจ้งความเอยอะไรเอยก็ไม่พบ...แม่เสียใจมากถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ
                   วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม 2544 ป๋องกลับมาบ้านอีกครั้ง  แต่คราวนี้ป๋องมาอย่างคนหมดสภาพ  ไม่เหลือคราบเด็กที่อ้วนท้วนสมบูรณ์เลย
                    "แม่  มีเงินไหม  เอามา  บอกให้เอามา...!!!!"
                    ป๋องกระฉากกระเป๋าแม่ไป  แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ต้องเรียกตำรวจให้วิ่งจับลูกชายคนเดียวของตนเอง  เมื่อตำรวจจับได้ก็ทราบว่าป๋องติดยา  ติดเกมส์  เล่นการพนันจนเป็นหนี้มากมา  แม่ต้องมาชดใช้ให้ป๋อง  แม่ทำงานมาทั้งชีวิตเพื่อที่จะเก็บเงินส่งป๋องเรียนแต่ป๋องก็ผลาญไปจนหมดสิ้น  ไม่เหลือแม้แต่บ้านที่จะซุกหัวอยู่  แม่ต้องพาป๋องไปเลิกยา  ต้องหาที่อยู่ใหม่  ชีวิตล้มละลายเพราะลูก  แม่หมดหวังไม่รู้จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรดี  หนี้สินก็ยังไม่หมด  แม่จึงกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
                     วันนั้นป๋องกลับมาทันเหตุการณ์พอดี  แต่ก็ไม่อาจที่จะช่วยเหลือแม่ได้เพราะกระแสน้ำเชี่ยวมาก  ป๋องมาพบแม่อีกทีก็สายเสียแล้ว  ป๋องได้แต่ร้องไห้เสียใจ
                    "แม่...ผมผิดไปแล้ว  ผมขอโทษนะแม่"
                    เมื่รู้ตัวก็สายเกินแก้แล้ว  ป๋องสิ้นหวังไม่รู้จะทำอย่างไรดี  หนี้สินพะรุงพะรัง  ป๋องเก็บตัวอยู่แต่ในห้องมืดไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน  ไม่กินไม่นอน  ไม่คุยกับใครจนกระทั่งสูบผอมไปมากและจบชีวิตลงอย่างน่าอนาจ...				
15 กรกฎาคม 2547 15:05 น.

เสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ (ฉบับปรับแก้)

สุชาดา โมรา

ฉันเรียน ม.ปลายอยู่ที่โรงเรียนชื่อดังของลพบุรี  เป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุดของที่นี่  ฉันเรียนไม่เก่งนักแต่ก็ค่อนข้างหัวดี   ตั้งแต่ฉันเรียนมาฉันก็ไม่เคยได้อ่านหนังสือเลยสักครั้งเพราะฉันเป็นคนขี้เกียจ แม่มักจะบ่นฉันอยู่เสมอ ๆ  แต่ฉันก็ทำข้อสอบได้ดีทีเดียว...
	วันนั้นฉันจำได้ว่าถูกแม่ด่าเรื่องไม่อ่านหนังสือ ไม่ทำการบ้าน  รวมทั้งแม่ใช้ให้ทำอะไรก็ไม่ทำด้วย  เมื่อถูกด่ามาก ๆ ฉันก็เลยแอบไปอยู่ข้างบ้านเอามือล้วงกระเป๋ากระโปรงนักเรียนก็พบกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีคนนำมาแจกตรงหน้าโรงเรียน... 
	กระดาษแผ่นนั้เป็นประกาศ  ในประกาศมีการเปิดรับสมัครเรียนยูโด ฉันอยากเรียนมาก ๆ จึงไปปรึกษาแม่ แต่ว่าแม่ไม่สนับสนุน
	"จะเรียนไปทำไม การเรียนของตัวเองก็แย่อยู่แล้วจะเรียนให้มันหมดเงินเปลืองทองไปทำไมกัน  ถ้าหากว่าเทอมนี้เรียนดีแล้วเอาไว้มาคุยกับแม่ทีหลังละกัน"
	ตลอดทั้งเทอมฉันตั้งใจเรียน ขยันเพื่อที่จะเป็นบันไดไต่ไปเล่นยูโด  ผลที่ออกมาคือฉันเรียนดีอย่างไม่คาดฝัน  แม่จึงให้ฉันไปเล่นยูโดที่กองพลรบพิเศษที่ 2 ค่ายเอราวัณ 
	ตั้งแต่มาเรียนยูโดทำให้ฉันได้เรียนรู้เรื่องราวมากมาย ฉันช่วยงานบ้านมากขึ้นทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนี้ไม่เคย ฉันมีสมาธิมากขึ้น รู้เรื่องชีวิตคนมากขึ้น  เข้าใจผู้คนมากขึ้นเพราะสิ่งที่ฉันไปเห็นที่เบาะยูโดมันมีแต่พวกที่เจนชีวิตมาแล้วทั้งนั้น 
	ฉันก็ได้คบกับผู้ชายคนหนึ่งที่อายุห่างกับฉันถึง 6 ปี เขาเป็นคนที่ดีเสมอต้นเสมอปลาย  แต่ฉันก็ไม่อาจรู้ได้หรอกว่าลึก ๆ เขาคิดอย่างไร...  เขาทำดีกับฉันทุกอย่าง  แต่เขาก็เป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็นและอยากที่จะไปเห็นบ้านของฉันมากเลย...เขาแอบเดินตามฉันไปที่บ้าน  ฉันก็รู้ว่าเขาตามมา  ฉันจึงเฉแวะข้างทางเรื่อย ๆ จนเขาหาที่ซ่อนไม่ได้เราเลยจังหน้ากัน
	"พี่นัทตามฉันมาทำไม..."
	"ปะ...ปะ...เปล่านี่พี่มาเดินเล่น"
	"เดินเล่นในป่าเนี่ยนะ...ท่าจะบ้า...บ้านพี่อยู่แถว ๆ ซอย 77 ไม่ใช่เหรอ  แล้วมาทำไมซอย 4 ล่ะ  แปลกนะถ้าจะบอกว่ามาเดินเล่นกว่าจะถึงบ้านคงจะเดินเป็นวันเลยละ..."
	ฉันบ่นพี่นัทแล้วก็เดินออกมาจากป่าข้างทาง  เขาก็เดินตามฉันมาจนฉันหงุดหงิด
	"นี่...จะตามไปถึงไหน"
	"เปล่าไม่ได้ตาม  ถนนส่วนตัวเหรอถึงห้ามไม่ให้ตามเนี่ย"
	ฉันเงียบแล้วก็เดินจ้ำ ๆๆๆ จนถึงบ้าน  เขาก็ตามฉันมาบ้านเหมือนกัน  เดินเข้ามาถึงรั้วบ้านเลยด้วย  ฉันรู้สึกแย่จริง ๆ เลย
	"ไหนบอกว่าไม่ได้ตามไงล่ะ"
	"ก็มันหิวน้ำนี่เดินมาตั้งไกล..."
	ฉันทำหน้าแบบไม่ค่อยพอใจแล้วก็ไม่ยอมเปิดประตูบ้านด้วย  ฉันเดินเข้าไปในบ้านแล้วก็อาบน้ำแต่งตัวทานข้าว
	"ดาว  ใครมาน่ะลูก"
	"สงสัยคนขายประกันมั้ง..."
	"แม่ว่าไม่ใช่มั้ง  เดี๋ยวแม่ออกไปดูเอง"
	ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย  พี่นัทไม่ยอมออกไปจากหน้าบ้านเสียด้วย  ถ้าแม่รู้นะว่าตามฉันมาละก็แย่เลยละ  เพราะแม่เป็นคนที่ไม่เหมือนคนอื่น  ลูกนี่จะคบกับผู้ชายไม่ได้เลยทั้ง ๆ ที่ลูกสาวก็หน้าตาไม่ดีแต่ยังจะห้ามนั่นห้ามนี่อีก
	"เข้าบ้านก่อนสิลูก...ยายดาวนี่แย่จริง ๆ เลยเพื่อนมาเที่ยวบ้านกลับไม่ให้เข้าบ้าน  ปล่อยให้เพื่อนยืนหิวน้ำคอแห้งอยู่ข้างนอกบ้านอยู่ได้  ร้อนก็ร้อน  ไปดาวเอาน้ำมาให้เพื่อนเราหน่อย"
	"แม่...."
