กลอนข้อคิด

ดินฟ้าอากาศไม่อำนวย

บุญพร้อม


ดินฟ้าอากาศไม่อำนวย
ฝนไม่ช่วยมีแต่แล้งมาแกล้งซ้ำ
หญ้าก็แห้งเหี่ยวตายคล้ายดังกรรม
คอยฝนพรำจนแล้วแววไม่มี
เห็นกระถางไม้ดอกออกสะพรั่ง
อยากจะหยั่งรากบ้างก็อ้างสี
แล้วถอนทึ้งดึงไปไม่ใยดี
อ้างไม่ดีไม่สวยปลูกป่วยการ
เห็นหญ้าไม่ควรคู่ดูต้อยต่ำ
คอยตอกย้ำทุกครายามว่าขาน
บ้านเมืองเราจึงแยกจนแหลกราญ
เพราะคิดอ่านกันเช่นนี้   แล้วดีใจ

หยกในหิน

อินทนนท์(คนเชียงใหม่)


หยกในหิน
มีก้อนหยกถือกำเนิดเกิดในหิน
เป็นก้อนดินสิ้นคุณค่าราคาของ
ไม่มีใครเอาใจใส่อยากได้ครอง
เพียงแค่มองของต่ำค่าราคาดิน
เมื่อทุบหินจึงจะเห็นเป็นก้อนหยก
เพราะดินรกปรกคุณค่าราคาหิน
พอหินแตกก็แยกหยกตกลงดิน
จึงเห็นหินกินก้อนหยกที่ตกตาม
ถึงแม้นเห็นว่าเป็นหยกตกตรงหน้า
แต่คุณค่าหาใช่เป็นเช่นคำถาม
หยกที่เปรอะเลอะด้วยดินสิ้นความงาม
ต้องใช้น้ำชำระล้างอีกทางทำ
เปรียบเช่นคน..ตนไหน…ดูคล้ายหิน
คล้ายก้อนดินสิ้นคุณค่าดูน่าขำ
โดนดูถูกว่ารูปชั่วเนื้อตัวดำ
ไม่อาจนำล้ำหน้ากว่าผู้ใด
เมื่อรู้ตนชนชาติปามาตรต่ำ
แต่เฝ้าทำตามจิตนิมิตรหมาย
พัฒนาตัวตนฝึกฝนไป
จึงเปรียบคล้ายสลายหินที่กินตน
ฝึกแค่ตนใช่หลุดหล่นพ้นไปหมด
จะหมดจดต้องฝึกจิตสัมฤทธิ์ผล
มีธรรมะคอยขัดถูคู่ใจตน
สิ้นกังวลว่าตนต่ำอย่างคำใคร
หินก็คล้ายอย่างกายนอกที่บอกเล่า
หยกคือใจข้างในกล่าวว่าเท่าไหน
หากกายนอกเป็นหยกทำตรงข้ามใจ
แต่ข้างในกลายเป็นหินก็สิ้นดี
จึงฝากกลอนก้อนหินที่กินหยก
เพื่อหยิบยกหยกคือใจในวิถี
หินอยู่นอกหยกอยู่ในไร้ราคี
คนจะดีหยกจะเด่นก็เช่นกัน
อินทนนท์
6 กุมภาพันธ์ 2555

ภูอริยะ

ศรีสมภพ


ภูอริยะ ..
มองจากภู จึงได้รู้จึงได้เห็น..
ข้างล่างเป็นเช่นใด ได้เห็นแจ้ง
รอบภู หลายคนรู้ หลายคนแกร่ง
เสาะแสวงแห่งทาง ..ย่างสู่ภู
มองจากภู ดูหลากหลายยังว่ายวัฏฏ์
หลายคนล้มจมปลักหนักหนาอยู่
น้อยคนนักหักใจจะใฝ่สู้
ทางขึ้นภู..ดูไกลเกินจะเดินไป
อยู่บนภู.. เพราะรู้เห็นเป็นมาก่อน
แสวงหาฝ่าเย็นร้อนมาค่อนขัย
ล้มแล้วลุกคลุกคลานบานตะไท
ก่อนพบธรรมนำทางไป..ไต่ยอดภู
อยู่บนภู.. ดูโลกล่างสว่างชัด
หากขจัดอัตตา ..ย่อมมาสู่
เส้นทางพุทธพิสุทธิ์ใส จึ่งได้รู้
ทางขึ้นภูใช่อยู่ไหน ? ..ใจนี้เอง !!

กำลังความคิด

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก


เราเป็นเช่นเราคิด
ตามที่จิตคิดปรุงแต่ง
รอบกาลนั้นเปลี่ยนแปลง
จิตแสดงแสงชีวัน
หากจิตคิดใฝ่ดี
นำชีวีนี้สร้างสรรค์
หากจิตติดชั่วพลัน
ทุกข์มหันต์นั้นตั้งรอ
กรั่นกรองผองความคิด
ชำระจิตอย่าติดฝ่อ
ฝึกใจอย่าให้ท้อ
สร้างสรรค์ต่อกำลังใจ
ทันทีที่ใจตก
จะตระหนกวกวนได้
กังวลหม่นฤทัย
จิตหมองไหม้เพราะใจเรา
ตัวเล็ก ๑๐๑
๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖

เด็กชายใหม่รักหมู่

บุญพร้อม


เด็กชายใหม่ รักหมู่ เป็นเด็กดี
เพราะเขามี ทางไปได้ดังฝัน
พ่อแม่ญาติ พี่น้อง ประคองกัน
คอยสร้างสรร แนะนำ จงทำไป
ไม่ดุด่า ว่าร้าย ให้ขายหน้า
เมื่อเวลา  ผิดพลั้ง ยังสอนให้
ที่ทำมา   ไม่ดี    มีอย่างไร
ผิดตรงไหน สอนให้คิด พินิจดู
ใช้เมตตา กรุณา มาว่าสอน
ดีกว่าข่อน บ่นสวด ให้ปวดหู
นั่นมิใช่    หนทาง อ้างว่าครู
ถึงจะรู้  ก็ไร้ค่า  ไม่น่าฟัง
เพราะเป็นเด็ก ชายใหม่ ให้สั่งสอน
ใคร่ขอวอน   คุณครู    ที่รู้ผัง
ดัวยยังเด็ก เล็กอยู่  อยากรู้จัง
จะรอฟัง   ครูสอน ไม่อ้อนกวน

กวนกวนกวนชวนให้คิด

บุญพร้อม


อันคำว่า กวนกวน ชวนให้คิด
เราจึงติด ตามไป  ด้วยใจสน
ของที่กวน มากมาย หลายอย่างปน
จะมัวคน  ไม่ไหว  ต้องใช้กวน
กระยาสาด กาละแม แบบนถาด
ถ้ามันขาด งาไป ไม่ถูกส่วน
จะยิ่งดู ประหลาด ถ้าขาดกวน
เหล่านี้ล้วน หมดท่า ไม่น่ากิน
กวนกวนกวน กันไป ให้ได้ที่
ขนมดี    ย่อมขาย ไปได้สิ้น
ไม่มีเหลือ บูดเน่า เอาทิ้งดิน
คนที่กิน  ย่อมเรียกร้อง ตามต้องการ
กวนอีกอย่าง เขาว่า ไม่น่าคบ
คนเขาหลบ หนีไป จนไกลร้าน
จะค้าขาย  มัวพล่าม เขารำคาญ
ของเหลือบาน  เลยละท่าน น่านแหละกวน

" ผ่านเส้นชัย....อย่างทรนง "

อ.วรศิลป์


เส้นทางชีวิตที่ทอดยาว
ผ่านเรื่องผ่านราวมามากมาย
ความสุขความทุกข์อันหลากหลาย
สุดท้ายก็ล่วงผ่านพ้นไป
เส้นทางชีวิตที่ทอดยาว
ยังมีเรื่องราวของวันใหม่
ตราบที่ยังมีลมหายใจ
เรื่องราวใหม่ใหม่ยังมีมา
เส้นทางชีวิตที่ทอดยาว
สองเท้าย่างก้าวมุ่งเดินหน้า
บทเรียนวันเก่าคือตำรา
เตือนก้าวเดินหน้าอย่างระวัง
ระวังการย่ำซ้ำรอยเดิม
อย่าฮึกเหิมเกริมอย่าคลุ้มคลั่ง
รู้ใช้สติคุมกำลัง
กันการพลาดพลั้งอย่างตั้งใจ
สุดท้ายจุดหมายเมื่อไปถึง
ได้เป็นที่หนึ่งอย่างผ่องใส
เชิดหน้าชูคอด้วยพอใจ
ก้าวผ่านเส้นชัยอย่างทรนง

หนังหน้าไฟ

บุญพร้อม


เป็นตัวหนัง หน้าไฟ ให้เขาเชิด
มันจึงเกิด เรื่องราว ให้กล่าวขาน
เต้นไม่ได้ พูดไม่ได้ เขาไขลาน
คอยจัดการ หยิบหนัง มาบังไฟ
จึงได้เกิด เงาขวาง ทางหน้าจอ
ให้หัวร่อ ขุ่นข้อง และร้องไห้
เป็นมายา  ทางเงา ชวนเร้าใจ
ตามเงื่อนไข คนสร้าง เขาอ้างอิง
พอจบเรื่อง เมิ่อใด ไล่เข้ากรุ
เหมือนหนังผุ ตัวเก่า ที่เขาทิ้ง
ต้องทรุดโทรม เสื่อมไป ในความจริง
ว่าทุกสิ่ง พบพราก  แล้วจากจร

โลก...ตัวเรา

กันนาเทวี


โลกของเราเราครองต้องรักษา
เราได้มาอยู่โลกที่สวยสม
อาศัยมาเนิ่นนานควรชื่นชม
ร่วมนิยมให้โชคโลกใบงาม
รู้อภัยหวังดีมีเมตตา
สรรพสัตว์นานาอย่าเหยียบหยาม
รู้ขอบคุณชีวิตทุกโมงยาม
คงก้าวข้ามทุกข์โศกและโรคภัย
อย่าหลงจมอารมณ์ที่ขมขื่น
จงรู้ตื่นเบิกบานเป็นนิสัย
ไม่ติดยึดเหนี่ยวรั้งหลงอาลัย
เป็นความนัยพุทธะอย่าละเลย
ประทับใจในตนและคนอื่น
ต่างหยิบยื่นไมตรีมีเปิดเผย
วาจาจริงน้ำใจดีมีคุ้นเคย
มนุษย์เอ๋ยโลกเราใช่เศร้าตรม.....

ขายฝัน

ร้อยฝัน


ฉันมีฝันมากมาย เร่ขายออก
จึงกล่าวบอกออกไปใครจะซื้อ
หมดที่เก็บมากพ้นจนล้นมือ
ไร้แรงยื้อปล่อยไปให้หล่นดิน
ฝันแรกนั้นหล่นไปเสียดายมาก
ฝันว่าอยากให้คนไทยไร้ทุกข์สิ้น
ไร้ข้าวยากหมากแพงแล้งอาจิณ
มีชีวินอยู่ด้วยสุขทุกโมงยาม
ฝันที่สองหล่นไปใจหายวูบ
ฝันรัฐสูบคนโกงกินสิ้นสยาม
ฝันคนซื่อมือสะอาดประกาศนาม
ทั่วเขตคามระบือก้องร้องโอ้ไทย
ฝันที่สามหลุดลงไปเกินไขว่คว้า
ฝันว่าป่ายังคงยืนยงได้
แต่ที่เหลือเพียงซากตอโอ้หนอใคร
มีหัวใจมุ่งทำลายร้ายเหลือจริง
ฝันที่สี่ร่วงลงไปใจร่วงด้วย
ฝันคนช่วยการศึกษาไทยให้ใหญ่ยิ่ง
แต่ที่เห็นกลับถอยหลังต่างแย่งชิง
ต่างก็วิ่งใช้เส้นสายได้ใหญ่โต
ยังมีฝันร่วงเพลินเกินยื้อยุด
มิอาจฉุดปล่อยร่วงไปใหญ่อักโข
จึงได้เพียงเสียดายร้องไห้โฮ
จึงวิ่งโร่วิ่งขายฝันในวันนี้
******************************

รวยแค่ไหน ตายอยู่ดี

บุญพร้อม


เอาผ้าขม้า   พาดบ่า ไปหน้าบ้าน
รอผู้ภิก      ขาจาร   ผ่านมาโปรด
หวังขัดเกลา ลดทัณฑ์ อันเป็นโทษ
หลงโลภโกรธ เกาะกินใจ  ให้คลายลง
ชีวิตที่ ผ่านไป   นั้นหน่ายหนัก
เวลาพัก เลิกหวัง ดังประสงค์
เพราะหลงโลภ นำใจ ไม่ให้ปลง
จึงยังคง อยากได้ แต่ฝ่ายเดียว
ลำบากกาย ลำบากใจ ฝืนไขว่คว้า
ใครก่นว่า  อย่างไร ไม่แลเหลียว
ยังย้อนเขา ว่าตุ่น  วุ่นนักเชียว
เพราะไม่เขี้ยว มัวเป็นสาก จึงยากจน
มาบัดนี้ เริ่มสาย ปลายชีวิต
จึงเห็นพิษ เห็นภัย ใช้เหตุผล
ทรัพย์สมบัติ กองไว้ ไช่ของตน
มีจนล้น  แค่ไหน  ตายอยู่ดี

มีไว้..ไม่ประมาท

มวลภมร


โบราณว่า เอาไว้ อย่าประมาท
เกรงจักพลาด ที่ได้ ไม่คุ้มเสีย
เดี่ยวผิดคาด พลาดพลั้ง มีหวังเพลีย
แล้วจะเสีย โอกาส ที่วาดพัง
พึงวางตน เป็นคน ที่เตรียมพร้อม
อย่าได้ยอม เสียโอกาส ที่วาดหวัง
นานมีที โอกาสดี พึงระวัง
เดี๋ยวต้องนั่ง อย่างเศร้า เหงาคนเดียว
วางแผนไว้ อย่าได้ ประมาทนัก
คนเราจัก หวังให้ ใครแลเหลียว
ตนแลเพียง พึ่งตน เพียงคนเดียว
ใครใหนเชียว จักเหลียว ดูแลเรา
ของบางอย่าง ต้องมี เก็บเอาไว้
เวลาใช้ หาง่าย ได้คลายเหงา
ไม่ต้องบ่น โวยวาย สบายเรา
แล้วเก็บเอา ที่เหลือไว้ ใช้อีกนาน
มีไม่ใช้ ดีกว่า หาไม่ได้
เก็บเอาไว้ ใช้เมื่อไร ก็ยิ้มหวาน
ยิ้มยืดอก พกไว้ ให้แก้มบาน
แล้วสำราญ เวลาใช้ ไม่ขัดเคือง

จริงหรือที่ว่าร้าย?

บุญพร้อม


จะกล่าวหา ว่าใคร ให้มีหลัก
ควรประจักษ์ เห็นแจ้ง แหล่งที่หมาย
มิไช่แต่ง เรื่องมา ฆ่าทำลาย
มันเลวร้าย ยิ่งเหลือ เบื่อเสียจริง
ผู้ที่ถูก กล่าวหา ว่าผู้ร้าย
ต้องวุ่นวาย ยุ่งยาก ลำบากยิ่ง
สังคมต่าง รุมด่า ถ้าจะจริง
นี่คือสิ่ง ที่มันเกิด ละเมิดกัน
คนโวยวาย  ว่าเขา  เอาตัวรอด
คนที่จอด ต้องแก้ แย่ไหมนั่น
ต้องเสียทรัพย์ เสียชื่อ คนลือกัน
ขอยืนยัน เรื่องแบบนี้ เคยมีมา
คนชี้เขา ว่าร้าย คล้ายหาเรื่อง
กบิลเมือง ต้องเอาผิด ถอนพิษบ้า
ใช่ปล่อยให้ เพลิดเพลิน เดินไปมา
สร้างเรื่องด่า ไม่เว้นว่าง  อย่างทุกที

จิตนาการ

บุญพร้อม


จินตนา การไกล หนอใจคน
จนล่วงพ้น เลยไป ถึงในฝัน
เที่ยวไปจน จรดริม หิมวันต์
พบสวรรค์ อัปสร  กินนรนาง
ภาพวิมาน เมืองแมน ในแดนสรวง
คือผลพวง ภาพวาด ปราชญ์ท่านสร้าง
ตราเอาไว้ เพื่อให้เห็น เป็นแนวทาง
เป็นหลักวาง สอนไว้  ให้ใฝ่ดี
ต่างกับภาพ ที่บรรยาย ในนรก
สัตว์ที่ตก  ลงไป    ไร้ศักดิ์ศรี
เหตุเพราะกรรม ทำไว้ ไม่ใคร่ดี
เขาจึงหนี  ไม่พ้น กลแห่งกรรม
ย้อนมาดู ภายใน กายมนุษย์
ลึกล้ำสุด  เปรียบไป เหมือนใกล้ค่ำ
หากไม่มี  แสงใด   ใช้ส่องนำ
ความมืดดำ จะเข้าครอง จ้องทำลาย
จินตนา  การใด    ที่ให้คุณ
ใช้เกื้อหนุน ทุกข์ผ่อน ดับร้อนหาย
จินตนา การนั้น  ไม่เสื่อมคลาย
ย่อมกระจาย แพร่ไว้ ในแผ่นดิน

...สนามนี้ ไม่มีหญ้า...

dark side of mind


...
เสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ตั้งแต่เช้า
แดดไม่ทันแผดเผาก็เร่าร้อน
ปี่กลองเชิดเปิดตัวคู่ต่อกร
ค่ายงามงอนvsหล่อเชิญต่อรอง
ผู้ท้าชิงกระดูกอ่อนผู้ซ่อนเหลี่ยม
พี่เลี้ยงเยี่ยมภาพเด่นไม่เป็นสอง
ถึงเป็นเสาไฟฟ้าก็น่ามอง
ค่าเทียบทองหรือตะกั่วรู้ทั่วกัน
ข้างแชมป์เก่าเก๋ากว่าแต่ช้าเชื่อง
ไม่เป็นเรื่องเป็นราวถูกกล่าวหยัน
โดนเจาะยางจนรั่วแต่หัววัน
กลายเป็นหมูเขี้ยวตันต้องสู้ตาย
ศึกประลองขายฝันเร็วพลันนี้
วัดกันที่พลัง...ท่านทั้งหลาย
พ่นคารมคมคำศึกน้ำลาย
บ้วนมาขายเหมือนเก่าไม่เข้าตา
เสียงระฆังดังเริ่มต่างเหิมฮึก
สนามศึกแห่งนี้ไม่มีหญ้า
สูเส้นทางสร้างฝันด้วยปัญญา
เดิมพันด้วยศรัทธามหาชน

ตนเตือนตน...

คีตากะ


มาตรว่าฝุ่นในตาไม่พาหม่น
ทำสับสนทิศทางจนหมางหมอง
ฤาจักเขี่ยให้พรากจากครรลอง
จนแลมองเห็นความสัตย์จรัสเรือง
หากไม่ล้มฤาจักลุกปลุกปลอบขวัญ
ยืนหยัดมั่นอีกครั้งดั่งปราดเปรื่อง
ลับปัญญากล้าคมบ่มประเทือง
ทุกราวเรื่องแจ้งจิตประสิทธิ์พร
ถ้าความทุกข์รุกเร้าไม่เผาจิต
จนวิปลาสวิปริตคิดไถ่ถอน
ฤาเห็นเหตุเลศนัยได้สังวร
ดับทุกข์ร้อนผ่อนคลายมลายเลือน
แม้ใจเขลาเศร้าหมองครอบครองทั่ว
ไม่ทำมัวดวงแดแถเชือดเฉือน
ฤาแจ้งมรรคสลักจิตคิดพร่ำเตือน
ฝึกตนเหมือนดั่งปราชญ์สิ้นชาติภพ...

อันว่าความสุขและความทุกข์

เปลวเพลิง


อันว่าความสุขล้นของคนนั้น
จะอยู่มั่นชั่วชีวาก็หาไม่
เช่นเดียวกับทุกข์เศร้าที่เผาใจ
จะอยู่ชั่วอมรรตัยก็ไม่มี
แม้เกิดเป็นยาจกผู้ตกยาก
ต้องลำบากตรากตรำทำหน้าที่
อาจเหมือนว่าตกอับทับทวี
ยังสุขีสถิตอยู่ควบคู่กัน
แม้เกิดเป็นเศรษฐีมากมีทรัพย์
ทุกวันรับศฤงคารบันดาลฝัน
ยังมีคราสุขสลายกลายเป็นควัน
เพราะทุกข์ดั้นมาเยือนเป็นเพื่อนใจ
“แล้วนี่คนต้องทำอย่างไรเล่า
ไม่อยากเศร้าเพราะทุกข์-อยากสุกใส?”
ถ้าถามเราจะเปรียบเปรยเอ่ยออกไป
“ถึงเกิดใหม่ก็เจอสุข-ทุกข์อยู่ดี
คงได้แต่ทำใจเอาไว้มั่ง
ว่าชีพยังย่อมยังทุกข์-สุขราศี
ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไปในชีวี
เป็นฉะนี้แม่นมั่นนิรันดร์กาล
จะพบสุขเมื่อเข้าใจในความสุข
จะไม่ทุกข์เมื่อปล่อยให้ทุกข์ไหลผ่าน
ไม่ต้องขอพรใดในจักรวาล
ชีวิตก็ชื่นบานอย่างแน่นอน”
หน้า / 28  
ทั้งหมด 467 กลอน