กลอนข้อคิด

อังคารสีเลือด

อิสรชัย รัตน


เหตุไฉนอังคารจึงเป็นสีเลือด
ดาวนี้เดือดอาเพทด้วยเหตุไหน
หรือบอกให้มนุษย์รู้ความนัย
ถึงมหันตภัยน้ำมือคุณ
ได้เวลาธรรมชาติมาเอาคืน
ไม่ว่าหลับหรือตื่นโลกหยุดหมุน
หฤโหด ผลาญผล่า โหดทารุณ
ล้วนเป็นผล นำหนุน ผนวกกัน
ดาวอังคาร จึงแดงช้ำ เพราะกำสรวล
เตือนบอกให้ ทบทวน ก่อนโศกศัลย์
เพื่อทุกคนในโลก รู้โดยพลัน
ถึงคุณไม่ฆ่ากัน เตรียมตัวตาย
ด้วยโลกช้ำ หนักหนา แสนสาหัส
สารพัดโหมรุกให้โลกสลาย
เห็นแก่ตัว จึงมุ่งมั่น บั่นทำลาย
รู้หรือไม่คุณได้ทำลายตน
ดาวอังคารร้องไห้เป็นสายเลือด
อีกไม่นานโลกเดือด คงปี้ป่น
ไร้พืชผัก อาหาร บันดาลดล
อากาศพิษ ครอบบน ถิ่นโลกา
เมื่อวันนั้นมาถึงโลกสีช้ำ
อันเป็นผลกระทำใครเล่าหนา
มองที่ตนมองรอบข้างทั่วพารา
ล้วนสร้างสมความชั่วช้าให้โลกตน

จากใจพิม

พลายแก้ว เมืองกาญจน์


ไม่ต้องการ แหวนเพชร เม็ดโตใหญ่
มิกลัวว่า มีใคร ไหนเหยียดหยาม
การตัดสิน ดูที่ ความดีงาม
มิครั่นคร้าม ขยัน สร้างสรรตน
กำหนดมา หมั้นหมาย ปลายเดือนสี่
ได้ฤกษ์ดี ที่ตอน ก่อนหน้าฝน
จะเร่งรีบ จัดการ งานมงคล
พิมฯหน้ามล จะรอ นะพ่อพลายฯหากเก็บเกี่ยว เที่ยวนี้ หมดหนี้สิน
พลิกผืนดิน อีกครั้ง ยังไม่สาย
ธรรมชาติ เหมือนว่า จะท้าทาย
กับแรงใจ แรงกาย จรดปลายทางแม้มีแหวน สามสลึง สร้อยหนึ่งบาท
ก็มิอาจ ทำให้ ใจเมินหมาง
ถ้ามีคน ลือไกล ไปทั้งบาง
ถือว่าช่าง ประไร ใครอยากคิด

วัฏจักรขี้เมา

สุนทรวิทย์


แดดร่ม  ลมตก  ยกสำรับ
หมูสับ  กับแกล้ม  แหนมพวงใหญ่
น้ำแข็ง  สุรา  มาทันใด
กินให้  อิ่มเอม  เปรมปรีดา
คอเหล้า  ตั้งวง  ส่งเสียงขรม
เกลียวกลม  ตกเย็น  เป็นพร้อมหน้า
ลูกเมีย  ชอกช้ำ  มินำพา
เฮฮา  บ้าคลั่ง  ดังสิ้นคิด
เงินเดือน  ละลาย  จ่ายไม่เหลือ
แผ่เผื่อ  เพื่อนฝูง  จูงกันผิด
ปลาบปลื้ม  ดื่มด่ำ  อ้างน้ำมิตร
ชีวิต  จมหล่น  สู่ก้นบึง
คืน,วัน  ผ่านไป  โดยไร้ค่า
ชรา  ยามใด  โรคภัยถึง
เพื่อนรัก  เพื่อนกิน  สิ้นคำนึง
พรั่นพรึง  ทุกข์ร้อน  กายอ่อนแอ
วัฏฏะ  ขี้เมา  เดาไม่ยาก
ลำบาก  กินเกลือ  เมื่อยามแก่
ลูกหลาน  ห่างเหิน  เมินเหลียวแล
ย่ำแย่  อับจน  เพราะตนเอง
(กลอนบทนี้เขียนตามอารมณ์กลอน
ครับ ไม่มีเจตนากระทบใคร ใคร
ชอบดื่ม สุราขออภัยล่วงหน้าครับ)

กำลังใจจากคนช่างฝัน

คนบางบอน


หยุดสะอื้น ขืนขม ระทมเศร้า
ลืมเรื่องเก่า วันวาน ที่ผ่านพ้น
ยิ้มสู้กับ ชะตา ฟ้าบันดล
มาตั้งต้น ฝ่าฟัน กันอีกที
ชีวิตเรา ยังอยู่ ต้องสู้ต่อ
อย่ามัวงอ มือเท้า เฝ้าหลีกหนี
อนาคต ความหวัง เรายังมี
แผ่นดินนี้ ยังมีทาง ให้สร้างตน
เมื่อล้มได้ ก็ลุกได้ ถ้าใจสู้
เปิดประตู ใจรับ อย่าสับสน
ยึดมั่นใน บริบท ความอดทน
คงหลุดพ้น ความจนไป ได้สักวัน
หนึ่งสมอง สองมือ คืออาวุธ
หัวใจจุด ประกายกล้า ท้าความฝัน
วางเป้าหมาย ชีวิต เป็นเดิมพัน
แล้วมุ่งมั่น ตามทาง ที่วางไว้
ความสำเร็จ คงเห็นได้ ในไม่ช้า
ชีวิตคง มีค่า ขึ้นมาใหม่
ตื่นจากความ เหนื่อยล้า ความปราชัย
ประกาศให้ รู้ทั่ว ไม่กลัวจน
นี่ คือหนึ่ง กำลังใจ ในวันนี้
จากคนที่ ประสบภัย มาหลายหน
อวยพรให้ ประสบสุข กันทุกคน
ทิ้งความหม่น หมองช้ำ จมน้ำไปฯ
สมยศ  เปียสนิท

อย่ากลัวผีหลอก

เปลวเพลิง


ก่อนเนื้ออุ่นหนุนหมอนค่อนคืนนี้
แนบฤดีลูกพับลงกับฝัน
ฟังนิทานแม่เล่าเคล้านวลจันทร์
เนื้อเรื่องมันชวนสยอง-มิต้องกลัวเขาว่าในราตรีที่มืดมิด
ความหวาดจิตทอดเร้าเงาสลัว
ภูตผีป่าเริ่มบทปรากฏตัว
คนก็รัวระริกพรั่นมหันตภัยกลัวว่าผีนั่นหนาจะมาหลอก
แลบลิ้นออกมาชักพร้อมควักไส้
มากมายด้วยอาถรรพ์พาบรรลัย
จึ่งใครใครเจอผีแล้วหนีกันเทียวหาหมอผีมาเพื่อปราบผี
ถ่วงหม้อลงวารีไม่มีหวั่น
เกิดโรคภัยก็โทษที่ผีทั้งนั้น
เพราะผีมันมากฤทธิ์พิชิตคนยุคสมัยในปัจจุบันนี้
ถ้วนทุกผีหายหน้าพาฉงน
เพราะผีไม่อาจยั้งกำลังมนตร์
จากชาวชนซึ่งหวั่นผีกันบานโอ้เนื้ออุ่น-อย่ากลัวว่าผีมาหลอก
ที่ช้ำชอกใช่มีเคราะห์เพราะผีผ่าน
คนต้อนผีเข้าป่าไปช้านาน
ให้เมืองฉานแสงสีศิวิไลซ์ผียุคเก่าปิดผนึกแดนลึกลับ
คนเรากลับเป็นผีที่หน้าใส
มาหลอกคนด้วยกันเองจนเกรงภัย
ลูกจงใส่ใจจำให้จงดีนอนหลับเถิดบุญปลูกเจ้าลูกรัก
เผื่อฝันว่ารู้จักพรรคพวกผี
ต่อรุ่งเช้ารับความจริงอันสิงคลี
ว่าคนร้ายเหลือที่-ผียังกลัว
...............................................
ปล.แต่ยังไงผมก็ยังกลัวผีอยู่ดี บรื๋อออออ....

ไม้ใกล้ฝั่ง

คนกรุงศรี


เมล็ดพืช งอกงาม ตามป่าเขา
กลางลำเนา อุดม ชุ่มโชกฝน
ต้นจึงโต ตระหง่าน ต้านลมบน
เปรียบเช่นคน เกิดกาย เติบใหญ่มา
มีนที ไหลเลาะ เซาะตลิ่ง
ละลิ่ววิ่ง ล้นหลาก จากภูผา
ทั้งกัดกร่อน จนเห็น เป็นธารา
พสุธา จึงแตก แยกจากกัน
ไม้โตใหญ่  ยังโอน โค่นลงน้ำ
ลอยในลำ คงคา ถึงอาสัญ
แม้ยืนต้น บนตลิ่ง ยิ่งนานวัน
ไม่คงมั่น ต้องถึง ซึ่งเอวัง
เมื่อเปรียบคน เมื่อครา อายุมาก
ความหลายหลาก มีแท้ แต่หนหลัง
พอเวลา ล่วงไป ไม่จีรัง
ก็ใกล้ฝั่ง เช่นไม้ ริมสายธาร
เงาไม้ใหญ่ ก่อนนี้ มีคุณค่า
กิ่งก้านหนา ร่มเย็น เป็นสถาน
ที่พึ่งพิง ของสัตว์ป่า มาช้านาน
ต้นใช้งาน เมื่อโค่น โดนทำลาย
เมื่อเดือนปี  ผ่านไป ชีพใกล้ดับ
พอนั่งนับ วันวัย แล้วใจหาย
ทำอะไร ไว้บ้าง ก่อนวางวาย
เร่งขวนขวาย ตอนนี้….. มีเวลา

เว้น

เชษฐภัทร วิสัยจร


อันมนุษย์นิสัยพาลสันดานชั่ว
อย่าเกลือกกลั้วเข้าใกล้ให้เศร้าหมอง
ลักษณะสี่ข้อขอให้ตรอง
เว้นการข้องเกี่ยวทุกครั้งระวังภัย
หนึ่งคือคนขี้จับผิดจิตใจต่ำ
เฝ้าตอกย้ำหาเหตุร้ายป้ายสีใหญ่
เว้นพูดถึงเรื่องดีงามมองข้ามไป
คอยรุกไล่เรื่องเลวร้ายทำลายกัน
สองคือคนริษยาราคะจริต
คอยแต่คิดขัดขวางทางกีดกั้น
ขวางความสำเร็จสุขอยู่ทุกวัน
ใครอย่าฝันจะได้ดีกว่านี้เลย
สามคือคนเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้น
หมั่นวางแผนประดังประเดเล่ห์เฉลย
จะคอยเฝ้าขัดขวางเหมือนอย่างเคย
ทุกคำเอ่ยอคติอุตริธรรม
สี่คือคนยุแยงตะแคงรั่ว
สร้างความมั่วลนลานสันดานต่ำ
ชักใยคนชนคนเกิดผลกรรม
คอยตอกย้ำสามข้อแรกแยกมวลชน
เว้นสัตว์ร้ายดิรัจฉานบันดาลสุข
ย่อมเว้นทุกข์ความสับปลับความสับสน
เว้นศัตรูย่อมเว้นกรรมย้ำเตือนตน
เพื่อเว้นคนไม่เป็นมิตรพิจารณา

สายลมแห่งความรัก

หลี่เหม่ยจิน


เพราะความรักมากไป...แออัด
ขอขจัดละทิ้งความโหยหา
ดูจิตดูใจในเวลา
ที่ไม่มีสัญญาใดๆ
เธอเข้ามาให้ฉันได้เรียนรู้
ว่าความรักจับต้องไม่ได้
สายลมแห่งความรักนำพาไป
ให้ใจไม่วิ่งไล่ไขว่คว้ามา
ขอหยุดพักใจให้นิ่งๆ
ดำดิ่งสู่ห้วง " ความว่าง " หนา
ความรัก แสดงภาวะ  " อนัตตา "
สภาวะนี้กลับไม่เกิดในห้องธรรม์
ธรรมะแท้จริงคือธรรมชาติ
ที่ไม่อาจบังคับได้ดั่งฝัน
อิสระมอบให้แก่กัน
สิ่งเดียวเท่านั้น...มอบแด่เธอ
อาจผูกพันแต่ไม่อยากสร้างพันธะ
รักตอบแทนในรัก..เสมอ
ปลดปล่อย ปล่อยวาง ห่างเธอ
ความรัก ละเมอ เผลอใจ

แปดขา กับ พอเพียง

อ.วรศิลป์


หยากไย่ ไยแมงมุม ที่สนามหญ้า
ไม่ได้สวย สะดุดตา อย่างใครเขา
แต่นั่นคือ หนึ่งความจริง...ที่สอนเรา
แมงมุมเจ้า กับใยนี้ ที่ถักทอเจ้าแมงมุม ตัวน้อย...ค่อยค่อยถัก
ถักด้วยรัก ด้วยหัวใจ ยิ่งใหญ่หนอ
เจ้าแมงมุมไม่ดิ้นรน  ทนเฝ้ารอ
รู้เพียงพอ เพียงเหยื่อติด....ชีวิตดำรง

รัก จงรักอย่างมีสติ...!

ลานเทวา


บางรู้สึกอ่อนไหว ผ่านวัยเขลา
ดอกรักเจ้าผลิงาม บนความฝัน
เพียงครู่ใคร่ในชื่น พ้นคืนวัน
ใช่สำคัญในตระหนัก การถักทอ
ค่านิยมกลายกลับ ความรู้สึก
บางสิ่งเร้นซ่อนลึก มิอาจก่อ
สัมพันธ์รักชั่วครั้ง มิรั้งรอ
พาเริงร่านพล่านพะนอ พึงพอใจ
ผิวเผินเพียงพบพาน แล้วผ่านพ้น
รักเอย รักสับสน อยู่หนไหน
กามเทพล้อเล่น วาเลนไทน์
รักอย่างไร หรือเจ้า ที่เฝ้ารัก
อาจแปลกใหม่ วัยวันความฝันเจ้า
เจือด้วยความโง่เขลา ไม่รู้จัก
วาดความหมายหมดจด งดงามนัก
จึงมอบภักดิ์ หลงพลั้งทั้งใจกาย
จากเสี้ยวสุขสมหวัง เพียงครั้งครู่
สร้างความรักแปลกดู มีความหมาย
ข้ามอารมณ์ผ่านลับ รักกลับกลาย
โลกทั้งโลกปานทะลาย จมน้ำตา
แค่วัยวันผันผ่าน การลิ้มรส
กลีบกุหลาบงามหมดจด ปรารถนา
วันนี้รัก อาจรุ่งพรุ่งนี้ลา
เพราะความรักผ่านพา ไม่แน่นอน
…………………
โดยคำ ลานเทวา
เพราะความรัก มักเป็นทุกข์
อย่าหลงเพลินสนุก กับมันนัก....
แม้ค่านิยมอันเพี้ยนแผกจักคอยฉุดรั้งให้พลั้งพลาด
จากความไม่ฉลาดแห่งวัย
ก็ยังขอเป็นกำลังใจให้เด็กๆ รุ่นใหม่
ผ่านพ้นวันแห่งความรักด้วยใจที่เป็นสุข

มาร่วมปลูกดอกไม้แห่งความรัก

เปลวเพลิง


วันนี้โลกงดงามด้วยความรัก
พร้อมมอบตักตวงให้จากใจซื่อ
มอบดอกไม้แนบกมลวางบนมือ
จำหลักสื่อคุณค่าคำว่ารักใจส่งใจด้วยมาลาบุปผาชาติ
ออกประกาศความในใสสมัคร
ตาต่อตาหวั่นไหวฤทัยมัก-
แจ้งประจักษ์ด้านซึ่งไม่พึงเจอโอ้สาวสาวหน้าสวยตัวน้อยจ๋า
อย่าหลงคารมร่ำคำเสนอ
จากชายซึ่งประเสริฐ รักเลิศเลอ
เพียงปรนเปรอปรารถนากามารมณ์รักอาจเป็นสิ่งดีในชีวิต
ถ้ารักผิดทางจะระกำขม
ค่อยค่อยรักคบหาอาวรณ์ชม
จะไม่ตรม  กลืนกล้ำหยาดน้ำตาถ้ายินดีบ่มนิยามของความรัก
มันจะหนักและแน่นปานแผ่นผา
เรือนใจสุดสดชื่นรื่นอุรา
เรืองฤทธาอมฤตชิดชีวินหนุ่มหนุ่มเอ๋ยจงให้เกียรติอย่าเหยียดหยาม
อย่ารักตามกำหนัดครองปองถวิล
อย่ารักเพื่อสนองใคร่ให้ยลยิน
และอย่าหมิ่นสตรีหม่นป่นระยำแต่จงรักอย่างผู้รู้ค่ารัก
คอยฟูมฟักรักออกดอกชุ่มฉ่ำ
ตราบอนาคตพร้องร้องลำนำ
ล่วงฉนำยอดทองของชีวิตร่วมกันเถิดปลูกดอกไม้แห่งความรัก
มอบใจภักดิ์พันธุ์พฤกษาประกาศิต
ร่วมเรียนรู้กันและกันฉันมิ่งมิตร
อย่าเร่งปลิดพรหมจรรย์แค่นั้นเลย
.....................................................
ปล.สุขสันต์ในวันแห่งความรักที่กำลังใกล้เข้ามา
จงรักอย่างมีสตินะครับ
ด้วยรัก อิอิ

หายากนะเพื่อนเอ๋ย

เปลวเพลิง


เห็นเอ็งหันมองขวา ซ้าย หน้า หลัง
เอ็งกำลังหาอะไรหรือไม่หนอ?
บอกข้าหน่อย ข้านี้ยินดีพอ
ไม่ต้องง้อ ข้าช่วยด้วยเต็มใจเอ็งยิ้มแล้วพูดตอบ “ขอบใจ-เพื่อน”
ก่อนเอ่ยเอื้อนจนแจ้งแถลงไข
“ข้ากำลังหาคนบนโลกัย
ที่นอก-ในสะอาดปราศมลทิน”ฟังเอ็งกล่าว ตรองตรึก ข้านึกหัว
คนไร้ชั่ว ทราม ชัง หมดกังฉิน
คิดเสาะหาจวบวารลาญชีวิน
คงไม่ผินพบหน้าสบตากันจึงบอกว่า “หยุดหาเถิดสหาย
สิ่งที่หมายจะได้ยลบนสวรรค์
เหนือพิภพโลกมนุษย์ที่สุดนั้น
ไม่มีวันรู้จักสักชีวีไม่มีใครเลิศเลอดอกเหนอเพื่อน
ชีวิตเปื้อนดีร้ายหลากหลายสี
จะหาคนสะอาดสรรพไร้อัปรีย์
ยากกว่ามีลูกเป็นควายหลายเท่าตัวที่กล่าวมาหมดนั้นมันจริงหรือ
หรือว่าคือเรื่องขันอันน่าหัว
เหอะ! ลองสืบค้นไปจะได้ชัวร์
ว่ามันมั่วหรือว่าจริงกว่าใครเอ็งจะหันซ้าย ขวา หน้าหรือหลัง
อดีตยังอนาคตอันสดใส
เชื่อเถอะว่าสัจธรรมยังอำไพ
มีผู้ใด“ดีเต็มตัว-ชั่วเต็มตน”?
.....................................................

กุหลาบขาว

อิสรชัย รัตน


เขาบอกเราว่าซื่อบริสุทธิ์
เปรียบประดุจดังสีกุหลาบขาว
เรียวปากสวยได้รูป เสน่ห์พราว
มองดวงตา ระยับวาว ดังต้องมนต์
เขาบอกว่าเอวองค์ช่างสมส่วน
ตลอดกาย นั้นล้วน เพิ่มพูนผล
ยามเคลื่อนไหว งดงาม ยามเยือนยล
ดั่งนางฟ้าไม่ใช่คนที่เดินดิน
ฉันลุ่มหลง คำหวานดังตาลเชื่อม
ฉันเต็มอิ่ม ยิ้มกระเพื่อมครวญถวิล
หลงคารม หนุ่มหล่อชม แทบจมดิน
ลืมหมดสิ้น เมื่อชายมอง จ้องสายตา
เธอสวย แสนสวย เธอแสนสวย
ร่างระทวย อ่อนไหว สิเน่หา
ให้ชมชื่น อิ่มเอิบจิต ฤทธิ์กามา
ฉลองวัน เดือนกุมภา วาเลนไทน์
กุหลาบขาว เหยี่ยวช้ำ มาย้ำคิด
หลังหลงลม พลั้งผิด นั่งคิดใหม่
เมื่อชายหนุ่มชื่นชมแล้วจากไป
พร้อมคำกล่าว ทิ่มแทงใจ ไวไฟเธอ
กุหลาบขาวเปลี่ยนสีจนดำคล้ำ
ไร้เงาหนุ่ม คนทำ จนพลั้งเผลอ
ด้วยหลบหน้า หนีหาย หาไม่เจอ
เก็บกายซุก นอนเหม่อ ร้องระงม

....เธอรู้ไหม?....

din


เมื่อเธอกินน้ำตาต่างอาหาร
จึงร้าวรานซานซมถึงขมขื่น
ความเจ็บปวดตอกย้ำเหลือกล้ำกลืน
น้ำใสรื้นจึงมีสีเลือดปน
เธอเป็นนกปีกหักเพราะรักห่าง
ถึงเคว้งคว้างอย่างไรเธอไม่สน
ถูกหยามเหยียดสิ้นค่าราคาคน
จึงอับจนซมเซากับเงารัก
เพราะดวงตาเธอหลับไม่รับรู้
อีกสองหูระบมตรมทุกข์หนัก
ไม่ยอมแม้หลับนอนเพื่อผ่อนพัก
ติดกับดักปลักหลุมที่สุมใจ
ที่เคยเกี่ยวเหนี่ยวไว้ด้วยใจห่วง
ที่เคยท้วงเธอนั้นฟังหน่อยไหม
รักอาจมีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด
แต่มิใช่ใครที่มีรักลวง
ดูดวงดาวพราวฟ้าคราลาลับ
ยังหวนมาประดับกับแดนสรวง
แต่นี่เธอถูกเหน็บถึงเจ็บทรวง
ยังถามทวงถึงเขาฉันเศร้าใจ
เธอมัวแต่รอคอยรักลอยเลื่อน
วันคล้อยเคลื่อนเดือนผ่านกาลสมัย
จวบจบดินสิ้นฟ้าสุราลัย
จะรู้ไหมใครที่มีรักจริง?

บัณฑิตสกปรก...

คีตากะ


อุทกภัยครั้งใหญ่ได้พ้นผ่าน
ทั่วทุกย่านน้ำลดหมดกังขา
บางพื้นที่น้ำยังท่วมขังนา
ชาวบ้านล้าอ่อนแรงแคลงกังวล
น้ำส่งกลิ่นเน่าเหม็นลำเค็ญหนัก
ซากพืชหมักหมมนานพานก่อผล
ทั้งขยะปฏิกูลพอกพูนชล
น้ำสีข้นขุ่นคลักประจักษ์ตา
จะเพาะปลูกพืชใดไร้ประโยชน์
ย่อมก่อโทษเสียหายเปล่าดายหนา
ต้องสูบน้ำออกทุ่งปรับปรุงนา
จึ่งหว่านกล้ารอบใหม่ได้อีกที
ดั่งบัณฑิตฝึกตนค้นหาแก่น
มัวโลดแล่นสร้างบุญหนุนราศี
แต่ไม่ละบาปกรรมมุ่งทำดี
ย่อมหามีประโยชน์ใดไม่ต่างนา...

๐ ซากชีวิต ๐

แก้วประเสริฐ


๐ ซากชีวิต ๐
๐ สิ่งผูกพันใฝ่ฝันพลันคลาดเคลื่อน
ดุจเสมือนเพื่อนยามมีเปรมปรีดิ์สันต์
พอทุกข์ยากเพื่อนหายมลายพลัน
แสงแห่งวันดับไปคล้ายลบเลือน
๐ ประดุจรักดูไปคล้ายเมฆหมอก
แสนจะหลอกดุจเงาดั่งเย้าเฉือน
คิดหลงใหลพาลพบประสบเชือน
เปรียบเสมือนดวงใจไล้ความงาม
๐ หลากชีวิตคิดไปยิ่งให้หมอง
ที่เรืองรองบรรจบสิ่งพบหยาม
ล้วนที่เหลือฝากไว้คล้ายนิยาม
จะลุกลามแทรกซ้อนดุจย้อนใจ
๐ ธรรมชาติสร้างไว้ในพอเพียง
มักหลีกเลี่ยงเบี่ยงเบนเน้นสุกใส
แต่พอคลุกเคล้าแล้วแป้วภายใน
สิ่งเหลือไว้คือซากกากประเด็น
๐ นี่แหละหนอชีวิตคิดปั่นป่วน
ที่เฝ้าล้วนสิ่งปลอมย้อมสู่เหม็น
เหลือได้รับคงไว้คล้ายพลิกเย็น
ถ้ายิ่งเข็นพลันพบบรรจบกลวง
๐ อันมนุษย์นั้นชอบไว้ในสิ่งหอม
แมลงวันตอมสิ่งเน่าเฝ้าแหนหวง
วาบหวานนี้คล้ายกันนั้นเล่ห์ปวง
ผันเป็นบ่วงสอดคล้องต้องใจเอา
๐ ความโง่เขลาของใจให้วนเวียน
แล้วแปรเปลี่ยนปนสุขยิ่งทุกข์เฝ้า
มวลสัตว์โลกชอบไว้ในมอมเมา
เหม็นคลุกเคล้าก็หอมย้อมเล่ห์กล
๐ อย่าเห็นเรื่องเล็กน้อยคอยหมั่นคิด
หวังลิขิตอย่างไรเปรียบคล้ายขน
ล้วนแปรเปลี่ยนขาวดำย้ำปะปน
หลากหลายชนแห่งชีวีเช่นนี้เอง.
๐ แก้วประเสริฐ. ๐

มังสวิรัติช่วยสัตว์โลก

สุนทรวิทย์


มนุษย์ผู้  มองข้าม  ความวิบัติ
บอกว่าสัตว์  เกิดมา  เป็นอาหาร
คนมีสิทธิ์  ที่จะ  รับประทาน
จึงล้างผลาญ  คุกคาม  ตามชอบใจ
ทีแมลง  กัดต่อย  เท่ารอยข่วน
พลันคร่ำครวญ  โกรธเคือง เหมือนเรื่องใหญ่
ต้องเข่นฆ่า  เคี่ยวขับ  โดยฉับไว
ล้วนเพราะไม่-มีจิต  คิดเมตตาถือประโยชน์  โภชย์ผล  ทั้งชนเผ่า
ชีวิตเขา  ประทุษ  ดุจไร้ค่า
เอาเปรียบเห็น  แก่ตน  จนชินชา
มินำพา  อาทร  ทุกข์ร้อนใครส่ำสัตว์อาจ  ดุร้าย  ในบางครั้ง
กระนั้นยัง  อาทร  สอนเชื่องได้
มนุษย์อ้าง  เจริญ  เกินสัตว์ใด
กลับชอบใช้  อำนาจ  พิฆาตกันงดกินเนื้อ  สักมื้อ  คือกุศล
เท่าฝึกฝน  อารมณ์  การข่มกลั้น
มังสวิรัติ  ช่วยให้  ใจสุขครัน
สัตว์ดื่นพันธุ์  ใหญ่น้อย  พลอยพ้นภัย
หน้า / 28  
ทั้งหมด 467 กลอน