10 กันยายน 2547 09:08 น.

เพ็ญ

Jintalohitt

 ..เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น  
กระต่ายมึนเมาเพ็ญแทบเป็นบ้า
อันทรามวัยใสสุกทุกเวลา
น้ำใจข้ามึนเมามึนทั้งขึ้นแรม..

มองไปรอบๆตัวเองว่างเปล่าไม่มีใคร

วันนี้ผู้คนล้วนมีความสุขอยู่กับครอบครัว เพื่อน หรือแม้แต่คนรัก เทศกาลที่ใครต่อใครก็สนุกสนานรื่นเริง พลุไฟ ถูกจุดขึ้นพาดผ่านลำน้ำ ดูสว่างไสว ราวกับงานสังสรรค์ของเกลียวน้ำ กับ แสงไฟ และแล้วค่ำคืนที่สว่างไสวก็ดูกระจ่างใจขึ้นอีก เมื่อเทียนแรกได้ถูกจุดขึ้น มันเป็นอย่างนี้มาเช่นทุกปี แต่ปีนี้ของผมช่างแตกต่าง

จากคนหนึ่งคน...ก้าวออกไป...พบอีกคน และอีกคน ต่อไปอีกคน เป็นกลุ่ม เป็นเพื่อน...ก้าวไปอีก...แค่สองคนแต่ความผูกพันแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่า...ก้าวต่อไป...จากสองคน เป็นสาม ความรู้สึกที่แตกต่าง แต่คุ้นเคย...ครอบครัว...คนที่สามจากไป เป็นอีกคนจากคนหนึ่งคน..ก้าวออกไป...
พบอีกคน และอีกคน...
เป็นวัฏจักรหมุนไปไม่สิ้นสุด ตราบที่มนุษย์เรายังขึ้นชื่อว่าสัตว์สังคม

มองไปรอบๆตัว..ยังคง..ว่างเปล่าไม่มีใคร

แสงเทียนระยิบระยับกลางลำน้ำ ขับเน้นด้วยประกายคลื่น ดั่งแสงดาวที่ประดับประดากลางลำฟ้า  พระจันทร์จะเหงาบ้างไหมเมื่อดาวหลบแสง คงไม่หรอกอย่างน้อยกระต่ายก็ไม่เคยทอดทิ้งจันทร์ ต่างไปจากใจของผมโดยสิ้นเชิง

มองดูตัวเอง...จิตใจ...มืดหม่น...เหงา

ที่มหาลัยจะจัดงานลอยกระทง ปีนี้พวกเราห้ามพลาดล่ะ
เสียงหนึ่งดังขึ้นกลบความจอแจในชั้นเรียน เมื่อความสงบจางตัว ห้องก็กลับเซ็งแซ่ขึ้นมาอีกครั้ง
แกก็ห้ามพลาดด้วยล่ะ
เสียงใกล้พอที่จะรู้ว่าหมายถึงผม
 พลาดอะไรวะ ?
 
สายตาผมยังวุ่นกับรายงานกองใหญ่เบื้องหน้า
 เอ้า ก็ลอยกระทงน่ะสิ ถ้าปีนี้ไม่สำเร็จอีก ก็หมดโอกาสแล้วนะเฮ้ย
 นี่ๆ สาวๆคนไหนยังไม่มีหนุ่มๆมาชวนปีนี้  ถามพี่ได้นะจ๊ะ เสียงโห่รับ ตามด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา 
บรรยากาศที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
ต้นเสียงห่างออกไป สายตาผมคงจรดที่เดิม แต่รอยยิ้มนั้นเจืออยู่เนิ่นนาน 

ไม่มีใครมากับผมในปีนี้ แต่ผมยังคงมาเดินเที่ยวเหมือนเดิม แม้จุดประสงค์จะแตกต่างกันไป แต่สถานที่และผู้คนก็ยังคงไม่ต่างจากปีก่อนๆ คงจะมีแต่ความรู้สึกของผมเท่านั้นที่เปลี่ยนไป

