25 กุมภาพันธ์ 2552 16:02 น.

นิทานเมือง เรื่องที่ 4 : ตุ๊กตายาง

Jintalohitt


บนทางด่วน เสียงรถบดเบียดถนนขวักไขว่ ไม่หยุดรอใคร

ใต้ทางด่วน เด็กชายอยู่กับพ่อขี้เมา เฝ้ารอชีวิตที่ดีขึ้น.. ปาฏิหาริย์ทอดทิ้ง เช่นเดียวกับแม่
 

พ่อออกไปแต่เช้า ทำงาน เด็กชายวิ่งเล่นตามประสา

พ่อกลับมาย่ำค่ำ ขวดสุรา เด็กชายหาเศษอาหารตามมีตามเกิด.. ชีวิตสุนัข
 
พ่อนอนเมาแอ๋ ไร้สติ เด็กชายเดินดุ่มซุ่มซากกองขยะพะเนินหนึ่ง
ตุ๊กตา.. ตุ๊กตายาง ถูกทิ้ง เด็กชายฉงน ตุ๊กตาอะไรแปลกตา
พาลากกลับมาด้วยใจเริงร่า ฮ่าฮ่า เพื่อนใหม่
 
ตุ๊กตายางนอนเอนพิงฝาสังกะสีผุ เด็กชายนอนตัก ต่อไปนี้เจ้าจงเป็นแม่ของฉัน

เผลออุ่น เผลอนึกไปว่าแม่กลับมา เผลอหลับ เพ้อฝัน บ้าบอ แม่กลับมา แม่กลับมา

ผลุนตื่น เพ้อบ้า แม่กลับมา แม่กลับมา พลันตกใจ เฮ้ย ตุ๊กตาของฉันอยู่ที่ไหน แม่ฉันหายไปอีกแล้ว
 
มุมห้องพ่อกำลังนัวเนียกับแม่ใหม่ ตุ๊กตายาง เด็กชายโกรธ พ่อเมา พ่อบ้า พ่อทำร้ายแม่ฉัน เดี๋ยวแม่ฉันหนีไปอีก
เด็กชาย ขวดสุรา ฟาดสุด เหล้าสาด เลือดสด พ่อนอนชัก นิ่ง ฮ่าฮ่า พ่อสงบแล้ว พ่อไม่บ้า พ่อไม่เมา พ่อไม่ทำร้ายแม่แล้ว
เด็กชายกอดพ่อกอดแม่ ฮ่าฮ่า ครอบครัวฉัน 
ฉันรักพ่อฉัน ฉันรักแม่ฉัน				
25 กุมภาพันธ์ 2552 15:56 น.

นิทานเมือง เรื่องที่ 2 และ 3 : โทนี่ กับ จายา / โซเฟีย

Jintalohitt


โทนี่ กำลังเล่นเครื่องเกมใหม่ล่าสุดที่พ่อซื้อให้เมื่อครั้งวันเกิดของเขา อย่างสนุกสนาน
ก่อนถูกแม่ใช้ให้ช่วยล้างจานที่เขาทิ้งไว้บนโต๊ะอาหาร
เขากลับไปล้างอย่างเสียไม่ได้
เขากระทุ้งเท้ากระแทกมือล้าง
พลางบ่น 
"ทำไมต้องเป็นเราด้วยนะ"
 

จายา กำลังนอนหายใจรวยริน เขาไม่มีพ่อที่จะซื้อเครื่องเกมใหม่ล่าสุดให้
เขาไม่มีแม่ที่จะมาใช้งานเขา ไม่มีจานไม่มีอาหารไว้เหลือทิ้ง
เขากำลังอดตายเพราะพิษสงครามและความขาดแคลน
เขาหอบแรงหายใจระริน เนื้อตัวสั่น ตาลอยแทบสิ้นสติ 
เขาลำพึงเบาๆจนแทบไม่ได้ยิน 
"ทำไมต้องเป็นเราด้วยนะ"




โซเฟีย โซเฟีย.. เด็กหญิงนอนกอดกรอบรูปเก่าเขรอะเขม่าไฟ หากไม่มีรูปใดในกรอบไม้ไหม้ไฟนั้น

โซเฟีย โซเฟีย.. เด็กน้อยอยู่ในเตียงอุ่นเหน็บหนาวของสถานอนุเคราะห์เด็กกำพร้าอันเนื่องจากผลของสงคราม
สงครามที่เธอไม่ได้ก่อ
ทุกครั้ง ที่โซเฟียมองกรอบรูป เธอเห็นภาพผู้ชาย ผู้หญิง เด็กชาย และเด็กหญิง หรือคือเธอเอง
ทุกคนยิ้ม หัวเราะ อบอุ่น มีความสุข
ภาพนั้นแขวนอยู่กลางอากาศ ที่ๆเคยเป็นผนังบ้านแข็งแรงอ่อนโยน หากแต่บัดนี้เศษอิฐเศษหินกระจัดกระจาย
เธอแว่วเสียงไก่ในเล้าขานขัน เธอแว่วเสียงจอห์นส่งเสียงเห่ารับพ่อของโซเฟียกลับจากที่ทำงาน
เธอแว่วเสียงเรียกอ่อนโยนจากโต๊ะอาหาร

โซเฟีย โซเฟีย.. เด็กหญิงนอนกอดกรอบรูปที่ดูไร้ค่ามากราคาที่สุดแสน ในนั้นคือภาพงดงามมากมายเคลื่อนไหว

โซเฟีย โซเฟีย.. เด็กน้อยนอนกอดประคองเศษซากความทรงจำสวยงามไว้ เฉกเม็ดทราย  				
25 กุมภาพันธ์ 2552 15:49 น.

นิทานเมือง เรื่องที่ 1 : เด็กหญิงกับโพรงไม้

Jintalohitt


เด็กหญิงคนหนึ่งเจอโพรงไม้ใหญ่ที่มืดเกินหยั่งความลึก
เธอตะโกนเสียงลงไป และได้ยินเสียงก้องกลับมา.. ดูคล้ายเสียงเธอ
เธอคุยกับโพรงไม้นั้น
และเธอก็มักจะได้ยินเสียงที่เธออยากฟัง คำพูดที่เธออยากได้ยินกลับมาเสมอ
เธอกลับมาที่โพรงไม้นี้ เพื่อคุยกับโพรงไม้ทุกวัน
และเธอก็ไม่เคยคิดจะหาว่าเสียงนั้นมาจากที่ใด หรือคือสิ่งใด

แค่เธอพอใจกับสิ่งที่เธอได้รับ
 
 

เด็กชายคนหนึ่งเจอโพรงไม้ใหญ่ที่มืดเกินหยั่งความลึก
เขาลงไปสำรวจด้วยความสงสัย และได้ยินเสียงเด็กหญิงมาจากปากโพรงไม้
เสียงเด็กหญิงที่เขาแอบชอบ
เขาตะโกนกลับออกไป พูดทุกสิ่งที่เด็กหญิงต้องการหรือเพียงทำให้เด็กหญิงพอใจ
เขากลับมาซ่อนตัวในโพรงไม้ก่อนเด็กหญิงมาทุกวัน
เขาไม่เคยบอกเด็กหญิง เขาคือใคร เขาอยากเป็นเสียงในโพรงไม้มากกว่าเด็กชายทั่วๆไปคนหนึ่ง

เขาแค่พอใจกับสิ่งที่เขาได้ให้				
25 มกราคม 2551 22:03 น.

นี่สินะจิตสว่าง...โอ้ว ชิท!

Jintalohitt

เธอทิ้งผมไปซะงั้นเลย...
ให้ตายเหอะ...หมายถึงให้ไอ้คนที่แย่งเธอไปจากผมน่ะตายซะเหอะ
น่าเสียดายผมไม่รู้จักมันเลย ทั้งชื่อหรือหน้าตา 
แต่เชื่อว่านิสัยแย่ๆแบบมัน ต้องรูปหล่อจัญไรแน่นอน
ไม่งั้นเธอคงไม่หลงผิดไปกับมันอย่างนี้หรอก
เพราะผมก็ไม่ได้ทำผิดอะไรต่อเธอเสียเมื่อไหร่
เหตุการณ์นี้จึงเข้าข่ายถูกทิ้งแบบอิงมิวสิควีดิโอตามท้องตลาดได้ทุกกระเบียด


เธอทิ้งผมไปซะงั้นเลย...
ให้ตายเหอะ...ผมหมายถึงให้ไอ้คนที่.. หา ผมบ่นเป็นรอบที่สองแล้วเหรอ
ขอโทษผมไม่รู้ตัวจริงๆ 
สงสัยผมจะประสาทเสียเพราะถูกทิ้งแน่ๆ
จริงๆนี่ก็เข้าวันที่ 251 แล้วที่เธอทิ้งผมไป  
ต้องยอมรับว่าช่วงแรกๆผมแค้นเธอและไอ้หมอนั่นมาก
(ซึ่งจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นหมอหรือทำอาชีพอะไร)
ช่วงนั้นผมหมกมุ่นกับความคั่งแค้น จนสามารถคิดวิธีฆ่าคนให้พ้นผิดได้ถึง  249 วิธี
อย่างเช่นการยืนเบียดให้มันถูกรถเมล์ร่วมทับใต้


ใครๆก็รู้ว่าคนแย่งขึ้นรถมันมั่วมากไม่มีใครมัวจำหน้าใครได้หรอก 
ต้องขอบคุณที่ทุกคนมีเรื่องรีบ ตั้งแต่รีบไปดูใจแม่ ยันรีบขึ้นไปแย่งที่นั่งเพียงเพราะขี้เกียจยืนอีกแค่2ป้ายเท่านั้น
และที่สำคัญต้องขอบคุณรถเมล์ร่วม ซึ่งแผนนี้จะเกิดไม่ได้เลยถ้า
รถเมล์ร่วมเกิดมีมารยาท ไม่ปาดแซงเข้าป้าย ไม่ขับกระชากขาดสติ
แค่นี้มันก็ต้องถูกรถเมล์ร่วมเหยียบตายโดยจับมือผมดมไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ


แต่นั้นก็เป็นแค่ความคิดช่วงแรกของผมเท่านั้น
เพราะเมื่อล่วงเข้าวันที่250 หรือก็คือเมื่อวานนั่นเอง
ผมได้พบทางสว่างวาบขึ้นในใจแล้ว
ผมจะใช้ธรรมเข้าข่มจิต เพราะเสียงธรรมะสัญจรจากทีวีเข้ากระแทกหูผมอย่างจัง
"ฟังธรรมะจะได้ไม่โง่ แต่ถ้าฟังโปเตโต้ รักแท้ดูแลไม่ได้"
ประโยคนั้นจุดใจผมอย่างจั๋งหนับ โอ้วใช่ รักแท้ดูแลไม่ได้ ผมชอบวงโปเตโต้ซะด้วย
เพราะคำว่าโปเตโต้ผมเลยหยุดฟังต่อ 


"เวลาเราจะตายน่ะจิตเราเป็นอย่างไรก็จะพาไปยังที่แบบนั้น เรียกว่าไปที่ชอบๆ"
"จิตตกชอบทุกข์ ก็ไปทุคติภูมิ จิตสว่างชอบสุขก็ไปสุคติภูมิ"
"ดังนั้นเราควรพึงทำจิตให้สะอาด แลสว่างอยู่เสมอ"
"ฟังธรรมะจะได้คิด แต่ถ้าฟังยาพิษ ก็บอดี้สแลม"
ประโยคหลังผมไม่ทันได้ฟังเอามาคิดเพราะดูไร้สาระชอบกล


โอ้ว จริงสินะหากเราปล่อยตัวปล่อยใจให้ทุกข์ขนาดนี้ คงได้ตายไปทุคติภูมิแน่ๆ
เรื่องอะไร ตอนยังเป็นก็เศร้าจะตายแล้ว ตายไปยังไปที่แย่กว่าอีก แถมไปคนเดียว ไอ้พวกนั้นก็สุขของมันอยู่ดี
อย่ากระนั้นเลย ออกจากห้องทุกข์ไปทำจิตให้สว่างดีกว่า
ผมกระวีกระวาด ออกจากห้องไปรับไอแดดและแสงสว่างทันที
เพราะตระหนักดีว่า คนเราตายได้ทุกเมื่อ ใครจะรู้ผมเดินอยู่ดีๆไอ้ลูกอุกกาบาตขนาด 2 มม.ที่เหลือรอดจากการเสียดสีในชั้นบรรยากาศ
อาจร่วงลงมาทะลุหัวผมเอาก็ได้


ผมเดินออกมาเจอผู้คนและตั้งจิตอุทิศว่า ต่อให้ตายก็ไม่เป็นไรหากได้ตายเพราะทำดี
ย่อมดีกว่าอยู่ยืนยาวแต่มืดหม่นด้วยไม่เคยทำกุศลใดๆ


ที่ป้ายรถเมล์ที่ผมเคยคิดแผนยืมล้อรถเมล์ร่วมฆาตกรรมนั้น
ผมสำรวมใจอย่างสงบ เพื่อจะได้เพ่งพิจารณาว่าจะช่วยผู้ใดได้บ้าง
อาจเป็นหลวงพี่ที่กำลังบิณฑบาตตรงนั้น แต่อย่าเลยทำทานลักษณะนี้ไม่ได้บุญเท่าไหร่
ไปสนับสนุนพระสงฆ์ทำอัตวิบากกรรมด้วยนิโคตินบรรจุมวนอย่างในย่ามนั้น ไม่เข้าท่า
พาลจะได้บาปแทนบุญ แถมพระฆ่าตัวตายบาปหนักกว่าคนทั่วไปอีก หลวงพี่เขาจะรู้ไหมนะ
ช่างเถอะผมตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเศษเงินทอนจากที่ขึ้นรถเมล์ซื้อน้ำให้เด็กซักคนที่กำลังขอทานอยู่
ซักที่แถวป้ายรถเมล์ที่ผมจะลง  


ในตอนนี้ผมอาจช่วยคุณป้าคนนั้นที่ของพะรุงพะรังแทน อ้า..หากรถเมล์มาผมจะช่วยป้าเขาขนของขึ้นรถ


เฮ้ย! รถเมล์ร่วมสีเขียวทรงโลงศพคันนั้นไหงวิ่งถลันขนาดนั้น
ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
เฮ้ย! ไอ้ผู้ชายคนนั้นไหงกำลังโทรศัพท์คุยกะแฟนยิ้มหวานลืมโลกขนาดนั้น 
แถมกำลังก้าวออกไปไม่ได้ดูรถเอาเลย!
ตายแน่ๆ ด้วยใจเป็นกุศลอย่างไรไม่ทราบทำให้ผมไต่ตรองวิกฤติตรงหน้าอย่างรวดเร็วเพียงวูบวินาที
อันไม่เคยทำได้มาก่อนในชีวิต ดั่งเวลาหยุดนิ่งให้ผมเสวนากับตัวเองซะงั้น


"ผมจะช่วยเขาดีไหม"
"ดีแน่การช่วยชีวิตคนย่อมประเสริฐสุด แต่นายน่ะตายแน่"
"หือ ทำไมล่ะ อ๋อเพราะไอ้รถเมล์ร่วมนั้นมัวแต่เหลียวไปมองเย้ยรถคันที่มันแซงเข้าป้าย จนลืมดูว่ามีคนอยู่ข้างหน้า"
"อืมประกอบกับ ไอ้ผู้ชายนี่ก็ถลำตัวไปมากยากจะดึงกลับ คงได้แต่ผลักให้พ้น แต่เราก็คงโดนชนเสียเอง"
"คงเป็นอย่างนั้น การทำบุญจนเสียชีวิตนี่ไม่ดีแน่"
"ไม่หรอก หากเราช่วยเขาก็ย่อมช่วยพ่อเขาแม่เขา แฟนเขาให้พ้นจากห้วงทุกข์ด้วย"
"อืมจริง เราตายก็คงผิดต่อพ่อกับแม่ แต่ก็ยังน้อยกว่าเขาที่มีแฟนอีกคน งั้นช่วยเขาถือว่าคุ้มกว่าสินะ"
"อืมงั้น โดดเลยเหอะ"


สมองผมวาบกลับมาพร้อมคำสั่งกระโดดผลักเต็มแรง ชายคนนั้นลอยหลุดพ้นแนวรถเหยียบไปหวุดหวิด
ส่วนผมโดนเต็มๆคา2ล้อหน้าไม่พลาดซักดอกยาง
ชายคนนั้นอยู่ในอารามตกใจผุดลุกถลาวิ่งไปอีกฝั่งรวดเร็ว
ผมนึกในใจ แหมไม่มีขอบคุณสักคำ แต่ช่างเหอะเขาคงกำลังตกใจ
เราได้ทำดีจนตัวตายเลยหรือนี่ โอ้ว!สุดยอด อ้า!แสงสว่าง นี่สินะที่ว่าจิตสว่าง 
ประตูสวรรค์กำลังเปิดรับเราแล้ว ย๊ะฮู้! ยิปปีเย้เย๋เย!


"เป็นอะไรรึเปล่า เมื่อกี๊คุยโทรศัพท์อยู่ดีๆก็หลุดไปเลย"
"ผมไม่เป็นไรหรอก ไม่บาดเจ็บอะไรเลย"
"นี่มิ้นต์รีบวิ่งมาหาเลยนะ รู้มั้ยว่ามิ้นต์เป็นห่วงพีน่ะ"


หือ มิ้นต์ ชื่อเหมือนแฟนตูเลยบังเอิญจัง เสียงก็คล้ายๆกัน บังเอิญได้อีกน่ะ
โห หน้าก็เหมือนด้วยสิ โคตรบังเอิญเลย ..เฮ้ย! ชิบ! นั้นยัยมิ้นต์แฟนตูจริงๆนี่หว่า
งั้นไอ้นั่นก็ไอ้คนที่แย่งแฟนตูล่ะสิ โชคดีจริงได้รู้ทั้งหน้าทั้งชื่อมันเลย
เฮ้ยไม่ใช่! 
นี่ผมช่วยชีวิตไอ้คนที่อยากฆ่าอยู่เมื่อวานนี้นี่เองเหรอเนี่ย!!!


ผมลืมสติแสงสว่างตรงหน้าหลุดลอยไปความมืดค่อยๆบดบังภาพคนทั้งสองคนที่กำลังกอดกันกลมจนมืดมิด
ผมรู้สึกเหมือนกำลังร่วงลงข้างล่างอย่างรุนแรง นี่สินะจิตตก ตกแรงจริงๆ
โอ้ว ชิท!				
18 พฤศจิกายน 2549 01:03 น.

บรึ๋ย – บรึ๋ย – บรึ๋ย... เอี้ย!

Jintalohitt

ฟาด..ฟืด..แฮ่กแฮ่ก นี่ไม่ใช่เสียงโฆษณาลูกอมเย็นซ่าชุ่มคอยี่ห้อดัง หรือโฆษณาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดจี๊ดจ๊าดแซ่บลิ้นแต่อย่างใด หากแต่คือเสียงลมปากดัง แฮ่ก แฮ่ก..  ผสานลมจมูกดัง ฟืดฟาด.. ฟืดฟาด.. ที่แข่งกันหายใจให้ทันชีพจรที่เต้นระรัว ด้วยร่างกายออกแรงจนเริ่มล้า ลิ้นห้อย ตาลอย น้ำตาริน ขาสั่นพั่บพั่บพั่บ ฟันกัดกันกึกกึกกึก ส่วนลมหายใจก็ยังดัง แฮ่ก..ฟาด..ฟืด..แฮ่กแฮ่ก
	ที่ผมบรรยายมานั้นไม่ใช่ว่าผมเสียสติ หรือติดเชื้อพิษสุนัขบ้าแต่อย่างใด จริงๆผมแค่เหนื่อย แต่แม้จะเหนื่อย จิตใจผมก็ยังไม่หน่าย หัวใจยังสั่งสองเท้าตะกุยทางขึ้นไป จึงจะว่าผมเหนื่อยหน่ายนั้นมิได้ เพราะผมยังไม่ได้ถอดใจที่จะเดินต่อไปอย่างหลายๆคนที่เริ่มจะทอดตัวแผ่กายตามกองหิน สุมทุมไม้ หรือพุ่มหญ้า ตามแต่ว่าจะถอดใจใกล้กับอะไร สายตาพวกเขาโรยริน ลมหายใจพวกเขารัวระโรย บางคนในนั้นผมรู้จักเป็นอย่างดี แต่อีกหลายคนผมก็ไม่รู้จัก คงไม่แปลกอะไรที่เด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดจากต่างที่ต่างถิ่น ต่างพ่อต่างแม่ และต่างจิตต่างใจ ที่มารวมกันในค่ายฝึก รด.(รักษาดินแดง) นามเขาชนไก่ จะไม่รู้จักกัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่รู้จักเด็กโรงเรียนอื่นเท่าไรนัก แม้ว่าเราจะมาอยู่ร่วมกองพันเดียวกันได้ หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนแล้วก็ตาม
	สายตาละห้อยจากเบื้องล่างรายทางที่ทอดมายังผม ราวกับจะบอกว่า 
	“ฝากที่เหลือด้วยนะ ข้ารู้ว่าทางอีกยาวไกล แต่แกต้องทำได้.. อ้อ! บอกเพื่อนๆด้วยว่าข้าได้ยอมแพ้อย่างองอาจเพียงใด”
	ยอมแพ้มันมีองอาจด้วยเหรอ(วะ).. ผมคิดในใจ ทุกครั้งที่สบกับสายตาพวกนี้ เหมือนบ่าของผมจะแบกรับภาระและความคาดหวังมากขึ้นๆ จนหลายครั้งก็คิดท้อใจอยากจะล้มตัวลงนอน ส่งภาระและความคาดหวังทั้งหมดขึ้นบ่าชาวบ้านแบบสายตาพวกนั้นบ้าง แต่ทิฐิในใจก็คอยปฏิเสธความคิดเห็นแก่ตัวนั้นอยู่ตลอดเวลา ทิฐิในใจยังส่งเสียงให้ผมได้ฮึดสู้ ดัง บรึ๋ย บรึ๋ย บรึ๋ย.. เอี้ย!
	“เอ้า! เสียงดังหน่อย” ครูฝึกตะโกนสั่ง นศท.(นักศึกษาวิชาทหาร) ที่นอนหมอบคลุกฝุ่นหน้าดำกลางแดดเปรี้ยง
	“บรึ๋ย บรึ๋ย บรึ๋ย เอี้ย!” พวกผมขานรับคำสั่งพร้อมเพรียง หลังจากโดนสั่งยึดพื้น(วิดพื้น)เสียหลายสิบยก จนไม่มีใครกล้าแผดเสียงแตกกลุ่มออกมาอีก หรือไม่ก็อาจจะหมดแรงออกเสียงไปแล้ว แม้จะ“อยาก”แหวดเสียงเอ่กโค่กวนบาทาครูฝึก และสหบาทาเพื่อนทั้งกองพันก็ตาม 
	อันคำว่า “บรึ๋ย”นี่ เป็นเสียงแสดงอารมณ์ว่า ไม่ไหว ไม่ดี ไม่ได้เรื่อง ซึ่งครูฝึกได้นำมาตั้งชื่อเป็นสิริมงคลแก่กองพันของเรา เพื่อจะบอกกลายๆว่าพวกผมเป็นอย่างไรในสายตาของพวกครูฝึก 
	ส่วนคำว่า “เอี้ย”นี่ เป็นคำสบถที่แผลงเสียงมา ผมคงไม่ต้องบอกว่ามันเอาเสียง “ห. หีบ”ออก ทุกคนก็คงเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจผมก็จะเฉลยว่าคำนี้เป็นคำที่เอาเสียง “ห. หีบ” ออกไปนั่นเอง
	“วันนี้ ขึ้นเขา” คำสั่งเรียบง่าย ต่างจากทางเดินขึ้นเขาที่ว่ามากมายมหาศาล 
	“ข้างบนสวยมาก เชื่อผม” จบคำสั่ง เหมือนจะช่วยสร้างแรงจูงใจ แต่.. แต่ไม่มีส่วนใดบ่งบอกเลยว่าทางขึ้นเขาเป็นหินกรวดเล็กใหญ่มากมายเกลื่อนก่ายไล่ระดับทั้งคมทั้งลื่นทั้งชัน ตลอดทางไม่มีร่มไม้ใบหญ้าใดให้หวังพักพิง และคำว่าวันนี้ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นเวลาเที่ยงแดดเปรี้ยงกลางกระหม่อม 
	คำว่า“สวยมาก เชื่อผม”เลยยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ และถึงจะจริงตามที่ว่า มันก็คงไม่ใช่เหตุปัจจัยสำคัญแล้ว เพราะสิ่งที่พยุงขาที่เปียกโชกด้วยเหงื่อกาฬจากทั้งร่างกายที่ไหลหลั่งลงมาเป็นทางอยู่ในขณะนี้ เป็นเพียงจิตใจที่พร่ำบอกตัวเองว่า “กูทำได้ กูทำได้ บรึ๋ย เอี้ย!” ไม่ใช่ทัศนียภาพงดงามใดๆที่ครูฝึกพยายามเอามาสร้างแรงจูงใจ ซึ่งก็ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สำเร็จแต่อย่างใดกับหลายๆคน ที่ขณะนี้เริ่มส่งสายตาฝากฝังชาวบ้านกันแล้ว
	ผมปีนมา ป่ายมา ดั้นมา ด้นมา ลงเขาลูกนี้ ข้ามเขาลูกนั้น หลายครั้งเหนื่อยแทบปิดตา หลายคราหวิดจะถอดใจ เดินบ้าง หยุดบ้าง สะดุดบ้าง แต่ไม่ถอยบ้าง เพราะทุกก้าวที่ส่งไปข้างหน้าเท่ากับว่าจุดหมายร่นระยะลงอีกก้าวแล้ว จากเที่ยงล่วงมาบ่ายแก่ๆ ผมยันตัวนอนแผ่หลาหมดแรง ส่งสายตาให้เพื่อน ไม่ใช่สายตาฝากฝังอย่างใครๆ หากเป็นแต่คำกู่ร้อง ดังก้อง “พวกเราทำได้แล้ว พวกเราทำได้แล้ว”ต่างหาก 

	มองทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ครูฝึกว่าสวยนักหนา ผมได้แต่อึ้งน้ำตาไหล และครางออกมาเบาๆ “เอี้ย..บรึ๋ย”				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJintalohitt
Lovings  Jintalohitt เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJintalohitt
Lovings  Jintalohitt เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟJintalohitt
Lovings  Jintalohitt เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงJintalohitt