เพื่อชัยชนะของเรา

ตราชู

เพื่อชัยชนะของเรา
ประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๗๕
ฉากที่ ๑
พระอาทิตย์ยามเที่ยงแผดเปรี้ยงร้อนเร่า ปานเทวดาเจตนาส่งคบเพลิงมาผลาญเผากำลังใจของคลื่นมหาชนซึ่งคลาเคลื่อนอยู่คลาคล่ำเต็มตลอดพื้นที่อันไพศาลแห่งถนนราชดำเนินให้เหือดหาย แต่ ถ้าเทวดามีวัตถุประสงค์เช่นนั้น ก็อย่าพึงหมายว่าจะสมหวัง ฝูงชนคับคั่งหลั่งหลากด้วยกำลังเชี่ยวกรากเกินน้ำป่า ถั่งท้นล้นบ่าระลอกแล้วระลอกเล่า หนุนแน่นนองเนืองและต่อเนื่อง เสียงประกาศจากรถนำขบวนคงกึกก้องดั่งฟ้าร้องคำราม เท่าๆกันกับสำเนียงโห่สนั่นครั่นครืนของผู้รับฟังซึ่งดังดุจถล่มพิภพ
	พี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์ทั้งหลาย สันทัด กุลทองลิ้ม ผู้นำกลุ่มพันธกิจประชากรเพื่อประชาธิปไตยป่าวร้องกังวานไกล พ.ศ. นี้ ๒๕๗๕ หนึ่งร้อยปีประชาธิปไตยไทย แต่... พี่น้องครับ เป็นที่ประจักษ์ดีว่า เรา ยังไม่ได้ประชาธิปไตยกลับคืนอย่างเต็มรูปแบบเลย พวกมัน ผู้พูดเน้นคำ เมื่อกล่าวถึงรัฐบาลชุดปัจจุบัน พวกมัน ไอ้พวกหน้าหนา หน้าด้าน ร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดจนหมดทุกมาตรา เพียงเพื่อให้คนคนเดียวพ้นผิด พ้นข้อกล่าวหา พวกเรายอมไม่ได้ ใช่ไหมครับ คำขานรับ ใช่ ใช่ อึงคนึงสันทัดรอจนสำเนียงอึงอลค่อยจางลงแล้วจึงกล่าวต่อ นี่คือมติของพวกเรา ฉะนั้น เคลื่อนต่อไปครับ ไม่ว่าพวกมันจะตอบโต้ด้วยวิธีใดๆก็ตาม ไม่มีทางสลายกำลังพวกเราได้เป็นอันขาด ประชาธิปไตยต้องเป็นของชาติเราในวันนี้ กรุณาเปล่งเสียงไชโยเพื่อชัยชนะของเราหน่อยครับ สิ้นวาจาของเขา ถนนทั้งสายก็เอิกเกริก ไชโย สะทึกสะเทือนเลื่อนลั่น ธงไตรรงค์สะบัดโบกพลิ้วระเริงลม ขบวนรุดคืบสืบก้าว ดวงตาทุกคู่มุ่งหมาย เปล่งประกายเจิดจ้าราวท้าตะวันให้อับอายพ่ายแพ้ แพ้ให้กับดวงใจอันแสวงเสรีภาพแหละความเป็นธรรม
ฉากที่ ๒
	วันนี้ ไอ้กระผมมีความจำเป็นที่จะต้องพูดกับทุกท่าน ความจริงก็อยากพูดมานานแล้ว อดทนมานาน จนกระทั่งเห็นว่าไม่ไหวจริงๆ เห็นทีจะต้องชี้แจงอะไรกันสักนิดหละครับ นายสมรรถ สาธรเทศ นายกรัฐมนตรี ผู้นำรัฐนาวา แถลงผ่านวิทยุกระจายเสียง แหละโทรทัศน์ได้ยินไปทั่วเมือง ท่านทั้งหลายคงทราบกันดีนะครับ กำลังนี้เนี่ย มีบุคคลกลุ่มหนึ่ง ยั่วยุให้เกิดความวุ่นวาย โดยมีเป้าหมายสั่นคลอนรัฐบาลทั้งคณะ ผมขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า รัฐบาลชุดนี้ มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน ฉะนั้น ผมยอมไม่ได้หรอกครับ พวกคุณสี่ห้าคนจะมาเคลื่อนไหวปิดถนนแบบนี้ ถือว่าสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ซึ่งผม ในฐานะนายกรัฐมนตรี ยอมไม่ได้ที่จะให้กฎหมู่มาอยู่เหนือกดหมาย ขอร้องกันก็แล้ว เตือนกันก็แล้ว พวกคุณยังดื้อดึง ผมจึงจำเป็นครับ จำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งให้พวกคุณออกไปจากถนนให้ได้ ผมเตรียมกำลังตำรวจทหารไว้พร้อม ถ้าพูดกันดีๆไม่ฟังก็คงต้อง.....ต้อง....ผลักดันกันหละครับ ผมจะขอเตือน...จะเรียกว่าขอร้องก็ได้ ขอให้พวกคุณออกไปจากถนนหลวงเสีย เพื่อความสงบเรียบร้อยของชาติ จากความหวังดีของผมแหละคณะรัฐบาลครับ นั่น เป็นเพียงช่วงต้นๆของถ้อยคำเท่านั้น หาก ประโยคขนาดไม่สั้นไม่ยาวนี่แหละ กลับทรงพลังอำนาจเกินประมาณ เพราะมันผลักดันผู้คนมากมายให้ทยอยออกจากเหย้า ย่ำเท้าสู่จุดหมายเดียวกัน ถนนราชดำเนิน! แน่นอน ปราศจากสิ่งขัดขวาง ในเมื่อครั้งนี้ ฝ่ายรัฐยั่วยุเสียก่อน
	ฟังไอ้หน้ากะโล่มันพูดแล้วอดไม่ไหวว่ะ ส่วนใหญ่ฮึดฮัดกัดกรามบอกกันคล้ายๆเช่นนั้นเมื่อต่างไต่ถามกันไปมา จึงมิน่าแปลกใจเลย ที่จำนวนมวลชนเต็มล้นแนววิถีในอีกมิช้า แม้ว่าพยับเมฆตั้งเค้าทะมึนกลางนภากาศ ก็มิมีใครคิดถอย
	พี่น้องคงได้ยินไอ้นายกวางก้ามข่มขู่แล้วใช่ไหมครับ เป็นเสียงกึ่งตะโกนกึ่งปราศรัยของพลตรีจำรูญ เสมา หนึ่งในห้าแกนนำกลุ่มพันธกิจฯ นี่คือไผ้ใบสุดท้ายของพวกมัน ไอ้พวกอันธพาล ผู้ชุมนุมโห่ฮา ปรบมือกราว มันหมดหลักฐาน หมดเหตุผลชี้แจงกับประชาชน มันเลยคิดจะปราบปราม ไม่ต้องกลัวครับพี่น้อง ให้มันปราบ ผม สรรพนามลงน้ำหนักหนักแน่น ผม กับแกนนำจะยอมให้มันจับ ส่วนพี่น้องทางนี้ อย่ายอมแพ้ ช่วยแก้แค้นให้ด้วยนะครับ สำเนียงอึกทึกขานรับตามเคย เวลาเดียวกัน กำลังเจ้าหน้าที่ปราบจลาจลก็ตั้งแนวสกัดเห็นอยู่ตรงสะพานข้างหน้าห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป ใกล้เข้าไป ขบวนผู้แสวงหาประชาธิปไตย จวนจะเผชิญหน้ากับกองกำลังจัดตั้งของทางรัฐบาลแล้ว! ประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของเมืองไทยกำลังจะถูกจดจาร ณ ที่นั่น
ฉากที่ ๓
ประกาศ คณะผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ฉบับที่ ๑
ดังได้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันแล้วว่า สถานการณ์ความแตกแยกภายในชาติปัจจุบันนี้ นำมาซึ่งเหตุจลาจลวุ่นวาย ก่อความเสียหายให้แก่ชีวิต เลือดเนื้อ ของพี่น้องประชาชน แหละยังความบอบช้ำให้แก่ประเทศชาติเป็นอันมาก ดังนั้น เพื่อ ป้องกันมิให้เกิดหายนะพิบัติลุกลามแผ่ขยายออกไปเกินกว่าที่เป็นอยู่ ทางคณะผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จึงตัดสินใจเข้าควบคุมการปกครองแผ่นดินเป็นการชั่วคราว ขอให้ประชาชนทั้งหลาย โปรดอยู่ในความสงบ ทางคณะฯ ขอให้คำมั่นว่า จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อนำสันติสุขกลับคืนมาสู่บ้านเมืองของเราโดยเร็วที่สุด
ผู้ประกาศ
พลเอกอนุพัณฑ์ เผ่าจันทรา หัวหน้าคณะ
	ปานประหนึ่งกรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองร้าง ณ ราตรีนั้น ถนนทุกสายแทบปราศจากรถยนต์สัญจร นานๆครั้ง จึงจะแล่นมาให้เห็นสักคันหนึ่ง ผู้คนเงียบเชียบ  ต่างคอยฟังข่าวอยู่กับบ้านด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง รถถังยังจอดตรึงกำลังจังก้า ทหารทุกนายเตรียมอาวุธประจำครบ นี่คือภาระของนักรบ ผู้พร้อมปฏิบัติกิจของตนทุกเวลา ไม่มีดอกกุหลาบโปรยปรายประดับรายล้อมพาหนะของเหล่าทแกล้ว จะมีก็แต่เศษซากปรักหักพังเกลื่อนกล่น ผลพวงภายหลังสงครามคือความประลัยวายวอด นี่คือสัจจะอันเที่ยงแท้
	สันทัด กุลทองลิ้ม เพ่งสายตาจับจ้องซี่กรงหนาทึบที่กั้นขวางอยู่อย่างปราศจากประโยชน์ แม้เขาจะรู้ดีว่า ซี่โลหะแข็งแกร่ง ไม่มีทางหักแหกแหวกถ่างออกไปได้ เขาก็ยังจ้องมองมันนิ่งเฉย เพราะไม่รู้จะทำสิ่งใด ใช่ซิ่! นักโทษการเมืองอย่างเขาจะทำอะไรได้เล่า ข้อหาก่อความวุ่นวาย มันใหญ่โตฉกาจฉกรรจ์น้อยเสียเมื่อไหร่ เขาถูกระแวดระไวแทบจะทุกอิริยาบถเท่าๆกันกับแกนนำกลุ่มพันธกิจอื่นๆ ทอดถอนใจออกมาอีกเฮือก เมื่อคิดว่า หากพลเอกอนุพัณฑ์ไม่ประกาศกฎอัยการศึก เขาต้องมีประชาชนมาให้กำลังใจแน่นทัณฑสถาน ความเงียบรอบๆกายจะปลาตไปสิ้น ด้วยเสียง สันทัดสู้สู้ สันทัดสู้สู้ พร้อมกับมือหลายคู่ชูสะพรึ่บ แต่นี่ อนิจจา!
	ภาพแห่งความหลังชนิดสดๆร้อนๆย้อนมาสู่ภวังค์อีกครา ช่างดุเดือดเลือดพล่านเสียนี่กระไร ภายหลังจากการเปิดฉากเจรจาโดยสันติอยู่เป็นเวลานานไร้ผล แก๊สน้ำตาลูกแรกจากมือตำรวจก็ตูมขึ้น ผู้ชุมนุมอลหม่านในทันใด คำผรุสวาท ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ ดังระเบ็งเซ็งแซ่ อิฐ หิน ไม้ ตลอดจนวัตถุใกล้มือ โผนเผ่นเต้นผางเข้าปะทะกับกระบองแหละอาวุธของคนในเครื่องแบบสีกากีอย่างลืมตัว ลืมตาย พันตูกันนัวเนียอยู่ตรงบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์นั่นเอง เขาตะโกนคอหอยแทบแตกเป็นเสี่ยง ร้องขอให้ พี่น้องหมอบลง หมอบลงครับ อย่าทำร้ายเขา อย่าทำร้ายเขา หมอบลงครับ หาก จะมีใครฟังเล่า มิหนำ กลับยิ่งแค้นคลั่งทวีคูณ ตรงเข้าทุบทำลายป้อมตำรวจ สัญญาณไฟจราจร ป้อมยาม ฯลฯ แตกกระจายวินาศเปรี้ยงปร้าง ถึงตอนนี้ เขาไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่ามีมือที่สาม สี่ ห้า (หรือมากกว่านั้น) เข้าแทรกแซงด้วยหรือเปล่า เพราะมันร้ายแรงเกินคาด เปลวไฟลุกพรึ่บสว่างโพลงขึ้นตรงตึกสถานที่ราชการแห่งหนึ่ง แหละนั่นคือไฟมัจจุราชเบิกฤกษ์ให้กองกำลังรถถังแล่นสะท้านสะเทือนแผ่นดินเข้าจอดเทียบ ไม่มีใครยอมร่นลงมาจากจุดมิคสัญญีนั้น ตรงกันข้าม ยิ่งเห็นรถถัง ยิ่งเพิ่งพลังโทสะสาดพลุ่ง ระเบิดมือจากใครก็ไม่รู้กัมปนาท บึ้ม แหละนั่นเอง เปรียบเสมือนส่งสัญญาณอันตรายขีดสุด เพราะต่อจากนั้นอีกเพียงไม่นาน เอ็มสิบหกก็แผดแหลมระรัว ชั้นแรกขึ้นฟ้าก่อน ต่อมาจึงกราดใส่กลุ่มคน ปังๆๆๆๆ ถี่ยิบหูดับตับไหม้ ประกายแปลบปลาบแลบพ่นออกจากกระบอกปืนทุกครั้งที่มันอุโฆษ ชีวิตแล้วชีวิตเล่าก็ร่วงพรูๆผล็อยๆราวใบไม้ต้องพายุกรรโชกนั่นเชียว สันทัดทิ้งตัวราบกับพื้นถนน สบถเอ็ดอึงในใจ ระยำหมา อยากรู้นัก นี่เป็นคำสั่งของนายสมรรถ สาธรเทศ นายกฯ ผู้ควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมใช่ไหม ทำไมถึงโหดเหี้ยมนักหนา แต่ จะไปถามใครได้ล่ะ ข้างกายเขาก็พลตรีจำรูญ เสมา ผู้ตกอยู่ในภาระรับผิดชอบเช่นเดียวกัน คือต้องพยายามยับยั้งวิกฤตชนิดสุดความสามารถ ซึ่งเขาก็รู้ดีว่ามิอาจควบคุมอะไรได้สักอย่าง เลือดกำลังนองผืนพสุธา น้ำตาก็กำลังไหลลงสรงธรณี สมองเขาหมุนติ้ว ยังมิทันสติสัมปชัญญะจะกลับคืน ก็ถูกควบคุมตัวเสียแล้ว เขาถูกรวบไปพร้อมๆกับพลตรีจำรูญนั่นเอง
	ผู้นำคนสำคัญของกลุ่มพันธกิจระบายลมหายใจอีกหน อีกครั้งแล้วสินะ สำหรับการหมุนทวนกลับมาของกงล้ออุบาทว์ รัฐประหารครั้งนี้ จะนำประเทศไปสู่ทิศทางใดหนอ ชายวัยกลางคนหลับตาลง ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดเลย อนาคตรออยู่ข้างหน้าแล้ว ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันต้องเป็นเถิด เขาเพ่งมองลูกกรงห้องขังซ้ำอีกรอบ พลางรำพึง อิสรภาพเอ๋ย เรากับเจ้าแยกกันประเดี๋ยวหนึ่งก่อนนะ คงไม่นานหรอก เราจะได้คืนกลับมาอยู่เคียงกันดังเดิม
ฉากที่ ๔
	ห้องชุดภายในคฤหาสน์จันทร์แจ่มจ้าของพันตำรวจโททรัพย์สิน ทินธวัชแลดูโอ่อ่า ตกแต่งประดับประดาวิจิตร เจ้าของห้องนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ สูบบุหรี่เรื่อยๆ ไม่มีอะไรจะต้องรีบเร่งรีบร้อนสำหรับเขา แขกคนสำคัญซึ่งนัดรับประทานอาหารมื้อนี้ด้วย ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางผิดนัด ทรัพย์สินคลี่ยิ้มกว้าง เมื่อประตูห้องเปิดออก บุรุษผู้ถูกเชิญก้าวเข้ามาด้วยท่าทีสง่างาม เขาแต่งกายภูมิฐาน ย่างเท้าเดินมานั่งลงตรงเก้าอี้ตัวใกล้ๆกับของเจ้าของเหย้าอย่างสนิทสนม
	ไงวะ ไอ้ลิ้ม นั่นคือประโยคปฏิสัณฐานจากเจ้าบ้าน ขอให้อั๊วะเรียกลื้อแบบเคยๆแล้วกันนะ มันติดปากแก้ไม่หายเสียที ก็แหม เรามันสนิทชิดเชื้อกันมานานแล้วนิ่ จะให้อั๊วะเรียก คุณสันทัด กระดากปากว่ะ อีกฝ่ายหัวร่อร่าถูกอกถูกใจก่อนสนอง
	ไม่เป็นไรหรอกครับท่าน ผมน่ะดีใจเสียด้วยซ้ำที่ท่านไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง
	ไง ติดคุก คำถามเชิงสัพยอกกลั้วหัวเราะจากทรัพย์สิน ฮะ ทั้งบ้านทั้งเมืองเขายังคิดว่าลื้อนอนซังเตอยู่เลย เจ้าตัวกลับมานั่งอยู่นี่ ติดคุกแต่ในนาม โก้ไหมวะ สันทัดหัวเราะทุ้มๆเอื่อยๆ
	ก็เป็นความกรุณาของท่านแหละครับ ผมถึงได้นอนตารางแค่คืนเดียว ไม่งั้นก็คงอ่วม
	เฮ้ย อ่วมห่าอะไร อั๊วะช่วยลื้ออยู่แล้ว ว่าแต่นี่แน่ะ เรากินกันไปคุยกันไปดีกว่า นั่นเสมือนคำอนุญาตกลายๆ สันทัดจึงเริ่มลงมือจัดการกับเนื้อแกะหนานุ่ม ย่างจนสุกเหลืองหอมกรุ่นในจานตรงหน้าพร้อมๆกับผู้เอ่ยปากเชิญเขามาร่วมโต๊ะ อาหารโอชะ บวกกับเรื่องสนทนาออกรส ทำให้บรรยากาศค่ำคืนนี้แสนวิเศษ
	ลื้อมันสุดยอดจริงๆ ตบตาคนได้ทั้งเมือง ผู้มียศพันตำรวจโทยกย่อง ใครๆก็เข้าใจว่าเราสองคนเกลียดกันแทบจะฆ่ากันตาย
	ท่านต่างหากล่ะครับ สุดยอดขุนพล อดีตแกนนำกลุ่มพันธกิจประชากรเพื่อประชาธิปไตยเยินยอกลับไปบ้าง แผนการทั้งหมด ท่านเป็นต้นคิด ผมเองเป็นที่ปรึกศา ผู้ริเริ่มย่อมสมควรแก่การคารวะมิใช่หรือครับ ถ้าท่านไม่เริ่มถอดรายการเมืองไทยปลายสัปดาห์ของผมออก ผมก็ไม่มีหนทางก่อหวอดได้หรอก จริงไหมครับ
	มันก็ช่วยๆกันแหละน่า จะแปลงประเทศทั้งประเทศให้เป็นแหล่งทุน ก็ต้องจัดฉากให้มีคนต่อต้านซิ่ มันถึงจริงจัง อั๊วะก็โหมด่าลื้อสารพัดว่าเสียผลประโยชน์ ฝ่ายนั้นผสมโรง
	อีตอนเราเล่นละครกัดกัน เอ้ย ทะเลาะกันนั่นน่ะ ผมกลัวท่านโกรธจังเลย เห็นสีหน้าท่านถมึงทึงแล้วใจหาย
	โกรธเหี้ยอะไรวะ แกล้งไปงั้นเอง แล้วเห็นไหมล่ะ เราเดินแผนระยะยาวด้วยกันทั้งคู่ ลื้อทำให้คนสงสาร เห็นใจอั๊วะมากขึ้น มากขึ้น ยิ่งไอ้ทบมันยึดอำนาจอั๊วะเมื่อสี่ปีก่อน คะแนนสงสารอั๊วะยิ่งมหาศาล เขาหมายถึงการยึดอำนาจของพลเอกสมทบ บุญวัชรินทร์ ซึ่งในตอนนั้นได้รับดอกไม้จากประชาชนส่วนหนึ่งในกรุงเทพฯ เป็นขวัญกำลังใจ
	รัฐประหารปี ๒๕๗๑ นั่นหรือครับ อีตอนนั้น พูดตรงๆ ผมห่วงท่านมากที่สุด ต้องระเห็จไปเมืองนอกตั้งปีกว่าๆ
	ตามกัดอั๊วะถึงเมืองนอก แถมตอนอั๊วะกลับมายังทำท่าขัดขวางนี่นะห่วง กล่าวพลางแกล้งแสดงทีท่างอนจนดูน่าขัน
	โถ ท่านครับ อาคันตุกะก็ใช่ย่อย ลากเสียงออดอ้อนให้ฟังน่าสงสาร ถ้าผมไม่ทำอย่างนั้น ท่านจะมีคนรักมากมายถึงปานนี้หรือครับ
	เออ จริง ทรัพย์สินพยักหน้าหงึกๆ อั๊วะขอบคุณลื้ออีกร้อยครั้งเลยว่ะ ในกรณีที่ลื้อได้รับเงินก้อนโตจากทหารชุดนั้นแล้วเอามาแบ่งปันให้อั๊วะใช้ ไอ้ตอนถูกตัดสินอายัดทรัพย์นั่นน่ะ อั๊วะไม่เห็นแคอะไรเลย ยังเหลืออีกเยอะ จะกลับมาตักตวงคืนเมื่อไหร่ก็ได้
	ว่าแต่ อีตอนท่านวางแผนดึงนายสมรรถขึ้นมาเป็นนอมินีเนี่ย เหนือเซียนจริงๆ จำได้ไหมครับ ตอนคุยโทรศัพท์ลับๆกัน ผมยังค้านท่านเลย ว่าจะเอาคนโผงผางพรรค์นั้นขึ้นนั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรคใหม่ของท่านมิฉิบหายหรือ
	แล้วอั๊วะตอบลื้อว่าไง
	ท่านว่า ก็เพราะอั๊วะรู้ว่ามันต้องฉิบหายน่ะซี ถึงได้ตั้งมัน แล้วก็จริง ตานี่ใจเร็ว ขึ้นมาไม่เท่าไรก็รื้อรัฐธรรมนูญยกกระบิ ผมเลยก่อประท้วงง่ายดาย กระแสขึ้นไว สันทัดตอบความ
	ใครๆก็รู้ ไอ้สมรรถมันจอมแดกยังกะอะไรดี ทรัพย์สินเพิ่มเติมเสริมต่อ แถมแดกแล้วกลบไม่มิด เผลอทำตรงนั้นรั่วบ้าง ตรงโน้นรั่วบ้าง ลื้อเลยสบาย ยิ่งไอ้ฉลวย ผู้พูดระบุถึง ร้อยตำรวจเอกฉลวย ใหญ่บำเรอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก่อนหน้าพลเอกอนุพัณฑ์ทำรัฐประหาร ไอ้เหี้ยนั่นกุ๊ยเราดีๆนี่เอง มีอะไรแหกปากไปก่อน ถุย ลูกเลวยังยกลูกขึ้นมาได้ อั๊วะอยากจะอ้วก
	เถื่อนๆ ถ่อยๆอย่างนั้นแหละครับดี มันไม่ใช่หรือครับที่สั่งตำรวจให้ปราบปรามเด็ดขาด แล้วส่งนักเลงมาเผาตึก ก่อกวนทหารจนต้องยิง
	ลื้อรู้ได้ไง อั๊วะยังไม่ได้กระซิบบอกเลยนี่หว่า เจ้าของคฤหาสน์อลังการฉงน
	นั่งคิดในคุก ปะติดปะต่อเอาก็รู้ครับ พฤติกรรมแบบนี้จะมีใครทำ
	ในที่สุด ทรัพย์สินยิ้มสาสมจิต อนุพัณฑ์ นักเรียนทหารรุ่นเดียวกับอั๊วะก็ลุกขึ้นมาช่วยอั๊วะ ทุกอย่างมันลงล็อกเป๊ะ
	เขาเรียก เพื่อนตายไม่ทิ้งกันครับ สันทัดเป็นลูกคู่ที่ดีดังเก่า อีกไม่นาน หัวหน้าคณะพิทักษ์ฯ คงเสนอชื่อท่านขึ้นนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเหตุผล เป็นผู้เดียวที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้การยอมรับนับถือในขณะนี้ ขอแสดงความยินดีล่วงหน้าครับ
	เฮ้ย ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นหรอกว่ะ ลิ้ม ฝ่ายนั้นวางทีท่าใจเย็น ของมันแหงๆอยู่แล้ว เพียงแต่ช้าๆหน่อยแหละดี โบราณท่านว่า อะไรนะ ช้าเป็นการนานเป็นคุณใช่ไหม อั๊วะคิดว่าคงอีกระยะหนึ่งแหละ สำหรับลื้อ" กระดาษชิ้นหนึ่ง ถูกยื่นมาตรงหน้า
	อะไรครับท่าน สันทัดสนเท่ห์
	สองหมื่นสามพันล้าน คำตอบแผ่วกระซิบใกล้หู ค่าเหนื่อยของลื้อ หาทางลี้ภัยไปเมืองนอก ซื้อบ้านสักหลัง ตั้งตัวที่นั่นซะ คนนามสกุลกุลทองลิ้มนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนรับมันมาใส่กระเป๋าเสื้อ
	หลบไปสักปีสองปี คำแนะนำดังมาอีก แล้วกลับมา เชื่อเถอะ อีกไม่นาน คนก็ลืม ไอ้กลุ่มพันธกิจประชากรเพื่อประชาธิปไตยเนี่ย สลายมันไปเสียก็หมดเรื่อง คนไทยลืมง่ายจะตายไป อ้อ แล้วข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับกลุ่มอำนาจเก่า ลื้อส่งมาให้อั๊วะหมดแล้วใช่ไหม
	ครับท่าน ทาสน้ำเงินผู้ซื่อสัตย์รับคำ ตอนผมเล่นบทบาทจงรักภักดี ผมสืบล้วงจนรู้ตื้นลึกหนาบางหมดหละครับ ว่าตรงไหนคือจุดอ่อน
	มันต้องให้ได้อย่างงั้นซีวะ เพื่อนยาก อภิมหาเศรษฐีตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ ริจะทำลาย ต้องทำลายถึงราก ลื้อนี่มันโคตรของโคตรสายลับจริงโว้ย รอเดี๋ยวก่อนเถอะ อีกไม่นาน อั๊วะจะแจกจ่ายพื้นที่ในประเทศให้ต่างชาติเช่า รายได้เราแบ่งกัน ไหนจะเปิดบ่อนกาสิโนอีก โอ๊ย พันชาติก็เก็บกินไม่หมด มา นายเงินชูแก้ววิสกี้ขึ้น ดื่ม ดื่มเพื่ออั๊วะกับลื้อ เพื่อชัยชนะของเรา
(๑๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑)
หมายเหตุ
	ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพียงปรารถนาจะเสียดสียั่วล้อสถานการณ์บ้านเมืองเล่นๆเท่านั้นครับ หากมีเนื้อหา ข้อความใดๆกระทำความขุ่นเคืองแก่ท่านผู้หนึ่งผู้ใด โปรดได้รับการขอขมาจากใจจริงของกระผมด้วยครับผม				
comments powered by Disqus
  • ตราชู

    4 กรกฎาคม 2551 12:59 น. - comment id 83147

    สวัสดีคับ ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน สวัสดีครับ คุณน้ำผึ้งเดือนห้า
    
    	เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ขณะเกิดความขัดแย้งระหว่างอดีตนายกรัฐมนตรี กับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย วันหนึ่ง ผมได้ยินลูกชายหัวหน้างานพูดโพล่งขึ้นมาว่า จะเป็นไปได้ไหม นี่คือละครจัดฉาก แหละคนทั้งสอง คือเฮียทัก กับอาแปะลิ้ม กำลังร่วมมือกันทำอะไรสักอย่าง ผมฟังแล้วค้านในใจว่า เป็นไปไม่ได้ จวบจนกระทั่งเหตุการณ์ปัจจุบัน คำพูดดังกล่าวก็กลับแว่วเข้ามาสู่โสตประสาท สู่ความทรงจำของผมอีกครั้ง ผมจึงลองต่อจิ๊กซอเล่นๆดู แหละจิ๊กซอนั่นก็คือเรื่องสั้นเรื่องนี้ครับผม
  • น้ำผึ้งเดือนห้า

    19 มิถุนายน 2551 11:38 น. - comment id 100547

    คิดได้ไงเนี่ย....4.gif นับถือจริงๆ...ก็เป็นอีกมุมมองที่ใครๆก็อาจจะคาดไม่ถึง..20.gif20.gif20.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน