กลอนข้อคิด

วัยคะนอง

สุนทรวิทย์


วัยรุ่น  ดรุณเปลี่ยว
ขาดเฉลียว  ชอบเที่ยวเตร่
จับกลุ่ม  สุมฮาเฮ
ทำหมิ่นเหม่  ดื่มเมรัยสูบยา  น่าละเหี่ย
เดินคลอเคลีย  เสียนิสัย
ปล่อยตัว  มิกลัวภัย
ระเริงวัย  ไป่ระวังหนูหนู  ฟังปู่ก่อน
ปู่อาทร  จะสอนสั่ง
หยุดรั้น  ดันทุรัง
แล้วจงฟัง  อย่างตั้งใจหนุ่ม,สาว  คราวคะนอง
ปราศไตร่ตรอง  ต้องแก้ไข
ใช่เขลา  ตามเขาไป
ควรระไว  ห่วงใยตนรู้ละ  ปฏิเสธ
รู้สังเกต  เหตุและผล
ทวนทบ  เลือกคบคน
อยู่ให้พ้น  กลอุบายวัยหัว-เลี้ยวหัวต่อ
เร่งจดจ่อ  ก่อขวนขวาย
สุขสันต์  รอบั้นปลาย
คือจุดหมาย  ในชีวินสองทาง  ต่างสุดขั้ว
อยากดี,ชั่ว  ตัวถวิล
กุศล  กับมลทิน
เห็นอาจิณ  ตัดสินเอง

"พบ - พราก"

แมงกุ๊ดจี่


๑.หยดน้ำตาไหลนองเปื้อนสองแก้ม
เกินจักแย้ม...สดับยอมรับผล
กอรปด้วยเหตุผลักไสเพื่อไกลตน
มิอยากยลรอยหมองเข้าครองใจ...
ขอผลบุญเคยสร้างทุกปางบรรพ์
คุ้มครองขวัญจงปราศจากหวาดไหว
พ้นแคล้วคลาดจากบ่วงผลาญทรวงใน
หยุดอาลัย...รอยเกลียวร่วมเกี่ยวพัน...
๒.เนิ่นนานนับกี่กาลขับขานถ้อย
ร่วมเรียงร้อยผ่านเพรงบรรเลงฝัน
คล้องสายใยจากปี-เดือนเลื่อนสู่วัน
กลับแปรผันเคลื่อนคล้อยไร้รอยจำ...
ภาพมองเห็นซ่อนเล่ห์ด้วยเสน่หา
ม่านพรางตาย้อนยอกหลอกให้หนำ
สลับสร้างปราดเปรื่องเพียงเรื่องขำ
คิดว่ากรรม...เผาหลอมพร้อมรับมา...
ด้วยตราตรึงคำหวานฝากผ่านพจน์
เพียรจารจรดคำโปรยคล้อยโหยหา
หยาดน้ำผึ้งประสานพิษเจือฤทธิ์ยา
เปรียบหมายฆ่าพร่าผลาญให้ราญรอน...
เขาปราศจิตเมตตาปรานีดอก
ลอบเวียนป้อนคำหยอกเพียงหลอกหลอน
หลอมรสหวานตรึงแน่นสิ้นแคลนคลอน
เทียวปลิ้นปล้อนพร่างคำคล้ายย้ำยี...
๓.หัวใจหนึ่งรานแหลกร่วงแตกแล้ว
เคยเพริศแพร้วรักหวงเก็บทรวงนี้
อยากเกี่ยวคล้องป้องไว้..ด้วยไมตรี
พร้อมยอมพลีด้วยศักดิ์...จำหลักคอย...
ดำเนินเรื่องเลือนลางจริงหว่างฝัน
ร้าวเคียงขวัญจิตเศร้าปนเหงาหงอย
ตระหนักรู้...ใช่เพชรเพียงเกล็ดพลอย
จึ่งควรปล่อยคลายเกลียวสิ้นเกี่ยวใด...
ตระหนักแน่ "เพียงพบพานเพื่อผ่านภพ"
เกินบรรจบ...ร่วมสายลมหายใจ
"วาสนา" แนบเคียงเพียงไกลไกล
ปราศบ่วงทัณฑ์พันไว้ให้อยู่ครอง...
ประจักษ์แล้ว "พบ-พราก" ไม่อยากฝืน
ปล่อยวัน-คืน เลือนลับ ยอมรับหมอ

คารวะคุณูปการ...คนโง่โง่

แทนคุณแทนไท


“คนฉลาด” คิดแต่กลัวเอาตัวรอด
คุณจึงอยู่เยี่ยมยอดปลอดภัยผอง
คุณซ่อนซุกสุขกระไรในกระดอง
คุณเมียงมองจ้องกำไรไว้ทุกครา
ยามภัยมาคุณซุกร่างแอบข้างหลัง
หวาดระวังมิให้ออกมานอกหน้า
สยบพร้อมยอมแพ้แก่ชะตา
เพราะรู้ว่าจะมีคนดิ้นรนแทน
เขาเป็น “คนโง่โง่” ไร้แง่เงื่อน
เขาเห็นทุกข์ของเพื่อนนับเรือนแสน
เขามีใจรับรู้ไม่ดูแคลน
เขายอมแอ่นอกรับกับพิษภัย
“คนฉลาด” ฉลาดรู้ดูทางลม
ถ้าเขาล้มก็เหยียบย่ำซ้ำเติมใส่
ถ้าเขาชนะก็ดี๋ด๋ามาร่วมใจ
ร่วมประโยชน์ฉลองชัยไม่เคยอาย
เขาโง่เง่าในสายตาคนฉลาด
แต่องอาจในวิถีมีความหมาย
เขารู้เท่ารู้ทันว่าอันตราย
แต่เสี่ยงตายด้วยสำนึกระลึกรู้
บ้านเมืองไม่อับจนเพราะ “คนโง่โง่”
ที่กล้าขืนยืนโต้ออกต่อสู้
“คนโง่โง่” ต้องเจ็บตัวเต็มประตู
“คนฉลาด” จึงได้อยู่อย่างร่มเย็น!
ในสถานการณ์คับขันหรือเกิดปัญหาขึ้นในสังคม เรามักจะพบคนสองกลุ่มใหญ่ๆเสมอ
กลุ่มหนึ่งโถมตัวอุทิศตนเข้ามารับผิดชอบแก้ไขปัญหา
ขณะอีกกลุ่มหนึ่งนั่งดูอยู่ห่างๆเพื่อรอเวลารับผลประโยชน์

...เคลื่อนนิ่ง....

บนข.


ขุนเขานั้นยังยงคงขุนเขา
นทีเล่ายังคงดำรงไหล
สายลมเย็นก็ยังเช่นสายลมไกว
แดดร้อนไซร้ยังดำรงคงเตโช
ศิลาแกร่งก็ยังแกร่งศิลานั้น
ผืนทรายนั่นยังประจักษ์อยู่อักโข
น้ำยังคงตัวตนบนอาโป
คลื่นยังโชว์คลื่นสาดบนหาดทราย
พฤกษาคงสล้างอย่างพฤกษา
มวลมาลาคงกลิ่นมิสิ้นหาย
ป่ายังคงผืนป่าลดาพราย
สัตว์ทั้งหลายยังคงสัตว์อยู่อัตรา
และฝูงคนยังคงชัดอัตตาอยู่
หญิงชายคู่ยังคงคู่มนุสสา
กิเลสคงกิเลสเหตุมายา
ชักนำพาหมู่สัตว์ทุกบัดใจ
โลกยังคงหมุนวนมิพ้นโลก
สุขทุกข์โศกยังคงโชกตามโลกไหว
วันเวลายังคงกาลและผ่านไป
ชีพใดใดคงย่อยยับไปกับกาล
ปุถุชนยังคงเกิดเตลิดภพ
จนเจนจบภพชาติวาดสังขาร
สะสมกองอวิชชามาช้านาน
มิอาจผลาญภพชาติให้ขาดไป
ขุนเขานั้นมิยิ่งยงคงขุนเขา
นทีเล่าหยุดนิ่งมิติงไหว
สายลมเย็นก็มิเช่นสายลมไกว
แดดร้อนไซร้ก็ไร้ร้อนสะท้อนเงา
สรรพสิ่งที่เห็นว่าเช่นนั้น
แท้ก็ย้อมแปรผันทั้งนั้นเล่า
น้ำหยุดนิ่งแท้จริงตลิ่งเนาว์
กลับร้อนเร่าเคลื่อนไหว...เห็นไหมนั่น

เมื่อใจหนึ่ง+หนึ่งใจ

ก้าวที่...กล้า


ฉันเกิดมา
ก็เห็นน้ำเห็นฟ้าและป่าไม้
เห็นแผ่นดินเห็นบ้านเหมือนเป็นเรือนใจ
เห็นความรักยิ่งใหญ่ในพรมแดน
ก่อนนั้น-เห็นผู้คน
มีน้ำใจเหลือล้นถึงจนแสน
ยังถ้อยทีถ้อยอาศัยใจตอบแทน
หาเคืองแค้นให้เห็นเช่นเธอทำ
ตอนนี้-เกลียดกันเพราะเหตุใด?
ช่วยใส่ใจกันหน่อยอย่าพลอยขำ
เมื่อต่างคนต่างคิดมีจิตนำ
ใช่ถามย้ำซ้ำซากเรื่องมากมาย
เมื่อใจหนึ่งบวกหนึ่งใจ
รวมมือไว้ด้วยกันเป็นมั่นหมาย
สุจริตตั้งมั่นถึงบั้นปลาย
สิ่งร้ายร้ายคงคลายปมสัมคมไทย

ชีวิตเธออาภัพจริงจริงหรือ?

เปลวเพลิง


“เฮ้อ!ชีวิตอาภัพจริงพับผ่า”
โชคชะตากำหนดแต่หมดหวัง
ไม่เคยสมปรารถนาสักคราครั้ง
มีแต่นั่งรันทดหมดอาลัย“อยากฉลาดปราดเปรื่องเหมือนอย่างเขา
เรากลับเบาปัญญาไปซะได้
มุมานะไม่รู้จะทำกระไร
โลกไยไพปลอกปลิ้นเกินดิ้นรนเห็นเขามีทองคำเส้นล้ำค่า
อวดล่อใจล่อตาจ้องถลน
เขาจบเอก  จบโท  โก้เหลือทน
เราสิหม่นหมองเปลี่ยวเพียงเดียวดาย”“นี่เธอจ๋า
ก็เวลาส่วนใหญ่เธอใช้หาย
ไปกับการอุดอู้นั่งดูดาย
ซังกะตายหน่ายเหนื่อยเรื่อยทั้งวันฉันเห็นเขาขยันทุกวันนะ
ไม่เคยจะรีรอขอผัดผัน
เหมือนอย่างที่เธอทำเป็นสำคัญ
แล้วเธอจะมารำพันไปทำไมฉันเห็นเขาไม่ได้รวยตั้งแต่เกิด
เพียงแต่เลิศมานะมั่นอันยิ่งใหญ่
สู้งานหนักเป็นหลักยึดตามพฤตินัย
ไม่รอใครกำหนดบทชีวาเธออาภัพหรือไม่ฉันไม่รู้
ลองคิดดูฉันเตือนนะเพื่อนจ๋า
เผื่อวันใดเธอตระหนักขึ้นสักครา
จะรู้ว่าเธอนั้นไม่ได้อาภัพ”

น้ำตา

บนข.