	ฉันร้องเสียงหลงทีเดียว  สิ่งที่ไม่คาดคิดกลับเป็นสิ่งที่....เฮ้อ...นึกว่าจะโดนด่าเสียแล้วสิ
	ตั้งแต่วันนั้นที่พี่นัทได้เข้ามาเหยียบที่บ้าน  แม่ก็โอนอ่อนมากขึ้น  เขาเข้าบ้านฉันราวกับเป็นที่สาธารณะทีเดียว  ฉันรู้สึกไม่ค่อยพอใจเลยละ...แต่ก็ดีที่พี่นัทเขาเข้ากับแม่แล้วก็คุณตาของฉันได้  
	ฉันมีเพื่อนที่ไปเรียนยูโดด้วยอีกคนหนึ่งเธอชื่อเหมี่ยว  เหมี่ยวเป็นคนนิสัยดีเฉพาะต่อหน้าฉัน  แต่พอลับหลังก็หักหลังเพื่อนด้วยการแอบเอายาถ่ายมาใส่แก้วน้ำเพื่อน ทำให้เพื่อนไม่สามารถแข่งยูโดได้ ต้องขอบายไป  พอฉันมารู้ตอนหลังถึงกับมองหน้ากันไม่ติดทีเดียวเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะทำร้ายเพื่อนได้
	"เหมี่ยวทำไมเธอทำแบบนี้...ฉันอุตส่าหลงไว้ใจเธอ...เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน..."
	"เดี๋ยวดาว...ฉันไม่ได้ตั้งใจ  ฉันจะใส่อีกคนนึง"
	"เจตนาเธอมัน...ร้ายกาจที่สุด  ถึงจะฝ่ายนั้นหรือว่าฝ่ายฉันเธอก็ไม่ควรทำ"
	ฉันเดินออกมาจากกลุ่มนักยูโดที่กำลังมุงดูฉันกับเหมี่ยวทะเลาะกัน  ฉันรู้สึกโกรธจนทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัวเลย...
	แต่ไม่ใช่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวหรอกที่เพื่อนเป็น  แม้แต่แฟนของเพื่อน  เพื่อนยังแย่งชิงเอาไปด้วยการมอบกายถวายตัวให้  แล้วมาอ้อนวอนขอร้องให้เพื่อนเลิกกับแฟนของตัวเองเพียงเพราะเพื่อนบอกว่าเพื่อนท้อง...ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเพื่อนทำกับฉันได้อย่างไร...
	"แววดาว  ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย"
	"มีอะไรก็พูดมาสิต่อหน้าคนอื่นเนี่ย...ทำไมไม่กล้าเหรอ"
	"มันสำคัญนะแววดาว"
	"ไม่ต้องมาเรียกฉันเต็มยศขนาดนี้  เรามันไม่ถูกกันอยู่แล้วเธอจะพูดอะไรก็เปิดเผยมาเลยดีกว่า  อย่ามัวอ้ำอึ้งเสียเวลาซ้อมยูโด"
	"เลิกกับพี่นัทเถอะนะ..."
	ฉันถึงกับอึ้งทีเดียว  มันเป็นเพราะอะไรเหมี่ยวถึงได้มาพูดแบบนี้...ฉันไม่เข้าใจเลย  รู้สึกหน้าชาตัวชาทำอะไรไม่ถูก  ฉันคบกับพี่นัทมา 6 เดือนแต่จู่ ๆ ก็มีคนมาบอกให้ฉันเลิก  มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ฉันไม่รู้แน่ ๆ เลย
	"ฉันเป็น...."
	"แหม...เหมี่ยวแกก็บอกยายดาวไปสิว่าแกท้อง"
	คำพูดของแก้มทำให้ฉันสะดุด  ตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าเหมี่ยวจะท้องกับพี่นัท  เพราะพี่นัทไม่เคยมีท่าทีว่าจะรู้สึกอะไรกับเหมี่ยวเลยแม้แต่นิดเดียว  ฉันจึงเดินไปที่สนามฟุตบอล  ซึ่งพวกนักยูโดรุ่นพี่หลายคนกำลังวิ่งรอบสนามกันอยู่  ฉันจึงวิ่งเข้าไปถามพี่นัท  แต่พี่นัทก็ไม่หยุดวิ่งสักที  ฉันจึงต้องวิ่งตาม
	"จริงเหรอที่พี่เป็นแบบที่เขาพูดกัน"
	"อะไร...ไม่เข้าใจ"
	"ก็เรื่องที่เหมี่ยวท้องไง"
	แฮก ๆๆๆๆ...
	พี่เขาถึงหยุดหอบทันที  แล้วพี่นัทก็ก้มหน้าเหมือนกับรับผิดและยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง  ฉันรู้สึกเลยว่ามันไม่ยุติธรรมสำหรับฉันเลย...ฉันเดินห่างออกจาพวกพี่ ๆ แล้วก็เดินไปที่ห้องแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านทันที
	ฉันกลับบ้านอย่าเศร้าสร้อย เหม่อมองไปนอกหน้าต่างรถตลอดเวลาเพราะฉันรู้สึกว่าฉันสมเพชตัวเองเหลือเกิน  ทำไมฉันถึงโง่ได้ขนาดนี้... ทำไมฉันต้องมารู้จักคนแบบนี้ด้วย เวรกรรมอะไรของฉันนักหนานะที่ต้องมาพบกับเพื่อนแบบนี้...โถ่...สวรรค์...ฉันรู้สึกรับไม่ได้เลยจริง ๆ
	เมื่อฉันเลิกกับแฟนได้ 3 วันฉันก็มีคนใหม่เพื่อที่จะได้ลืมคนเก่า   แต่ก็ดูท่า ทางว่าเพื่อนของฉันจะพยายามแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีตลอด   ฉันไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดีเลย  ฉันทำอะไรไม่ถูกเล่นยูโดไม่ได้เพราะเสียสมาธิ...จะให้ฉันทำอย่างไรดีเนี่ย!
	วันนั้นฉันจำได้ดีว่าเป็นวันแข่งยูโดคัดสาย อาจารย์จากทีมชาติมากันมากมายเพื่อที่จะมาตัดสิน  ฉันแข่งชนะได้ถึง 2 คนแล้ว ถ้าชนะคนที่ 3 ฉันจะได้สายเขียวทันที  แต่ฉันกลับต้องมาประจันหน้ากับเหมี่ยว... จะให้ฉันทำอย่างไรดี...
	ด้วยความที่ฉันทั้งรักทั้งแค้นเพื่อนมาก ฉันจึงคิดเพียงอย่างเดียวว่าจะต้องชนะให้ได้ ต้องทำให้ได้  ฉันจะไม่ยอมแพ้คนพันนี้หรอก  ฉันจะสู้จนขาดใจทีเดียว...
	"เอี้ย...!!!"  ...เสียงร้องข่มคู่ต่อสู้ของฉันดังขึ้นพร้อม ๆ กับอารมณ์ที่บ้าครั่ง   ฉันไม่รู้สึกตัวเลยว่าฉันกระชากคอเสื้อเพื่อนแรงขนาดไหน ฉันคิดเพียงว่าจะไม่แพ้  ไม่แพ้  และก็ไม่มีวันแพ้... ฉันใส่ท่าโตโมนาเงะทันที
	"อิปโป้ง...!!!"
	เสียงกรรมการบอกว่าฉันชนะแล้วแต่ฉันก็ยังไม่รู้ตัว  ฉันใส่ต่อด้วยท่าล็อกเกซ่ากาตาเมะทันที  ฉันกดด้วยแรงอาฆาตนิด ๆ ของคนที่จะต้องไม่ยอมที่จะแพ้คนอย่างเหมี่ยว  หรือแม้แต่คิดฉันยังไม่ยอมคิดเลย  ทั้ง ๆ ที่ฉันก็ค่อนข้างตาขาวนิด ๆ เพราะเหมี่ยวเป็นคนตัวโต  เหมี่ยวเล่นในรุ่นน้ำหนัก 50 กิโลในขณะที่ฉันเล่นในรุ่น 45 กิโล  แต่คราวนี้มีคนแข่งในรุ่นของฉันน้อย  ฉันจึงต้องพลาสขึ้นไปแข่งกับรุ่นที่ใหญ่กว่า...  แต่ถึงแม้ว่าเหมี่ยวจะตัวใหญ่กว่าแค่ไหน  ถ้าลองให้เลือดสูบฉีดทั่วร่างแบบนี้แล้วรับรองว่าฉันสู้ตายทีเดียว...จนกรรมการต้องเดินเข้ามามาสะกิดบอกว่าฉันชนะแล้ว  ฉันชนะอย่างไม่รู้ตัวเลยว่าฉันชนะ
	"แววดาว...อิปโป้งแล้วละ..."
	....เฮ้....!!!!...เสียงทุกคนดังกึกก้องขณะที่ทุกคนก็รู้ว่าฉันกับเหมี่ยวไม่ลงรอยกัน ชัยชนะครั้งนั้นจึงทำให้ฉันก้าวขึ้นไปแข่งขันยูโดชิงแช้มเพื่อที่จะเป็นตัวแทนจังหวัด...ฉันมีความสุขมาก วิญญาณสายเลือดยูโดของฉันกล้าหาญและล้มคู่ต่อสู้ได้อย่างที่ฉันตั้งใจ ฉันหวังว่าแข่งนัดต่อไปของการแข่งขันชิงตัวจังหวัดนี้จะราบรื่น...ฉันคิดอย่างนั้น 
  
          ติดตามอ่านตอนต่อไปของเสี้ยวหนึ่งของวิญญาณ  เหตุการณ์จะเข้มข้นมากขึ้น...สาวน้อยนักยูโดจะทำอย่างไร  เหมี่ยวจะตามมาราวีอีกหรือไม่  และแฟนใหม่จะถูกแย่งไปหรือเปล่า  แฟนเก่าจะกลับมาไหม...ติดตามตอนต่อไปเร็ว ๆ นี้ค่ะ...อย่าพลาด!!!!!...
          ขอบคุณที่ติดตามผลงานเสมอมาค่ะ				
15 กรกฎาคม 2547 09:22 น.

สวรรค์บันดาล

สุชาดา โมรา

ชีวิตในวัยเยาว์ของฉัน  ฉันเติบโตมาจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์มากนัก    ไม่เคยมีแม่และพ่อมาดูแล  เพราะท่านต่างก็มีภาระที่จะต้องทำ  แต่ฉันก็ยังจำได้ว่าทุก ๆ คนในบ้านรักฉันและดูแลฉันมาตลอด  ถึงแม้ว่าฉันจะดื้อและซนเพียงใดแต่ท่านก็เลี้ยงดูฉันมาด้วยความยากลำบาก  ไม่เคยแม้แต่จะบ่นว่าเหน็ดเหนื่อย  และไม่เคยคิดจะนำฉันไปปล่อยเหมือนหมูเหมือนหมาด้วย   
          โอละเห่เอยเจ้าเนื้ออ่อนเอย  อ้อนแม่จะกินนม  แม่จะอุ้มเจ้าออกชม  กินนมแล้วนอนเปลเอย  เสียงเพลงที่เยือกเย็นกล่อมฉันให้หลับไหลอยู่ทุกวันจนฉันจำได้ดีว่าใครหนอที่นั่งไกวเปลกล่อมฉัน  ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าฉันขาดความอบอุ่น  เพราะฉันก็ยังมีย่าและอาอีกสองคนที่เปรียบเสมือนแม่ของฉัน  ท่านคอยดูแลเลี้ยงดู  อบรมสั่งสอนให้ฉันเป็นคนดี  ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันไม่เคยรู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นแม่ของฉัน  ฉันจึงรักพวกท่านมาก
           ย่าเป็นคนชอบดูละครพื้นบ้านมากฉันจำได้ว่าตอนเป็นเด็กทุก ๆ วันเสาร์-อาทิตย์ฉันจะต้องตื่นมาแต่เช้าลุกขึ้นมาเปิดโทรทัศน์ช่อง  7 เพื่อดูละครเรื่องแก้วหน้าม้า  เหตุนี้แหละที่ทำให้ฉันมีความชื่นชอบวรรณคดีเป็นพิเศษ  ทำให้ฉันติดตามดูละครพื้นบ้านที่ออกอากาศทุกเรื่อง
            เมื่อฉันอายุสามขวบเริ่มเข้าโรงเรียนได้แล้ว  แม่ของฉันกลับมาหาฉัน  ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่านั่นคือแม่บังเกิดเกล้าของฉัน  ฉันรู้แต่ว่าใคร ๆ เขาก็ให้ฉันเรียกผู้หญิงคนนั้นว่า  อีเหว่า  ที่จริงคำนี้เมื่อฉันมารู้ตอนโตก็คือ  แม่ทิ้งฉันไปเพราะต้องกลับไปเรียนจึงปล่อยให้ฉันกลายเป็นภาระของย่าและอาทั้งสองคน  ภายหลังเมื่อฉันได้รู้ว่าท่านเป็นแม่ฉันก็รู้สึกพูดไม่ออก  ได้แต่ร้องไห้อยากจะไปอยู่กับแม่  แม่หนูอยากไปอยู่กับแม่  ให้หนูไปนะไม่เอาหนูจะอยู่กับแม่!!!  ตอนนั้นฉันโดนตีเกือบตาย  ก้านมะยมฟาดที่น่องอ่อน ๆ ของฉันจนแตกเป็นแนวยาวไปโรงเรียนไม่ได้  ฉันจำได้ว่าหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาฉันก็ไม่เคยมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับแม่อีกเลย