มองไปรอบๆตัวรอยยิ้มความสุขคนอื่น 

บริเวณงานเป็นสนามหญ้ากว้าง มีพุ่มเทียนทองแทงใบสลับกิ่งหลากสีรับแสงไฟประดิษฐ์รายล้อมโดยรอบ ด้านหน้าของสนามเป็นอาคารใหญ่สีขาวสะอาดตา สะท้อนภาพภายใต้แสงจันทร์นวล เรียงรายด้วยไฟประดับหลากสีสัน ดูมีมนต์ขลังให้จับจ้องอย่างไม่รู้ตัว ที่นี่ยังเป็นเวทีกลางที่ใช้จัดการประกวดนางนพมาศอีกด้วย ปีนี้ตัวแทนของโรงเรียนเราได้เข้าถึงรอบ 5 คนสุดท้าย ดูใครต่อใครก็ให้ความสนใจกันหน้าดู 
แต่สำหรับผมแล้ว มันจะสำคัญอะไร ในเมื่อเธอไม่อยู่ตรงนี้อีกแล้ว

มองไปรอบๆตัวพื้นที่ว่างเมื่อก่อนเธอ

 ผมกับเธอเดินไปด้วยกัน ตลอดทางที่ดูจอแจ แน่นขนัดด้วยร้านรวงที่ร่างระเบียบเรียงรายตลอดสองข้างทาง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ แต่กระนั้นก็ยังมีพื้นที่พอให้เดินได้สบายตัวไม่เบียดเสียด ส่วนหนึ่งคงเพราะหน้ามหาวิทยาลัยเป็นถนนสองทางเดินขนาดใหญ่ที่มีที่พอให้จัดกิจกรรมต่างๆได้อย่างสะดวก 

ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์แทรกสีสันแซงดอกประชันชูช่ออย่างไม่ละอายความหยาบกร้านของลมหนาวที่พัดต้องผิว เงาของแมกมวลไม้ขับตัดเป็นลายซ่อน ซ้อนสลับกับแสงไฟ เป็นลวดลายที่ถักทอจากแสงเงาอย่างลงตัว 
สายลมเอื่อยโชยกลิ่นกรุ่นของแก้วและวาสนาให้ผสานผสมอย่างแปลกประหลาดประปรวนในค่ำคืนแช่มช้า กระจายกระจัดกระทบโสตประสาทให้เคลิบเคลิ้มใหลหลง ไหลหลั่งระดับไปตามรายละเอียดที่ระบายระบัดระรินร่าง ทั้งสองข้างทางในขณะนั้น 
ยามนี้ความมืดคงไม่อาจผิดผันความงามของทัศนียภาพเบื้องหน้าได้ ตราบที่ก้อนกลุ่มละอองขาวไม่ผิดเพี้ยนแสงของดวงเดือน ภาพนี้ได้ดึงเราให้ดำดิ่งและจดจ้องอย่างเงียบงัน ราวกับได้อยู่ในอ้อมกอดของมารดาแห่งโลกผู้มีไอกรุ่นของราตรีที่รจิตระเรืองรองแต่งแต้มอยู่เป็นนิจ เป็นไออุ่นที่คุ้นเคย

เสียงเด็กๆหลายคนอ้อนขอพ่อแม่ให้ซื้อลูกโป่งให้ ซึ่งพ่อค้าได้จัดกลุ่มอย่างสวยงามหลากสีสันดึงดูดตา แล้วคำวอนก็จบลงที่รอยยิ้ม ดูอบอุ่นและบริสุทธิ์  เป็นภาพที่หาดูได้ยากเต็มทีในสังคมเมืองแห่งการแก่งแย่งแข่งขัน เมืองใหญ่ที่ผมจากความอบอุ่นของบ้านมาอยู่นานเนิ่นนานเหลือเกิน

 

ผมพยายามชวนเธอคุย เพื่อไม่ให้ความเงียบคุกคามเราให้อึดอัดไปมากกว่านี้ เราเดินไปพลางคุยไปพลาง ความรู้สึกพรั่งพรายเปี่ยมสุข  แม้อาจจะเป็นความคิดของผมฝ่ายเดียวก็ตามเถอะ 
ทั้งบรรยากาศ ความรู้สึก และ เรา 

ผมไม่เคยพยายามทำอะไรที่ก้ำเกินเธอเหมือนอย่างที่คู่อื่นๆเขาทำ ไม่เคยจับมือ ไม่อาศัยการอ้างบรรยากาศหรืออะไรก็ตามแต่ที่มาสนับสนุนการเลยเกินของพวกเขา ผมไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่ผมอยากให้ค่าของความรู้สึกนั้นบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้น อย่างน้อยนี่ก็คือความรักครั้งแรกของผม ผมรักษาระยะห่างอย่างนี้เอาไว้เสมอ ส่วนหนึ่งเพราะผมคิดเอาเองว่ามันช่วยแสดงความจริงใจต่อเธอ การให้เกียรติจึงเป็นเรื่องสำคัญ 
สำคัญพอๆกับความมั่นคงในความรู้สึกที่มีต่อเธอ
สัมพันธ์ที่เรามีนี้จึงแนบแน่นกว่าที่จะถูกเรียกว่า ความรักแบบฉาบฉวย แต่นั่นก็อาจแค่ความคิดของผมเพียงข้างเดียว... 
แต่เธอ

มองดูเธอหลบตาเรื่องปิดบัง

ถนนสายนี้ทอดตัวไปได้สักระยะก็จะพบถนนระยะสั้นๆที่แตกออกไปหลายสาย บริเวณนี้จะมีการออกร้านที่หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทิวแถวของซุ้มอาหารทั้งจานหนักๆ อย่างก๋วยเตี๋ยว ราดหน้า ผัดไทย ตลอดจนขนมกินเล่น ไม่ว่า ลูกชิ้น น้ำผลไม้ ไอศกรีม ซึ่งโดยมากเป็นของนักศึกษาที่มาออกร้าน เน้นความสนุก มากกว่ากำไร กลิ่นอาหารลอยกรุ่นไปทั่วเชื่อเชิญนักชิมทั้งหลาย จึงไม่แปลกที่ถนนเส้นนี้จะมีผู้คนหนาตา ดูคึกคักตลอดเวลา ไม่ต่างไปจากปีก่อนๆมากนัก  ถ้าจะต่างคงเป็นพื้นที่ว่างข้างตัวผมเท่านั้น 
ที่ที่เคยเป็นของเธอ เธอคนที่เคยรอกินบัวลอยจนไม่ยอมไปไหน เธอคนที่อ่อนโยน และไร้เดียงสา

หากเดินไปได้สักหน่อยจะออกมาที่ถนนอีกสาย ซึ่งบริเวณนี้จะมีลำคลองทอดตัวไหลเอื่อยดูอ้อยอิ่งไปตลอดแนว ถนนสายนี้มีร้านขายกระทงอยู่เรียงรายรอบบริเวณ 
ตรงริมน้ำมีชายหญิงหลายคู่กำลังอธิษฐาน บางทีอาจขอให้ความรักของพวกเขามั่นคง เมื่อกระทงถูกลอยออกไปความหวังของพวกเขาก็อาจจะเป็นจริง ผมนั่งมองอยู่ตรงนี้เนิ่นนาน ครั้งหนึ่งที่ตรงนั้นเคยเป็นของเรา
ผมกำลังนึกย้อนถึงปีก่อน

ความอบอุ่น รอยยิ้ม เธอ ผม.. เรา

จนเมื่อสายลมเดือนสิบสองได้พัดผ่านหยิบยื่นความเย็นชามาเกาะกุมจับขั้วหัวใจ ปลุกความเป็นจริงมาสู่ตัวผมอีกครั้ง ดั่งจะย้ำเตือนอยู่อย่างนั้น ว่าผมยังคงโดดเดี่ยว เหงา 
ความอ้างว้าง   

ผู้คนดูยิ้มแย้ม อบอุ่น เมื่อมือหนึ่งถูกประสานด้วยมือข้างเคียง ไออุ่นก็ถูกผสานปันไปให้กันและกัน เปี่ยมด้วยรัก และความไว้ใจ 
ดูจะมีเพียงผมที่รู้ถึงการมาของสายลมแห่งความว้าเหว่ ที่กัดกินหัวใจของผมในขณะนี้

เธอไม่ใช่คนสวยเท่าไรนัก แต่นั่นก็บอกให้ผมแน่ใจว่าสิ่งที่เกิดกับผมลึกซึ้งมากกว่า ชอบ หรือ หลง เท่านั้น ผมรักเธอที่ความคิด การแสดงออก เธอสวยที่สุดในเรื่องเหล่านี้ นั่นดูจะเป็นสิ่งที่หลายๆคนให้ความสำคัญรองลงมา 

ที่เวทีกลาง การประกวดนางนพมาศ ดูคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมีการประกาศรางวัลขวัญใจมหาวิทยาลัย รางวัลที่ตั้งมาเป็นกำลังใจแก่คนรวย แต่จนความสามารถ และความงาม การให้ดอกกุหลาบเพื่อดูปริมาณความนิยม ไม่ใช่สาระหลักของการคัดสรรเลย จะเป็นได้ก็เพียงเครื่องมือของระบบทุนนิยม ที่ดูจะให้ความสำคัญของ มูลค่า มากกว่า คุณค่า 

ผมดูคนพวกนั้นอยู่นาน ปล่อยให้ความคิดหลุดลอยไป นึกถึงเธอ ภาพของเธอ รอยยิ้มของเธอ เธอผู้มีธรรมชาติเป็นความงาม อย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่นางงามทุนนิยม

มองดูเธอความในใจความกล้าบอก?

ผมไปดักพบเธอที่เดิม เป็นเช่นนี้มาร่วมปีแล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงปักใจได้ขนาดนั้นกับความรักครั้งแรก ผมไม่เคยมองใครอีกเลยตั้งแต่ตัดสินใจว่าเป็นเธอ เพื่อนบางคนเตือนผมว่าความรู้สึกเช่นนั้นจะทำให้ผมเจ็บหนัก ผมเชื่อ
แต่เชื่อในความรู้สึกของผมเองมากกว่า 

ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ผมพยายามทุ่มเททุกอย่างเพื่อเธอ ทำให้เราตกเป็นคู่ที่ถูกแซวอยู่เสมอในกลุ่มเพื่อน พวกเขาหวังดีแต่ทุกครั้งที่พวกเพื่อนๆแซว เธอก็เริ่มห่างผมไปทีละก้าว ดูออกว่าเธออาย

ก่อนที่เธอจะไกลเกินปลายนิ้วของผมจะฉุดรั้ง ผมต้องทำอะไรสักอย่างที่เด็ดขาดเพียงพอ เพียงพอที่จะให้เธอมั่นใจ
ผมไม่เคยบอกความรู้สึกต่อเธอให้ชัดเจน ถึงผมจะคิดว่าสิ่งที่ได้ทำจะสำคัญกว่าก็เถอะ แต่บางครั้งคำพูดก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับการอธิบายทุกการกระทำ เมื่อมันมีเวลามาเป็นพื้นฐานเพียงพอ และตอนนี้ผมก็มั่นใจแล้ว ว่าคำพูดของผมมีค่าความจริงใจพอให้เธอได้รู้
 รบกวนการเหม่อลอยหรือเปล่าจ๊ะ?  น้ำเสียงที่แจ่มใส คุ้นหู ปลุกผมขึ้นมา
ผมหันขวับไปที่ต้นเสียง
 เปล่า เปล่า ไม่เป็นไรว่าแต่มานานหรือยัง  
ผมตอบกลับไปละล่ำละลัก 
 วันนี้ดูไม่เหมือนเดิมเลย มีอะไรหรือเปล่า  เสียงเล็กๆ ที่แฝงความอ่อนโยน แสดงความห่วงใยอย่างไม่ปิดบัง
 คือวันพรุ่งนี้ที่มหาลัยมีงานลอยกระทงน่ะเอ่อ  ผมลังเล เจ็บใจตัวเองอยู่ลึกๆที่เกิดไม่กล้าพูดขึ้นมา 
อาจเพราะยังกลัวกับคำปฏิเสธ
 ไปสิไป ชวนกันไปหลายๆคนนะ จะได้สนุก  เธอตอบเหมือนล่วงรู้คำถามที่ยังไม่เผยถ้อยความ รอยยิ้มเธอดูไร้เดียงสา
ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ  แต่ดูเหมือนเธอจะเป็นฝ่ายชวนผมเสียมากกว่า 
ผมหัวเราะตามเธอ



วันนี้เมื่อปีก่อน เธอยังไม่รู้จักผม มีแค่ผมที่แอบมองเธออยู่ฝ่ายเดียว และวันพรุ่งนี้ก็เป็นโอกาสที่ผมจะระบายคำพูดคับอกให้เธอรู้ 
วันลอยกระทงก็เหมือนวันวาเลนไทน์แบบไทย ที่เปลี่ยนจุดประสงค์ไปตามกาลเวลา การชวนเธอลอยกระทงจึงยากพอๆกับการสารภาพรักทีเดียว แต่แล้วผมก็สามารถรวบรวมความกล้าทั้งหมดไปชวนเธอลอยกระทงเข้าจนได้ ส่วนหนึ่งอาจเพราะแรงยุของเพื่อนๆผมเองก็ได้ 
นับแต่นั้นเราก็สืบความสัมพันธ์เรื่อยมา แม้ตอนนั้นเธอจะปฏิเสธคำชวนของผมก็เถอะนะ ท่าทีที่บริสุทธิ์เหมือนเด็กๆ  คำปฏิเสธจึงไม่ทำร้ายผมมากนัก โชคดีที่เป็นเธอ ไม่งั้นผมคงแทบบ้า มันทำให้ผมไม่ท้อแท้กับการเริ่มต้นใหม่ 
อย่างน้อยปีนี้ผมก็ชวนเธอสำเร็จ

มองดูเธอความในใจความพร้อมบอก

ผมเดินกับเธอเพียงสองคน พวกเพื่อนๆชวนกันปลีกตัวไปหมดแล้วเพื่อเปิดโอกาสให้ผม ผมตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะบอก  บางอย่าง  กับเธอหลังจากเราได้ลอยกระทง บางอย่างที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม

มองดูเธอการสารภาพผู้คนจากไป

ความรักเป็นเรื่องเหนือความผิดหรือถูก ผมมีเหตุผลของผม เธอเองก็มี ผมจึงทำไม่ได้ที่จะทำร้ายเธอด้วยการฉุดรั้ง 
บางทีผมอาจรักเธอมากไป  

มองดูตัวเองทิศทางก้าวเหงาๆลำพัง

ผมเดินออกจากบริเวณริมน้ำ ไปจากความทรงจำเศร้าๆ แต่มันก็ไม่ได้จากผมไปจริงๆหรอก 
ไม่มีทางเลย

มองดูรอบข้างความบังเอิญเธอการกลับคืน?

ท่ามกลางผู้คนที่ขวักไขว่ เธอ ยังโดดเด่นตัดกับแวดล้อมรอบข้างอย่างชัดเจนเหมือนภาพที่ผ่านการย้อมฟิล์มให้ฉากหลังหม่นเทา และสีสันที่เปี่ยมชีวิตก็อยู่เพียงที่เธอเท่านั้น ภาพที่มีเธอเป็นจุดศูนย์กลาง เธอคงไม่เห็นผม สีหน้าเธอดูมีความสุข แจ่มใสรื่นเริงเช่นเดิม เธอเดินมาพร้อมกับพวกเพื่อนๆ 

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีพอให้ผมเริ่มต้นใหม่ ความหวังยังอยู่ตราบที่ยังมีเธอ แต่ความคิดเข้าข้างตัวเองของผม
ในขณะนี้ดูจะไม่ประสบผล 
ประสบการณ์เก่าๆยังคงตอกย้ำผมเรื่อยมาเหมือนนั่งดูภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำซาก ความลังเลและท้อแท้เข้าแทนที่ โอกาสผ่านไปแล้ว ภาพใบนั้นทั้งใบกลับกลืนเป็นสีเทา โลกของผมเองก็เช่นกัน เธอค่อยๆลับหายไปกับฝูงชน  
ซึ่งนั่นอาจจะเป็นการดีกว่า

ข้างๆเธอมีชายคนหนึ่ง ดูเธอจะสนิทกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ใบหน้าที่คุ้นเคยเพื่อนของผมเอง
มองดูตัวเองโอกาสการเล่นตลกน้ำตา

ผิวน้ำแตกกระจายแสดงวงขดคลื่นทำลายเงาเพ็ญที่สะท้อนนวลนิ่ง ฟองคลื่นทั้งน้อยใหญ่นับพันนับหมื่นกำลังพุ่งผ่าน ลอยขึ้นผิวน้ำอย่างพลุ่งพล่าน แต่แสนจะเอื้อยอิ่งในสายตาผม กลุ่มฟองกระจายตัวลอยห่างออกไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับแสงดวงเดือนที่ลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ตาของผมกำลังปิดลงอย่างช้าๆหลังจากสู้ความกระด้างของน้ำตาอย่างระคายเคืองเพียงลำพัง ฟองสุดท้ายได้หลุดลอยไปแล้วอย่างเศร้าสร้อย ห่างออกไป ไกลออกไป ทิ้งไว้แต่แสงนวลที่กำลังเลือนตัวกลัดกลืนไปกับความมืด 
ภาพเบื้องหน้าเป็นดั่งรูประบายสีดำชืดที่จิตรกรแสร้งระบัดระบายทับร่างระเรืองรองไว้เบื้องหลัง เหลือไว้แต่ความเย็นเยือกที่โอบล้อมให้สัมผัสสะทกสะท้านจนภายใน หนาวชาจนร่างกายไม่อาจรับรู้เรื่องราวใดๆได้อีกแล้ว 
ราวตุ๊กตาที่กำลังอาบแสงจันทร์นวล ตุ๊กตา.. ร่างที่ไร้ลมหายใจ 
ขอบคลื่นกระทบตลิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระทำกระทั่งกลืนหายไปกับผิวน้ำ เงาเพ็ญสั่นไหวตามแรงระริ้วคลื่น ในที่สุดก็คืนรูปแสดงแสงนวลเนิบนิ่งอีกครั้ง
  
 บางที โชคชะตาอาจเล่นตลกกับผมอย่างร้ายกาจเหลือเกิน เมื่อหนึ่งปีก่อน ถ้าผมไม่ตัดสินใจ  ในวันนี้ผมอาจยังพอเป็นเพื่อนกับเธอ อย่างน้อยผมก็คงไม่ต้องมาเดินคนเดียวแบบนี้

มองไปรอบๆตัวว่างเปล่าไม่มีใคร

เพ็ญพระจันทร์นั้นสว่างแต่ข้างขึ้น

แต่ค่ำคืนนี้ของผม ก็ยังคงเป็นได้แค่คืนแรม
				
10 กันยายน 2547 09:04 น.

ตัวตนของกระจก

Jintalohitt

กล่าวถึงกระจก บางคนนึกถึงภาพวัสดุคมวาวที่กระจัดกระจายตรงทางเท้าในวัยเด็ก บ้างนึกถึงภาพความเงาวาววับเป็นประกายของหน้าต่างบานเขื่องในฉากของละครที่ประทับใจ และบางคนก็นึกถึงภาพของบางสิ่งที่ถูกสะท้อนฉาบบนฉากผิวที่เรียบบาง บางสิ่งที่หมายถึงตัวเขาเพียงผู้เดียวในบางคน และบางคนที่มองกระจกก็ต่อเมื่อเขามองเห็นตัวเองในนั้น แต่จะมีสักกี่คนที่จะใส่ใจว่ากระจกมีตัวตนของมันไม่ใช่ภาพสะท้อน และภาพตัวตนของคนอื่นก็สะท้อนอยู่โดยไม่เคยสะกิดใจเลยว่าสิ่งที่เห็นคือการบิดเบือน หรือการบิดเบือนจะถูกตีค่าเสมือนได้กับความจริง... ความจริงที่ถูกบิดเบือน

	กระจกสะท้อนภาพที่กลับกัน กระจกที่สะท้อนภาพของกระจก กระจกที่มองกระจกมากกว่าตัวมัน เพราะมันรู้ว่าเบื้องหน้าคือกระจก กระจกอีกบานก็คิดอยู่เช่นนั้น

	เรื่องน่ารู้ประการหนึ่งคือ ภาพที่เราเห็นในกระจกนั้นจะเป็นภาพที่เหมือนกับวัตถุทุกประการ หากแต่จะกลับซ้าย-ขวาจากภาพจริง หรือที่นักวิชาการให้ศัพท์กับลักษณะเฉพาะนี้ว่าปรัศวภาควิโลม ซึ่งด้วยความเคยชินทำให้เราไม่ข้องใส่ใจนักว่า ภาพที่เราเห็นเป็นตัวตนที่ได้รับการบิดเบือนไป หากแต่ในการสะท้อนที่ว่านี้ ในสายตาของกระจกต่อกระจกเองกลับเป็นภาพที่ไม่ได้ผ่านการบิดเบือนแต่อย่างใด นั่นเพราะมันบิดเบือนตัวมันเองอย่างซับซ้อน ความบิดเบือนของกระจกคือความจริงที่มันรู้จักเพียงหนึ่งเดียว ดังนั้นสำหรับกระจกเองภาพที่ซ้อนทับไปเป็นอนันต์จึงเป็นความจริงยิ่งเสียกว่า หากแต่นั่นก็ยังไม่ใช่ความจริงที่แท้ ความจริงไม่เคยมีเกินหนึ่ง อาจกล่าวไปว่า ในมิติของกระจกเองไม่เคยปรากฏความจริงขึ้นเลย แต่กระนั้นก็เถอะการกล่าวเช่นนี้เป็นเพียงการมองในฟากของเรา และละเลยตัวตนของกระจกอย่างที่สุด 
หรืออาจเพราะเราไม่เคยใส่ใจในสิ่งอื่นเลย

	กระจกสะท้อนภาพที่กลับกัน กระจกที่สะท้อนภาพของคน คนที่มองตัวเองมากกว่ากระจก เพราะเขารู้ว่าเบื้องหน้าคือความบิดเบือน คนผู้หนึ่งครุ่นคิดอยู่เพียงนั้น

	 สติปัญญาทำให้คนแตกต่างจากสิ่งอื่น พวกเขาได้บัญญัติให้สิ่งอื่นเป็นในสิ่งที่เขาเข้าใจ เพื่อยกตนให้เหนือกว่า และบอกความกลัวข้างๆเขาว่าไม่มีอะไรข้างหน้า กิริยานี้ไม่ต่างจากสัตว์ที่พองตัวชันขนขู่ศัตรู หากแต่คนกลับกัน พวกเขาปลอบโยนความกลัวเพื่อขู่ตัวของเขาเอง พวกเขากลัวสิ่งตรงหน้า หากแต่เกลียดกลัวความกลัวของตัวเองยิ่งกว่า ความกลัวที่เขาประโลมว่าเป็นมิตรแท้ นั่นเพราะคนไม่เคยมองสิ่งตรงหน้าอย่างที่มันเป็น เขาทุ่มเวลาที่จะใส่ใจความเป็นตัวของตัวเอง และหลีกหนีทุกสิ่งที่เกินกว่าความเข้าใจอันมาจากสติปัญญาที่เขาเฝ้าอวดอ้างอย่างภูมิใจ เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคนถึงมองตัวเองมากกว่าที่จะแลเงาบนกระจก นั่นเพราะเขาตัดสินไปแล้วว่ากระจกบิดเบือน สิ่งที่เป็นอยู่ในสายตาของเขาเท่านั้นที่มีอยู่จริง อย่างที่กล่าวไปแล้วว่านี่เป็นความคิดเอาแต่ได้ถ่ายเดียวของคน คนถือความจริงเพียงเศษเสี้ยวแล้วกู่ก้องว่าข้ามีความจริงอยู่ทั้งมวล ซึ่งสำหรับกระจกแล้วตราบใดที่คนไม่เห็นภาพบิดเบือนของกระจก พวกเขายังรู้จักความจริงเพียงครึ่งเดียวอยู่เท่านั้น อย่าว่าแต่กับสิ่งอื่นเลย แม้แต่พวกคนกันเองเขายังไม่ยอมเข้าใจกัน หากพูดให้ลึกกว่านั้นแล้ว คนเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยึดติดภาพที่ไม่มีตัวตน ยึดติดความเป็นตัวตน ตัวตนที่เชื่อว่าเป็นของตน ซึ่งคืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่สิ่งอื่นสำหรับตน หรืออาจเพราะเราไม่เคยใส่ใจในคนอื่นเลย

	คนสะท้อนภาพตัวเอง คนที่สะท้อนภาพของคน คนที่มองคนอื่นมากกว่ามองหาคนอื่น เพราะเขารู้ว่าเบื้องหน้าคือคนอื่น คนผู้หนึ่งก็ยังครุ่นคิดอยู่แค่นั้น

	 บนท้องถนนอันขวักไขว่ ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังเต้นไปชีพจรชีวิตของตน เฉียดกันไปสวนกันมา หากแต่ทุกคนกลับไม่รู้จักกัน และยินดีที่จะรักษาสภาพเดิมนั้นไว้ต่อไป เพราะพวกเขาไม่ใคร่จะใส่ใจอะไร มองตัวเองอีกครั้ง และอีกครั้ง พวกเขากระทำวกวนอยู่แค่นั้น อาจเพราะเขายึดมั่นกับสภาพปัจเจกชนมากเกินไป อันคำว่า ปัจเจกชน นี้มีมาแต่สมัยอารยธรรมยุคแรกๆของโลก จึงอาจกล่าวว่าพื้นฐานของคนเองคือการมีตัวตน หากเขาจะรู้สึกตัวเองสักนิด เขาจะพบว่าสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เขาโดดเดี่ยวและหวาดกลัว แม้แต่ในสังคมเมืองอันคับคั่งความโดดเดี่ยวกลับซ่อนแทรกในทุกซอกมุม หวาดกลัวแล้วโดดเดี่ยว โดดเดี่ยวจึงหวาดกลัว กลับเป็นวัฏจักรแห่งความน่าสมเพศ 

	มีคำกล่าวว่า หากจะรู้จักตัวเอง จงมองดูผู้อื่น เพราะนั่นคือภาพสะท้อนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง แต่ภาพนี้เชื่อถือได้สักแค่ไหนกัน ภาพนี้ไม่บิดเบือนทางกายภาพจริงอยู่ แต่มันกลับบิดเบือนซับซ้อนในเชิงจิตตภาพยิ่งกว่าที่เราๆท่านๆจะเข้าใจมากนัก เพราะคนเป็นนักบิดเบือน พวกเขาบิดเบือนตัวตนของสิ่งอื่นด้วยการบัญญัตินิยามสิ่งนั้น พวกเขาบิดเบือนพวกเดียวกันด้วยคำว่าตัวเอง และสุดท้ายพวกเขาบิดเบือนตัวเองโดยบอกว่าเขาเป็นหรือไม่เป็นอะไร ทำไมถึงต้องกล่าวว่าเป็นการบิดเบือน เพราะความจริงมีได้แค่หนึ่งและสิ่งนั้นคือการเป็นไปโดยปกติตามธรรมชาติ ไม่ต้องบัญญัตินิยาม ไม่ต้องกล่าวว่ามันเป็นหรือไม่เป็นอะไร ซึ่งถ้ามองสิ่งนี้อีกมุม มันก็ไม่ต่างจากคำว่า อนัตตา ในพุทธศาสนาเท่าใดนัก 

	หากยังคิดว่าสิ่งนั้นสิ่งนี่คือความจริง เราก็ยังคงวกวนในภาพบิดเบือนไม่สิ้นสุด เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอะไร เพราะมันเป็นมันอย่างไม่มีความจำเป็นต้องขยายภาพอธิบาย ดังนั้นความจริงกับความบิดเบือนจึงเป็นคำพูดบิดเบือนตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงภาพที่จิตใจปรุงแต่งขึ้นให้ตนเอง กระจกเห็นความจริงโดยบิดเบือนสิ่งที่บิดเบือนแต่ชีวิตจริงไม่สามารทำเช่นนั้นได้ เราต้องมองทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น ซึ่งตลอดถึงตัวเราเองด้วย มองด้วยความเข้าใจไม่ใช่สักแต่ใช้เรติน่าแล้วปิดใจ จงให้คุณค่าต่อทุกสิ่งเสมอตนเอง และเสมอกัน

	 กระจกสะท้อนภาพที่กลับกัน กระจกที่สะท้อนภาพของกระจก กระจกที่มองกระจกมากกว่าตัวมัน เพราะมันรู้ว่าเบื้องหน้าคือกระจก กระจกอีกบานก็คิดอยู่เช่นนั้น กระจกตั้งชนกัน เมื่อบานหนึ่งร้าว อีกบานก็เฝ้าขอให้เป็นมันที่ร้าว เพราะมันคิดว่าอีกบานต้องตั้งอยู่    ภาพตรงหน้าคือกระจก คือมันเอง แต่ความจริงตรงหน้าคือตรงหน้า มันคือมัน กระจกยังตั้งอยู่ที่เดิม ยังสะท้อนกันและกัน 
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJintalohitt
Lovings  Jintalohitt เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJintalohitt
Lovings  Jintalohitt เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJintalohitt
Lovings  Jintalohitt เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงJintalohitt