29 พฤษภาคม 2550 00:06 น.

จากเมรุถึงกุโบร์

ส่องหล้า

หอมเอยเจ้าดอกลั่นทม
กลิ่นลอยตามลมพร่างพรหมจิต
กลิ่นเจ้าแนบเนาใกล้ชิด
ส่งกลิ่นนฤมิตจรุงใจ.

กลิ่นลั่นทมจากเมรุกลางเมือง
น้ำตานองเนืองหลั่งรินไหล
โหยหาไขว่คว้าด้วยอาลัย
ทุกข์ทนหมองไหม้ตรอมตรม

คืนวันผ่านเวลาคว้าหวัง
ทุกข์ยังหมองใจไห้ห่ม
เมืองวุ่นขุ่นเหงาเศร้าซม
แบกทุกข์ระทมท่วมเมรุ

จาก กุโบร์ แดนไกล
กลิ่นลั่นทมหวนไห้มิว่างเว้น
หลุมใดใครเล่าเช้ายันเย็น
ข้ามตะวันมิได้เห็นแทบขาดใจ

กลีบร่วงลั่นทมถม มัยยิต
หวั่นจิตนึกพรั่นหวั่นไหว
ใจเหงาเศร้ากล่อมเมื่อลมไกว
อุ่นใดจะโอบกอดกลางเดียวดาย

ในเงามืดซ่อนหมองหม่น
ความชั่วร่องหนลับเลือนหาย
โปรยทุกข์คุกรุ่นฟุ้งกระจาย
แผ่ซ่านวุ่นวายบนพื้นดิน

หวังอุ่นลั่นทมห่อห่มหนาว
ทุกข์ทนเจ็บร้าวจงสร่างสิ้น
จากเมรุถึงกุโบร์ใจโผบิน
ฝากลั่นทมกล่อมแผ่นดินถิ่นไกล.				
23 พฤษภาคม 2550 22:56 น.

รอหมอ

ส่องหล้า

เจ็บแปลบแสบเสียดเบียดท้อง
เดินย่องเข้าในห้องน้ำ
เบ่งถ่ายก่ายเกาะหน้าดำ
คลำท้องครวญร้องโอดโอย

ผลุบเข้าผลุบออกหลายเที่ยว
หน้าเหี่ยวหมดแรงระโหย
เดินเอียงคลำท้องร้องโอย
ดั่งถูกเชือกโบยเฆี่ยนตี

น้ำร้อนน้ำชาน้ำสุก
กินเสียจนจุกลิ้นปี่
ไม่หายปวดท้องเสียที
ร้องอี๋ร้องโอยร้องอ๋อย

ตุปัดตุเป๋เซซัด
โบกรัดแท็กซี่หว็อยหว็อย
ด่วนจี๋หาหมออย่าคอย
ร้องคางอ๋อยอ๋อยในรถ

โรงบาลโรงหมอโรงนวด
ด่า-สวด-ให้พร-สบถ
นั่งรอทำบัตรพัดยศ
เหมือนคนรอรถเหยียดยาว

ต้องรอถึงไหนกันนี่
ปวดที่ท้องเหน็บเจ็บร้าว
พยาบาลแสนสวยบ่นปาว
อย่ามาเซ้าซี้มากนัก

ไปยื่นบัตรมาตามคิว
ชี้นิ้วชี้หน้าว่าหนัก
ทางไหนพยาบาลที่รัก
ชักไม่อยากตรวจปวดใจ

ตะโกนผ่านลอดกระจก
ใจฉันตระหนกสั่นไหว
เลี้ยวขวาชั้นสองห้องใน
ตะคอกเข้าใส่ใจดำ

มือสั่นงันงกมึนงง
ยอมปลงแม้ใจเจ็บช้ำ
เลี้ยวไหนขึ้นไหนไม่จำ
งุ่มง่ามเงอะงะวุ่นวาย

เสียความรู้สึกจริงจริง
ยอมนิ่งก้มหน้าคว้าหมาย
ปวดท้องเหมือนจะผ่อนคลาย
แต่เสียดเบียดใจขึ้นพลัน

คนไหนส่องหล้ามานี่
ตรวจเลือดตรวจฉี่ที่ฉัน
มันตรวจอยู่นานแสนนาน
ท้องฉันปวดโอ้ยอยากตาย

ชั่วโมงหนึ่งแล้วที่หวัง
อีกชั่วโมงข้างหลังก็หาย
สองชั่วโมงต้องทนแทบตาย
หมอหนุ่มหน้าใหม่มาพลัน

ใจชื้นค่อยชื่นในหวัง
เรี่ยวแรงกำลังผกผัน
ปวดเจ็บหนักผ่อนพอกัน
เนิ่นนานก็พอชื่นใจ

จดนั่นจดนี่ยิกยัก
ถามทักว่าปวดตอนไหน
กดท้องด้านขวาด้านซ้าย
สรุปว่าไส้ติ่งตัน

ที่เจ็บยังพอมีหวัง
แต่ยังต้องรออย่างนั้น
เพราะมีคนเจ็บเหมือนกัน
มาก่อนพระฉันตอนเพล

นี่ปาเข้าไปสองทุ่ม
ร้อนรุ่มกดใจให้เย็น
เขาปวดดิ้นพลาดฉันเห็น
ดั่งปลาเป็นเป็นโดนทุบ

แล้วฉันนั้นมาตอนเที่ยง
มีเพียงหัวใจห่อหุบ
ที่ปวดไม่มีจะยุบ
เตียงข้างดิ้นตุบวุ่นวาย

รั้งรอแสนนานที่รอ
เศร้าเสียจริงหนอรอหาย
มีหวังไส้ติ่งแตกตาย
ทนรอไม่ไหวแล้วโว้ย.

สามทุ่มขอย้ายไปแล้ว
เตียงข้างดิ้นแด่วร้องโอย
ใจเหี่ยวห่อแห้งแรงโรย
ตัวฉันขอโกยไปก่อน

จากรัฐตัดใจไปราษฎร์
เด็ดขาดเจ็บในไม่ผ่อน
เงินทองไม่ต้องอาวรณ์
เจ็บร้อนให้ผ่อนก็พอ

ไปถึงเคาน์เตอร์สาวสวย
ถามป่วยเป็นไรไปหนอ
เจ็บติ่งที่ไส้ดิ้นงอ
จากหมอโรงรัฐตัดใจ

ที่นี่มีหมอยู่แน่
ข้อแม้มีเงินมาหรือไม่
มีเงินขอเชิญด้านใน
ถ้าไม่รีบย้ายไปเลย

อุเหม่ใจเหอยากหัน
กูมันก็คนนะเหวย
ปวดหนักยิ่งหนักกว่าเคย
อยู่เฉยคงเจ็บกว่านั้น

มิตรหมู่ยังมาไม่ถึง
ฉันจึงเจ็บเดี่ยวเปลี่ยวฝัน
กว่าญาติจะมาครบครัน
รอหมอจนฉันใกล้ตาย

มีเงินขอเชิญเลยค่ะ
คงจะไม่นานก็หาย
หมอครบผ่าตัดง่ายดาย
ตัดติ่งตัวร้ายไปพลัน

ฉันตื่นฟื้นจากสลบ
นอนซบเศร้าซมอาสัญ
นอนพักอยู่เพียงสามวัน
อยากรั้นดั้นไปโดยไว

เรียกหมอมาคิดบัญชี
ค่านั่นค่านี่ค่าไหน
มองเห็นราคาตกใจ
สลบล้มหงายงงงัน

โอ้โฮนี่ตั้งหลายหมื่น
เป็นลมทั้งยืนเลยฉัน
อยากตายให้แล้วแล้วกัน
อายุคงสั้นมั่นใจ

ขอบคุณ...อำลาแล้วหมอ
เจ็บปวดยังพอทนไหว
ค่าหมอต้องขอทำใจ
ไม่อยากเจ็บไข้แล้ว....กู				
5 เมษายน 2550 15:05 น.

พม่าเสียเมือง

ส่องหล้า

กรุงอังวะบุรีศรีแผ่นดิน
เกรียงไกรถิ่นสุวรรณศรีมหาศาล
มีขุมทรัพย์เรืองรองแลตระการ
ดั่งเมืองทองตั้งตระหง่านกลางแผ่นดิน

ครั้งกรุงศรีฯ อ่อนแอพ่ายแพ้ศึก
อังวะคึกบารมีทวีสิน
เข้าปล้นฆ่ากวาดทรัพย์กลับแผ่นดิน
อยุธยาสูญสิ้นไปตามกรรม

ข้างฝรั่งอังกฤษตั้งกลศึก
ซ่อนกลลึกล่วงอุบายขยายล้ำ
ยึดพม่าฝ่ายใต้ไว้ครอบงำ
กรุงอังวะเริ่มระส่ำระคายเมือง

ผ่านถึงยุคสีป่อกะยอดิน
ปราบปรามสิ้นเสียนหนามที่ขามเขื่อง
ใช้อำอาจวุ่นวายใต้รุ่งเรือง
มโหรีกลบเรื่องการฆ่าฟัน

ยกมเหษีเป็นใหญ่ใต้เศวต-
-ฉัตรเทวษทวยหล้ามหามหันต์
ติดสุขสนุกสนานการพนัน
หวังเพียงเงินโกฎิล้านเข้าพระคลัง

มัณฑเลบุรีศรีอังวะ
ใช้จ่ายเงินเปะปะโดยไร้หวัง
เก็บภาษีมากมายเกินกำลัง
ประชาชนหมดหวังและยากจน

คิดการใหญ่พึ่งใบบุญฝรั่งเศส
หวังเป็นมิตรประเทศมหาหน
สร้างเจ็บช้ำให้อังกฤษจักเกินทน
ทั้งท้าวเธอกล่าวการล้นเป็นสงคราม

ทัพอังกฤษโยธายาตราศึก
ฝ่ายอังวะโหมฮึกมิขลาดขาม
แต่ปราชัยพ่ายแพ้แค่ชั่วยาม
อำนาจเคยล้นหลามมิทานทน

ยอดปราสาทเคยเรืองรองดั่งทองทิพย์
กลับวังแวงเงียบกริบทุกแห่งหน
แท่นมณเทียรประทับแสนอับจน
ไร้ผู้คนผู้ภักดีพัดวีไกว

ฝ่ายอังกฤษรายล้อมปราสาทศรี
ปล่อยสตรีข้าบาทเข้าออกได้
บ้างคว้าทรัพย์สิ่งของที่ต้องใจ
เข้ารื้อค้นวุ่นไปทั้งมณฑล

โพนทะนาโจษจันการยักยอก
คนผลุบเข้าผลุบออกเข้าลักขน
ต่างยื้อแย่งด่าทอกันอึงอล
หมดอำนาจจึงหมองหม่นทั้งแผ่นดิน

วัฏจักรรอยกรรมแห่งอำนาจ
ไม่มีใครผูกขาดได้หมดสิ้น
เมื่อผ่านมาล้วนผ่านไปในธรณิน
แต่ผลกรรมมิสูญสิ้นไปตามกาล				
7 มีนาคม 2550 13:30 น.

ITV

ส่องหล้า

จากพฤษภาทมิฬเกือบสิ้นชาติ
เผด็จการผูกขาดประหาร-กระหาย
จึงก่อเกิด ITV หลังวุ่นวาย
เผด็จการแพ้พ่ายประชาชน

มาถึงยุคคนดีเสรีเถื่อน
ยุคที่เกลื่อนพอเพียงทุกแห่งหน
ความพอดีจริงจังมีกี่คน
มีแต่คำมากล้นจนเกินความ

ยุคสื่อเอียงเสียงอ่อนเหมือนท่อนกล้วย
ดูปลวกเปียกล้มป่วยจนขลาดขาม
พวกบ้าดีด่าคนเลวไร้คนปราม
หรือเป็นพวกต่ำทรามพอพอกัน

ยุคสมานฉันท์ประหารสื่อ
ยุคยึดยื้อผลประโยชน์มหามหันต์
ยุคคนดีโทษคนเลวเหลวพอกัน
หาจุดตั้งที่คงมั่นยังไม่เจอ

ยุคอ้างสิทธิ์ประชาชนป่วน-ปล้น-ปั่น
อ้างปวงชนปิดกั้นสนองเสนอ
ปิดหูตาปวงชนจนเผลอเลอ
แล้วเข้าเย่อประโยชน์สะดวกเพื่อพวกตน

ไม่กี่วันผ่านไปสลายสิทธิ์
เผด็จการครอบปิดมาตามหน
พวกบ้าดีเอียงข้างล้างผจญ
ไอทีวี ไม่หลุดพ้นจากวิบากกรรม

ถึงสุดท้ายเผด็จการยังเหนือสิทธิ์
เสรีภาพถูกปิดและลุกล้ำ
สื่อมวลชนไม่หลุดพ้นการครอบงำ
จากต้นทุนชั้นต่ำ.....เผด็จการ				
4 มกราคม 2550 16:10 น.

ปลาชะโด

ส่องหล้า

ยอดผักบุ้งทอดปล้องกลางหนองน้ำ
เหนือขุ่นโคลนมืดดำใต้น้ำลึก	
พื้นแผ่นโคลนสงบงันผสานผลึก
รอไหวติงใต้สำนึกตรึกตรองจินต์

ฝูงปลาซิวผิวน้ำเริงร่ำเหยื่อ
พื้นแผ่นน้ำจุนเจือประจำถิ่น
ระเริงร่ายว่ายคว้าออกหากิน
มวลเกสรที่ร่วงรินกลิ่นอบอวน

ปลาตะเพียนหางแดงแฝงผักบุ้ง
กระโจนพุ่งแกว่งกวัดสะบัดหวน
กระทุ่มน้ำขุ่นคว้าเข้ามากวน
ทำปั่นป่วนเวิ้งน้ำคล่ำดินโคลน

เจ้าชะโดแฝงโคลนกระโจนผาง
สะบัดหางวาดฟ้าท่าผาดโผน
เกล็ดหยาบดำหัวใจไร้อ่อนโยน
ฮุบและกัดสะบัดโพ้นน้ำกระจาย

ยอดผักบุ้งหักซบลงกับวิถี
เวิ้งนทีประหวั่นเกินมั่นหมาย
น้ำกระเพื่อมเหลื่อมซัดกระจัดกระจาย
แล้วสักพักก็เงียบหายไปกับกาล

ยอดผักบุ้งจมหายอยู่ใต้หน
วิถีแห่งมืดมนก่นประหาร
ปรุงเกินธรรมกรรมลิขิตจิตวิญญาณ
การปรุงหว่านผลกรรมร่ำนที

เช้าวันใหม่ผักบุ้งเริ่มทอดยอด
แลตลอดคุ้งน้ำตามวิถี
สงบงันเงียบไฉนสายวารี
ไม่ไหวติงเหมือนดั่งทีเช่นเคยมา

มวลมาลีคลี่กลีบพิสุทธิ์กลิ่น
โปรยเกสรร่วงรินแห่งบุบผา
สู่พื้นน้ำสงบนิ่งในเวลา
ฝูงปลาซิวหายหน้าไม่มาเยือน

ใต้พื้นโคลนขุ่นขุ่นดูข้นคลั่ก
มืดมนนักหัวใจไม่ขับเคลื่อน
บนน้ำใสนิ่งงันประหวั่น-เตือน
รอยบาดแผลฉีกเฉือนแห่งวันวาน

เจ้าชะโดยังแฝงสำแดงฤทธิ์
ยอดผักบุ้งทอดสิทธิ์ตลอดย่าน
ฝูงปลาซิวตรึกนทีเผยคลี่กาล
รอขับขานตามวิถีของชีวิต...				
Calendar
Lovers  2 คน เลิฟส่องหล้า
Lovings  ส่องหล้า เลิฟ 1 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟส่องหล้า
Lovings  ส่องหล้า เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟส่องหล้า
Lovings  ส่องหล้า เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงส่องหล้า