10 มิถุนายน 2554 14:32 น.

ไวอาก้า

เอื้องคำ

ณ ร้านขายยาเภสัชแห่งหนึ่ง
"สวัสดีค่ะคุณป้า วันนี้รับยาอะไรคะ" เภสัชกรสาวประจำร้านเอ่ยทักทายป้าคนหนึ่งอายุเหยียบห้าสิบ
"ไม่รับยาแล้วล่ะอีหนู ขนาดยาเมื่อวานยังไม่ได้ผลเลย" ป้ากล่าวด้วยสีหน้าผิดหวัง
"ทำไมล่ะค่ะป้า คุณลุงทานยาแล้วไม่ได้ผลหรือคะ" เภสัชกรสาวซัก
"ป้าก็เกรงใจลุงเนาะ ครั้นจะบอกให้แกทานโดยไม่อ้อมค้อมก็จะทำให้แกไม่พอใจ เดี๋ยวจะหาว่าป้าดูแคลนเขาก็จะไปกันใหญ่อีก" ป้าสาธยาย
"เป็นธรรมดาของคนวัยนี้ค่ะป้า คุณลุงน่าจะเข้าใจนะคะ ถ้าทานยาไปก็จะช่วยให้อาการไม่สู้กลับมาแข็งตัวได้ค่ะ" เภสัชกรสาวสาธยายบ้าง
"ป้ารู้...แต่ป้าก็ใช้วิธีที่แนบเนียนที่สุดแล้วนะอีหนู" ป้าว่า
"ป้าทำไงเหรอคะ?" เภสัชกรสาวซักต่อ
"ป้าก็เอายาบดจนเป็นผง ผสมเข้าในผัดผักบุ้งให้ลุงกินน่ะสิอีหนู" ป้าเล่า
"อืม...คุณลุงทานผัดผักบุ้งแล้วเป็นไงบ้างคะ?" เภสัชกรสาวอยากทราบผล
"กินไม่ได้เลยอีหนูเอ๊ย" ป้ากล่าวพลางส่ายหน้า
"อ้าว...ทำไมถึงกินไม่ได้ล่ะคะ?" 
"จะไปกินได้ยังไง ก็ผักบุ้งมันแข็ง"				
9 มีนาคม 2554 17:33 น.

ทำไมไม่บอก

เอื้องคำ

1_1.jpg , 




หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเร่าร้อนของอาทิตย์ยามบ่าย ก็ได้เวลาของความร่มรื่นยามเย็น ความร้อนจากเปลวแดดเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ สายลมเริ่มพัดพลิ้วมา ยอดไม้ยอดหญ้าต่างเอนไหวไปตามทิศทางแรงลม  
ไอ้เอกกับไอ้เอี้ยงสองพี่น้องในวัยแตกพานกำลังนั่งเหลาคันหนังสติ๊ก เพื่อว่าจะได้ใช้หายิงนกไปผัดเผ็ดแกล้มเหล้าในบางโอกาสที่สองพี่น้องนึกเปรี้ยวปากขึ้นมา

"เออ...ค่อยยังชั่วหน่อยโว้ย มีลมซะบ้าง โลกเดี๋ยวนี้มันเป็นยังไง แต่ละวันร้อนตับแทบแตกอยู่แล้ว" อยู่ๆ ไอ้เอกก็โพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบจากการตั้งใจเกลาคันหนังสติ๊กของสองพี่น้อง 

"นั่นสิ...ร้อนยังกับโลกมันจะแตก" ไอ้เอี้ยงสำทับขึ้นตามความเป็นจริงที่มันพบเจอว่าหนักขึ้นไปอยู่ทุกวัน แล้วมันก็ก้มลงเป่าไปที่คันหนังสติ๊กหนึ่งครั้งเพื่อไล่ฝุ่น จากนั้นก็ก้มหน้าเกลาคันหนังสติ๊กต่อไป

ผ่านไปชั่วครู่หลังจากที่ไอ้เอกกับไอ้เอี้ยงสองพี่น้องเขย่าโลกประกอบหนังสติ๊กได้เสร็จเป็นที่เรียบร้อยคนละคัน สองพี่น้องก็เริ่มออกหาเหยื่อในทันที พวกมันเดินย่องเลาะไปตามชายทุ่ง พุ่มไม้ไผ่เพราะบางทีพวกมันอาจเจอเข้ากับกระรอกตัวอ้วนๆ สักตัว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่ารสชาดกระรอกผัดเผ็ดแกล้มเหล้านั้นช่างเป็นรสชาดที่ฟ้าประทานชัดๆ 

"เฮ้อ...อะไรกันวะ วันนี้ไม่มีอะไรให้กูกินแกล้มเหล้าเลยรึไง" ไอ้เอกเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เดินย่องอยู่เกือบชั่วโมง ด้วยความหงุดหงิด เมื่อคิดถึงกับแกล้มที่วาดไว้แต่กลับไม่ได้มาง่ายๆ อย่างใจนึก

"กูว่าไม่ได้แดกแล้วล่ะ วันเนี้ย เซ็งฉิบ....ไอ้พวกกระรอกนี่มันก็รู้มากกันเสียจริง หายไปไหนกันหมด" ไอ้เอี้ยงกล่าวขึ้นด้วยความเซ็งอารมณ์เช่นเดียวกับผู้เป็นพี่ชาย พลางเดินย่องตามหลังไปต้อยๆ 

"ไอ้เอกเว้ย...กูคิดอะไรออกแล้ว" ไอ้เอี้ยงกล่าวร้องเรียกผู้เป็นพี่ชาย

"หา...อย่าบอกนะว่ามึงมีไม้เด็ดอะไรอีก" ไอ้เอกหันขวับมาทางผู้เป็นน้องชาย ด้วยความมั่นใจว่า มันต้องมีแผนอะไรดีๆ อีกอย่างแน่นอน

"กูว่าเราอย่าแดกเหล้าเลยวันนี้...." ไอ้เอี้ยงกล่าว

"อ่าว...แล้วจะแดกห่าอะไรว่ะ? ไอ้เอกสงสัย

"ก็บัวลอยไง บัวลอยกะทิหอมๆ อ่ะ กูไม่ได้กินนานแล้ว มึงไม่อยากกินหรือวะ?" ไอ้เอี้ยงเปรยทำนองเชลส์ชวนชิม

"เออ...เข้าท่าเหมือนกันว่ะ... นึกแล้วอยากกินเหมือนกัน" ได้ผล ไอ้เอกเริ่มคล้อยตามอย่างว่าง่าย

"ไหนมะพร้าววะ ไม่มีมะพร้าวจะเอากะทิที่ไหน" ไอ้เอกถามผู้เป็นน้องชาย

"ก็นั่นไง..." ไอ้เอี้ยงชี้ด้วยสายตาไปยังต้นมะพร้าวสูงซึ่งตอนนี้มันกำลังห้าวได้ที่และยังดกเต็มต้น

"แล้วถ้าเจ้าของเค้ามาล่ะวะ จะทำยังไง กูไม่รู้จักเจ้าของสวนนี้เสียด้วย" ไอ้เอกเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะช่วงนี้มะพร้าวก็ราคาแพงลิบ ถ้าเจ้าของสวนเขาหวงคงจบไม่สวยแน่นอน

"มึงอย่ากังวลไอ้เอก กูรู้จักเจ้าของสวนนี้ เดี๋ยวกูจะดูต้นทางให้เอง รอฟังสัญญาณก็แล้วกัน" ไอ้เอี้ยงผู้เป็นน้องชายรับรองความปลอดภัย พลางให้สัญญาณปฏิบัติการณ์ในทันที
เมื่อไอ้เอกปีนขึ้นไปได้สักพักก็เงียบไป เป็นไปได้ว่ามันกำลังรอสัญญาณจากไอ้เอี้ยงผู้เป็นน้องชายมันอยู่ พลางสัญญาณก็ดังขึ้น

"ไอ้เอกเว้ย...ทุ่มมา ทุ่มมา!" ไอ้เอกได้ฟังก็เข้าใจในทันทีว่าให้ทุ่มมะพร้าวลงไปได้แล้ว มันจึงถีบลงไปๆหลายลูก

"พอแล้วล่ะ...." เป็นสัญญาณบอกว่าให้หยุด แต่เอ.....ไอ้เอกไม่คุ้นในน้ำเสียงเลยสักนิด และเมื่อมองลงมากลับไม่ใช่ไอ้เอี้ยงผู้เป็นน้องชายกลับเป็นลุงพุงพลุ้ยคนหนึ่งยืนอยู่โคนต้น

"ลุงเป็นใครอ่ะ...แล้วไอ้เอี้ยงล่ะ" ไอ้เอกตะโกนถามลุงคนนั้น

"ไอ้เอี้ยงกูไม่รู้ รู้แต่ว่ากูเป็นเจ้าของสวนนี้" ไอ้เอกได้ฟังเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่างานเข้าเสียแล้ว และเมื่อมันเพ่งมองโดยถี่ถ้วนมันก็เห็นปืนลูกซองยาวถูกกระชับไว้อย่างเหนียวแน่นในมือลุงคนนั้น ทำให้มันหมดเรี่ยวแรงจนแทบร่วงตกลงมาจากต้นมะพร้าวเฮงซวยต้นนั้น

"เอ่อ...คือผมเห็นว่าลุงอยู่คนเดียวไม่มีใครช่วยปีนมะพร้าวให้ ผมสงสารเลยจะมาช่วยลุงปีนให้น่ะครับ" ไอ้เอกกล่าวแบบใจดีสู้เสือหลังจากที่มันค่อยๆ ไต่ลงมาจากต้นมะพร้าว

"อืม...ขอบใจเว้ยไอ้หนุ่ม" ลุงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอยู่มุมปาก ไอ้เอกเหลียวเห็นรอยยิ้มปกคลุมด้วยหนวดอันหนาเต่ออยู่มุมปากยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง

"งั้นผมไปล่ะครับลุง..." ไอ้เอกรีบจ้ำอ้าวออกไปทันทีโดยไม่เหลียวหลัง

"เฮ้ย...เดี๋ยวก่อนไอ้หนุ่ม" โอ้...จอร์จ ไอ้เอกรำพึงในใจ ถ้ากูหันไปแล้วเจอกระบอกลูกซองกำลังเล็งมาที่กลางกระหม่อมกูคงฉี่แตกตรงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

"ครับ...ลุง" ไอ้เอกกล่าวพลางค่อยๆหันหลังกลับอย่างช้าๆ แต่แล้วผิดคาด

"เอามะพร้าวไปกินด้วยสิวะ" ลุงกล่าวพร้อมอุ้มมะพร้าวมาให้ไอ้เอกสองลูก
หลังจากมาถึงบ้านไอ้เอกแทบหมดเรี่ยวหมดแรง ปานว่ามะพร้าวที่อุ้มมาด้วยหนักลูกละยี่สิบกิโล

"ไอเอี้ยงโว้ย...มึงอยูไหนวะ?" ไอ้เอกแหกปากเรียกหาน้องชายทันทีที่ภาวะหัวใจเป็นปกติ

"ไอ้เหี้ยเอี้ยง...ไหนว่ามึงรู้จักเจ้าของสวน ไหนว่ามึงจะบอกกูถ้าเจ้าของสวนมา หา...ไอ้เวรตะลัย มึงรู้มั้ยกูเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเพราะแผนบัดซบๆ ของมึง" ไอ้เอกยังคงใส่ต่อเป็นชุด ด้วยอารมณ์อันเดือดเหมือนบัวลอยไข่หวาน

"ก็กูบอกมึงแล้ว ทำไมมึงไม่เสือกลงมาวะ" ไอ้เอี้ยงอธิบายด้วยความสัจจริง

"บอกตอนไหนไอ้ห่า...เห็นบอกแต่ให้กู ทุ่มมา ทุ่มมา" เป็นความสัจจริงเช่นกันที่ไอ้เอกได้ยินเช่นนั้นเพียงอย่างเดียว 

"ก็นั่นแหละ กูบอกให้มึงรู้ว่าเจ้าของสวนมา" ไอ้เอี้ยงกล่าว

"หา..." ไอ้เอกเพิ่งเข้าใจ

"เออ...เจ้าของสวนแกชื่อ ทุ่ม" ไอ้เอี้ยงกล่าว พร้อมกับที่ไอ้เอกหงายหลังผึงไปอีกรอบ				
19 มิถุนายน 2552 11:20 น.

"เอ๊ะ...มันยังไงกันแน่ "

เอื้องคำ


4a3b11ecaaa75.gif



"ท่านผู้โดยสารที่รอการโดยสารไปกับรถไฟชานเมือง อยุธยา-กรุงเทพฯ ขบวนที่ 316 โปรดเตรียมการโดยสารได้แล้วครับ ขณะนี้รถไฟกำลังจะเข้าจอดเทียบในชานชาลาที่ 2 ครับ" สิ้นเสียงประกาศจากสถานีรถไฟไม่ถึง 2 นาที เหล่าผู้คนก็เตรียมตัวจ่อคิวเข้ากับประตูแต่ละโบกี้ของรถไฟกันอย่างไม่เป็นระเบียบมากนัก ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผู้คนจะคับคั่งเป็นพิเศษในเวลาการเดินทางไปทำงานตอนเช้า ชายหนุ่มนั่งอยู่ในตำแหน่งติดกับหน้าต่าง และไม่นานที่นั่งก็เต็มไปทุกที่ 
	เมื่อรถไฟวิ่งไปไม่นานนัก ชายหนุ่มสังเกตุเห็นสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองมาในตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ 
"เอ...ซิบไม่ได้รูดหรือเปล่านะ" ชายหนุ่มรำพึงในใจ แต่เมื่อก้มลงสำรวจก็ปกติดี เพราะกางเกงยีนส์ตัวนี้เป็นแบบกระดุมแป๊ก และชายหนุ่มก็ติดมันครบทุกเม็ดแล้วตั้งแต่สวมมันในตอนเช้า 
"หรือนอกหน้าต่างจะมีอุบัติเหตุรถชน" แต่เมื่อชายหนุ่มหันออกไปนอกหน้าต่าง ก็ไม่พบเหตุการณ์ดังกล่าว ถนนสายที่เลียบไปกับทางรถไฟก็มีรถราวิ่งกันเป็นปกติดี 
"เอ...???" ชายหนุ่มชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันไปทางซ้ายจนสังเกตุเห็นผู้หญิงคนที่นั่งติดกับชายหนุ่ม เธอสวมชุดแส็กเป็นลายสีเทา มีผ้าผูกที่บริเวณเอว ดวงตาของเธอกลมโต ขนตางอน เส้นผมหนาเป็นเงาซึ่งถูกซอยสั้นจากข้างหลังไล่่มาถึงข้างหน้า 
"แต่เธอมีผ้าปิดจมูกอ่ะ" ชายหนุ่มรำพึง 
"...เธอคงกำลังไม่สบาย" แต่ดูจากสีหน้าแววตาอันเปล่งปลั่งเป็นประกายชายหนุ่มเริ่มลังเลว่า เธอดูไม่เหมือนคนที่กำลังไม่สบายเลยแม้แต่น้อย
"แล้วเธอจะใส่หน้ากากปิดจมูกทำไมกันนะ" ชายหนุ่มลังเล และกำลังใช้ความคิดทบทวนเหตุการณ์ข่าวสารในปัจจุบัน
"อ๋อ..." คงเป็นข่าวไข้หวัด 2009 หรือหวัดหมูที่กำลังเริ่มระบาดเข้ามาในเมืองไทย เพราะข่าวว่า คนที่กำลังติดเชื้อในไทยมีมากกว่า 500 รายแล้วในตอนนี้ 
"...อาจเป็นไปได้" และตอนนี้เธอก็กำลังเหลียวมองผู้คนอื่นๆ อยู่ มีทั้งเด็กผู้ใหญ่คนชราในรถ และคนเหล่านั้นก็จ้องมาที่เธอ
"เอ๊ะ...มันยังไงกันแน่" ชายหนุ่มเริ่มงง เธออาจป้องกันไม่ให้ติดโรคหวัดชนิดร้ายแรงนี้จากคนอื่น หรือว่าคนอื่นคิดว่าเธอกำลังเป็นโรคนี้ เพราะพวกเขาเห็นเธอสวมหน้ากากปิดจมูกไว้ 
"อ้าว...แล้ว ยังไงดี" ชายหนุ่มไม่แน่ใจในความคิดทั้งสองอย่างนี้ และไม่รู้ว่าจะคิดเห็นเข้าไปในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกันดี
"แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าใครกำลังเป็น หรือไม่เป็น" ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงสิ่งที่เป็นเครื่องหมายเพื่อยืนยันว่าใครเป็น หรือไม่เป็น เพราะเห็นได้ชัดว่าเพียงหน้ากาก ไม่อาจสรุปความกระจ่างในเรื่องนี้ได้  อย่างไรก็ดีชายหนุ่มคิดว่า หากมีป้ายหรือเสื้อที่มีข้อความเขียนไว้ตรงด้านหน้าหรือด้านหลังตัวโตๆ ว่า " ไม่ได้เป็นหวัดหมู แต่ใส่หน้ากากเพื่อป้องกันคนอื่น" เช่นนี้แล้วชายหนุ่มคิดว่า น่าจะเข้าใจได้ดีกว่ามากนัก หรือ "เป็นหวัดหมูโว้ย แต่ไม่มีหน้ากากใส่" อย่างนี้ก็ชัดเจนมากทีเดียวเช่นกัน แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ชายหนุ่มแน่ใจคือ ถ้าเธอเป็นหวัดหมูจริงๆ เธอก็ไม่แพร่ไปสู่คนอื่นเพราะสวมหน้ากาก หากเธอไม่เป็น เธอก็จะไม่ได้รับเชื้อจากคนอื่นเช่นกัน 
"อืม...คงไม่มีอะไรหรอก(มั้ง)" ชายหนุ่มคิดในใจ ก่อนลุกขึ้นแล้วก้าวลงรถไฟในชานชาลาที่ 2 ของสถานียมราช ด้วยเวลาที่เสี่ยงต่อการเข้างานสายประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์				
12 พฤษภาคม 2552 14:15 น.

"พริกแกงสูตรเด็ด"

เอื้องคำ

หน้าฝนแล้ว มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวชอุ่ม น้ำไหลเร็วรี่ โอกาสเช่นนี้ย่อมเหมาะเจาะที่เจ้าแดงจะออกไปหาปลานำมาเป็นอาหาร และเป็นที่น่ายินดีเมื่อ เด็กหนุ่มไปดูเบ็ดในเช้าวันนี้ ก็ได้ปลาช่อนนามาตัวเขื่องทีเดียว เขาจึงเดินมุ่งหน้าดุ่มๆ กลับบ้าน ในใจก็คิดถึงแกงส้มปลาช่อนใส่มะละกอ อันเป็นอาหารจานโปรดของตน
"ได้ปลาอะไรมาล่ะ" ป้าผินตะโกนถามมาแต่ไกล เมื่อเห็นลูกชายหิ้วปลาตัวใหญ๋ที่ร้อยเหงือกมันไว้ด้วยเถาตำลึง
"ปลาช่อนน่ะแม่ ตัวเบ้อเร่อเลย555" เจ้าแดงตะโกนตอบด้วยสีหน้าชื่นฉ่ำมาแต่ไกลเช่นกัน
หลังจากที่เจ้าเอกขอดเกล็ดและบั้งปลาเป็นชิ้นซิ่งไม่หนามากนัก จากนั้นชายหนุ่มก็คว้ามะละกอมาปอก ขณะที่ควันจากเตาถ่านก็ลอยโขมงไปทั่วทุ่งทีเดียว
"ทำไมแม่ไม่ซื้อพริกแกงมาจากตลาดล่ะ จะได้ไม่ต้องตำให้เมื่อย" ชายหนุ่มเอ่ยถามมารดาด้วยเหตุว่า ทุกครั้งที่ทำกับข้าว ป้าผินจะต้องตำพริกแกงเองเสมอ
"เอ็งจะไปรู้อะไร กับข้าวจะอร่อยหรือไม่อร่อย มันอยู่พริกแกงนี่แหละ เป็นสิ่งสำคัญ ถึงหน้าตามันจะน่ากิน แต่ถ้ารสชาดไม่ได้เรื่อง มันก็เหลืออยู่เต็มหม้ออย่างนั้น ไม่มีใครกินหรอก" ป้าผินใส่ร่ายมาเป็นสายด้วยสีหน้าจริงจัง
"ก็จริงนะ บางครั้งกับข้าวในตลาดมันก็แสนจะจืดชืด ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย" เจ้าเอกเห็นจริงดังที่ผู้เป็นแม่กล่าวมา จึงได้เสริมขึ้น
"ปอกมะละกอเสร็จ ไปหยิบเกลือมาหน่อย" ป้าผินกล่าวกับลูกชาย แต่สายตาและสมาธิแกกำลังอยู่ในครกเป็นอย่างเดียวเท่านั้น
"ทำไมต้องใส่เกลือตอนนี้ล่ะ ไม่ใส่ตอนปรุงหรือแม่" เจ้าเอกเริ่มข้องใจ
"ก็เพราะพริกขี้หนูแห้งมันจะกระเด็น ถ้าใส่เกลือมันก็จะเกาะกันดี ละเอียดไว และกลมกล่อมด้วยยังไง" ป้าผินจาระไนให้ผู้เป็นลูกชายฟัง ซึ่งเจ้าเอกก็ดูเหมือนจะเข้าใจเป็นอย่างดี แต่ขณะนั้นเจ้าเอกก็เหลือบไปเห็นสุนัขตัวหนึ่ง มันกำลังเคี้ยวอะไรฉับๆ อยู่ในปากและเมื่อเด็กหนุ่มสังเกตุ ก็รู้ว่าเป็นปลาช่อนที่เขาวางเอาไว้นั่นเอง
"แม่...หมามันขโมยปลาไปกินแล้วนั่น" เจ้าเอกกล่าว พลางวิ่งไล่กวดสุนัขตัวนั้นอย่างเร่งรุด
"เอ็งไม่ต้องไปไล่มันหรอก หมาน่ะมันโง่โว้ย..."เจ้าได้ยินสายคำนั้น ก็ให้งุนงงสงกายิ่งนัก จึงย้อนถามมารดา
"หมามันโง่ยังไงกันล่ะแม่..." ชายหนุ่มหยุดวิ่งโดยกระทันหัน แต่ยังคงหันไปมองสุนัขตัวนั้นด้วยความเสียดายชิ้นปลา
"ถึงมันจะเอาปลาไปกิน แต่มันก็ไม่มีทางกินได้อร่อยหรอก" ป้าผินกล่าวอย่างผู้มีเชิงเหนือชั้น
"ทำไมมันจะไม่อร่อยล่ะแม่" เจ้าเอกซักด้วยสีหน้างุนงงเข้าไปอีก 
"มันจะอร่อยได้ยังไง ก็พริกแกงสูตรเด็ดของข้ายังอยู่นี่ เอ็งไม่เห็นหรือ" ป้าผินกล่าวอย่างเหนือชั้นและไม่ใยดีต่อชิ้นปลาชิ้นนั้นแม้แต่น้อย ต่างกับเจ้าเอกที่ขณะนี้ กำลังงงยกกำลังสาม				
29 เมษายน 2552 10:54 น.

ให้มันรู้ซะมั่ง...ไผ๋เป็นไผ๋

เอื้องคำ

คำกล่าวที่ว่า "เมืองหลวงลวงหลอก" นั้น มีมานานแล้ว สามสหายทั้งเจ้า อ่ำ เอี้ยง และเจ้าเอก ต่างเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยเหตุที่หมู่บ้านของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากความเจริญด้านเทคโนโลยี  ความทันสมัยต่างๆ จึงทำให้สามเกลอ ตั้งใจจะเข้ามาในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ที่ที่มีแสงไฟกะพริบในยามค่ำ มีรถราพลุกพล่านบนถนน และมีห้างสรรพสินค้าหรูหราดูสักครั้ง
"เค้าว่ากันว่า ที่นั่นมีโรงหนังใหญ่ๆ ด้วยนะ" เจ้าอ่ำกล่าว พลางกางแขนออกทั้งสองข้างจนกว้างที่สุด เท่าที่จะทำได้
"อืม...ใช่ " เจ้าเอกกล่าวด้วยสีหน้าชวนฝันเมื่อนึกถึง โรงหนังกว้างๆ แอร์เย็นๆ และระบบเสียงอันกระหึ่มกึกก้อง ตามคำบอกเล่าของลุงปาหนัน
"ข้าอยากไปจังเลยว่ะ สักครั้งก็ยังดี" เจ้าเอี้ยงกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง และเปี่ยมไปด้วยความเบิกบานใจเมื่อนึกถึงเมืองหลวงอันเป็นแดนศรีวิไล
"ตกลง...เราจะไปเมืองหลวงกัน" เจ้าเอกกล่าวหนักแน่นเหลือกำลัง พลางลุกขึ้นชูกำปั้นที่กำไว้แน่นขึ้นสูงๆ พร้อมทั้ง เจ้า อ่ำและเจ้าเอี้ยงเดินมาสมทบและทำท่าทางเดียวกัน 

ท่ามกลางความจอแจของรถราบนถนนในเมืองใหญ่ สามเกลอ เอก อ่ำ และเอี้ยงก็เดินทางเข้าเมืองหลวงดังใจนึก
"เราจะไปได้อย่างไรวะ รถเยอะแบบนี้" เจ้าเอี้ยงกล่าวพลางเอามือเกาหัวแกรกๆ 
"โธ่...ไอ้โง่ ก็ไปรถแท็กซี่สิวะ" เจ้าเอกกล่าวอย่างมีเชิง 
"เอ็งขึ้นแท็กซี่เป็นเหรอ ไอ้เอก" เจ้าอ่ำอดฉงนไม่ได้ เมื่อเพื่อนซี้แนะนำลู่ทางในแบบที่เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก
"เอ็งจะไปรู้อะไร ไอ้อ่ำ ข้าถามลุกปาหนันมาหมดแล้วโว้ย" เจ้าเอกกล่าวพลางเอามือกอดอกแบบผู้มีชัย แถมยังยิ้มอยู่มุมปากเล็กน้อย
"ข้าได้ยินมาว่า แท็กซี่น่ะถ้ามันเห็นคนหน้าตาบ้านนอกๆ มันจะหลอกขับวนไปเวียนมา จนเรามึน แถมค่าโดยสารก็แพงลิบลิ่วเลยนะโว้ย.." เจ้าเอี้ยงเสริมขึ้น ด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความกังวลเป็นที่สุด
"เอ็งไม่ต้องห่วง คนฉลาดอย่างข้าไม่ตกเป็นเหยื่อง่ายๆ หรอกน่า เราก็บอกเส้นทางมันไปสิวะ มันจะได้ไปตามที่เราบอก" เจ้าเอกกล่าวต่อ
"อืม...ถ้างั้นก็ได้ งั้นก็ไปกันเลย" เจ้าเอี้ยงกล่าวพลางหันไปมองข้างๆ ก็มีเจ้าอ่ำยืนพยักหน้าอยู่หงึกๆ ว่าแล้วทั้งสามก็ขึ้นแท็กซี่ไป
และแล้วแท็กซี่ ก็พาสามเกลอลัดเลี้ยวไปยังห้างดังแห่งหนึ่ง ตามคำสั่งของเจ้าเอก ซึ่งก็เป็นไปดังคิด ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึง ด้วยความปรีชาชาญของเจ้าเอก
"เท่าไหร่พี่" เสียงเจ้าอึ่งเอ่ยถามแท็กซี่ 
"สามร้อยบาทครับ" แท็กซี่กล่าวด้วยสีหน้านิ่งๆ
"อะไรพี่ สามร้อยได้ไงแค่นี้เอง" เจ้าเอี้ยงกล่าวด้วยความงุนงง พลางหันไปมองเพื่อนซี้สองคน
"พี่อย่ามาขี้โกงผมซะให้ยากเลย มิเตอร์มันขึ้นแค่ 100 บาท จะมาเอาอะไรตั้ง 300 บาท ไม่มีทางหรอก ผมน่ะรู้ทัน" เจ้าเอกกล่างด้วยสีหน้าจิงจัง  ซึ่งก็เป็นไปดังคาด คนขับแท็กซี่นิ่งเงียบไป เหมือนจะรู้ว่า ไอ้สามเกลอนี่ถึงจะหน้าตาบ้านนอกหลงกรุง แต่มันก็มีไหวพริบดีทีเดียว ครั้นจะหลอกเอาตังค์มัน คงไม่ใช่เรื่องหมูๆ 
"ครับ ร้อยเดียวก็ร้อยเดียวครับ" แท็กซี่กล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก 
"เออ...มันต้องอย่างนี้สิพี่" เจ้าเอกซ้ำมาอีกรอบ ด้วยน้ำเสียงเดิม
"เอ้ย...พวกเรา คนละ 100 โว้ย" เจ้าเอกกล่าวพลางล้วงเงินในกระเป๋าของตน และจากเพื่อนๆ ทั้งสองคน รวมเป็นแบงค์ละ 100 จำนวนสามใบส่งให้คนขับแท็กซี่
"เป็นไงล่ะพวกเอ็ง มันไม่ง่ายหรอกนะ ที่จะมาหลอกคนอย่างข้าน่ะ " เจ้าเอกกล่าวอย่างมีชัย และสีหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอิบใจในความสามารถของตน หลังลงจากรถแท็กซี่คันนั้น...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอื้องคำ
Lovings  เอื้องคำ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอื้องคำ
Lovings  เอื้องคำ เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเอื้องคำ
Lovings  เอื้องคำ เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเอื้องคำ