26 เมษายน 2551 09:50 น.

เจอผีที่อ่างทอง

judas

พี่สมนึกเป็นอดีตพี่ที่ทำงานของผม แกแก่กว่าผมสักสิบปี

ตอนทำงานเราสนิทสนมกันดี พี่สมนึกอยู่ฝ่ายช่าง ผมอยู่ฝ่ายเซลล์ เวลาผ่านไป เราต่างออกจากที่ทำงานเก่า แต่ก็ยังติดต่อกันอยู่ พี่สมนึกแกกลับไปเปิดอู่ซ่อมรถที่บ้านเกิดแก อ่างทอง ก่อนจะเจ๊งไป สุดท้ายแกก็เหลือแต่ร้านขายของชำเล็กๆขายกันอยู่สองคนกับเมีย แกบอกว่าเท่านี้ก็พอแล้วชีวิต จะเอาอะไรมากมาย พออยู่พอกิน ลูกเต้าก็ไม่มีเป็นภาระ ฟังแกพูดเหมือนคนแก่อายุสักหกสิบที่เหนื่อยหน่ายกับชีวิต ไม่เหมือนคนอายุสี่สิบห้าอย่างที่แกเป็น

ผมยังคงย้ายบริษัทไปเรื่อยๆ ย้ายบริษัททีก็ได้ขึ้นเงินเดือนที แต่ก็ยังเป็นเซลล์เหมือนเดิม เบื่อเหมือนกันกับสิ่งที่ทำอยู่ นานๆไปรู้สึกว่าไม่มีเพื่อน ไม่มีใครจริงใจกับเราเลยสักคน มีแต่มองหาผลประโยชน์จากกันทั้งนั้น

พอผมเบื่อมากๆขึ้นมาสักทีนึง ผมก็จะขับรถไปหาพี่สมนึกที่อ่างทอง ไปลากแกออกมากินเหล้ากันหัวราน้ำ พูดคุยเรื่องเก่าๆ เท้าความถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วก็หัวเราะกันได้เป็นวรรคเป็นเวร หรือไม่บางครั้งก็นั่งกินนั่งหัวเราะกันอยู่ในบ้านแกนั่นแหละ

เราสองคนเหมือนกันตรงที่มีแต่ความหลังเท่านั้นแหละมั้งที่ยังสวยงามอยู่

ทุกครั้งที่ผมไปหาพี่สมนึกแล้วออกไปเมากัน พี่ดวงแก้วเมียพี่สมนึกก็ต้องออกมาค้อนควับเอาทุกที พี่ดวงแก้วเป็นผู้หญิงหน้าตาบ้านๆ ท้วมๆ อายุมากกว่าพี่สมนึกห้าปี มาพบรักกันเอาตอนที่พี่สมนึกแกกลับมาอยู่อ่างทองแล้ว พี่สมนึกบอกว่าที่แกแต่งกับพี่ดวงแก้วไม่ใช่เพราะรูปร่างหน้าตา แต่แกแต่งเพราะแกคิดว่าแกอยู่กับพี่ดวงแก้วแล้วคงจะมีความสุข ซึ่งก็จริงสมดังแกคิด

พี่ดวงแก้วไม่ค่อยพูด เป็นแม่บ้านแม่เรือน ทำงานขยันขันแข็ง ทำกับข้าวอร่อย ถึงแกจะไม่ค่อยชอบเวลาที่ผมมาชวนผัวแกเมาข้ามวันข้ามคืน แต่แกก็ต้อนรับขับสู้ชนิดว่าไม่มีขาดตกบกพร่อง เป็นผู้หญิงที่ผมยกมือไหว้เรียกพี่ได้เต็มปากเต็มใจ

เมื่อสักสองเดือนที่ผ่านมานี่เอง ผมเกิดเบื่อกับงานที่ตัวเองทำอยู่อย่างหนัก ร่ำๆว่าจะลาออกให้ได้ ลูกค้าก็งี่เง่า เจ้านายก็งี่เง่า เพื่อนร่วมงานที่บริษัทก็งี่เง่า ใจคอมันดูหงุดหงิดไปหมด ผมผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่ออฟฟิตพักนึง ก่อนคว้ากุญแจรถเดินลงมาตาร์ทรถออกจากบริษัทโดยไม่ขออนุญาตใคร อย่างไรเสียอีกครึ่งชั่วโมงก็เลิกงานอยู่แล้ว

ผมมาถึงอ่างทองเอาตอนโพล้เพล้จะมืดไม่มืด กะว่าจะมาหาพี่สมนึกแบบเซอร์ไพร์ซดู แวะซื้อไก่ย่างกับเหล้าอีกสองกลมจากตลาดติดไม้ติดมือมา พอจอดหน้าร้านก็พบว่าประตูร้านปิดสนิท

นี่แหละหนา ผลของการไม่โทรมานัดก่อน

ผมลองโทรศัพท์เข้ามือถือพี่สมนึก ปรากฏว่าไม่มีคนรับ โทรเข้าร้านก็ไม่มีคนรับ ผมลองเอามือเคาะๆประตูดูก็เงียบ ร้านพี่นึกเป็นห้องแถวไม้แบบเก่าติดกันสามสี่ห้องอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดี ห้องอื่นก็ปิดประตูเงียบกันหมด ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ผมมากี่ทีมันก็ไม่เคยเปิด พี่สมนึกเคยบอกว่าบ้านติดๆกับแกเขาประกาศขายแต่ไม่มีใครซื้อ รอทุบทิ้งอย่างเดียว

ผมนั่งแกร่วรออยู่ที่แคร่เล็กๆหน้าร้าน นึกว่าเป็นความซวยของตัวเองแท้ๆ ร้อยวันพันปีถ้าพี่สมนึกไม่อยู่ พี่ดวงแก้วก็ต้องอยู่ นี่ไม่รู้ไปไหนกันหมดสองคน

ผมนั่งเหม่อแทะไก่ย่างที่ซื้อมาแก้หิวอยู่เพลินๆก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อมีเสียงทักจากข้างหลัง “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะนี่”

ผมหันไป พิโถ พี่ดวงแก้วนั่นเอง วันนี้แกแต่งตัวเสียสวย ผ้าถุงลายสดสีโอรส เสื้อคอกระเช้าขาวใหม่เอี่ยม ผัดหน้าเสียขาวนวล ผมยกมือไหว้แล้วถามว่าพี่สมนึกไปไหน แกบอกว่าออกไปข้างนอก ให้รอสักประเดี๋ยว ผมนั่งรออยู่หน้าร้าน พี่ดวงแก้วแง้มประตูออกมาแค่บานเดียว แกเดินกลับเข้าไปในร้านสักพักก็หยิบขันน้ำแช่น้ำแข็งหยดน้ำยาอุทัยมาให้ ผมพึมพำขอบคุณพลางยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย

ผมถามพี่ดวงแก้วว่าเมื่อกี๊แกไปไหนมา แกบอกว่าแกก็อยู่ในบ้านนั่นแหละ ผมบอกว่าผมโทรศัพท์เข้าไปนะ เคาะประตูด้วยแต่ไม่เห็นได้ยินเสียงขาน แกบอกว่าแกคงนอนหลับไป วันนี้รู้สึกเพลียๆบอกไม่ถูก

พี่ดวงแก้วถามว่าผมกินอะไรมาหรือยัง ผมชูถุงไก่ย่างในมือให้ดูแกผงกหน้ารับรู้ แล้วหายเข้าไปข้างในร้านสักพัก ก่อนหยิบจานหยิบถ้วยน้ำจิ้มมาวางให้ ผมแกะไก่ใส่จานโดยมีพี่ดวงแก้วยืนมองอยู่เงียบๆ

ผมนั่งบนแคร่ มีพี่ดวงแก้วยืนพิงประตูอยู่เป็นเพื่อนแต่แกไม่ยอมนั่ง ผมชวนคุยโน่นคุยนี่สัพเพเหระเพื่อฆ่าเวลา แกก็ประเภทถามคำตอบคำ ปกติพี่ดวงแก้วพูดน้อย แต่วันนี้พูดน้อยกว่าทุกทีเสียอีก

รอนานจนฟ้ามืดสนิท มีแสงไฟจากริมถนนเพียงแค่สลัวๆเท่านั้นที่ทำให้เห็นหน้ากัน พี่ดวงแก้วไม่เปิดไฟที่ร้านแต่อย่างใด หันไปมองเห็นแกหน้าซีดๆเหมือนคนไม่สบาย ผมบอกว่าให้เข้าไปนอนก็ได้ เดี๋ยวผมนั่งรอพี่สมนึกอยู่นี่เอง แต่ถ้าไม่รบกวนขอแก้วกับน้ำแข็งให้ผมหน่อยได้ไหม ผมจะได้นั่งกินเหล้ารอ พี่ดวงแก้วเดินเงียบๆเข้าไปหยิบแก้วมาให้ใบนึง กับน้ำแข็งยูนิทที่ขายในร้านมาวางไว้ให้ถุงนึง แล้วแกก็บอกผมว่า พี่ขอตัวไปนอนก่อนนะ เดี๋ยวสักพักพี่สมนึกก็คงมาแล้ว กินเหล้ารอไปแล้วกัน แล้วแกก็เดินเข้าร้านดึงประตูงับเบาๆ

ผมนั่งจิบเหล้าไปพลางนึกเป็นห่วงว่าพี่ดวงแก้วคงไม่สบายมากจริงๆ เพราะแกดูผิดไปจากที่เคย อย่างน้ำแข็ง ทุกทีแกจะต้องจัดการใส่กระติกมาให้เสร็จสรรพ ไก่ย่างแกก็จะรับไปจัดใส่จาน ไม่ใช้เอาของมาให้แล้วให้จัดการเอาเองแบบนี้ บางทีแกอาจจะไม่ค่อยพอใจก็ได้มั้ง เพราะลองว่าผมมาหาทีไรก็ชวนผัวแกเมากลิ้งกันทุกที

เสียงมอไซค์แล่นมาไกลๆ ผมแงยหน้ามองก็เห็นไฟส่องวาบมา ใกล้เข้าก็เลยรู้ว่าเป็นพี่สมนึก หน้าแกออกจะตื่นๆเมื่อเห็นผม 

“เฮ้ย มาได้ยังไงวะนี่”

“ก็มาจะชวนพี่กินเหล้านี่แหละ”

“อ้อ” แกทำเสียงเหมือนอึ้งๆ “บ้านไม่ได้ล๊อค ทำไมไม่เข้าไปรอในบ้าน ตอนออกไปหากุญแจไม่เจอ”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ รอนี่ก็ได้ จานชามอะไรพี่ดวงแก้วเค้าก็จัดมาให้เสร็จ”

แกมองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกๆ


“แล้วพี่ไปไหนมา”

“ไปหลายที่” แกว่า เสียงรถยนต์ดังเข้ามา แล้วรถกะบะขนอะไรบางอย่างก็มาจอดเทียบที่หน้าร้าน มองใกล้ๆก็เห็นว่าเป็นโลง

“ก็พี่ดวงแก้วเอ็งน่ะ เค้าเพิ่งเสียไปเมื่อเย็น เดินพลาดยังไงไม่รู้ ตกบันไดลงมา คอหักหมุนได้รอบเลย”

“อยู่กันมาแค่สองคน มาเหลือคนเดียว ไม่รู้จะทำยังไงก็นั่งกอดศพเมียร้องไห้อยู่พักนึง สุดท้ายก็เอาศพเค้าอาบน้ำ แต่งตัวสวยๆวางนอนไว้ที่เตียงนอนบนชั้นสองนั่นแน่ะ”

“นี่ก็ออกไปติดต่อวัด ติดต่อพระ ติดต่อร้านโลงให้วุ่น ไปแจ้งข่าวญาติๆด้วย อีกประเดี๋ยวคงมากันแล้วหละ”


ผมหูอื้อ ตาลาย แก้วเหล้าตกลงแตกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

.............................................


				
8 พฤศจิกายน 2549 07:03 น.

ถ้อยระบายของชายตัวเขียว ภาคที่ 2

judas

ความเดิมภาคที่ 1
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story6970.html



ภาคที่ 2
---------------------------

แสงจันทร์ส่องลอดช่องระหว่างเสาไม้ฉายเข้ามาที่ใต้ถุนศาลาวัด 

อีกกี่วันนะ 

นับนิ้วแปดนิ้วของผมดู 

เหลืออีก 7 วันแค่นั้นเอง 

................................. 

ประแจ ไขควง อุปการณ์ต่างๆทั้งหลายของโลกมนุษย์นี่จับลำบากชะมัด 

ทุกอย่างเหมือนถูกออกแบบมาให้ใช้ร่วมกับนิ้วหัวแม่มือทั้งหมด 

ผมไม่มีนิ้วสั้นๆ ที่แข็งแรงแบบหัวแม่มือ ตรงริมสุดด้านในของมือก็เป็นแค่นิ้วที่ยาวๆเท่าๆกับนิ้วอื่น ไม่ได้แข็งแรงไปกว่ากันนัก 

ก็ลำบากอยู่เหมือนกันในตอนแรกๆ แต่ตอนนี้เริ่มชิน.. 



ผมกำลังซ่อมยานของผมอยู่ 

ซ่อมมันด้วยความหวังที่จะได้กลับบ้าน 

หลังจากยานของผมถูกยึดไปเมื่อสามสี่เดือนก่อน ก็มีข่าวจากทางราชการออกมาว่า ยานของผมเป็นของปลอม เป็นของแหกตา 

มีการเอามาออกทีวีด้วยนะ ผมดูจากทีวีที่วัด มีพิธีกรรายการโน้นรายการนี้มาถ่ายทำกันด้วย หัวเราะกันใหญ่ ทำนองว่าใครกันนะที่เชื่อว่าไอ้ยานหน้าตาเหมือนของเล่นนี่เป็นยานจริง 

สุดท้ายหลวงพ่อเลยทำเรื่องขอไปกับทางการ ว่าจะเอายานที่ว่าของเล่นนี่มาตั้งโชว์ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่วัดได้ไหม แล้วเรื่องก็ถูกอนุมัติอย่างง่ายดาย 

ของเล่นชัดๆ ใครมันบ้าเชื่อว่าเป็นของจริงนะ เจ้าหน้าที่ที่เอายานผมมาส่งให้ที่วัด หัวร่อกันอีกยกใหญ่ก่อนที่จะลาหลวงพ่อกลับไป 

มนุษย์นี่ก็แปลกนะ 

เค้าคิดว่ายานของผมเป็นของเล่น เพียงเพราะหน้าตามันไม่เหมือนกับสิ่งที่เค้าคิดว่า ของจริง นั้นควรจะเป็น 

ทำไมเค้าไม่เคยฉุกใจคิดกันบ้าง ว่าภาพของจริงที่เค้าคิดเอาเองนั้น มันอาจไม่จริง? 

แต่ก็อย่างว่าแหละ นี่ก็คือนิสัยของมนุษย์บนโลกใบนี้ตามที่ผมเรียนมาไม่ใช่หรือ 

โลกที่เมื่อมันหมุนรอบตัวเองและเคลื่อนไปรอบดวงอาทิตย์ คนบนโลกกลับมองเห็นว่าดวงอาทิตย์นั้นหมุนขึ้นลงวนเวียนอยุ่รอบโลก 

ทั้งๆที่ตำราทุกเล่มที่โลกนี้มีก็บอกอยู่ทนโท่ว่าโลกเป็นแค่บริวารของดวงอาทิตย์ 

แต่เนื้อแท้ของมนุษย์ก็มักหลงลืม ยึดเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอยู่ดี 


บางคนบอกว่าความไม่รู้นั้นคือความโง่ 

แต่ผมว่าความ หลงผิด ต่างหาก คือความโง่ที่แท้จริง 

เพราะมันจะทำให้คุณมองไม่เห็นอะไรเลย แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะอยู่ตรงหน้าคุณก็ตาม 


หลวงพ่อเอายานมาไว้ที่ใต้ถุนศาลา ที่เป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน ตามที่ได้แจ้งกับทางการ 

แต่ที่หลวงพ่อไม่ได้แจ้งกับทางการคือ หลวงพ่อให้กุญแจผมไว้ พร้อมทั้งเจียดเงินไปซื้อเครื่องมือช่างที่จำเป็น เท่าที่ผมพยายามวาดรูปให้ท่านดูมาให้ผม 

เครื่องมือซ่อมแซมบางอย่าง ก็พอมีหลงเหลืออยู่บ้างในยาน 

อ้อ ผมลืมบอกไป ผมแอบมาอาศัยอยู่ในวัดนานแล้วหละ 

หลวงพ่อจัดที่พักเป็นกุฏิพระเก่าๆที่ไม่มีใครอยู่ให้ผมพัก แล้วให้ผมออกมาเฉพาะกลางคืน จะได้ไม่มีปัญหา อาหารการกิน ท่านก็เจียดไปวางไว้หน้ากุฏิด้วยตัวเองทุกวัน 

ผมซาบซึ้งจนไม่รู้จะพูดยังไง 

ตอนนี้ผมสวดมนต์ได้แล้วนะ หลวงพ่อท่านสอนบทง่ายๆสองสามบทให้ 



ตั้งแต่ได้ยานกลับมา ความหวังที่จะได้กลับบ้านของผมที่เคยเหือดแห้งไปก็กลับคุโชนขึ้นอีกครั้ง 

จากเดิมที่หมดหวัง ผมเริ่มปรับตัวกับโลกใบนี้ได้ เริ่มกินได้มากขึ้น เริ่มนอนหลับได้นานขึ้น เริ่มเรียนรู้ที่จะรักโลกใบนี้มากขึ้น 

เค้าเรียกว่าการ ทำใจ มั้ง 

จนผมคิดว่า ผมคงพออาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้..ตลอดไป 



แต่พอยานมาอยู่ที่วัด ผมก็กลับรู้ตัว ว่าผมไม่มีวันอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกต่อไป 

ผมไม่มีวันนั่งมองยานแล้วมีความสุขกับโลกใบนี้ได้อีกแล้ว 

ผมต้องไป ผมต้องกลับบ้าน 



ผมเริ่มซ่อมยานตลอดคืน และนอนในช่วงกลางวัน 

จากการเช็คสภาพยานและเชื้อเพลิง สารกัมมันตภาพที่เหลืออยู่เพียงพอให้ใช้บินได้อีกนิดเดียวเท่านั้น 

เป้าหมายของผมคือสถานีสำรวจที่ใกล้ที่สุด ที่พวกผมมาตั้งทิ้งไว้ สถานีที่ไททัน ดวงจันทร์ดวงที่ใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ 

ถ้าผมไปถึงที่นั่นได้ ผมก็จะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังยานแม่ที่ออกไปจากระบบสุริยะจักรวาลแล้วได้ 

เครื่องส่งสัญญาณที่ตัวยานของผมมันพังยับเกินเยียวยาแล้ว 

จากเชื้อเพลิงที่เหลือน้อย ผมนั่งคำนวณอยู่ครึ่งค่อนวัน ได้ผลออกมาว่า ผมไม่มีทางขับยานออกพ้นเขตแรงโน้มถ่วงโลกได้เลย 

ผมเกือบหมดหวัง 

ถ้าไม่เห็นข่าวว่าจะมีสุริยุปราคา 



สุริยุปราคา คือการที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และโลกซ้อนทับอยู่บนเส้นตรงเดียวกัน 

พูดให้ง่ายคือ ถ้ามองจากโลก จะเห็นเป็นดวงจันทร์อยู่ในแนวเดียวกับดวงอาทิตย์ 

ซึ่งตรงจุดนั้น แรงดึงดูดของดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์จะบวกกันพอดี 

ถ้าผมออกยานตรงช่วงเวลานั้น มุ่งหน้าเข้าหาทิศสุริยุปราคา แรงดึงดูดนั้นจะหักล้างกับแรงโน้มถ่วงโลก ถึงจะไม่มาก แต่ก็น่าจะมากพอให้ยานผมหลุดออกไปได้ โดยมีพลังงานเหลืออยู่นิดหน่อยหรือไม่เหลือเลย 

แต่การเดินทางเป็นเส้นตรงในอวกาศไม่ต้องใช้พลังงานอยู่แล้ว 

ผมแค่ปรับทิศยานตอนก่อนหลุดจากโลกให้หันหน้าไปทางดวงจันทร์ไททันให้ได้เป็นพอ 

แล้วแรงเฉื่อยของยานกับคอมพิวเตอร์นำทางคงพาผมไปถึงได้ไม่ยาก 



ผมคำนวณแล้วคำนวณอีก 

ลงมือซ่อมอย่างเอาเป็นเอาตาย เวลาน้อยลงเรื่อยๆ 

บางคืนผมหลับคายาน เช้ามาหลวงพ่อต้องอุ้มผมไปนอนในกุฏิก่อนที่ท่านจะออกบิณฑบาตเพราะกลัวใครจะมาเห็นเข้า 

สุริยุปราคาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หนังสือพิมพ์ ทีวีเริ่มประโคมข่าวกันใหญ่ 

ยานผมคืบหน้าไปไม่มาก ผมไม่แน่ใจเลยสักนิด ว่าผมจะทำมันเสร็จทันเวลา 

ที่ข้างกำแพงวัด มีคนเอาโปสเตอร์หนังมาแปะ ผมไปเดินเล่นกลางดึกคืนหนึ่งเพื่อยืดเส้นยืดสายจากงานซ่อมเลยไปเจอเข้า โปสเตอร์ใบนั้นเขียนว่า 

 Get Rich, Or Die Tryin  

ผมฉีกเอามาแปะที่ข้างยาน ขีดคล่อมคำว่า Rich เพราะผมไม่ต้องการรวย 

แล้วเขียนใหม่เป็น 

Get It, Or Die Tryin  

ถ้าผมซ่อมมันไม่เสร็จทันเวลา ผมก็ยอมตายมันอยู่ข้างยานนี่แหละ 


กี่คืนแล้วนะที่ผมไม่ได้นอน 

สามคืน สี่คืน ห้าคืน ผมจำไม่ได้ เหมือนว่ามันเบลอไปหมด 

หลวงพ่อเดินมาดูเป็นระยะ แต่ท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไร ผมคิดว่าท่านคงเข้าใจ 


คุณรู้ไหม เส้นแบ่งระหว่างความสำเร็จกับความล้มเหลวน่ะ มันเป็นแค่เส้นบางๆแค่นั้นเอง 

คนที่ทำสำเร็จคือคนที่ก้าวข้ามเส้นบางๆนั้นไปได้ แม้เพียงแค่เซ็นต์เดียวก็ตาม 

ขณะที่คนล้มเหลว อาจเป็นคนที่ขาดไปแค่เซ็นต์เดียวก็จะข้ามเส้นนั้นได้ 

ความเป็นจริงก็คือ เรื่องราวในจักรวาล ไม่ได้ต่อเนื่องเป็นเส้นตรงไปเรื่อยๆ แต่ขยับเป็นลำดับขั้นแบบขั้นบันได 

มีแค่ได้ กับ ไม่ได้ 

เกือบได้ ไม่ได้มีความแตกต่างกับ ไม่ได้อย่างสิ้นเชิง 

ได้แบบฉิวเฉียดกับ ได้แบบสบายๆ ก็ไม่ได้ต่างกัน 

ผมวางเดิมพันทั้งหมดที่ผมมี เพื่อก้าวข้ามเส้นบางๆที่ว่าให้ได้ ซ่อมยานให้เสร็จทันเวลา 



ตีห้าของวันที่จะเกิดสุริยุปราคา ผมซ่อมมันเสร็จ 

เสียงหลวงพ่อทำวัตรเช้าแว่วมา ผมนั่งยองๆพนมมืออยู่ข้างยาน 

น้ำตาไหล ไม่รู้ทำไม 



สายวันนั้น หลังจากผมกินข้าวอิ่ม หลวงพ่อก็มาช่วยลากยานไปไว้ที่ป่าช้าหลังวัด เพื่อรับประกันว่าจะไม่มีใครมาเห็น 

ทุกอย่างพร้อม เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง สุริยุปราคาเต็มดวงจะเกิด 

ผมเข้าไปกราบเท้าหลวงพ่อ 

ท่านให้พรผมเป็นภาษาบาลี 

ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี ผมเลยสวดอะระหังสัมมาให้ท่านฟังจนจบ 

ท่านลูบหัวผมแบบเอ็นดู 

ไปดีนะ ไอ้เขียว ท่านพูดแล้วหันหลังเดินจากไป ปล่อยผมไว้ลำพังกับยาน 



ตอนนี้ผมนั่งรออยู่ในยานเรียบร้อย ดูนาฬิกานับถอยหลัง 

มองออกจากหน้าต่างเห็นโปสเตอร์ Get It, Or Die Tryin  ปลิวหลุดไปตามลม 


5-4-3-2-1 


ฟ้ามืดแล้ว 

เสียงประทัดดังลั่น 

นกบินกลับรังกันเป็นหมู่ 

ผมกำลังจะกลับบ้าน 



ยานผมพุ่งทะยานวาบขึ้นไปในอากาศ สูงขึ้น สูงขึ้น เหมือนใครบางคนจุดพลุไฟขึ้นฟ้า 

ในห้องนักบิน ตัวยานเสียดสีกับบรรยากาศโลกจนเสียงดังแสบแก้วหู ทางด้านซ้ายเหมือนมีอะไรหลุดออกไป ทำให้ยานแกว่ง 

ผมมือเย็นเฉียบ กุมคันบังคับแน่น 

จะออกไปนอกชั้นบรรยากาศได้ก่อนยานพังหรือเปล่า ? 

เชื้อเพลิงผมจะพอพายานหลุดออกจากชั้นบรรยากาศได้จริงหรือเปล่า ? 

ผมหลับตา นึกถึงบ้าน ที่ผมยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตเพื่อให้ได้กลับไป 

ย้อนนึกถึงสิ่งที่ทำมาทั้งหมดที่ผ่านมา 



จริงสินะ ที่ผ่านมาผมทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้จนหมดแล้ว 

ผมทำดีที่สุดแล้ว 

สิ่งที่เหลือ บางทีอาจเป็นโชคชะตา บางทีอาจเป็นความบังเอิญหรือ อะไรก็แล้วแต่ ผมคงไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว 



สุดท้ายผมก็ได้รู้ 

ว่าการที่เราได้ทำ เต็มที่ หรือยัง มันอาจสำคัญมากกว่าการ ไปถึงหรือเปล่า 


ผมยิ้มกับตัวเอง คลายมือจากคันบังคับ 

หลับตา.. เอ่ยคำอำลากับโลกใบสีฟ้าสวย 


..ผมไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว ว่าท้ายที่สุด ผมจะทำมันสำเร็จหรือเปล่า..
				
13 ตุลาคม 2549 16:49 น.

อาซิ้มในชุดสีดำ

judas


บนถนนเต็มไปด้วยรถ บนฟุตปาทเต็มไปด้วยผู้คน 

สายหมอกในยามเช้าของต้นฤดูหนาว ถูกกลบด้วยควันท่อไอเสีย 

ตรงซอกตึก ตรงมุมมืด ใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้น 

อาซิ้มแก่ๆ สวมชุดสีดำทั้งชุด 

....................................... 

ตั้งแต่ผมย้ายที่พักมาอยู่กับแฟนแถวใจกลางเมือง ผมต้องตื่นแต่เช้ากว่าปกติเพื่อออกไปทำงานให้ทันเวลา 

ทั้งระยะทางที่ไกลกว่าเดิม ทั้งการจราจรที่ติดขัดกว่าเดิม 

วันแรกที่ผมต้องออกมายืนรอรถเมล์แต่เช้ามืดผมก็เห็นอาซิ้มชุดดำแกยืนอยู่ตรงมุมตึกนี่แล้ว 

อาซิ้มในชุดสีดำทั้งชุด ใบหน้าเหี่ยวย่น ขาวซีด.. 


แกยืนของแกอยู่เงียบๆอย่างนั้นทุกวัน 

ยืนเหมือนไม่สนใจใคร และที่สำคัญไม่มีใครสนใจแก 

บางครั้งผมเห็นแกไอเหมือนจะเป็นจะตาย ไอเหมือนว่าปอดเหี่ยวๆของแกจะหลุดออกมาข้างนอก 

สาวในชุดทำงานแบบยูนิฟอร์ม หนุ่มหิ้วกระเป๋าเอกสารผูกไทด์ นักเรียน ม.ปลายแว่นหนาแบกเป้ใบโต ไม่มีสักคนที่สนใจจะหันมาดู 

จนผมนึกสงสัย ว่าพวกเขามองเห็นแกเหมือนที่ผมเห็นหรือเปล่า 



บางวัน แกนับเงินในมือ เหมือนว่าเงินในมือแกจะไม่พอ 

แกเอื้อมมือเหมือนว่าจะสะกิดคนที่เดินผ่านไปมา 

แต่ไม่มีใครสักคนหยุดมอง 

ไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่าแกกำลังทำอะไร

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน ? 



มีอยู่วันหนึ่งเหมือนว่าแกจะปวดท้อง ลงไปนั่งกุมท้องอยู่ตรงซอกตึกมืดมุมนั้น 

ผู้คนก็ยังคงเดินผ่านแกไปเช่นเดิม 

ไม่มีใครสักคนเลยหรือที่มองเห็นแก ? 


ผมตัดสินใจขยับจะเข้าไปหาเพื่อถามไถ่ รถเมล์คันที่รออยู่ก็มาพอดี 

ผมชั่งใจอยู่แวบหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกวิ่งขึ้นรถเมล์ 

ผมไม่อยากไปทำงานสาย 


แล้ววันรุ่งขึ้น แกก็กลับมายืนอยู่ที่เดิม 

ใส่ชุดสีดำของแกเหมือนเดิม 


......................................... 


ผมเล่าเรื่องอาซิ้มในชุดดำที่ผมเห็น แต่เหมือนไม่มีใครเห็น ให้เพื่อนที่ทำงานฟัง 

ผีหรือเปล่า ระวังนะเว้ย คำพูดนั้นล้อเล่น แต่ทำเอาผมวูบเข้าไปในใจ.. 


หรือว่าแกจะเป็นผี.. 


นึกถึงเรื่องของเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นดีเจ ที่เล่าว่าเขามองเห็นผีหัวขาดยืนอยู่หน้าสถานีทุกวันก่อนเข้าทำงาน 

นึกถึงประสบการณ์จากเพื่อนร่วมห้องสมัยมหาลัย ที่เคยเจอกับตัวเอง และยืนยันกับผมว่า เราสามารถเห็นผีได้แม้กลางวันแสกๆ เดินปะปนไปมาอยู่รอบๆตัวเรา 

คิดมาถึงตรงนี้ ผมเย็นวาบไปตลอดหลัง 

นี่ผมโดนผีอาซิ้มหลอกมากี่วันแล้วเนี่ย.. 


......................................... 


ตั้งแต่นั้นมา ทุกเช้า ผมพยายามไม่มองไปยังซอกตึกที่แกมักจะยืนอยู่ 

แต่คนเรา ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ยิ่งพยายามไม่สนใจอะไร ความสนใจเราก็มักจะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น.. 


ผมเหลือบไปดูผีอาซิ้มในชุดดำบ่อยๆ 

เพิ่งสังเกตเห็น ว่าหน้าแกซีด ตาแกลึก ดูอิดโรย 

บางครั้งไอเหมือนบ้า บางครั้งถ่มเสลดลงพื้น บางครั้งก็ปวดท้องจนต้องทรุดกายนั่งเอามือข้างหนึ่งยันกำแพงตึกเอาไว้.. 

ผู้คนที่เดินผ่านไปมา ไม่มีใครสักคนที่เห็นแก 

มีเพียงผมคนเดียวที่เห็น ทั้งๆที่พยายามทำเป็นไม่เห็น 


แกรอรถสายอะไรนะ.. ? 

ถึงได้มารออยู่ตรงนี้ทุกวัน 

ผมยังไม่เห็นแกขึ้นรถเมล์คันไหนเลยสักคัน 

เหมือนกับว่าแกรอคอยรถที่ไม่มีวันมาถึง.. 


ทุกครั้งที่แกไอ 

หลายครั้งที่แกโก่งคอเหมือนจะอาเจียน 

ผมได้แต่นึกสงสัยในใจ ว่าแกเป็นอะไรตาย 

และทำไมดวงวิญญาณของแกถึงได้มาวนเวียนอยู่แถวนี้ 


........................................ 


แล้ววันหนึ่ง คำตอบทั้งหมดก็กระจ่าง 

วันนั้น ผมตื่นสาย เพราะแฮงค์จากการกินเหล้ากับเพื่อนเก่าสมัยมหาลัย 

เกือบสองโมงเช้าแล้ว ผมตาลีตาเหลือกวิ่งมาที่ป้ายรถเมล์ วันนี้คงไปทำงานสายแน่ๆ 

อาซิ้มชุดดำยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่เลือนหายไปตามแสงแดดที่แรงขึ้น 


วันนี้แกยังคงไอเหมือนเดิม.. 

เสียงรถยนต์บนถนน ดังกลบเสียงไอของดวงวิญญาณ.. 


แล้วรถเมล์คันหนึ่งก็เคลื่อนเข้า่ป้าย 

รถสายนี้มีไม่ถี่นัก นานๆผมจะเห็นผ่านมาสักคัน ผิดกับสายที่ผมนั่งที่มาถี่กว่ากันมาก 

อาซิ้มเดินออกมาจากมุมตึกที่มืดมิด 


ผมมองตาม กลั้นหายใจ 

รู้สึกเหมือนจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น 

แกไม่เคยออกจากมุมตึกนั้นมาก่อน 


อาซิ้มเดินตรงมาที่ป้ายรถเมล์ 

แล้วเหรียญสิบบาทก็หล่นกลิ้งจากมือแก 

กลิ้งลงถนน 

แกรีบวิ่งตาม เร็วเท่าที่สังขารจะพออำนวย 


เหรียญไปกลางถนนแล้ว 


แท็กซี่ปาดหน้ารถเมล์มาอย่างเร็ว เพื่อมารับผู้โดยสารคนหนึ่งที่ยกมือโบก 

อาซิ้มชุดดำถูกชนอย่างจัง กระเด็นล้ม หัวฟาดฟุตปาท เลือดไหลนอง 

รถยนต์อีกคันเหยียบเหรียญสิบบาทของแกให้แน่นิ่งอยู่บนพื้นถนน 

ผมตะลึงกับภาพตรงหน้า 



ในที่สุด ผมก็รู้แล้วว่าแกเป็นอะไรตาย.. 



















เสียงกรีดร้องลั่นป้ายรถเมล์ 

ผู้คนเริ่มมุงเข้าไป 

กลิ่นเลือดคลุ้งปนในอากาศ 


เค้าเห็นกันด้วยหรือ ? 


คนอื่นๆนอกจากผม เห็นเหตุการณ์การตายของแกกันด้วยหรือ ? 

ผมแปลกใจ.. 


เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ 

ชายหนุ่มผูกไทด์ขยับเข้าไปมุง หญิงสาวในชุดทำงานชะเง้อดูอยู่ห่างๆ เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนม.ปลายพยายามเบียดคนเข้าไปดู 

เหมือนกับว่าทุกคนเพิ่งมองเห็นแก 



รถปอเต๊กตึ๊งมายกศพแกขึ้นรถ 

ร่วมกตัญญูมาช้ากว่า ได้แต่สบถด้วยความผิดหวัง 

ตากล้องจากหนังสือพิมพ์เข้าถ่ายภาพ ตำรวจเข้ามาซักถามว่าใครบ้างที่รู้ว่าอาซิ้มคนนี้เป็นใคร 

ไม่มีใครรู้.. 

เพราะแกไม่เคยมีตัวตนมาก่อน 

แกเพิ่งมีตัวตนหลังจากที่แกโดนรถชนตาย 

...................................... 


ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ การจราจรบนถนนวุ่นวาย 

ผมรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง ทรุดตัวไปนั่งตรงข้างป้ายรถเมล์ 

ไม่มีใครสนใจ.. 



เหมือนไม่มีใครสักคนที่มองเห็น 

......................................				
22 กรกฎาคม 2549 22:22 น.

ถ้อยระบายของชายตัวเขียว ภาคที่ 1

judas




เปาะ แปะ เปาะ แปะ

ยุงชุมจัง

ผมเอามือเขียวๆที่มียางเหนียวๆลูบเอาซากยุงออกจากผิวหนังลื่นๆ

มันก็ออกจะเสี่ยงอยู่เหมือนกัน ที่ผมออกมานอนคุดคู้บนศาลารอรถข้างทางนี่ ใครอาจจะออกมาเห็นเข้าก็ได้ ถึงมันจะดึกแล้วก็เถอะ

แต่ผมก็อยากที่จะเข้าใกล้หมู่บ้านขึ้นมาอีกนิด ได้ใกล้ๆแสงไฟขึ้นอีกหน่อย

มันอบอุ่นดี
.
.
.
.
นี่กี่วันแล้วนะ

ผมยกนิ้วที่มีข้างละสี่นิ้วขึ้นมานับ

ถ้าให้เขียนเป็นภาษาโลกมนุษย์ก็ 15 วัน

ถ้าเป็นภาษาบ้านผมก็ 17 วัน

อ๋อ ผมลืมบอกไปสินะ

ว่าที่ที่ผมจากมาน่ะ เค้าใช้เลขฐานแปดกัน
.
.
.
.
ยานตกกลางไร่ข้าวโพด

ผมไม่เป็นอะไรมากหรอก ระบบนิรภัยในยานได้รับการออกแบบมาอย่างดี

แต่ตัวยานเสียหายหนักเอาเรื่อง ที่แย่หนักคือระบบสื่อสารกับยานแม่พัง

ผมทดลองแกะๆซ่อมๆอยู่สี่วัน ทำท่าจะมีความหวังว่าจะซ่อมได้ อย่างน้อยก็น่าจะพอติดต่อกับยานแม่ได้

ดันโชคร้ายสุดๆ ที่มีคนมาเจอยานผม แล้วก็ลากไปไหนก็ไม่รู้ ท่าทางแตกตื่นกันใหญ่

ดีนะที่ผมออกไปหาน้ำกินที่แอ่งน้ำไกลออกไป ไม่งั้นคงโดนจับไปพร้อมกับยาน
.
.
.
.
หลังจากนั้นก็มีคนมาค้นหาตัวผมนะ

แต่เค้าหาไม่เจอหรอก

ผมตัวไม่ใหญ่ สูงแค่เอวพวกคุณเอง

แค่ผมซ่อนเงียบอยู่ในไร่ข้าวโพดก็ลำบากที่จะมองเห็นแล้วหละ
.
.
.
.
ปัญหาใหญ่นอกจากเรื่องจะกลับบ้านยังไงคือเรื่องอาหาร

ผมกินอาหารที่พวกคุณกินกันได้อยู่นะ

แต่ปัญหาคือจะหาอาหารมาจากไหนแค่นั้นแหละ

ไอ้ครั้นจะให้ไปด้อมๆจับปูจับปลากินรึก็ลำบาก

เกิดงูเงี้ยวกัดตายขึ้นมาก็ไม่ได้กลับดาวกันพอดี
.
.
.
.
ผมทนหิวอยู่ได้สี่วัน หัวใจที่อกข้างซ้ายก็หยุดเต้น

นี่ดีนะที่อีกดวงที่อกข้างขวามันยังทำงานปกติน่ะ

เช้าวันที่ 5 ผมนอนพะงาบๆ น้ำเหนียวๆไหลเยิ้มทั่วตัวอยู่ริมถนนลูกรัง

ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงตายแน่ๆ

พอถึงเวลาจริงๆผมก็ไม่ได้กลัวตายสักเท่าไหร่หรอกนะ

แค่รู้สึกใจหาย

ผมอยากกลับไปตายที่บ้าน..
.
.
.
.
แต่วันนั้นโชคดี มีมนุษย์หัวล้านๆนุ่งชุดเหลืองๆผ่านมา

พวกคุณเรียกกันว่าพระ? ใช่ไหม? ผมคงจำไม่ผิด

พระหยุดมองผม ผมก็มองท่านทั้งๆที่นอนหมดแรงอยู่นั่นแหละ

ถ้าเป็นธรรมดาผมคงหนีไปแล้ว แต่ตอนนั้นผมหนีไม่ไหวจริงๆ

ผมคิดว่าตอนนั้นท่านคงรู้แล้วหละว่าผมเป็นมนุษย์ต่างดาว ข่าวออกจะดัง

แต่ท่านก็ไม่ยักกะตกใจแฮะ

พระมองผมนิ่งๆอยู่สักพัก

แล้วก็เปิดกระป๋องใบโตๆดำๆที่อุ้มมาด้วย หยิบข้าวมากำมือนึง ต้มจืดอีกถุงนึง มาวางไว้ข้างๆผม แล้วท่านก็เดินไป

ผมกัดก้นถุงแกงจืดดูดกินทั้งน้ำ ทั้งเนื้อ

นั่นแหละที่ทำให้ผมรอดตายมาได้

ตั้งแต่วันนั้น ผมก็มาดักรอพระที่เดิมทุกวัน

ท่านก็แบ่งอาหารในกระป๋องมาให้ทุกวัน

เออ..

ตอนนี้ผมกินข้าวเป็นแล้วนะ
.
.
.
.
ภาษามนุษย์ผมพอรู้มั่ง งูๆปลาๆ

ให้คล่องเลยคงไม่ได้ เพราะมนุษย์มีภาษาเยอะ พวกผมก่อนมาทำงานก็ต้องเรียนกันคนละหลายๆภาษาตามแต่บริเวณที่จะไปทำงาน

ผมรู้หมดนะ ทั้งภาษาจีน ไทย เขมร ลาว พม่า มลายู

แต่ก็อย่างที่บอกไม่คล่องสักภาษา

ฟังได้อ่านได้ แต่จะให้พูดก็ยังขัดๆเขินๆอยู่

กลัวสำเนียงไม่ได้น่ะ
.
.
.
.
เปาะ แปะ เปาะ แปะ

ยุงชุมชะมัด

ผมมองดูดาวบนฟ้า  

คุณรู้จักดาวนายพรานกันใช่ไหม

ดาวของผมน่ะ อยู่แถวเข็มขัดนายพราน ถ้ามองจากโลกนะ

นี่ผมยังนึกไม่ออกเลย ว่าจะกลับบ้านยังไงดี ยานก็ไม่มีแล้วด้วย

ตอนอยู่ที่โน่นน่ะ ผมไม่เคยรักดาวของผมมากขนาดนี้มาก่อนเลยนะ

ไอ้นั่นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็แย่

แต่ตอนนี้..

อะไรๆเกี่ยวกับดาวผม มันก็เหมือนจะดูดีไปเสียทั้งนั้น
.
.
.
.
ก่อนผมมา มีหลายคนเคยถามว่าทำไมผมชอบเดินทาง เดินทางเพื่ออะไร

ผมตอบอะไรที่เท่ห์ๆไปตั้งหลายอย่างแน่ะ

ผมออกเดินทางเพราะความรักในการผจญภัย เพื่อแสวงหาความท้าทาย ไปเพื่อการค้นพบสิ่งแปลกๆใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม สวยงามกว่าเดิม หรือเพราะเพื่อต้องการเรียนรู้อวกาศที่กว้างใหญ่ ฯลฯ

แต่ตอนนี้ ถ้าใครมาถามผมตอนนี้ด้วยคำถามเดิมนะ

ผมจะบอกว่า

.

ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้เรียนรู้ตัวเอง

ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะค้นพบความสวยงามในสิ่งเดิมๆเก่าๆ ที่คุ้นชินและจำเจ

ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้ เห็น ในสิ่งที่เคย มอง แต่ไม่เคย เห็น

ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้พบกับ ความรัก ที่ไม่เคยรู้ว่ามี ซ่อนอยู่ข้างในใจของผม
.
.
.
.
ที่จริงแล้ว.. 

ผมออกเดินทาง เพื่อที่จะได้กลับไป
.
.
.
.
แต่ว่าผมจะกลับไปยังไง ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกัน

				
18 มิถุนายน 2549 19:43 น.

เรื่องเล่าในคืนหนาว..

judas

ผมเป็นคนหน้าใหม่ของเมืองนี้..

เมืองใหญ่ที่วุ่นวายสับสน แต่ผู้คนไม่ถึงกับแออัด นี่เป็นวันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่จริงๆจังๆ ไม่นับสองสามวันในอาทิตย์ก่อนที่ผมมาเพื่อหาบ้านเช่าและย้อนกลับไปขนสัมภาระทั้งหมดที่มีในชีวิต มาเริ่มต้นใหม่ที่นี่

ผมเพิ่งไปรายงานตัวกับที่ทำงานใหม่ในตอนบ่าย พรุ่งนี้ถึงจะเริ่มทำงาน

แวะซื้ออาหารและสิ่งของจำเป็นในตัวเมือง และด้วยความที่ไม่คุ้นทาง ฟ้าก็มืดลงเนิ่นนาน ก่อนที่ผมจะถึงบ้าน

รถเมล์คันสุดท้ายสุดสายห่างบ้านผมเกือบครึ่งกิโล ผมกระชับเสื้อแจ๊กเก็ตเดินฝ่าความหนาวจากป้ายรถเมล์ผ่านถนนที่ค่อนข้างมืดและเงียบ มีรถผ่านไปมาบ้าง แต่ไม่ถี่นัก..

คืนหนาว ใบไม้ร่วง ต้นไม้ที่เหลือแต่กิ่งก้านตัดกับพระจันทร์เสี้ยวด้านหลัง ทำให้อากาศดูเหมือนจะยิ่งหนาวมากกว่าที่มันเป็นอยู่..

ประสาทสัมผัสของมนุษย์มักถูกทำให้เบี่ยงเบนด้วยอารมณ์

ผมได้ยินเสียงกรีดร้องจากริมถนนฝั่งตรงข้าม เหลือบตาขึ้นดู เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งแต่งตัวมอมแมมเหมือนเด็กจรจัด ผู้ชายอีกคน หนวดเคราเฟิ้มแต่งตัวไม่ต่างกัน กำลังบีบคอแม่หนูน้อย บีบจนแน่น กดร่างนั้นไว้กับพื้นฟุตปาท

ผมหยุดยืนมอง

แม่หนูน้อยพยายามดิ้นรน แต่ดูเหมือนว่าจะอ่อนแรงลงทุกที ทุกที..

เฮือกสุดท้ายของลมหายใจแม่หนูน้อยหันมองมาทางผม ด้วยสายตาวิงวอน สิ้นหวัง..

ผมยังคงยืนเฉย มองดูเด็กหญิงขาดลมหายใจไปต่อหน้าต่อตา

จากนั้นผมก็สาวเท้าออกเดินต่อ..

.
.
ถ้าเป็นเมื่อสักหลายวันก่อน ผมคงเข้าไปช่วย
.
.

ขยับกระเป๋าโน้ตบุคบนบ่าให้เข้าที่ จากป้ายรถเมล์ไปบ้านที่จริงก็ไม่ไกลเกินไปนัก แต่อาจเพราะด้วยน้ำหนักของกระเป๋าโน้ตบุคและลมหนาว จึงทำให้มันดูไกลเหมือนไม่รู้จักถึง..

เอี๊ยด..โครม กลางถนนด้านหน้า รถเก๋งสีขาว ดูจากรุ่นน่าจะสักยี่สิบสามสิบปีก่อน หากแต่ยังใหม่ พุ่งเข้าเสยเสาไฟฟ้าริมถนน ห่างออกไปด้านหน้าผมไม่เกิน 5 เมตร

ผมเดินไปหยุดดูตรงริมกระจก คนขับยังหายใจพะงาบๆ ลำตัวอัดเข้ากับพวงมาลัย กระจกแหลมเสียบเข้าไปในตา ท่าทางจะลึก เลือดปุดๆออกมาเหมือนเวลาท่อน้ำใต้ถนนแตก

นี่แหละน๊า รถรุ่นเก่า กระจกยังไม่เป็นกระจกนิรภัยก็แบบนี้แหละ

ผมออกเดินต่อไป โดยไม่รอให้ชายในรถขาดใจตาย 

ผมรู้..ว่ายังไงเขาก็ตายแน่ๆ


.
.


เดินต่อมาได้อีกนิด ขณะกำลังผ่านร้านขายเครื่องเขียน ผมก็รู้สึกเหมือนว่าผมไม่ได้เดินอยู่คนเดียว แต่เมื่อเหลียวหันกลับไปมองก็ไม่เห็นใคร

.
.

อีกสักสิบก้าวตรงด้านหน้ามีถังขยะ ตรงมุมมืดของถัง มีเด็กทารกแรกเกิดนอนร้องไห้จ้า ร่างเขียวเป็นจ้ำๆอมม่วงถูกไต่ด้วยมดแดงจำนวนนับร้อย คงถูกแม่ใจยักษ์เอามาทิ้งไว้เมื่อนานมาแล้ว

ใบไม้แห้งปลิวผาดผ่านฟุตปาท ภายใต้แสงจันทร์จางๆ เสียงร้องไห้ดูน่าเวทนาจนวังเวง

ผมไม่แม้แต่จะคิดอุ้มเด็กคนนั้นขึ้น

เพราะผมรู้ ว่าเด็กคนนั้นตายไปนานแล้ว..

.
.

คุณคิดว่าคนเราตายแล้วดวงวิญญาณจะไปไหน?

นรก-สวรรค์ มีจริงหรือเปล่าผมไม่รู้ ผมรู้เพียงแต่ว่าบางดวงวิญญาณ ไม่ได้ไปไหน เขายังไม่ยอมรับว่าตัวเองตายไปแล้ว ยังคงยึดติดอยู่กับสถานที่สุดท้ายที่จดจำได้ วนเวียนทำอะไรซ้ำๆเดิมๆ เหมือนกับหวังว่าอะไรๆจะดีขึ้น จะเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่มันเคยเป็น

แต่แล้วสุดท้าย มันก็จบลงเหมือนเดิม

เด็กหญิงในชุดสกปรก ชายคนขับในรถเก๋งสีขาว เด็กทารกข้างถังขยะ เขาเหล่านั้น คงจะตายบนถนนสายนี้ ในต่างกรรม ต่างวาระ และยังคงวนเวียนอยู่ไม่ได้ไปไหน เพียงแต่ผู้คนมักจะมองไม่เห็นเขาเท่านั้นเอง

แต่ไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี

.
.

ตรงตึกสูงด้านหน้าก่อนเลี้ยวเข้าซอยบ้านที่ผมเช่า เดี๋ยวจะมีผู้หญิงในชุดนอนสีชมพูตกลงมาตาย..

ตุ้บ ร่างนั้นตกคลาดหลังผมไปนิดเดียว หน้ายุบไปครึ่งซีก แขนขาหักหมดทุกข้างกลางลำตัวมีรอยไหม้เป็นแถบยาวสองสามแถบ คงหล่นมาพาดกับสายไฟแรงสูง

รายละเอียดทั้งหมดนี่ผมบอกคุณโดยไม่ต้องเหลียวไปดูด้วยซ้ำ

ทำไมน่ะเหรอ..

หึ.. ผมเห็นมันมาทุกคืนนั่นแหละ

.
.
ผมเลี้ยวเข้าซอย บ้านเช่าอยู่ไม่ไกลเกิน 30 เมตร

เฮ้อ..ถึงบ้านซะที จะได้นอนพักให้เต็มตื่น พรุ่งนี้ค่อยไปเริ่มงาน งานใหม่ ชีวิตใหม่
.
.

เสียงฝีเท้าด้านหลังผมดังชัดขึ้น

ผมเหลียวกลับไปดู แต่ยังหันไม่ทันเสร็จก็ได้ยินเสียง พลั่ก หนักๆ ปวดแปลบที่ท้ายทอย รู้สึกว่าเข่าลงไปแตะพื้น แล้วก็ได้ยินเสียง พลั่ก อีกที..
.
.
.
.
.
.
.
....................................................................................

ผมเป็นคนหน้าใหม่ของเมืองนี้..

เมืองใหญ่ที่วุ่นวายสับสน แต่ผู้คนไม่ถึงกับแออัด นี่เป็นวันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่จริงๆจังๆ ไม่นับสองสามวันเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ผมมาเพื่อหาบ้านเช่าและย้อนกลับไปขนสัมภาระทั้งหมดที่มีในชีวิต มาเริ่มต้นใหม่ที่นี่

ผมเพิ่งไปรายงานตัวกับที่ทำงานใหม่ในตอนบ่าย พรุ่งนี้ถึงจะเริ่มทำงาน

แวะซื้ออาหารและสิ่งของจำเป็นในตัวเมือง และด้วยความที่ไม่คุ้นทาง ฟ้าก็มืดลงเนิ่นนาน ก่อนที่ผมจะถึงบ้าน

รถเมล์คันสุดท้ายสุดสายห่างบ้านผมเกือบครึ่งกิโล ผมกระชับเสื้อแจ๊กเก็ตเดินฝ่าความหนาวจากป้ายรถเมล์ผ่านถนนที่ค่อนข้างมืดและเงียบ มีรถผ่านไปมาบ้าง แต่ไม่ถี่นัก..
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


				
Lovers  0 คน เลิฟjudas
Lovings  judas เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟjudas
Lovings  judas เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟjudas
Lovings  judas เลิฟ 0 คน
  judas
ไม่มีข้อความส่งถึงjudas