เมื่อปีติดีใจก็ซาบซ่า
หยาดน้ำตาก็พาลจะหลั่งไหล
รับของขวัญจากคนที่เรามีใจ
มิอาจกลั้นน้ำตาไว้ก็หลั่งมา
ยินคำบอกว่ารักจากคนรัก
น้ำตาท้นทะลักออกเต็มหน้า
เจอะเพื่อนเก่าเราจากมานานนา
ก็สุขในอุราน้ำตานอง
ได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นชั้นเงินเดือน
หยดน้ำตาไหลเปื้อนอาบแก้มสอง
ครั้นเสื่อมยศหมดค่าราคาครอง
มิวายต้องร้องให้เห็นน้ำตา
ได้รับคำสรรเสริญก็เพลินยิ่ง
ปลื้มใจจริงน้ำตาไหลทำไมหว่า
ประสบคำติฉินคนนินทา
เจ็บอุราน้ำตาตกในอกตน
คนมีรักได้สมอารมณ์ฝัน
มิอาจกลั้นน้ำตาพาสุขล้น
ครั้นเสียหลักรักร้าวคราวทุกข์ทน
น้ำตาหล่นหลากนองทั้งสองปรางค์
คนผิดหวังนั่งหงอยคอยความหวัง
น้ำตาหลั่งหวังผิดคิดอ้างว้าง
คนสมหวังสมสุขมิจืดจาง
สุขอย่าได้เหินห่างน้ำตาริน
ใครเสียตัวนัวเนียเป็นเมียน้อย
น้ำตาย้อยตอกย้ำระกำสิ้น
เป็นเมียหลวงหวงภัสดาเป็นอาจิณ
กล้ำกลืนกินน้ำตาอุราตรม
น้ำตาไหลใครจะรู้ผู้นั้นทุกข์
หรือว่าสุขสดใสใจสุขสม
สัตว์โลกล้วนถูกกลืนคลื่นอารมณ์
ซัดจนล่มอับปาง...กลางน้ำตา....

เทพารักษ์

สุนทรวิทย์


ชายชรา  ผมขาว  แก่คราวปู่
นั่งพักอยู่  โคนฉำฉา  พฤกษาใหญ่
เล่าอดีต  ก่อนเก่า  ตอนเยาว์วัย
จาระไน  เหตุการณ์  สิ่งพานพบ
เด็กหลายคน  ห้อมล้อม  น้อมสดับ
มุ่งซึมซับ  สาระ  โดยสงบ
เสียงผู้เฒ่า  จำนรรจ์  กล่าวครันครบ
ย้อนทวนทบ  ประสบการณ์  อันผ่านตา
“สมัยปู่  ยังเด็ก  เล็กอยู่นั้น
พนาสัณฑ์  คือแหล่ง  แห่งภักษา
มีส่ำสัตว์  พืชพันธุ์  ยันหยูกยา
คนกับป่า  ผูกพัน  เหมือนกันชน
ไม่วิตก  ขัดเคือง  เรื่องดินฟ้า
อยากทำนา  ทำไร่  ล้วนได้ผล
ฤดู  รู้กำหนด  หมดกังวล
ใช่วิกล  เบี่ยงเบน  เช่นยุคนี้
ห้วย,หนอง,คลอง  สะอาด  ปราศมลพิษ
ปลาสลิด  ช่อน,ดุก  มีทุกที่
กุ้ง,หอย,ปู  อุดม  สมบูรณ์ดี
สายนที  เลี้ยงหล่อ  ก่อชีวิน
มองท้องทุ่ง  ยามเย็น  เห็นกระสา
ฝูงอีกา  โพระดก  นกขมิ้น
เอี้ยง,ขุนทอง  สาลิกา  ลงหากิน
นกท้องถิ่น  อีกมาก  ที่จากจร
ปัจจุบัน  มิเป็น  เช่นนั้นแล้ว
ไร้วี่แวว  เกษมศานต์  เยี่ยงกาลก่อน
สรรพสัตว์  มากมาย  วายม้วยมรณ์
ความเดือดร้อน  ดาหน้า  มาก่อกวน
เพราะมนุษย์  โค่นไม้  ไม่เกรงโทษ
หิวประโยชน์  บีฑา  ป่าสงวน
ฝนฟ้าจึง  วิปริต  ผิดแปรปรวน
ทุกสิ่งล้วน  วอดวาย  ในมือคน”
เสียงปู่เฒ่า  สะเทือน  เหมือนปวดร้าว
แจงเรื่องราว  สาธก  ยกเหตุผล
จนตะวัน  ลับตา  ฟ้ามืดมน
จึงจำนน  หลับไป  ใต้ร่มไม้
กลุ่มเด็กน้อย  หันหน้า  ปรึกษากัน
รออีกวัน  รุ่งทิวา  จะมาใหม่
แม้ตะขิด-ตะขวง  คิดห่วงใย
แต่หักใจ  ใกล้ค่ำ  จำกลับ

ยิ้มสู้คน

แค่ปลายปากกา


ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม กับรอยน้ำตา
ดูเหมือนไม่มีค่าเสียสุดแสน
ยิ้มบางๆ ให้คนที่ดูแคลน
อย่าไปแค้นโกรธเคืองให้เปลืองใจ
หากใจเราไม่สนไม่ได้แคร์
เค้าก็แค่ต้นไม้ที่พริ้วไหว
ไม่กระทบกระเทือนถึงทรวงใน
จะสนใจอะไรกับใจคน
อย่าเอาทุกข์มาเพิ่มทุกข์
หัดที่จะสุขบ้างในบางหน
อย่าลืมว่าเราเองแค่เป็นคน
เขาก็คนสนอะไรให้มากมาย
(ไม่ใช่คูโบต้า หรือสี อ่ะ ถึงทนได้อิๆๆ อย่าได้แคร์)

แด่...และด้วยรัก

เปลวเพลิง


วันนี้นำบทกลอนเก่าๆของคุณจินตนา  ปิ่นเฉลียวมาฝากครับ  ให้ข้อคิดดีมากๆเลย  แล้วก็เพราะมากเช่นเดียวกันครับ
จึงฝากคำย้ำไว้ให้เตือนจิต
เพื่อนเคยมีใจคิดสักนิดไหม
ชีพเกี่ยวเส้นเป็นข่ายทอสายใจ
สอดสายใยร้อยผสมสังคมคน
ด้วยสายจิตพิศวาสวิลาศนี้
ถักชีวีเป้นข่ายรายทั่วหน
ข่ายใจจักถักจนแกร่งด้วยแรงชน
แต่จะป่นถ้าแยก...แตกสามัคคี
เรามีรัก  ภักดิ์  อภัย  เป็นใยเหนียว
พันเป็นเกลียวก่อกมลจนสุขศรี
ตราบความรัก  ภักดิ์  หวัง  เรายังมี
สังคมชีวิตไม่ประลัยลาญ
แต่ถ้าแม้นมนุษย์ชาติที่กาจกล้า
มุ่งมาฆ่ากันก็เห็นเป็นวิตถาร
เหมือนแหกข่ายสายรักให้หักราน
ซึ่งเหมือนการฆ่าตัวของตัวเอง
นานเท่าใด...ตราบใยรักถักข่ายชีพ
เหนียวจนบีบคั้นปรามทรามข่มเหง
นานเท่านั้น...โลกสุขสันต์สิ้นหวั่งเกรง
เพราะละเลงด้วยรักไม่ใช่เลือดคน

บ่วงสายกาล

แมงกุ๊ดจี่


ใช้ชีวิต เรียบง่าย ตามสายกาล
ก้าวข้ามผ่าน ทุกข์เข็ญ ทั้งเย็น-ร้อน
แปรไปตาม ช่วงจังหวะ แต่ละตอน
คอยโอนอ่อน เปลี่ยนผัน ผ่านวันคืน...
เพียรเรียนรู้ ทดสอบ กรอบชีวิน
ไม่เคยสิ้น เรี่ยวแรง กล้าแกร่งฝืน
เพิ่มแรงใจ ปลอบปลุก ล้มลุก-ยืน
ยิ้มหน้าชื่น อกตรม แม้นขมใจ...
ยามสุขสันต์ ราบรื่น ฉ่ำชื่นจิต
หว่างชีวิต  ปรากฏ  ความสดใส
ทุกย่างก้าว พุ่งเฟื่อง เรืองไสว
พร้อมสู้ไป  ตามเพรง  มิเกรงกลัว...
แต่เมื่อยาม ทุกข์โศก คล้ายโลกมืด
วัน-คืนยืด  เนิ่นช้า กว่าสลัว
เข้าข่มเหง  รุมเร้า คล้ายเมามัว
กว่ารู้ตัว  ดิ่งจม ระทมทรวง...
เป็นอย่างนี้ หนอชีวิต ลิขิตฟ้า
กำหนดมา บาป-บุญ ที่หนุนหน่วง
การกระทำ  หนหลัง เรื่องทั้งปวง
เปรียบดุจบ่วง พ่วงพัน ลงทัณฑ์เรา...

สายเสียแล้วที่รัก

คนกรุงศรี


สุริยัน นั้นส่อง ต้องภิภพ
หมายจะลบ พวกเรา เผาให้หมด
แผ่รังสี สาดไป ไม่ละลด
กะกำหนด วันตาย ให้มนุษย์
ร้อนแรงพา ป่าไม้ ไฟท่วมลุก
กลียุค กล้ำกราย ใกล้ถึงจุด
แผ่นดินไกว ไหวถล่ม เมืองจมทรุด
กระชากฉุด ชีวา คนลาลับ
พายุพัด จัดจ้าน สะท้านทิศ
ฟ้ามัวมิด พิรุณ หมุนแปรปรับ
เทเป็นสาย ธารา คณานับ
ก็ถึงกับ ท่วมท้น จนจมมิด
ที่เมืองหนาว ร้าวนะ หิมะหมก
น่าวิตก ฤดูกาล มันผันผิด
ธรรมชาติ รุนแรง มันแผลงฤทธิ์
ไม่มีสิทธิ์ หยุดยั้ง นั่งทนทุกข์
เกิดอะไร ขึ้นเล่า โลกเราน่ะ
หรือว่าจะ สิ้นวัน สันติสุข
โลกยับเยิน มากมาย มาหลายยุค
ยากปรับปลุก พลิกฟื้น คืนให้ครบ
ทำโลกเลอะ เปรอะป่น คนลืมหลง
มินานคง ถึงขั้น เจอวันจบ
ถึงมีจิต คิดหวน นั่งทวนทบ
แม้บวกลบ คูณหาร ป่วยการคิด/font>

สงสาร

นักสืบไร้ชื่อ


สงสาร
รักจะหวัง            ก็จงหวัง                  เพื่อตั้งหมั่น
คิดจะฝัน              ก็จงฝัน                      อย่าหวั่นไหว
แล้วเอาน้ำ           จากตา                      ชะล้างใจ
ตาจะใส                เหมือนดังแก้ว          แสงแวววาว
เสียงสะท้าน         บ่งบอก                     ว่าชอกช้ำ
ถูกเน้นย้ำ           ความเจ็บ                  จนเหน็บหนาว
กึ่งตัดพ้อ                ต่อเนื้อ                   เป้นเรื่องราว
หรือน้องสาว          ของเรา                   ถูกเขาลวง
ไม่ใช้น้อง              ก้เหมือนน้อง           ของถิ่นนี้
ไม่ใช้พี่                  ก้เหมือนพี่              ที่คอยห่วง
อยุ่ร่วมถิ่น              แผ่นดินไทย           ซึ่งในทรวง
จะเกี่ยวรวง           ศรัทธา                     มหาชน
คนแอบดู              อยู่ห่างๆ                    ยังสงสาร

พิสุทธิ์นี้

แมงกุ๊ดจี่


มิรู้หรอก...
คำที่บอกจะลวงมิท้วงติง
อาจดูเพ้อฝันเฟื่องใช่เรื่องจริง
ข่มอกหญิง...นิ่งรับสดับฟัง...
มิรู้หรอก...
จะเจ็บยอกดวงจินต์เมื่อสิ้นหวัง
อนาคตร่วมวาดหากพลาดพลั้ง
อาจเซซัง...ดิ่งเหวแห่งเปลวไฟ...
มิรู้หรอก...
หากซ้ำซอกจะเยียวยารักษาไหน?
หากหนทางเบื้องหน้าเกินคว้าไขว่
จะเดินไหว...และทนอยู่ไม่รู้เลย...
มิรู้หรอก...
ในและนอกหัวใจ...บางใครเฉย
ถูกปล่อยไว้ลำพังเหมือนดังเคย
เกินจะเอ่ย"เจ็บยอก"หากบอกคำ...
มิรู้หรอก...
รักจะงอกงามงดปรากฎจำ
หรือลวงเล่ห์เสน่หาพาถลำ
มีเงื่อนงำในบ่วงอันพ่วงทันฑ์...
มิรู้หรอก...
คำที่บอกเราจะมี "กันและกัน"
จะเนิ่นนานเท่าไหร่ยังไหวหวั่น
อีกกี่วัน...ไม่เคยรู้  จะอยู่นาน...
แต่วันนี้...ที่เห็นและเป็นอยู่
ต่างเรียนรู้บรรจบเพียงพบผ่าน
ร่วมสร้างเหตุนานับเพื่อขับขาน
วัฏฏสงสารกุศลกรรมน้อมทำดี...
ตั้งจิตมั่นน้อมภักดิ์ประจักษ์เถิด
สวยพริ้งเพริศงดงามตามวิถี
เพียงหนึ่งผู้ทุกชาติปรารถนามี
พิสุทธิ์นี้...อธิษฐานทุกกาลไป...
พรุ่งนี้ไปทำบุญตักบาตร
ถวายผ้าอาบน้ำฝน และไปกราบหลวงปู่ฯ
ร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะคะ

โลกของเรา(เพิ่มเติม)

โคลอน


โลกของเรายามนี้บอบช้ำแล้ว
แผลเป็นแนวยากเกินจะรักษา
แม้นพบพานกับหมอเทวดา
ก็ยากจักเยียวยาโดยลำพัง
น่าใจหายเมื่อเห็นโลกถูกเหวี่ยง
แกนเอนเอียงแผ่นดินที่เคยหวัง
มิอาจอยู่ยั่งยืนแลจีรัง
จะมีใครยอมฟังดังก่อนเคย
ใต้แผ่นฟ้ายังมีสิ่งงามงด
สวยเกินพจน์ของคนจักเอื้อนเอ่ย
โลกใบนี้เปราะบางเกินเปรียบเปรย
โอ้ใจเอยคิดแล้วน่าเสียดาย
ต่างคนต่างเกิดมาอยู่ร่วมโลก
เผชิญโศกเศร้าสุขทุกความหมาย
ก่อนจะลาจากกันด้วยความตาย
หวังเพียงหยดสุดท้ายหยาด"น้ำใจ"
ฉันและเธอ...เธอและฉันนับจากนี้
มาร่วมสร้างวันดีดีด้วยกันไหม
พกพาความรู้สึกเดินทางไกล
พร้อมรักษ์และห่วงใยโลกของเรา
หันกลับไปมองหลังระวังบ้าง
เว้นช่องว่างวันนี้กับวันเก่า
ปล่อยให้ความทรงจำเป็นสีเทา
ลางเลือนเบาบางไปกับสายลม
เริ่มต้นใหม่แต้มความบริสุทธิ์
หยุดเถิดหยุดหยิบยื่นความปร่าขม
โลกใบเล็กที่เห็นเป็นทรงกลม
คงน่าชมรื่นรมย์ดุจดังจินต์
ช่วยส่งลูกหลานเราสู่โลกกว้าง
ดั่งนกน้อยเริ่มกางปีกผกผิน
ด้วยหัวใจฝันใฝ่อยากยลยิน
พร้อมโผบินด้วยรักและศรัทธา
โลกของเราใช่เป็นโลกของใคร
อนาคตยาวไกลเถิดคนกล้า
ปฐมพยาบาลโลกขื่นชื้นน้ำตา
เพียงเอาใจใส่มาคนละดวง
เพลงขาดอะไรในใจคน - เจี๊ยบ วรรธนา
แผ่นฟ้าเบื้องบนเป็นผืนเดียวกัน
แผ่นน้ำก็คงเป็นผืนเดียวกัน
แผ่นดินรองรับเรื่องราวร้อยพัน
กับคนบนโลกที่ต่างสีกัน
ดอกไม้ดอกนี้จะบานเพื่อใคร
นกตัวน้อยๆจะทำรังที่ใด
ลมจะพัดพาสิ่งใดแกว่งไกว
หากโลกใบนี้ไ

๏ บางสิ่งเล็กๆ ยืนหยัดสู่ฟ้า ๏

tiki


๏      ยามบ่ายร้อนแดดแผดเผา
จึงเราคิดค้นสิ่งสวย
ตามประสาไม่จนและไม่รวย
เอื้ออวยความงามยามบ่ายกัน ๚
๏       ฉากหนึ่งมุมซ้ายรูปบ่ายนี้
พิศดีพิศงามเห็นตามฉัน
ศิลป์สายตาวาบฉาบฉับพลัน
จึงมอบกลอนเป็นกำนัลแด่เพื่อนกลอน ๚
tiki_ทิกิ
๑๖:๔๕ นาฬิกา พระจันทร์ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔
เรือนไม้เก่านนทบุรี  สยาม ราชอาณาจักรไทย
๏     ชีวิตคนเราก็เท่านั้น
บางวันสุขขึ้นกว่าวันก่อน
น้อยนักจักสุขนิรันดร
มุมหนึ่งฝ่าร้อนเพียงผ่อนคลาย ๚
tiki_ทิกิ
๑๖:๔๕ นาฬิกา
๏      มุมหนึ่งในสวนเสียบงานบ้าน
มุมจานล้างลงตรงยามบ่าย
ฝากมุมสร้างสรรค์วันสบาย
มุมข้าวเสียดกายขึ้นสู่ฟ้า  ๚
tiki_ทิกิ
๑๖:๔๕ นาฬิกา
๏       ข้าวเปลือกเม็ดน้อยต่างคอยสิทธิ์
เพื่อพิชิตวันเกิดขึ้นสู่หล้า
ต่างเหยียดกายมุ่งตรงส่งนภา
เหมือนเหล่าข้าฯ ผู้ยืนหยัดอย่างหยัดยืน  ๚ะ๛
tiki_ทิกิ
๑๗:๔๙ นาฬิกา พระจันทร์ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๔
เรือนไม้เก่านนทบุรี  สยาม ราชอาณาจักรไทย

ปุถุชน

บนข.


ฉันเป็นปุถุชน
ยังคงว่ายเวียนวนวัฏฏ์สงสาร
สุขทุกข์คลุกเคล้าเนานาน
วันเดือนปีผ่านได้อดทน
รักโลภโกรธหลงคงมีบ้าง
จะหลบหลีกไกลห่างคงมิพ้น
สมนามนิยามคำคน
มนุษย์ปุถุชน...ธรรมดา
คุณเป็นมนุษย์ปุถุชน
ยิ่งดิ้นรนร้อนแรงแสวงหา
มือยาวสาวได้สบายกว่า
มือสั้นเสียท่า...จะคว้าใด
หาเช้ากินค่ำหน้าคร่ำเครียด
ยัด  เยียด  เบียด  บุก  รุกไล่
ผิดหวังสมหวังประดังไป
กินกามเกียรติใคร...ไม่ต้องการ
โลกนี้เป็นของปุถุชน
โลกที่ร้อนรนพลุ่งพล่าน
ตกอับยับเยินแล้ววิญญาณ
เศร้าหมองดักดานปุถุชน
เหมือนสัตว์ถูกยัดขังกรง
แม้ประสงค์หลบหนีไม่มีผล
เวรกรรมซ้ำรุกทุกข์ทน
เขี้ยวเล็บติดตนทำร้ายกัน
สัตว์โลกทั้งมวลล้วนกำเนิด
เวียนว่ายตายเกิดน่าหวาดหวั่น
วัฏจักรขับเคลื่อนเดือนปีวัน
สัตว์โลกทั้งนั้นหลงยินดี
เมื่อไม่เห็นภัยในวัฏฏะ
ใครหรือจะตัดวัฏฏะหนี
แมลงเม่าหลงไฟว่าไมตรี
ปุถุชนเช่นนี้  ก็ดุจกัน....
หน้า / 28  
ทั้งหมด 467 กลอน