กลอนข้อคิด

หากฉันเสกได้

มนต์กวี


.
หากฉันได้พรวิเศษจะเสกโลก
ให้ไร้โศกไร้ทุกข์เป็นสุขขี
จะเป่ามนต์ให้คนร้ายเป็นคนดี
เสกภูติผีให้หนีไปจากใจคน
.
เสกนักเลงเป็นนักเรียนเพียรศึกษา
เสกปัญญาให้ตกผลึกแล้วฝึกฝน
เสกน้ำตาเป็นน้ำใจไร้เล่ห์กล
เสกคนจนให้พออยู่รู้่ทำกิน
.
เสกอย่าให้ไทยหมองต้องแบ่งข้าง
เสกอย่าให้หนทางนั้นขาดวิ่น
เสกอย่าให้คนดีมีมลทิน
เสกอย่าให้คนหมิ่นเบื้องนั้นเฟื่องฟู
.
เสกให้คนร้องให้ได้หัวเราะ
เสกให้คนใจเสาะมาใจสู้
เสกให้คนใจฟุบเป็นใจฟู
เสกให้คนหัวงูรู้ชั่วดี
.
เสกให้น้ำอย่าท่วมเราต้องเอาอยู่
เสกให้ปูเข้าสภาแล้วอย่าหนี
เสกให้แม้วหวนกลับรับคดี
เสกให้มีความปรองดองทั่วผองไทย
.
เสกคนโง่คนขลาดฉลาดทั่ว
เสกคนชั่วกลับตัวเอาดีได้
เสกคนดีให้ยิ่งดีดีขึ้นไป
เสกหัวใจในทุกผู้รู้แบ่งปัน
.
เสกรอยร้าวเป็นรอยรักสลักจิต
เสกจุมพิษเป็นจุมพักตร์สลักฝัน
เสกปลายหอกเป็นดอกไม้มอบให้กัน
เสกดวงจันทร์เป็นดวงใจ...มอบให้เธอ
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑น้อย..มนต์กวี(17/08/55)

" ผ่านเส้นชัย....อย่างทรนง "

อ.วรศิลป์


เส้นทางชีวิตที่ทอดยาว
ผ่านเรื่องผ่านราวมามากมาย
ความสุขความทุกข์อันหลากหลาย
สุดท้ายก็ล่วงผ่านพ้นไป
เส้นทางชีวิตที่ทอดยาว
ยังมีเรื่องราวของวันใหม่
ตราบที่ยังมีลมหายใจ
เรื่องราวใหม่ใหม่ยังมีมา
เส้นทางชีวิตที่ทอดยาว
สองเท้าย่างก้าวมุ่งเดินหน้า
บทเรียนวันเก่าคือตำรา
เตือนก้าวเดินหน้าอย่างระวัง
ระวังการย่ำซ้ำรอยเดิม
อย่าฮึกเหิมเกริมอย่าคลุ้มคลั่ง
รู้ใช้สติคุมกำลัง
กันการพลาดพลั้งอย่างตั้งใจ
สุดท้ายจุดหมายเมื่อไปถึง
ได้เป็นที่หนึ่งอย่างผ่องใส
เชิดหน้าชูคอด้วยพอใจ
ก้าวผ่านเส้นชัยอย่างทรนง

ตั้งสติ

เปลวเพลิง


เหมือนราหูบังราศีที่เคยจับ
เคราะห์ยกทัพมาตีที่หน้าด่าน
เรื่องวุ่นวุ่นเกะกะรุมระราน
ปวดกบาลกับปัญหาที่มาออ
ฮ่วย! เราขออุทานไปให้ลั่นฟ้า
หรือเพราะว่าปีใหม่ใกล้แล้วหนอ
ความรุ่มร้อน อ่อนแอ แพ้ เหนื่อย ท้อ
จึงมาขออาศัยใกล้ใกล้เรา
แต่อย่างว่าเราจะทำยังไงได้
เที่ยวโทษฟ้าก็พาให้ใจยิ่งเศร้า
ขอนั่งคิดสักครู่อยู่กับเชาวน์
หาทางเผาเรื่องวุ่นวายให้หายไป
นิ่งหลับตาแล้วจิตนั้นพลันสงบ
ใจได้พบทางแก้ทุกข์ให้สุกใส
สติครองตรองตริซึ้งถึงแก่นใน
ค่อยค่อยใช้ปัญญาคลี่ทีละตอน
จากนั้นจึงลงมือรื้อและแก้
ง่ายง่ายแต่ดับเพลิงระเริงหลอน
เมื่อเรามีสติมาเป็นอาภรณ์
ปัญหาร้อนรุ่มก็คล้ายสายน้ำเย็น

ความจริงมันมีอยู่

บุญพร้อม


     ความจริงมีอยู่รู้กันทั่ว
ก็ยังมั่วยืนยันนั่นไม่ใช่
ชักแม่น้ำทั้งห้าว่ากันไป
ตามแต่ใจท่านคิดประดิษฐ์เอา
 
    ให้มีเงื่อนมีแง่แล้วแต่คิด
เกิดพลั้งผิดจดจำนำไปเล่า
กว่าจะแก้ไขได้ให้เรื่องเบา
ก็ทำเอาเดือดร้อนไปค่อนเมือง
 
    หากถามใจทุกไทยใครก็ภักดิ์
แย่งกันรักชอบกลจนมีเรื่อง
ข้ารักมากกว่าใครในบ้านเมือง
ให้เขาเคืองหมั่นไส้ได้ทุกวัน

โลกของเรา(เพิ่มเติม)

โคลอน


โลกของเรายามนี้บอบช้ำแล้ว
แผลเป็นแนวยากเกินจะรักษา
แม้นพบพานกับหมอเทวดา
ก็ยากจักเยียวยาโดยลำพัง
น่าใจหายเมื่อเห็นโลกถูกเหวี่ยง
แกนเอนเอียงแผ่นดินที่เคยหวัง
มิอาจอยู่ยั่งยืนแลจีรัง
จะมีใครยอมฟังดังก่อนเคย
ใต้แผ่นฟ้ายังมีสิ่งงามงด
สวยเกินพจน์ของคนจักเอื้อนเอ่ย
โลกใบนี้เปราะบางเกินเปรียบเปรย
โอ้ใจเอยคิดแล้วน่าเสียดาย
ต่างคนต่างเกิดมาอยู่ร่วมโลก
เผชิญโศกเศร้าสุขทุกความหมาย
ก่อนจะลาจากกันด้วยความตาย
หวังเพียงหยดสุดท้ายหยาด"น้ำใจ"
ฉันและเธอ...เธอและฉันนับจากนี้
มาร่วมสร้างวันดีดีด้วยกันไหม
พกพาความรู้สึกเดินทางไกล
พร้อมรักษ์และห่วงใยโลกของเรา
หันกลับไปมองหลังระวังบ้าง
เว้นช่องว่างวันนี้กับวันเก่า
ปล่อยให้ความทรงจำเป็นสีเทา
ลางเลือนเบาบางไปกับสายลม
เริ่มต้นใหม่แต้มความบริสุทธิ์
หยุดเถิดหยุดหยิบยื่นความปร่าขม
โลกใบเล็กที่เห็นเป็นทรงกลม
คงน่าชมรื่นรมย์ดุจดังจินต์
ช่วยส่งลูกหลานเราสู่โลกกว้าง
ดั่งนกน้อยเริ่มกางปีกผกผิน
ด้วยหัวใจฝันใฝ่อยากยลยิน
พร้อมโผบินด้วยรักและศรัทธา
โลกของเราใช่เป็นโลกของใคร
อนาคตยาวไกลเถิดคนกล้า
ปฐมพยาบาลโลกขื่นชื้นน้ำตา
เพียงเอาใจใส่มาคนละดวง
เพลงขาดอะไรในใจคน - เจี๊ยบ วรรธนา
แผ่นฟ้าเบื้องบนเป็นผืนเดียวกัน
แผ่นน้ำก็คงเป็นผืนเดียวกัน
แผ่นดินรองรับเรื่องราวร้อยพัน
กับคนบนโลกที่ต่างสีกัน
ดอกไม้ดอกนี้จะบานเพื่อใคร
นกตัวน้อยๆจะทำรังที่ใด
ลมจะพัดพาสิ่งใดแกว่งไกว
หากโลกใบนี้ไ