            จนกระทั่งฉันขึ้นชั้นประถมจึงได้มาอยู่กับแม่  ตอนนั้นฉันมีความสุขมากที่สุด  มีความสุขจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี  วางตัวไม่ถูกเพราะฉันไม่เคยอยู่กับแม่มาก่อน  แม่เคยบอกกับฉันว่า  เมื่อยามที่แม่ท้อง  แม่ต้องคอยระมัดระวังตัวเองอยู่เสมอ  อยากกินอะไรก็ไม่กล้ากินเพราะกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกที่กำลังจะเกิดมา  ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่ารักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน  เพราะกว่าแม่จะเลี้ยงดู  อบรมสั่งสอนจนลูกเติบใหญ่ได้นั้น  ท่านต้องเหนื่อยทั้งแรงใจแรงกาย  ต้องอดทนสู้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข  อยู่ดีกินดี  ไม่เป็นภาระของสังคม
แม่คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน  จนยากที่จะเปรียบเทียบกับสรรพสิ่งในโลกได้ ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถทรงพระราชดำรัสไว้ว่า  แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก  คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์นั้น  ต้องไม่ลืมว่าที่บ้านก็มีพระอรหันต์อยู่องค์หนึ่ง  เราจึงควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้  พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนักหากเอ่ยคำว่ารักให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง  เพราะเราอาจจะโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพ  และเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า ลูกรักแม่
               หลังจากที่ฉันได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่ได้ระยะเวลาหนึ่ง  แม่ก็ต้องจากฉันไปเพราะท่านแยกทางกัน  ตอนนั้นฉันมีความรู้สึกว่าฉันกำลังสูญเสียสิ่งที่ฉันถวิลหามาตลอดชีวิต  ฉันคร่ำครวญหาแม่จนไม่เป็นอันกินอันเรียน  เมื่อฉันได้อ่านเสภาขุนช้างขุนแผนตอนกำเนิดพลายงาม  ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ท่านสุนทรภู่ได้แต่งไว้นั้นมีความว่า
เจ้าพลายงามความแสนสงสารแม่	ชำเลืองแลดูหน้าน้ำตาไหล
แล้วกราบกรานมารดาด้วยอาลัย	ลูกเติบใหญ่คงจะมาหาแม่คุณ
แต่ครั้งนี้มีกรรมจะจำจาก		ต้องพลัดพรากแม่ไปเพราะไอ้ขุน
เที่ยวหาพ่อขอให้ปะเดชะบุญ	ไม่ลืมคุณมารดาจะมาเยือน
แม่รักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก		คนอื่นสักหมื่นแสนไม่แม้นเหมือน
จะกินนอนวอนว่าเมตตาเตือน	จะจากเรือนร้างแม่ไปแต่ตัว
แม่วันทองของลูกจงกลับบ้าน	เขาจะพาลว้าวุ่นแม่ทูนหัว
จะก้มหน้าลาไปมิได้กลัว		แม่อย่ามัวหมองนักจงหักใจ
            เสภาบทนี้มีอิทธิพลต่อฉันเหลือเกิน  ฉันมีความรู้สึกถึงการที่แม่จากฉันไปโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าฉันจะมีโอกาสได้เจอแม่อีกหรือไม่  เวลาที่ฉันอ่านตอนนี้ทีไรทำให้ฉันต้องกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่สักที  ฉันมีความรู้สึกเหมือนตัวฉันเองเป็นพลายงามที่กำลังจะต้องจากแม่ไป  มันทำให้ฉันรู้สึกหดหู่  และเศร้าใจยิ่งนัก  ยิ่งฉันได้อ่านความต่อจากนั้นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกปวดร้าวในใจอย่างที่สุด เพราะตลอดระยะเวลาที่ฉันอยู่กับแม่มาเพียงไม่กี่ปีฉันก็มีความผูกพันธ์กับแม่บ้าง  ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีความผูกพันธ์กันมากนัก  แต่ก็มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ในใจของฉันเสมอ  และฉันก็ยังไม่เคยพูดสักทีว่า  ฉันรักแม่มาก  
ฉันนึกถึงนางวันทองที่แสดงความรักต่อลูกในวรรณคดีอย่างเห็นได้ชัดคือตอนที่นางวันทองจัดของไปรับลูกที่วัด แล้วพาไปส่งที่ท่าเกวียน ให้พลายงามเดินทางไปหาย่าทองประศรี 
              ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะลำพังนางวันทองเองคงไม่สามารถคุ้มครองลูกให้ปลอดภัยจากขุนช้างได้ สองแม่ลูกอำลากันอย่างเศร้าสร้อย   ตอนนี้แหละฉันรู้สึกว่าชีวิตของพลายงามมีอะไรที่คับคล้ายคับครากับชีวิตของฉันเหลือเกิน  จึงทำให้ฉันต้องหยิบยกบทเสภาตอนนี้ขึ้นมาด้วย  ความว่า

นางกอดจูบลูบหลังแล้วสั่งสอน	อำนวยพรพลายน้อยละห้อยไห้
พ่อไปดีศรีสวัสดิ์กำจัดภัย		จนเติบใหญ่ยิ่งยวดได้บวชเรียน
ลูกผู้ชายลายมือนั้นคือยศ		เจ้าจงอุตส่าห์ทำสม่ำเสมียน
แล้วพาลูกออกมาข้างท่าเกวียน	จะจากเจียนใจขาดอนาถใจ
ลูกก็แลดูแม่แม่ดูลูก		ต่างพันผูกเพียงว่าเลือดตาไหล
สะอื้นร่ำอำลาด้วยอาลัย		แล้วแข็งใจจากนางตามทางมา
เหลียวหลังยังเห็นแม่แลเขม้น	แม่ก็เห็นลูกน้อยละห้อยหา
แต่เหลียวเหลียวเลี้ยวลับวับวิญญาณ์	โอ้เปล่าตาต่างสะอื้นยืนตะลึง
                เมื่อยามที่ฉันท้อแท้  คิดถึงแม่ขึ้นมาคราใดบทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนตอนนี้มักจะเป็นเพื่อนในยามนี้ได้ทุกที  จนฉันรู้สึกว่าเสภาตอนนี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันไปแล้ว  ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรแม่จะกลับมาหาฉัน  และเมื่อไรที่ฉันกับน้องชายจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับแม่สักทีฉันรอคอยวันนั้นมานานเหลือเกิน  
               แต่ ณ เวลานี้แม่ได้กลับมาหาฉันแล้ว  เราอยู่เป็นครอบครัวเดียวกันอีกครั้งถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่าที่ฉันอยากจะให้มีก็ตามแต่ฉันก็มีความสุขมาก  เปรียบดั่งสวรรค์บันดาลให้แม่ต้องกลับมาดูแลลูก ๆ อีกครั้ง  ชั่วชีวิตนี้ฉันไม่ขออะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว  นอกจากจะขอให้ฉันได้อยู่กับแม่ตลอดไปฉันก็พอใจและมีความสุขที่สุดแล้ว				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุชาดา โมรา
Lovings  สุชาดา โมรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุชาดา โมรา