21 กันยายน 2547 11:47 น.

คนจรตัวจริง

nava

ยามเช้า
ย่ำย่างใกล้เข้ามาแล้วคนจรตัวจริง
ในรูปรอยอันมอมแมมกระดำกระด่าง
กลิ่นสาบไคลที่คลุ้งโชยด้วยเขามิได้ชำระผิวกาย
ไม่มีใครรบกวนเขา และเขาก็มิเคยก้าวก่ายใคร

เส้นทางสายถนนที่ทอดไกล
มีเพียงจังหวะการก้าวและหายใจ
ย่ำ ย่าง ดุ่มเดิน
จุดหมายที่ไม่มีใครรู้หรือแม้แต่ตัวเขาเองไหม?
ไม่มีใครสนใจเขา และเขาก็มิได้ใส่ใจใคร

เช้านี้จะกินอะไร?
ค่ำนี้จะนอนไหน?
มิใช่ปัญหา

ย่ำมาแล้วคนจรตัวจริง
ผู้มีจริตอันวิกลการหรืออย่างไร?
เสื้อสีซีดเก่าอันวิ่นขาดสีเดิม
ผู้ที่เดินผ่านหน้าฉันจนชินคุ้นตา
สะพายกระเป๋าอันเก่ามอม
ข้างในบรรจุสารพัดใบไม้
ส่วนเสี้ยวของเศษกระดาษอันยับย่น
กระทั่งไม้เสียบลูกชิ้นนานาขนาด
ถุงพลาสติกที่เคยบรรจุส้มตำ
ที่เก็บได้ริมรายทาง

โอ..คนจรตัวจริง..
เช้านี้ฉันยื่นถุงอาหารให้
ไถ่ถาม บ้านเจ้าอยู่หนใด
เขาเมินเฉย  ดั่งผู้คนทั้งโลกแปลกหน้าเหลือเกิน
เหมือนมิได้ยิน   เหมือนไม่เข้าใจ
เหมือนๆมิไยดี
เขารับไว้แล้วเดินต่อไป				
14 กันยายน 2547 21:40 น.

คือด่างดวงใบใดที่ร่วงราย

nava


หนึ่ง: คือด่างดวงใบใดที่ร่วงราย

เถิดคนที่ข้ารัก
กิ่งโปรยใบปลิดจักร่วงโผ-
ซบดินสิ้นค่าการเติบโต
แต่เติมค่าอักโขต่อเนื้อดิน

อาจไร้ค่าแล้วต่อก้านใด
แต่รากเหง้าเนื้อในใคร่ถวิล-
ดูดซับด่ำซาบเติบชีวิน
เสี้ยวเศษซากแหว่งวิ่นใต้ต้นตอ

หากจิตวิญญาณเจ้า
ดั่งดอกไม้-รูปเงา ผลิ เติบ ต่อ
เถิดแย้มบานตามกาละควรถักทอ
แต้มสีสัน พรรณกอ ลออเคียง

ข้าอาจดุจใบไม้นั้น
กาลเปลี่ยนเวียนผัน วัย-วันก็เหวี่ยง-
ผุสลายเป็นได้ก็แต่เพียง
เศษธุลีที่ปนเปื้อนเลี้ยงเนื้อดิน




สอง: แม้เช่นนั้น

แม้เช่นนั้น
จะยังฝันยิ้มใสในพื้นถิ่น
เฝ้ามองเจ้าแย้มงามเป็นอาจิณ
เจ้าดอกไม้ไม่ยลยิน มิเป็นไร

ดวงใจใดจะเย้ยหรือเอ่ยหยัน
ยิ้มจะเยาะอย่างนั้นต่อวันใหม่
ฟ้ายังสาดสีทองทอส่องใจ
ดาวยังพริ้ม ปริ่ม ไกวให้ย้ำมอง


เจ้าจะยังคงค่าต่อข้าเสมอ
ในเวิ้งหมอกพร่าเบลอที่เลือนล่อง
ในแผ่วเพลงปลอบหวังแว่วรังรอง
ปลุกหัวใจคับพองคับห้องใจ

โดยมิอาจขลาดทั้งการพลั้งพลาด
ดารดาดภาพฝังยังสดใส
เถิดเจ้ายิ้มปริ่มว่าละมุนละไม
ข้าคงอุ่นข้างใน-เจ้าเย้างาม

เถิดความงามทั้งมวลที่อวลอุ่น
เร้าในความละมุนมิครุ่นถาม
ถั่งวิถีเพลงเหงาคือเศร้างาม
ยิ้มท่ามกาล - ซ่านแดนที่แสนดี

มิร้องขอสักแดน แก่นเสี้ยวใจ
เพียงรำลึกห้วงภายในเคยอึ่งมี่
จินตภาพคงเดิมในท่วงที
ยังคงมีคงเป็นอย่างเช่นเคย..




สาม : เผย-ล่วงเลยการละทิ้ง

จะมีหรือไม่ใช่คำถาม
ชั่ว โมงยาม นัยยะจะเปิดเผย
ฤดูกาล,ความจริง สิ่งล่วงเลย
เผยธาตุแท้แน่ชัดลงจัดวาง

สิ!..ความรัก..
กลายเถ้าเก่ารักเจ้าวักห่าง
ปลายความปลิดปลงลงละวาง
ความรักจักร้างไม่มีจริง

ไถ่ถามดวงใจในคืนวัน
เพียงคราบภาพฝันเจ้ากลั่นทิ้ง
กรองได้เศษเสี้ยวของความจริง
แด่การละทิ้งข้านิ่งฟัง.

				
8 กันยายน 2547 22:44 น.

บางวิถีแห่งทุ่ง(ต่อ)อีกนิดนะครับ

nava

สี่: โอย


ตั้งแต่เช้าแล้วความรัก
ที่เมามายจมปลัก-ยอมเปิดเผย
ปล่อยหัวใจดื่มด่ำจนร่ำเลย
เอ่ยถ้อยคำยโสต่อผู้คน

จนล่วงเลย
วันที่เคยเคร่งครัดกลับสับสน
เก็บกลั้นกับปวดร้าวทุรทน
ปล่อยตัวตนร่ำเมรัย.

เถิดดวงใจใดอย่าถือสา
ฉันปวดร้าวขังขอบตา
ขอบางภาวะเวลาปลดปล่อย.เอย
.
บางขณะอันเมามาย.

๘/๙/๔๗( ๒๑:๐๐น.)
............................
เรียนทุกดวงใจ
ขออภัยในความเหลวไหลสักครั้งคราอย่าถือสาข้าน้อยเลย				
8 กันยายน 2547 12:17 น.

บางวิถีแห่งทุ่ง

nava


หนึ่ง
เอนไหวในลมเช้า
สดฉ่ำพราวน้ำค้างใส
ทุ่งข้าวพลิกพลิ้วใบ
ในแสงเงาของเช้ามัว

เวิ้งฟ้าเมฆหนา-บด-
บังแสงสด-ทอสลัว
พรานเบ็ดเร่งรี่รัว
กู้เก็บเบ็ดตามคันนา

พึมพำ พร่ำเดียวดาย
ปลามากมาย..ไม่มีตา!..
เหยื่อเหย่อยังค้างคา
ปักทั้งคืนไม่มากิน

ตีเบ็ดสะบัดเหยื่อ
หญ้ารกเรื้อ-พาลเบื่อสิ้น
ตา-ใจไม่ยลยิน
วิถีเช้าแห่งทุ่งทอ




สอง
ฉันคือชาวนากรำกร้านพอ
รอยทางที่ต่อ
วิถีพันธะจากบรรพ์

โดยจิตวิญญาณดาลฝัน
ดวงใจได้จรร-
โลงห้วงบางห้วงชื่นบาน..


ผืนดินถิ่นเกิดเพริศ-กาล
ดาว-จันทร์-ตะวันขาน
ฤดูอันร่ำด่ำชม

เลาะเลียบคันนา-น้ำฟ้าพรม
พลิ้วพราย-สายลม
ในเช้าอันหมดจดสรรพ์

ข้าวเขียวเติบคืนชื่นวัน
คลองน้ำแบ่งปัน
หล่อเลี้ยงต้นข้าว-ยิ้มใส

โดยแรงแห่งกาย,หัวใจ
ดินแดนแสนไกล-
จากห้วงแห่งเมืองเฟื่องฟู

ปิติในสายลมห่มพรู
ชื่นชม-เป็นอยู่
วิถีแห่งทุ่ง - รุ้งทอ.




สาม :ห้วงแห่งการรำลึก

รึ..จะผ่านเพียงแผ่วแล้วหนอ
ในการรั้งรอ
เพียงพอ-พานพบถ้อยคำ

สักถ้อยรอย กวีลำนำ
ใดเธอ-ไม่จดจำ
ฉันจะไม่ช้ำย้ำใจ

อยากถามเธอสบายดีไหม?
บนทางสายใด?
เธอได้ย่ำเท้าก้าวเดิน


ทิวข้าว-ลมระลอกหยอกเอิน
เธอเคยอยากเดิน
ท่องทุ่งอันฟุ้งกลิ่นไอ

ห้างนาร้างเงียบกระไร
โดยความเป็นไป
อันขื่นค้ำคอท้อ ถึง

ฉันรู้ใจเธอไม่พึง
รับได้สักหนึ่ง-
แห่งเสี้ยวส่วนใจได้เลย..




				
6 กันยายน 2547 22:09 น.

บางภาวะของ...คนจร

nava


๑
ลมวูบจูบพรมเส้นผม พลิก
ท้องน้ำระริกระรี้ ไหว
แผ่วซ่านผ่านซมสายลมไกว
แผ่นน้ำยวบไหวไล้ฟองฟาย

ดวงแดดซ่อนหับ-ผืนเมฆกลบ
ริมน้ำร่ำ สงบ ของยามสาย
เลียบถนนร้างผู้คน-ความวุ่นวาย
คนจรนั่งทักทายสายลม-บทกวี

เรือถีบเดียวดายในเวิ้งน้ำ
หนุ่มสาวฝากคำมิหน่ายหนี
เห็นสาวน้อยเขินอายอยู่ในที
เขวี้ยงแขนถี่ถี่ จนลิบไกล



๒
ท่องกวี หากโลกนี้ไม่มีเจ้า
เวิ้งน้ำ  ฟ้า พาเศร้าเงาไม้ไหว
อินทนิล ยิ้มโบกโยกเยกใบ
เหมือนจะย้ำเย้ยใจของคนจร



๓
เมฆกู้ม่าน ฉายแดดจับท้องน้ำ
พริบพรายสีแดดสะท้อนวิบวับ
สายถนนเลียบบึงหนุ่มสาวเดินคล้องแขน
ลมวูบหนึ่งหอบแผ่นงานกวีฉันไป
หนุ่ม-สาวไล่ตะครุบ  ยื่นให้แนบรอยยิ้ม
ขอบคุณครับฉัน.ยื่นยิ้มให้..ดุจเดียวกัน

ท่ามกลางความพลุกพล่านวุ่นวายของ
จักรกลยนตรกรรมแห่งเมือง..
เมืองที่โอบล้อมบึงกว้าง
บึงน้ำสงบงาม ทิวทัศน์ภาพวัด เจดีย์ตัดรับกับริมน้ำสวยงาม
คนจรเก็บภาพเหล่านั้นไว้ในทรงจำ.เก็บงานกวีลงเป้
สะพายขึ้นหลังเดินจากไปด้วยดวงตาชื่นบาน
แต่ภายในคิดถึงใครบางคนเหลือเกิน.
..................



ริมบึงแก่นนคร เทศบาลนครขอนแก่น  
๖กันยายน๔๗				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟnava
Lovings  nava เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟnava
Lovings  nava เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟnava
Lovings  nava เลิฟ 0 คน
  nava
ไม่มีข้อความส่งถึงnava