๐ ซากชีวิต ๐

แก้วประเสริฐ


๐ ซากชีวิต ๐
๐ สิ่งผูกพันใฝ่ฝันพลันคลาดเคลื่อน
ดุจเสมือนเพื่อนยามมีเปรมปรีดิ์สันต์
พอทุกข์ยากเพื่อนหายมลายพลัน
แสงแห่งวันดับไปคล้ายลบเลือน
๐ ประดุจรักดูไปคล้ายเมฆหมอก
แสนจะหลอกดุจเงาดั่งเย้าเฉือน
คิดหลงใหลพาลพบประสบเชือน
เปรียบเสมือนดวงใจไล้ความงาม
๐ หลากชีวิตคิดไปยิ่งให้หมอง
ที่เรืองรองบรรจบสิ่งพบหยาม
ล้วนที่เหลือฝากไว้คล้ายนิยาม
จะลุกลามแทรกซ้อนดุจย้อนใจ
๐ ธรรมชาติสร้างไว้ในพอเพียง
มักหลีกเลี่ยงเบี่ยงเบนเน้นสุกใส
แต่พอคลุกเคล้าแล้วแป้วภายใน
สิ่งเหลือไว้คือซากกากประเด็น
๐ นี่แหละหนอชีวิตคิดปั่นป่วน
ที่เฝ้าล้วนสิ่งปลอมย้อมสู่เหม็น
เหลือได้รับคงไว้คล้ายพลิกเย็น
ถ้ายิ่งเข็นพลันพบบรรจบกลวง
๐ อันมนุษย์นั้นชอบไว้ในสิ่งหอม
แมลงวันตอมสิ่งเน่าเฝ้าแหนหวง
วาบหวานนี้คล้ายกันนั้นเล่ห์ปวง
ผันเป็นบ่วงสอดคล้องต้องใจเอา
๐ ความโง่เขลาของใจให้วนเวียน
แล้วแปรเปลี่ยนปนสุขยิ่งทุกข์เฝ้า
มวลสัตว์โลกชอบไว้ในมอมเมา
เหม็นคลุกเคล้าก็หอมย้อมเล่ห์กล
๐ อย่าเห็นเรื่องเล็กน้อยคอยหมั่นคิด
หวังลิขิตอย่างไรเปรียบคล้ายขน
ล้วนแปรเปลี่ยนขาวดำย้ำปะปน
หลากหลายชนแห่งชีวีเช่นนี้เอง.
๐ แก้วประเสริฐ. ๐

วาทะหลวงตาแพร เยื่อไม้

ตอ เต่า ตัวเดิม


โยม - หลวงพ่อค่ะ วัดหลวงพ่อทำไมขี้หมาเยอะจังเลย หนูมาหาหลวงพ่อเหยียบขี้หมาไปหลายกองแล้ว
หลวงพ่อ- แค่ขี้หมาก้อนนิดเดียว โยมยังหลบไม่ได้แล้วจะไปหลบปัญหาอะไรในชีวิตได้

ฆ่า ตัว ใคร ตาย

Deepindark


ใบมีดกระทบเนื้อ
เเล่เถือๆให้เลือดหลั่ง
ชิมเลือดที่ไหลคั่ง
น้ำตาหลั่งปรุงรสเค็ม
ทอดมองข้างๆกาย
เธอหายแล้วแลไม่เห็น
ชีวิตนี้ ช่างลำเค็ญ
หยิบมีดเย็นปาดหลอดคอ
อ่อก อ่อก แอ่ก แค่ก แค่ก
ตาเหลือก ล่อก แล่ก
หายใจไม่ออกหนอ
ไม่สามารถหายใจคอ
ทุรนทดท้อ ตะเกียกตะกาย
ผนังฝ้า เริ่มลางเลือน
เจ็บเนื้อที่เฉือน มากกว่าใจ
มองทอดออกไปไกล
เเว่วเสียงร่ำไห้ ของใครกัน?
นี่เลือดแม่ นี่หนังแม่
นี่เนื้อแม่ นี่ใจเเม่
ใครกันเป็นเจ้าของที่แท้
ใยเจ้าทำแม่ได้ลงคอ
ฟื้นสิลูกฟื้น
ลืมตาตื่น เถิดลูกรัก
มีดนี้ที่ลูกฟัก
มันปักตรงกลางลำใจ
ทรมานมากไหมลูก
ที่ลูกกรีดเนื้อของแม่
เจ้าคงเจ็บ เป็นแน่แท้
ใยฆ่าแม่ไปทั้งเป็น
โอ้แม่จ๋า น้ำตาแม่ไหล
ใครหนอใครทำแม่นี้
เเม้จ๋า บอกลูกที
หันมาทางนี้ ระบายให้ลูกฟัง
แม่จ๋าแม่ ได้ยินลูกไหม
แม่จ๋า ใจลูกป่วย
แม่จ๋า โปรดช่วยเป่าโรคร้ายไป
เหมือนสมัย ลูกยังคลาน
แม่จ๋าแม่ ยินเสียงลูกไหม
ใยไม่ใส่ใจ ลูกเหมือนเก่าก่อน
นั่นใครเล่าแม่ที่แม่กอดตระครอง
ใยกายเขานองไปด้วยเลือดแดง
แม่จ๋า อย่าร้อง....
แม่จ๋า โปรดหันหาลูก...
แม่จ๋า...
แม่
แม่
แม่
.
.
.
.
.
ใยแม่ไม่ได้ยินเสียงลูก...
ใยแม่ไม่ให้ลูกเห็นตาที่โอบอารีนั้นอีก
แม่จ๋า
แม่

ข้อคิด วันวาเลนไทน์

zilver


วันไหนไหนก็เป็นวันแห่งความรัก
ควรห้ามหักอย่าให้สมอารมณ์หมาย
ต้องหักห้ามห้ามกายให้ใจเป็นนาย
ไม่ว่าชายหรือหญิงนั้นควรหมั่นตรอง
วาเลนไทน์วันหวานวันเคียงคู่
ต่างได้อยู่สุขร่วมกันแค่เราสอง
มีความสุขสมดังใฝ่ดังใจปอง
นาทีทองนาทีหวานชื่นบานทรวง
คุณค่าแห่งหัวใจใช่วันนี้
แต่อยู่ที่ความใส่ใจที่ใหญ่หลวง
ให้ทุกวันเป็นรักแท้ใช่รักลวง
อย่าให้บ่วงห้วงตัณหามาครอบงำ
วาเลนไทน์ตามความหมายของชายหญิง
คือรักจริงที่คงมั่นแสนเลิศล้ำ
กระซิบรักในส่วนลึกความทรงจำ
รักคือคำที่ควรย้ำพร่ำทุกครา

พ่อแก่แม่เฒ่า

skyandsky


พ่อเเม่ก็เเก่เฒ่า   จำจากเจ้าไม่อยู่นาน
จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน
ใจจริงไม่อยากจาก   เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน
เเต่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป
ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ
คนเเก่ชะเเรวัยคิดเผลอไผลเป็นเเน่นอน
ไม่รักก็ไม่ว่า    เพียงเมตตาช่วยอาทร
ให้กินเเละให้นอนคลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ
เมื่อยามเจ้าโกรธขึ้ง  ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ยามป่วยไข้ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน
เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่เเม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียงจะได้ยลเติบโตจนสง่างาม
ขอโทษถ้าทำผิดขอให้คิดทุกทุกยาม
ใจเเท้มีเเต่ความหวังติดตามช่วยอวยชัย
ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่งมีหรือหวังอยู่นานได้
วันหนึ่งคงล้มไปทิ้งฝังไว้ให้วังเวง

ดาว

ลักษมณ์


Vorasak SagornJune 8 via mobile
ดื่มด่ำดึกดื่นดาวดั่งรู้สึก
ดำดิ่งลึกลงสู่ใจที่ไหวห่วง
อนันตจักรวาลอันกลางกลวง
ทะลุล่วงเอกอมฤตธรรมอำไพ
จับเอาห้วงจักรวาลอันเวิ้งว้าง
ออกมาวางเข้าหว่างดาวพราวสุกใส
เวิ้งว่างอยู่กึ่งกลางหาวที่ยาวไกล
มีเพียงใจที่ไปถึงซึ่งปลายทาง
ดาว
Unlike ·  · Share

อยากรักก็รักเลย

ยิปซี4


เสียงโทรศัพท์ค่อยๆดังมาตามสาย
ทั้งหลานชายหลานสาวให้พาไปดูหนัง
เรื่องที่จะดูนั้นก็สุดแสนจะดัง
ชื่อของหนังก็คืออยากรักก็รักเลย
เลยต้องพาวัยรุ่นไปดูทั้งสองคน
คน 3 คนหมดเงินไป สองร้อยสิบ
เสียเท่านี้ไม่เป็นไรเรื่องจื๊บจิ๊บ
แค่เจ็ดสิบมันก็คุ้มดูหนังไทย
ใครรู้สึกอย่างไรผมไม่รู้
เพราะผมดูด้วยสติไม่ไหลหลง
ดูแล้วก็คิดสุดท้ายก็คือปลง
แล้วก็คงนำมาไว้เพื่อสอนตน
คนเรามีรักได้ทั้งชายหญิง
เป็นเรื่องจริงที่รับได้ในวันนี้
ขอแค่เพียงความเข้าใจนำชีวี
รักที่มีก็คงมีทางที่ให้เดิน

ความสุขข้างล่าง...มีได้ไม่ยากเย็นนัก

เสี้ยว


ถ้าโกรธกับเพื่อน...มองคนไม่มีใครรัก
ถ้าเรียนหนักๆ...มองคนอดเรียนหนังสือ
ถ้างานลำบาก...มองคนอดแสดงฝีมือ
ถ้าเหนื่อยงั้นหรือ...มองคนที่ตายหมดลม
ถ้าขี้เกียจนัก...มองคนไม่มีโอกาส
ถ้างานผิดพลาด...มองคนไม่เคยฝึกฝน
ถ้ากายพิการ...มองคนไม่เคยอดทน
ถ้างานรีบรน...มองคนไม่มีเวลา
ถ้าตังค์ไม่มี...มองคนขอทานข้างถนน
ถ้าหนี้สินล้น...มองคนแย่งกินกับหมา
ถ้าข้าวไม่ดี...มองคนไม่มีที่นา
ถ้าใจอ่อนล้า...มองคนไม่รู้จักรัก
ถ้าชีวิตแย่...จงมองคนแย่ยิ่งกว่า
อย่ามองแต่ฟ้า...ที่สูงเกินตาประจักษ์
ความสุขข้างล่าง...มีได้ไม่ยากเย็นนัก
เมื่อรู้แล้วจัก...ภาคภูมิชีวิตแห่งตน

ของขวัญปี 52 : สันติธรรมค้ำจุนโลก

อ.วรศิลป์


การคิดถึงตนเองมากเกินไป....ไม่ดีแน่
พาให้แย่ไร้ผู้คนอยากคบหา
คิดถึงแต่ตนเองตลอดเวลา
ช่างไร้ค่าไร้งามความเป็นคน
การคิดถึงตนเองนั้นธรรมดา
ดุจทำไร่ไถนาย่อมหวังผล
เพราะทุกผู้ล้วนแสวงหาประโยชน์ตน
พร้อมดิ้นรนเพื่ออยู่รอดตลอดไป
หากแต่การคิดถึงคนอื่นด้วย
จะอำนวยผลดีที่ยิ่งใหญ่
เหตุความรักความอารีที่แบ่งไป
สิ่งที่ได้กลับมานั้น...สันติธรรม
สันติธรรม....งามงดหมดจดยิ่ง
เป็นขวัญมิ่งคุ้มภัยไม่กรายกล้ำ
เป็นความสุขความยินดีวิถีธรรม
เลอค่าล้ำ....ค้ำจุนหนุนโลกเอย

หากฉันตายในวันนี้ที่เยาว์วัย (กลอนจากเพลง)

คืนแรมสามค่ำหน้าร้อน


ฟังเพลง If I die young ของวง the band perry มา แล้วก็เกิดแรงบันดาลใจ
ของเขาเป็นคนละเนื้อหา กลอนนี้มิใช่การแปลเพลง
แต่ คำว่า if I die young มันกระทบใจแค่นั้น
สรุปว่า.. มิใช่เขียนจดหมายเพื่ออำลาใครไปไหนนะครับ อิ อิ
หากฉันตายในวันนี้ที่เยาว์วัย
ขออย่าได้โศกอาวรณ์ห่อนไห้หา
ได้พบแล้วชีวิตดีมีราคา
เกิดกายมา มีพ่อแม่รักแท้จริง
เคยสมหวังเคยผิดหวังเคยพลั้งพลาด
วันนี้กวาดเก็บหัวใจไว้บนหิ้ง
ไม่ดิ้นรน ไม่ค้นไกลไม่ช่วงชิง
รักนิ่งๆไม่ร้อนใจอะไรเลย
เคยเที่ยวท่องข้ามฟ้ามหาสมุทร
เห็นจนสุดก็แค่นั้น มันเริ่มเฉย
เที่ยวคนเดียวกับเป้หลังก็ยังเคย
วันผ่านเลย เลยผ่านล่วงไม่ห่วงใด
เป็นมาแล้วทั้งแกล้วกล้าและตาขาว
พบเรื่องยาวและเรื่องสั้น เรื่องหวั่นไหว
มีเพื่อนดี มีเพื่อนกิน เพื่อนสิ้นใจ
เคยยากไร้ไม่ระย่อ พอมีกิน
พอใจแล้วกับชีวิตที่ผ่านมา
หากแม้ว่าชะตาสั้นมันผันผิน
หากจะต้องถึงคราวตายวายชีวิน
ก็จะขอจบสิ้น อย่างง่ายงาม
อยากให้ฝังฉันไว้ใต้ไม้ร่ม
อาจเป็นทิวต้นลั่นทมหรือมะขาม
หรือต้นไม้ใหญ่ๆใดก็ตาม
ครั้นเมื่อยามลมพัดไกวจะได้เย็น
แถมมีเพลงใบไม้คอยร่ายกล่อม
หรือดอกหอม-สวยให้ใครได้แลเห็น
เอื้อประโยชน์อยู่ประจำเพียรบำเพ็ญ
ฉันอยากเป็นอย่างไม้ใหญ่ที่ใจดี
เพื่อระลึกถึงฉันวันสุดท้าย
ให้ช่วยโปรยดอกไม้ปราย หลายๆสี
ฝังไปกับ หนังสือกลอน-บทกวี
เผื่อจะมีเวลาอ่านเมื่อนานไป
หากเธอคิดถึงฉันในวันเหงา
ก็จงเอาบทกลอนกานท์มาขานไข
หรื

มองแต่ สิ่งดีดี ....ให้เป็นศรีแก่ตา ไม่ดีกว่าเหรอ....???

ทรายกะทะเล


คำกลอนของท่านพุทธทาสมีมากกว่า 100 บท แต่ละบทมีเนื้อหาสาระและมีความไพเราะเพราะพริ้งราวกวีรังสรรค์ ดังที่ผมคัดสรรมาสำหรับประกอบบทความในครั้งนี้เพียง 4 บท
บทกลอนสอนใจบทแรก ท่านตั้งหัวข้อว่า “มองแต่แง่ดีเถิด”
(บทกลอนบทนี้จัดว่าเป็นกลอนยอดฮิต คนทั่วไปมักรู้จักและท่องได้)
เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
จะหาคน มีดี โดยส่วนเดียว อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง
บทกลอนที่ 2 ว่าด้วย “เป็นอยู่ด้วยจิตว่าง”
จงทำงาน ทุกชนิด ด้วยจิตว่าง ยกผลงาน ให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น
กินอาหาร ของความว่าง อย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้น แล้วในตัว แต่หัวที
ท่านผู้ใด ว่างได้ ดังว่ามา ไม่มีท่า ทุกข์ทน หม่นหมองศรี
“ศิลปะ” ในชีวิต ชนิดนี้ เป็น “เคล็ด” ที่ ใครคิดได้ สบายเอย
บทกลอนที่ 3 ว่าด้วย “การงานคือการปฏิบัติธรรม”
อันการงาน คือคุณค่า ของมนุษย์ ของมีเกียรติ สูงสุด อย่าสงสัย
ถ้าสนุก ด้วยการงาน เบิกบานใจ ไม่เท่าไร ได้รู้ธรรม ฉ่ำซึ่งจริง
เพราะการงาน เป็นตัวการ ประพฤติธรรม กุศลกรรม กล้ำปนมา มีค่ายิ่ง
ถ้าจะเปรียบ ก็เปรียบคน ฉลาดยิง นัดเดียววิ่ง เก็บนก หลายพวกมา
คือการงาน นั้นต้องทำ ด้วยสติ มีสมาธิ ขันติ มีอุตสาห์
มีสัจจะ มีทมะ มีปัญญา มีศรัทธา และกล้าหาญ รักงานจริง
สุดท้ายเป็น

ตาบอดคลำช้าง...

คีตากะ


บัณฑิตเอ๋ย !
ท่านหาเคยประสบพบคชสาร
เพียงตาบอดคลำเจอเพ้ออนุมาน
เปรียบสังขารแห่งคชพจนา
เมธีเอ๋ย !
ท่านเปิดเผยอรรถธรรมล้ำภาษา
แต่ธรรมนั้นมิอาจพจน์รจนา
จนปัญญาสาธยายร่ายจำนรรจ์
ปวงปราชญ์เอ๋ย !
ท่านอ้างเอ่ยใบไม้ในไพรสัณฑ์
แต่เพียงหนึ่งใช่พฤกษาทั้งอารัญ
ซึ่งอนันต์ยิ่งนักสุดจักควณ
กวีเอ๋ย !
ท่านเปรียบเปรยสัจธรรมนำสงวน
หมายชี้จันทร์แสงจรัสพิพัฒน์นวล
แต่จันทร์ล้วนพบได้เพียงใจตน
สาวกเอ๋ย !
ท่านแพร่เผยหลักธรรมนำมรรคผล
แต่ธรรมแท้อจินไตยไร้ตัวตน
จึงร้างคนอนุศาสน์ปราศผู้ฟัง
ปุถุชนเอ๋ย !
ท่านละเลยดวงจิตคิดคาดหวัง
แสวงสุขนอกกายหมายจีรัง
จึงบดบังธรรมกายหลงว่ายวน
สรรพสัตว์เอ๋ย !
ท่านเพิกเฉยตถตาพาสับสน
จึงขลาดเขลาเปล่าปัญญาพร่ากมล
จมวังวนแห่งวัฏฏะอัประมาณ...