ดอกฝ้ายในแดนฝุ่น

ตราชู

ดอกฝ้ายในแดนฝุ่น
	ท่านผู้อ่านทุกท่านเคยได้ยินคำกล่าวในทำนองนี้ไหมครับ ว่า หากเราต้องการจะได้สิ่งใดจากใคร เราต้องหยิบยื่นสิ่งนั้นให้เขาก่อน นับเป็นประโยคอมตะเชียวหละ ผมนี่ ถือเรื่องการผูกมิตรเป็นเรื่องสำคัญ คุณว่าไหมครับ การที่เรามีเพื่อนเยอะๆเนี่ย อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่หงอยเหงา อีกทั้ง เวลามีปัญหาก็สามารถพึ่งพาอาศัยกันได้ เพราะฉะนั้น คนอย่างผมจึงชอบมีเพื่อน ชอบสุงสิงกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย สร้างความรำคาญให้เขาบ้าง ได้เพื่อนใหม่ๆมาบ้าง คละๆกันไปแหละครับ ยิ่งมาช่วงหลังๆ เมื่อต้องอยู่บ้านคนเดียวด้วยแล้ว ไอ้เจ้าความเอกา (แหม สำนวนโบราณไปหน่อยไหมไม่รู้) ก็เร่งเร้า ทำให้ผมอยากมีเพื่อนแยะๆมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
	เรื่องของเรื่องก็คือ เดิมที บ้านเราอยู่กันเป็นครอบครัวเดี่ยว ประกอบด้วย คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว และก็ผม รวมสี่ชีวิต ครั้นต่อมา คุณพ่อคุณแม่ท่านย้ายภูมิลำเนาไปต่างจังหวัด เนื่องจากได้งานทำที่ดีกว่าอยู่ในเมือง ทั้งเป็นงานซึ่งท่านถูกใจเสียด้วย ท่านจึงไม่ลังเลที่จะทิ้งชีวิตจำเจของเมืองหลวงไปสู่ชนบทอันมีอากาศบริสุทธิ์  เราสองคนพี่น้องก็เลยช่วยดูแลบ้านให้ท่าน โอกาสเหมาะๆก็ทิ้งบ้านขึ้นไปเยี่ยมท่าน หรือไม่ ท่านก็ลงมาเยี่ยมเรา กาลต่อมา ปรากฏว่า พี่สาวผมเกิดพบรักกับชายหนุ่มนักธุรกิจ จนตกลงใจเดินเข้าประตูวิวาห์และประตูบ้านของเขาผู้สามี บ้านหลังนี้ก็เสมือนตกเป็นของผม ที่จริง คุณพ่อคุณแม่ท่านเสนอให้ขายมันเสีย แล้วขึ้นมาอยู่กับท่าน ไม่ก็เช่าคอนโดมิเนียมเป็นรังนอน แต่ผมไม่ยอม ก็แหม บ้านเราอยู่กันมาตั้งนานนี่ จู่ๆจะขายไป ผมเสียดายแย่ วิธี รักษาบ้านไว้ก็คือ ผมรับอยู่โยงเฝ้ายามให้ตลอดเวลา ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ในเมื่องานของผม ทำอยู่กับบ้านก็ได้ ผมเป็น เอ....ใช้คำว่านักแปลดีไหม คำว่านักในภาษาไทย  ถ้าหากนำไปวางไว้หน้าคำใด จะให้ความหมายไปในข้าง ผู้มีความเชี่ยวชาญในทางนั้นๆ เช่น นักร้องก็ต้องร้องเพลงเก่ง นักกีฬาก็ต้องเล่นกีฬาคล่อง นักแปล ก็ต้องแปลอะไรๆได้โดยไม่ติดขัด ไอ้ผมน่ะแปลกุกๆกักๆ พอหาเงินยาไส้ได้เป็นคราวๆ ขอเรียกตัวเองว่า คนแปลข่าวก็แล้วกันครับ มีข่าวจากต่างประเทศก็แปลเป็นภาษาไทย ส่งไปให้หนังสือพิมพ์เขาผ่านทางอีเมล สิ้นเดือนทีเขาก็โอนเงินเข้าบัญชีที ผมอยากใช้เงินก็ไปเบิก ผมซื่อสัตว์ต่อหน้าที่เสมอมา ทางนั้นเองก็ไม่เคยเบี้ยว เราเลยยังทำงานร่วมกันอยู่ด้วยดีทั้งสองฝ่าย
	ปัญหาก็เกิดตรง ผมต้องอยู่คนเดียวนี่แหละครับ ตกอยู่ในสภาพคล้ายๆเพลงของคุณนีโน่เลย อะไรนะ อ้อ นึกออกแล้ว เพลงท่อนสุดท้าย เนื้อร้องว่า
	เป็นคนขี้เหงา เข้าใจบ้างซี
มีใครบ้างเป็นห่วงเป็นใย นั่นสิ ถ้าหากคนขี้เหงาอย่างผม มีใครคอยเอาใจใส่สักคน คงจะดีไม่น้อยเลย ไม่ผิดใช่ไหมครับ ที่ผมกำลังมองหาใครคนนั้นอยู่ 
	จะพูดตรงๆ ผมเคยเห็นน้องฝ้ายแบบผาดๆหลายครั้งเหมือนกัน เพียงแต่ในช่วงที่เราอยู่กันพร้อมหน้าสี่ชีวิต ผมไม่ค่อยให้ความสนใจเธอนัก ก็ตามประสาวิถีของสังคมป่าคอนกรีตนั่นเอง คือต่างคนต่างอยู่ บ้านกูบ้านมึง ไม่ผูกพันซาบซึ้งอะไร พูดจากันพอเป็นพิธีแล้วก็จบ แต่ครั้นผมอยู่ตัวคนเดียว น้องฝ้ายกลับเพิ่มความสำคัญให้ผมต้องเพ่งพิศเนืองๆ เธอสวยน่ารักเอาการเชียว ผิวขาวละเอียด ใบหน้ารูปไข่นั้นหมดจดเกลี้ยงเกลา นัยน์ตากลมโต ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มพริ้มเพรา มองแล้วเพลินแท้ๆ ผมเริ่มหาทางเจรจากับเธอถี่กว่าเดิม เริ่มชวนคุยด้วยประโยคยาวๆ สัมภาษณ์เชิงจีบ เอ้ย ไม่ใช่ เชิงผูกมิตร กระทั่งเราคุ้นเคยกันทีละนิดละหน่อย บ้านน้องฝ้ายเธออยู่ห่างจากบ้านผมไม่เท่าไหร่ คุณแม่ของเธอชื่อขวัญตา หรือที่ผมเรียกน้าขวัญ มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง แกงบรรจุถุงจำพวก ไข่พะโล้ ผัดพริกขิง พะแนงหมู เขียวหวานไก่ แกงส้ม ฯลฯ จัดว่าขายได้เรื่อยๆ รุ่งเช้า ลูกค้าก็มาอุดหนุน ซื้อไปใส่บาตรพระบ้าง ซื้อไปราดข้าวกินบ้าง ผมเนี่ยมาฝากท้องตอนเช้าๆไว้กับน้าขวัญแทบจะเรียกได้ว่าประจำ ซื้อแกง เพื่อจะมองน้องฝ้ายกินแกงไปพลาง นึกถึงหน้าหวานๆของเธอไปพลาง โรแมนติกน้อยไปหรือ ส่วนพ่อของฝ้าย ชื่อประสิทธิ์ ผมเรียกน้าสิทธิ์ เป็นโชเฟอร์แท็กซี่ ออกรถตระเวนแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับมาหาลูกเมียก็มืดค่ำ ผมเคยขึ้นรถแท็กซี่น้าสิทธิ์ในบางครั้ง เมื่อออกจากบ้านประจวบกับเวลาที่แกออกรถ หาก ก็น้อยครั้งนัก สรุปว่า ผมออกจากมักคุ้นกับน้าขวัญมากกว่า น้าขวัญคุยเก่ง ถึงบางคราวจะช่างบ่นบ้างก็เถอะ เจอผมเดินผ่านร้าน แม้ไม่ได้มาซื้ออาหาร เธอก็ทักทายผมเสมอๆ 
	และแล้ว วันหนึ่ง คุณพ่อคุณแม่ท่านก็ลงมาจากเมืองเหนือ หอบหิ้วผลไม้ประดามีมาฝากลูกชายตั้งมากมาย ผมก็เลยแบ่งส่วนหนึ่งไปฝากน้องฝ้าย โดยมอบกับน้าขวัญ ผมไปกดออดบ้านเธอด้วยมือ พอเสียง ติ๊งต่อง สิ้นกังวานไปไม่นาน น้าขวัญก็เดินออกมา
	อ้าว นึกว่าใคร คุณจุมพลน่ะเอง เชิญค่ะเชิญ หญิงวัยกลางคนปราศรัยด้วย อาการยินดีต้อนรับนั้นออกมาจากใจจริงมิได้เสแสร้ง ตอนนั้นแม่ค้าผู้มีเสน่ห์ปลายจวักกำลังง่วนทำกับข้าวสำหรับเตรียมขายวันต่อไป
	สวัสดีครับ น้าขวัญ ผมทำความเคารพ ผมมากวนหรือเปล่าครับ
	โอ๊ย กวนอะไรคะ เพื่อนบ้านกันแท้ๆ เธอตอบยิ้มแย้ม ฉันดีใจต่างหากล่ะ ที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงมาหา
	ผมเอาผลไม้เมืองเหนือมาฝากครับ พอดีคุณพ่อคุณแม่ท่านลงมาหา ขนมาให้เป็นเข่งๆ กินคนเดียวไม่หมดหรอกครับ
	ขอบคุณมากๆค่ะ ท่าทางฝ่ายรับบอกชัดว่าดีอกดีใจเต็มประดา เชิญเข้ามาในบ้านก่อนซีคะ นั่งคุยกันก่อนแล้วค่อยกลับ ในเมื่อเจ้าของเหย้าอนุญาต ผมจะพลาดช่วงเวลางามๆก็โง่ดักดานหละ ในที่สุด ผมก็มานั่งครึ้มอกครึ้มใจอยู่ในห้องรับแขกบ้านน้าขวัญ คนนำน้ำมาบริการมิใช่ใครอื่น น้องฝ้าย น้องฝ้าย โอ้! ช่างวิเศษอะไรปานนั้น
	วันนี้ฝ้ายไม่ไปเรียนกวดวิชาเพิ่มเติมที่มหาวิทยาลัยหรือครับ ผมชวนหญิงสาวคุย ตาก็จ้องมองใบหน้าเนียนๆอย่างเคลิ้มฝัน
	หยุดดูหนังสือสอบแล้วค่ะ เสียงเธอใสปานระฆังเงิน (ฮั่นแน่ พูดยังกับผมเคยได้ยินเสียงระฆังเงินมากับหูแน่ะ) ฝ้ายใกล้จะสอบแล้ว พักนี้ดูหนังสือตั้งเยอะ เครียดจัง ประโยคสุดท้ายคล้ายอุทธรณ์
	ปล่อยใจสบายๆ อย่าหักโหมซิ่ครับ ผมขอยืมหน้าที่ครูฝ่ายแนะแนวการศึกษามาทำชั่วขณะ กะตารางเป็นช่วงๆ ว่าเช้าเราจะอ่านอะไร บ่ายจะอ่านอะไร เย็นอ่านอะไร แล้วพอตกดึก ก็อ่านอีกสักวิชา อ่านไปจนกว่าจะง่วง พอง่วงนะให้หยุดอ่านทันที เพราะตอนนั้น อ่านอะไรสมองก็ไม่รับหรอกครับ มันอยากนอนอย่างเดียว เราต้องพักผ่อนให้พอ ตื่นขึ้นมา ถ้ารู้สึกว่าหายเพลีย พอจะอ่านหนังสือไหวค่อยอ่านต่อ
	ขอบคุณค่ะพี่พลที่แนะนำ พูดไม่พูดเปล่า เธอส่งยิ้มให้ผมด้วย
	จบปริญญาตรีแล้ว ต่อโทหรือเปล่าเอ่ย ผมซักไซ้ต่อเลย
	ถ้าเป็นไปได้ จะต่อนิเทศน์ศาสตร์สาขาเดิมนั่นแหละค่ะ ฝ้ายชอบ
	อยากเป็นดาราหรือไง ผมสัพยอก แถมลูกยอให้อีกหนึ่งลูก ถ้าฝ้ายเป็นดารานะ พี่ว่า เล่นหนังเล่นละครไม่กี่เรื่องก็ ได้เป็นนางเอกแล้ว
	คุณพลล่ะก็ ชอบส่งเสริมมันเสียจัง น้าขวัญขัดจังหวะ ยัยฝ้ายน่ะ วันๆมีอะไร นอกจากคิดอยากดังกับเขา เพื่อนฝูงมันจูงไปทางไหนก็ไปตาม
	แหม แม่ละก็ ลูกสาวกระเง้ากระงอด แม่อยากเห็นหนูตกยุคหรือไงคะ สมัยนี้ต้องอินเทรนแล้วล่ะค่ะ
	เออ อินเทรน ด้วยวิธีการมารีดไถแม่เนี่ยนะ ผู้อาวุโสกว่าค่อน
	แม่เนี่ย ชอบว่าหนูอยู่เรื่อย ดูสิคะพี่พล เธอพ้อแม่แล้วหันมาฟ้องผม
	เป็นสาวเป็นนางน่ะ อย่าให้มันปรู๊ดปร๊าดนัก น้าขวัญอบรมลูกสาว ตัวเองยังหาเงินไม่ได้ จะใช้จ่ายอะไรคิดเสียมั่ง พ่อแม่เหนื่อยนะกว่าจะหาได้แต่ละบาท
	รู้แล้วค่ะ หญิงสาวคงประสงค์จะตัดความรำคาญมากกว่ารับคำจริงๆจังๆ
	ตอนนี้น่ะรู้ แต่เดี๋ยวก็มาขออีก ผู้เป็นแม่ดักคอ พักหลังๆนี่ รู้สึกเที่ยวบ่อยจังนะ เดี๋ยวขอไปกับเพื่อนคนโน้น คนนี้ เฮ่อ
	พี่พล ช่วยหนูด้วย ฝ้ายหาพวกพ้อง แม่ไม่เข้าใจหนู พี่พลช่วยอธิบายทีเถิดค่ะ เอาล่ะซี ผมในฐานะคนนอกจะไปพูดอะไรได้ บรรยากาศชักไม่สู้ดีแล้วแฮะ
	ผมว่า ต่างวัยก็ต่างมุมมองน่ะครับ คนกลาง จะทำอะไรได้ดีไปกว่าพยายามไกล่เกลี่ย เรื่องพรรค์นี้ธรรมดา สมัยผมเป็นหนุ่มรุ่นๆ ก็ขัดอกขัดใจกับพ่อแม่บ่อยไป พอโตเข้าหน่อย ถึงเข้าใจท่านมากขึ้นว่าท่านหวังดีและรักเรามาก พ่อแม่น่ะครับ ถึงอย่างไรก็ยังมองลูกว่าน่ารัก เป็นเด็กตัวน้อยๆอยู่วันยังค่ำ เอ่อ...... น้าขวัญครับ ผมมานั่งที่นี่สักพักแล้ว เห็นจะต้องขอตัวกลับไปทำธุระที่บ้านต่อหละครับ
	ฉันขอบคุณมากนะคะสำหรับของฝาก แล้ววันหลังจะทำพะแนงเนื้อไปให้
	ไม่รบกวนหรอกครับคุณน้า ผมซื้อทานดีกว่า
	ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อนบ้านกัน ต่างฝ่ายต่างให้ อีกฝ่ายยังคงเจตนาเอื้อเฟื้อ สมัยนี้ได้เพื่อนบ้านถือว่าวิเศษนักหนา คุณพลว่างๆก็เชิญที่นี่ได้ทุกเวลานะคะ มาคุยกับฉัน กับน้องบ้างพอแก้เหงา ผมรับคำก่อนอำลากลับเรือน
	ตั้งแต่นั้นมา ผมกับครอบครัวน้าขวัญก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น ถึงแม้ผมไม่อยากจะกินแกงฟรีๆ หาก ทุกครั้งที่น้าขวัญอุตส่าห์ลำบากลำบนทำมาให้ ผมก็มิอาจปฏิเสธลง กับข้าวเหล่านั้น ส่วนใหญ่ น้าขวัญจะส่งตัวแทน คือน้องฝ้ายคนสวย ยกมาให้ถึงที่ ผมรับของฝากแล้วชวนลูกสาวคนให้ของคุย ถ่วงเวลาให้เธออยู่นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพอเธอจะกลับ ผมก็มีของไปกำนัลน้าขวัญฝากเธอกลับไปบ้าง นี่แหละครับ น้ำใจไมตรี ซึ่งรินหลั่งหล่อเลี้ยงบรรเทาความเหงาของผมให้เหือดหายไปเกือบหมด
	มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมกลับจากเที่ยวห้างสรรพสินค้าคนเดียว (ยังไม่กล้าบ้าบิ่นถึงขนาดชวนน้องฝ้ายไปเป็นเพื่อนหรอกครับ) ผมซื้อของกระจุ๋มกระจิ๋มสำหรับผู้หญิงมาฝากฝ้าย พอไปให้เธอ ก็ปรากฏว่า หญิงสาวไม่อยู่บ้าน
	หมู่นี้ไม่รู้เป็นไง สอบเสร็จแล้วระเริง ออกเที่ยวแทบไม่เว้นวัน ผู้เป็นแม่มาบ่นให้ผมฟัง
	คงต้องการพักผ่อนสมองตามประสาวัยรุ่นน่ะครับ ผมแก้ต่างให้เธอกลายๆ
	พักเพิ๊กอะไรกันคะ กลับดึกๆดื่นๆ พอดุเข้าหน่อยก็หูทวนลม มีลูกสาวเนี่ยเครียดนะคะคุณ เราเลี้ยงเขาโตได้แต่ตัว ใจน่ะเลี้ยงยาก จะเกรี้ยวกราดตึงตังมากนักเดี๋ยวเตลิด
	สักพักพอเที่ยวอิ่มแล้ว เธอก็กลับมาเองแหละครับ ผมช่วยคลายความวิตกของน้าขวัญเท่าที่จะพอช่วยได้ เสียงเพื่อนบ้านวัยกลางคนถอนใจเฮือก
	หวังว่าอย่างงั้นแหละค่ะ พี่สิทธิ์เขาก็ปลอบฉันอย่างงั้นเหมือนกัน มีลูกสาวเนี่ย เราตามไม่ทันเขาก็กลุ้มนะคะ ต้องแก้กลุ้มตามประสา ไปวัดบ้าง ไปทำบุญบ้าง เอ้อ พอพูดถึงทำบุญขึ้นมาก็นึกได้ วันอาทิตย์หน้า ยังไงๆจะต้องบังคับยัยฝ้ายให้อยู่บ้าน เพราะฉันต้องไปร่วมงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของคุณทองคำแก พี่สิทธิ์ก็ต้องออกรถ" เธอปรารภเรื่องลูกสาวแค่นั้น แล้วชวนผมคุยเรื่องจิปาถะต่ออีกสักพัก ผมก็ขอตัว ไม่ลืมซื้อขนมจีนน้ำพริกติดมือกลับมาด้วยหนึ่งถุง
	วันนั้น ผมจำได้ดีว่าวันอาทิตย์ ขณะผมกำลังนอนเอกเขนกสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้โซฟา ก็ได้ยินเสียงรถกระบะแล่นมาจอดหน้าบ้าน อีกประเดี๋ยว เสียงกดออดก็ดังกระทบหู ตามติดมาคือสำเนียงใสๆของเธอ น้องฝ้าย
	พี่พล พี่พลคะ เปิดประตูหน่อยค่ะ ฝ้ายมีของมาฝาก ผมขมวดคิ้ว สงสัยเล็กๆขึ้นมาว่า เอ๊ะ ของฝากจากฝ้ายมันใหญ่โตขนาดต้องบรรทุกกระบะมาเชียวหรือนั่น แต่ด้วยความเชื่อใจในฐานะคนกันเอง ผมจึงลุกเดินไปทำหน้าที่เจ้าของถิ่นพำนัก ต้องต้อนรับแขก เท้าพาตัวมาถึงหน้าประตู สายตาเห็นชายฉกรรจ์สี่ห้าคนเดินมากับน้องฝ้าย ใจก็คิดว่า คงจะเป็นเพื่อนเธอกระมัง หลังจากฝ้ายเสร็จธุระที่บ้านผมแล้ว คงนัดเพื่อนไปไหนกันต่อแน่ๆ แต่..... ผมคิดผิดถนัด
	พอประตูเปิดออก ชายฉกรรจ์ทั้งหมดที่เห็นพลันโถมเข้าใส่ราวพยัคฆ์ร้ายกระโจนขย้ำเหยื่อ ไม่ทันเตรียมตัวตั้งรับ คนหนึ่งก็กระแทกเข่าอัดโครมเข้าตรงหน้าท้อง ผมล้มหงายผลึ่งความปวดเสียดจุกแน่นแล่นปล๊าบ มันกระทุ้งซ้ำซ้ำอีกหลายอึ้กจนอาหารภายในกระเพาะสำรอกออกมา ผมร้องไม่ออก อีกสองคนตามประชิด รัวกำปั้นเข้าใส่ไม่ยั้ง ตุ้บตั้บเหลือจะนับถ้วน ต่อจากนั้น พวกมันก็ลากผมถูลู่ถูกังเข้าไปข้างในบ้าน
	ตรงไหนวะยัยฝ้าย ห้องน้ำน่ะ ใครคนหนึ่งตะโกนถาม
	นั่นค่ะ นั่น คุณพระช่วย! นรกเป็นพยานเถิด! น้องฝ้ายเธอชี้ทิศทางให้กับคนผู้รุมทำร้ายผม
	ไอ้ยง มึงไปหาผ้ามาสักผืน ยัดปากมันไม่ให้ร้อง ไอ้ชัย มึงส่งเชือกมา เดี๋ยวพวกเรามัดมันขังห้องน้ำนั่นแหละ แล้วมาช่วยกันขน คนร่างล่ำหนา ท่วงทีจะเป็นหัวหน้าแบ่งสรรภาระกิจ เพียงมิช้า อิสรภาพของผมก็สิ้นสูญ ถูกขึงพืดนอนแผ่กับพื้นห้องน้ำชนิดหมดประตูสู้ เพราะพวกมันรุมกินโต๊ะยกใหญ่ พอมันจัดการกับผมเสร็จ ก็สนุกหละ หูผมได้ยินเสียงรื้อค้นข้าวของ เสียงผลัก ดัน ยก เคลื่อนย้าย ทว่า สำเนียงอันทำให้ผมปวดร้าวเกินพรรณนา คือน้องฝ้าย เธอแจกแจงหมดว่าอะไรอยู่ตรงไหนในบ้าน มันเพลิดเพลินกับการปล้นสะดม ซึ่งผมคะเนเอาว่า ทรัพย์สินน่าจะถูกขนไปใส่รถกระบะนั่น เวลาล่วงไปเท่าไรมิรู้ หากนานแสนนานในความรู้สึกของผม พวกมันก็กลับเข้ามา
	เฮ้ย เหลืออะไรยังไม่ได้เอาไปอีกวะ สำรวจดูให้ทั่วๆนะเว้ย ไอ้หัวหน้าสั่งกำชับ
	ก็เอาไปเกือบจะเกลี้ยงบ้านแล้วหละ เสียงตอบระคนหัวเราะคึกคะนอง
	ไอ้ห่านั่นล่ะ ทำยังไงกับมันดี ใครสักคนหารือสมาชิกในแก๊ง
	ปล่อยไว้ทำเหี้ยอะไรวะ หัวหน้าโจรคำรามเหี้ยมเกรียม ให้มันอยู่เรียกตำรวจมาหิ้วคอพวกเราหรือไง ไอ้สัตว์
	จริงด้วยพี่ สมุนอีกคนขานรับสนับสนุน เก็บมันเลย แป๊บเดียว
	ฝ้ายว่าอย่าให้รุนแรงขนาดนั้นดีกว่าพี่ ผมได้ยินลูกสาวน้าขวัญห้ามปราม ฆ่าแกงกันมันเรื่องใหญ่นะพี่นะ
	ใจอ่อนขึ้นมาแล้วหรือ ฝ้าย เธอถูกกรรโชกตวาด อย่าลืมซิ่ เธอเป็นคนแนะนำให้พวกเรามาปล้นมัน เกิดเสียดาย เกิดอาลัยอาวรณ์คนรักเก่าหรือไง
	ปละปละเปล่าพี่ หญิงสาวละล่ำละลัก
	ถ้างั้น เงียบ หัวหน้ายื่นคำขาด ฝ้ายมิได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาอีก พวกมันก็ปรี่ตรงมาห้องน้ำ ตลอดเวลาที่รับฟังการสนทนาเหล่านั้น ประกอบกับเห็นอิริยาบถกระเหี้ยนกระหือรือของพวกมัน ใจผมเต้นโครมๆ
	ปืนหรือมีดดีวะ หัวหน้าหยั่งความเห็น
	มีดดีกว่าพี่ เงียบดี นั่นคือข้อเสนอของบริวาร ผมตัวชาดิก มือเท้าเย็นเฉียบ หาก เหงื่อเจ้ากรรมซิ่ทะลักพรูพรู สั่นเทาไปทั้งกายเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า ความกลัวตายถึงขีดสุดเป็นอย่างไร ยิ่งเห็นพวกมันย่างสามขุมใกล้เข้ามา ใจผมก็แทบจะขาดอยู่แล้วโดยมันไม่ต้องแทง ร่างยมทูตในคราบมนุษย์ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเป็นลำดับ กระทั่งประชิดถึง ผมแหกปากสุดเสียง แต่มันก็ดังได้แค่อู้อี้ เพราะผ้ายัดปากก้อนโตยังไม่ถูกดึงออก นัยน์ตาผมเบิกโพลงด้วยความตระหนก เมื่อเห็นคมมีดขาววับสะท้อนปลาบ มันถูกเงื้อขึ้น ก่อนที่จะ...... ซวบบบบบบ
ผมร้องโอ๊ยตะเบ็งลั่น ประจักษ์ดีในพลังของวัตถุอันจ้วงกระซวกผ่านผิวเนื้อ ชำแรกเข้ากระดูก คว้านทะลุทะลวงลึกลงไปภายใน ปานว่าจะแล่แล่งอวัยวะทุกส่วนให้ผ่าแยกเป็นเสี้ยวๆ แหละนั่นก็คือสติสมประดีห้วงสุดท้าย ต่อมา โลกทั้งใบดับวูบ ผมไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่า อะไรเกิดขึ้นกับตน ทุกอย่างเปลี่ยนผันกลายเป็นมหาอนธการมืดดำ ดำราวห้วงเหวลึกสุดของมหาอเวจี แหละผมก็กำลังถูกดูดลิ่วๆดิ่งดิ่วลึกลงไปสู่เหวนั้น เพื่อรับทัณฑ์ทรมานชั่วนิรันดร
	รู้สึกตนว่ายังไม่ตาย เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่า ตัวเองนอนพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในโรงพยาบาล คุณพ่อ คุณแม่ พี่สาว ตลอดถึงญาติกาท่านอื่นๆผลัดกันมาดูแลมิได้ขาด ภายหลังจากศัลยแพทย์ผ่าตัดเอามีดปลายแหลมที่คนร้ายมอบเป็นของขวัญ โดยซุกทิ้งไว้กับชายโครงของผมออกมาโดยปลอดภัย  อาการผมก็ดีขึ้นตามลำดับ โชคดี คมอาวุธมิถูกอวัยวะสำคัญ มิฉะนั้น ผมคงก้าวเข้าสู่พิภพมัจจุราช (ใครถึงฆาตดับชีวี สุวรรณตรวจดูบัญชี ใครทำดีให้ไปสวรรค์) ไปแล้วแหงๆ ระยะเวลาเกือบเดือนที่พักฟื้น ขนมนมเนยเพียบ ผลไม้เยอะแยะ โอ๊ย อาหารการกินสมบูรณ์กว่าตอนผมอยู่บ้านคนเดียวเสียอีกครับ นางพยาบาลก็สาวๆ สวยทั้งนั้น ชุดขาวบริสุทธิ์สดใส งามเหมือนนางฟ้าฟ่องเมฆมาเสกเวทย์กายสิทธิ์ชุบชีวิตผมก็ปานกัน
	อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านอาจนึกหมั่นไส้ผม ในข้อที่ เพิ่งรอดตายมาใหม่ๆไม่เท่าไรก็ตลกคึกคัก ทำราวกับปราศจากทุกข์ร้อนโดยสิ้นเชิง ผมขอเรียนตรงๆครับ ว่าเรื่องใหญ่ๆอันถือเป็นสารัตถสำคัญนั้นมีแน่ๆ แต่ แหม คนอย่างผม มักจะชอบเล่าสิ่งสนุกสนานมากกว่าเรื่องซีเรียส ก็เลยนำความสุขในโรงพยาบาลมาถ่ายทอดสู่ท่านก่อน ส่วนต่อไปจะสรุปความเกี่ยวกับคดีแล้วหละครับ
	ถ้าเผอิญพี่สาวไม่ได้มาทำธุระ และถือโอกาสแวะเยี่ยมน้องชายในตอนบ่ายของวันนั้น ผมคงไม่ได้เป็นผม มานั่งเขียนเรื่องราวเล่าให้ท่านฟังหรอกครับ พี่เล่าว่า มาถึงบ้าน เห็นสภาพความเสียหายก็เข่าอ่อน ซ้ำเห็นผมนอนสลบ หายใจรวยๆอยู่บนพื้นห้องน้ำ เลือดหลั่งท่วม เธอก็แทบล้มผาง สูดลมหายใจ คุมสติพักใหญ่ จึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากน้าถนอมผู้เป็นเพื่อนบ้านกับเราอีกคนหนึ่ง  น้าถนอมแกรีบพาผมส่งโรงพยาบาลทันที พอน้องชายถึงมือหมอ พี่ก็รีบลุกลี้ลุกลนโทรศัพท์ตามคุณพ่อคุณแม่ลงมาจากเมืองเหนือ ทีนี้ข่าวก็สะพัดไปในหมู่ญาติหละครับ แพร่ไปถึงสื่อมวลชนด้วย ผมเลยได้ออกข่าวอาชญากรรมกับเขามั่ง ถึงมิใช่คดีดัง หรือคดีเด็ดก็เถอะน่า พูดถึงคดี ก็ได้ช่องแถลงถึงเรื่องผลการสืบสวนของตำรวจหละครับ เอาแบบสรุปๆแล้วกันครับ เบื้องต้น ท่านผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาตรวจบ้านเรา สืบเบาะแสจากบ้านใกล้เคียง ว่ามีใครเห็นอะไร อย่างไร เมื่อไหร่บ้าง แล้วก็คืบเข้าหาเป้าหมายทีละนิดๆ เมื่อผมฟื้นตัวพอให้ปากคำได้   ก็ถูกซักถามถี่ยิบ ผมบอกไปหมดหละครับว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตำรวจไทยเราก็เก่งเหลือเกิน ใช้เวลาไม่นาน รวบโจราได้สามตัว เอ้ย คน เหลืออีกสอง มันหนีไปกบดานยังควานไม่พบ ที่ทำให้ผมสลดล้ำลึกก็คือ น้องฝ้าย น้องฝ้ายถูกรวบตัวในครั้งนี้ด้วย ข้อหาผู้ให้ความร่วมมือกับโจร แหละจากการถูกจับนั่นเอง เรื่องราวทั้งหมดของเด็กสาวก็ถูกเปิดเผยให้เรารับรู้
	ฝ้ายก็เช่นเดียวกับเด็กสาววัยรุ่นทั่วๆไปในยุคโลกไร้พรหมแดน กระแสเชี่ยวกรากของวัฒนธรรมเทศ ผนวกกับลัทธิทุนนิยม วัตถุนิยม ซึ่งไหลบ่าท่วมทุกหัวระแหง ผู้คนตัดสินคุณค่ากันตรงสิ่งของ เงินทอง แน่นอน เธอย่อมหลีกไม่พ้นจากการถูกดูดกลืน เธอใฝ่ฝันถึงอนาคตสดใส อันมีนิยามเกี่ยวข้องกับความร่ำรวย ชื่อเสียง เกียรติยศ ฯลฯดังนั้น เมื่อไอ้ชัย หรือชื่อจริงคือ วุฒิชัย อำพรางนิสัยชั่วไว้ภายใต้เปลือกของหนุ่มเจ้าสำอาง หน้าตาดูดี (ในสายตาเธอ) รสนิยมหรู ใช้สินค้าราคาแพง พูดจาหวานหู เข้ามาติดพัน ฝ้ายก็เคลิ้มหลง มารู้ตัวก็ต่อเมื่อ พรหมจารีถูกมันพร่า ใช่แต่เท่านั้น ไอ้ชัยยังชักชวนก๊วนเวนตะไลอีกสี่คน ร่วมเสพสมกับเธอในคืนเดียวแบบรุมโซม ยังมิหนำใจ มันยังสอนให้เด็กสาวลิ้มรสยาเสพติดด้วยวิธีการฉีดเข้าเส้นเลือด ชัยขู่บังคับสาวน้อย มิให้นำเรื่องราวไปฟ้องร้อง มิฉะนั้น มันจะนำภาพการร่วมรักออกเผยแพร่บนเว็ปไซต์ อนิจจา! ฝ้ายผู้อ่อนเยาว์ต่อโลก ต่อชีวิต ถูกมันกับพรรคพวกใช้ความกลัวของเธอเป็นเครื่องต่อรอง เรียกร้องรสสวาทครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยัดเยียดยานรกให้เธอเพิ่มเติม โอ้! ฝ้ายผู้น่าเวทนา
	เมื่ออาการกระหายต่อสิ่งเสพติดทวีขึ้นถึงขนาด และเงินขาดมือ พวกมันก็บังคับให้หญิงสาวเป็นผู้นำทางไปปล้นใครสักคนที่เธอรู้จัก ถ้าเธอไม่พาไป โทษซึ่งจะได้รับคือรุมโซมจนกว่าจะตาย! เรื่องก็ปะติดปะต่อครบบรรจบกันพอดีกับเหตุการณ์อันเกี่ยวกับผม หลังจากสะดมเสร็จ มันห้าตัว เอ้ย คน แยกย้ายกันหลบหนี ฝ้ายไปกับชัย หาก ไปไม่พ้น ถูกจับจนได้ น้าขวัญรู้เรื่องลูกสาวถึงกับล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล หมอตรวจพบอาการเต้นผิดปกติของระบบหัวใจ สาเหตุก็เนื่องจากเพราะตรมตรอมเกินกล่าว น้าสิทธิ์เงียบขรึมซึมลงจนผมอดสงสารไม่ได้ บาดแผลของผู้ปกครองลูก เมื่อแก้วตาของตนกลายเป็นดวงแก้วราน หัวอกพ่อแม่ก็ยิ่งร้าวระแหง อนาคตของฝ้ายคงหนีทัณฑสถานหญิงไปไม่พ้น แหละแน่นอน ยามใดที่เธอย่างเท้าเข้าสู่เรือนจำ ทั้งพ่อทั้งแม่ก็เปรียบเสมือนถูกขังจองจำไว้กับเรือนด้วยความเทวษอาดูรณ์มากกว่าเธอหลายร้อยหลายพันเท่านัก ฝ้ายจะรู้หรือเปล่าหนอ?
	กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็นานพอสมควร ตกลง คุณพ่อคุณแม่ท่านสั่งเด็ดขาดให้ผมขายบ้าน แล้วขึ้นไปอยู่กับท่านที่จังหวัดพะเยา ทุกวันนี้ ผมอยู่เมืองเหนือ การงานก็ไปได้เรื่อยๆตามประสาคนแปลข่าวต๊อกต๋อยคนหนึ่ง ภายภาคหน้า หากมีลู่ทาง คงได้อาชีพเสริม นานๆสักครั้ง ผมจะลงมาเที่ยวกรุงเทพ นั่งรถผ่านไปดูบ้านเก่าซึ่งแปรเจ้าของไปแล้ว แวะไปกินข้าวแกงน้าขวัญ ผู้มีฝีมือคงเส้นคงวาไม่เคยเปลี่ยน หากจะมีเปลี่ยนก็คือ น้าขวัญซูบเซียวกว่าเก่ามาก ความรันทดปรากฏในแววตาสามารถแลเห็นได้ และครั้งหนึ่ง ผมแทบกลืนข้าวไม่ลง เมื่อแม่ค้าวัยกลางคนบอกว่า
	ฉันทำห่อหมกปลาช่อนค่ะคุณ  เย็นนี้จะเอาไปเผื่อยัยฝ้ายเขา เธอหยุดนิดหนึ่ง ก่อนหลุดคำ ที่คุก ออกมาอย่างยากเข็ญ คำนั้นสะดุดๆ เพราะเจ้าตัวพยายามข่มสะอื้น ผมเองก็สะอึกนิ่ง ความเศร้าอ้อยอิ่งแผ่ออกครอบคลุม ถามว่าผมโกรธฝ้ายไหม ผมตอบตรงๆครับว่า แสลงใจบ้าง หาก ก็เข้าใจดี ฝ้ายเป็นเพียงหนึ่งในเด็กสาวจำนวนมหาศาล ผู้ตกอยู่ท่ามกลียุค สังคมกำลังฆ่าพวกเธอ กำลังปล้นพวกเธอทุกขณะ ใช่แต่เท่านั้น ใครก็ตามที่อ่อนแอ อ่อนโอน ก็ยากนักจะรอดหายนะ สมัยแห่งภัยอุบาทว์อันเกิดจากโรคคลั่งวัตถุ หลงมายา ฝังรากลึกมาเนิ่นนานจนเรื้อรัง คงต้องการเวลาอีกยาวใกลในการบำบัดเยียวยา ผมถอนใจยาว เยือกๆในความรู้สึก มีดอกฝ้ายอีกสักกี่ดอกกันเล่าที่ถูกกระชากลงมาคลุกพื้นในแดนฝุ่น มีดอกไม้อีกกี่ดอกก็มิรู้ กำลังถูกทึ้งถอนทำลาย มีฆาตกรรมเลือดเย็นอีกมากมายซุกซ่อนอยู่ในความศิวิไลซ์ แหละฆาตกรมันก็ไล่หลัง การพัฒนา  กับ ความเจริญ มาติดๆ ถึงเวลาหรือยังที่ทุกฝ่ายจะร่วมกันแก้ปัญหา แทนการกล่าวโทษซึ่งกันและกัน สำหรับผมรู้ว่ามันถึงเวลาแล้ว แต่ คนสำคัญๆของบ้านเมืองเรา เขารู้หรือเปล่า ผมไม่ทราบจริงๆครับ
(เขียนจบลงเมื่อ วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๐)				
comments powered by Disqus
  • น้ำผึ้งเดือนห้า

    27 พฤศจิกายน 2550 14:57 น. - comment id 98387

    เป็นเรื่องราวที่น่ากลัวจัง...แต่น้ำผึ้งว่ามีอยู่เยอะแยะเลยละค่ะ ในประเทศเรานี้น่ะ บางทีอาจเป็นเพราะความเจริญหรือความก้าวล้ำนำสมัยเพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ประเทศของเราต้องพัฒนาไปเร็วมาก จนทำให้ชาวบ้านปรับตัวไม่ทัน หรือบางครั้งพ่อแม่ก็สอนลูกไม่ได้เพราะตัวเองก็ไม่มีความรู้พอและไม่รู้จะสอนยังไง น่าเป็นห่วงอนาคตนะคะ และถ้ายิ่งมีแต่ความเจริญทางด้านวัตถุโดยที่เราลืมที่จะทำให้เกิดความเจริญทางด้านจิตใจเสียก่อนหรือเป็นการเตรียมความพร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตาม
             สมัยนี้นะคะ กลับบ้านต่างจังหวัดทีไร จะเห็นเด็กๆนั่งเล่นเกมทั้งวัน ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เด็กแถวต่างจังหวัดจะต้องออกไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาหรือไม่ก็เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยู่บ้านกัน แต่พอมาสมัยนี้ มีแต่พ่อแม่ที่ออกไปทำ แต่ลูกๆนั่งเล่นเกมอยู่บ้าน เล่นข้ามวันข้ามคืนก็อยู่ได้โดยไม่ต้องนอน เคยคุยกับพ่อของเด็กบางคน เขาต้องการซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นเกมออนไลน์บ้างเพราะพ่อเขาก็ชอบเล่น บางทีก็แย่งลูกเล่นด้วยซ้ำ (น้ำผึ้งไม่เคยเล่นเลยค่ะ) คิดดูสิคะ ผู้ใหญ่ยังคิดอย่างนี้ แล้วเด็กจะคิดแบบไหน คงไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ปรับตัวยาก แม้แต่ผู้ใหญ่บางคนเองก็ปรับตัวไม่ค่อยได้เหมือนกัน ส่วนใหญ่ทุกคนจะมุ่งไปที่วัตถุเสียมากกว่า ซึ้อเครื่องเสียงก็ต้องใหญ่ๆดังๆ ต้องเปิดเพลงทั้งวัน ต้องมีเพลงใหม่ๆมาเปิดเรื่อยๆ เปิดทีให้ดังไปทั้งหมู่บ้าน ถ้ายิ่งบ้านใครมีคอมฯเปิดคาราโอเกะได้นี่ โห..เท่ห์มากๆ
          ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นค่ะ ถ้าเทียบกับสิ่งที่ชาวบ้านแถวต่างจังหวัดเผชิญอยู่ ยังไม่รวมถึง การให้ผ่อนรถ เฟอร์นิเจอร์ การปล่อยเงินกู้ ยิ่งสมัยนี้มีกองทุนหมู่บ้านด้วยแล้ว ทราบไหมคะว่าเขากู้เงินกองทุนไปทำอะไร บางคนไปผ่อนมอเตอร์ไซด์ ตู้เย็น ทีวี เครื่องเสียง เกม หรือไม่ก็คอมพิวเตอร์ น่ายินดีใช่มั๊ยคะ นี่ล่ะค่ะ คือสาเหตุของการเป็นหนี้กองทุนหมู่บ้าน 
          เอ่ยมาเสียยาวเลยค่ะ สุดท้ายนี้คงต้องขอบคุณเรื่องราวที่คุณตราชูได้เขียนขึ้นค่ะ ไม่ทราบเป็นเรื่องจริงของตัวคุณเองหรือว่าคิดขึ้นมานะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้น คงต้องขอคารวะอาจารย์แล้วค่ะ เก่งมากๆ29.gif
  • ตราชู

    28 พฤศจิกายน 2550 10:45 น. - comment id 98412

    สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกๆท่าน สวัสดีคุณน้ำผึ้งเดือนห้าครับผม
    
    	ดอกฝ้ายในแดนฝุ่น เป็นจินตนาการครับ ผมคิดโครงเรื่องจากการฟังข่าวอาชญากรรมที่ปรากฏตามสื่อมวลชนต่างๆ บางข่าว ฆาตกรเป็นแค่วัยรุ่น และบางข่าว ผู้ก่อเหตุก็มิใช่ใครอื่น  คนบ้านใกล้เรือนเคียงกับผู้ตกเป็นเหยื่อนั่นเอง ผมใจหายเมื่อนึกตั้งคำถามว่า เดี๋ยวนี้เราแทบจะไว้ใจใครไม่ได้แล้วหรือ แม้เพื่อนบ้านกันก็เถอะ นี่ คือที่มาของการสร้างเรื่องสั้นเรื่องนี้ขึ้น เพื่อตอกย้ำถึงภัยอันตรายอันแวดล้อมสังคมอยู่ทุกขณะครับผม
  • จีไซ่

    1 ธันวาคม 2550 17:47 น. - comment id 98501

    เก่งจังค่ะ  อ่านแล้วได้ความรู้เยอะเลย
    วันหลังเขียนเรื่องสนุก ๆ มาอีกนะคะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน