20 พฤษภาคม 2547 06:55 น.

ปฏิบัติธรรม 6 เก็บอารมณ์

sun strom


        มาถึงโค้งสุดท้ายของการปฏิบัติแล้วนะคะ กว่าจะลงมือเขียนตรงนี้ได้ ต้องทำสมาธิอยู่นาน ผ่านมาได้เป็นอาทิตย์ ตัวรู้(ในภาษาธรรมท่านบอกว่า คือพุทธ) ก็ไม่ยอมเกิด ก็เราห่างเหินการปฏิบัติมานาน ปล่อยให้สิ่งแวดล้อมมันกลืนกินไปหมด กว่าจะเข้าสมาธิได้แต่ละครั้งก็นาน
         วันสุดท้ายสิ่งที่ทุกคนทำเหมือนกันเพื่อทดสอบอารมณ์คือ เก็บตัวเอง นั่งสมาธิ เดินจงกลม ทั้งวัน เวลาทานข้าวจะมีคนยกมาให้ถึงที่ วันนี้ไม่ได้เดินและนั่งอยู่ที่เดิมแล้วนะคะ ทุกคนจะย้ายเข้ากุฎิ ไม่มีใครข้องแวะกับใคร 
        หลวงพ่อท่านอบรมก่อนการเก็บอารมณ์ว่า ให้ปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อย่าหย่อน และอย่าตึงเกินไป และในความพอดีให้ปล่อยวาง อย่าไปคิดว่า ตอนนี้เรามาถึงตรงไหน ติดอะไรบ้าง อย่ายึดติดอะไรทั้งปวง ท่านเล่าเรื่องให้ฟังดังนี้นะคะ
      ลองเอาเชือกมาผูกไว้  2 ต้น หรือ 2 เสา หรือ 2 หลัก ดึงปลายทั้งสองข้างให้ตึง คือดึงให้มันตึงอย่างแรงเสร็จแล้วผูกไว้ลองเอามีดมาตัดตรงกลางดู พอมันขาด มันก็จะกระเด็นหรือมันหดเข้าไปถึงเสาหรือหลักนั้น อีกเส้นก็หดเข้าไปถึงเสาหรือหลักนี้ มันไม่สามารถต่อกันได้ จึงไม่ต้องไปและไม่ต้องมา ตรงนี้เราเข้าใจว่า เปรียบเหมือนอารมณ์คนเราเวลาตั้งใจมากไปพอเกิดผิดหวังไม่ได้อย่างที่ตั้งใจแล้วจะเสียใจ บางคนจะถึงกับท้อแท้ไปเลย ในภาษาธรรมท่านบอกว่า เป็นคนหมดเชื้อ หมายถึงที่เราปฏิบัติมาทั้งหมด มันกลับไปเริ่มที่เก่า
       ตลอดทั้งวันที่เราปฏิบัติ เราก็ยังติดปีติ เหมือนเดิม ตรงนี้เราอธิบายได้ว่า เราติดสุข พอใจที่จะสุข ไม่อยากหลุดพ้นจากตรงนี้ เพราะทุกอย่างที่วิ่งเข้าหาเราในขั้นตอนนี้ เป็นสีชมพูทั้งหมด ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ไม่ปวดขา ไม่ปวดหลัง ในใจเราต้องการที่จะปฏิบติแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ภาพที่ปรากฎทางมโนธรรมคือ มันเหมือนเราเดินไปเจอทุ่งหญ้าเขียวขจี มีผีเสื้อหลากหลายชนิด มีกลิ่นหอมของดอกไม้ มีอากาศบริสุทธิ์ ให้เราได้สัมผัส เราวนเวียนอยู่ตรงนี้ อยู่กับภาพเหล่านี้ตลอดทั้งวันบางครั้งภาพทีซ้อนขึ้นมามันเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ เรามองเห็นตัวเราแต่งชุดขาวสวยมาก เดินในทุ่งโล่ง ๆ อากาศเย็นสบาย สายลมและแสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องต้องตัวเรา เรามีความสุขมาก บางภาพเป็นเหมือนเรานั่งอยู่บนก้อนเมฆ แล้วก้อนเมฆพาล่องลอยไปในที่ต่าง ๆ เราสุข ไม่อยากหนีไปไหน 
      ตกเย็นทุกคนเดินเข้าห้องอบรม วันนี้หลังจากที่ทำวัตรเย็นเสร็จเราก็จะได้กลับบ้าน เราได้กลิ่นหอมของป๊ามาตั้งแต่ไกล เราได้กลิ่นน้ำหอมที่มามี้เราเคยใช้ ยังไม่เจอตัวท่านก็ทราบว่าท่านมารอรับ การรับกลิ่นเหล่านี้เรารู้สึกได้ตั้งแต่วันที่ 5 ของการปฏิบัติ ทุกเย็นเราจะรับรู้ถึงกลิ่นต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาทางจมูก เรารับรู้ถึงความละเอียดของการได้กลิ่นนั้น แม้อยู่ห่าง ๆ เราก็ยังรับทราบ นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราในช่วงที่เราปฏิบัติธรรม
      หลวงพ่อท่านถามที่ละคน โดยท่านให้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในช่วงเก็บอารมณ์ ท่านสรุปให้เราทราบว่า อารมณ์เราสงบเหมือนอยู่ในถ้ำ เพราะยังติดกิเลส ติดสุข ไม่สามารถปล่อยวางจากสิ่งที่เป็นสุขไปได้ ในกรณีของเราท่านยังขยายความต่อไปว่า บางคนที่เป็นอย่างเรา เขาจะมองเห็นตัวเลข และตรงนี้แหละที่เกิดการบอกเลขใบ้หวย สิ่งที่มาปรากฎให้เราเห็น ในภาษาธรรมเขาเรียกนิมิต 
      ก่อนกลับบ้านท่านบอกเราว่า เราเป็นคนมีจิตใจที่เอื้อต่อการทำดี หากเราสามารถละ วาง สิ่งที่เป็นสุขต่าง ๆ ได้ เราจะเห็นธรรม หลวงพ่อท่านบอกเราว่า เราอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก บุญบารมีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ติดตัวเรามา ขอให้ขยันปฏิบัติธรรม อย่าละทิ้งเสียทีเดียว เราไม่ได้รับคำท่านทันทีหรอกนะ แต่ในใจเราคิดว่า หากเป็นสิ่งดี เราจะปฏิบัติไปเรื่อย ๆ 
     จากที่เคยทุกข์ จากที่เคยปิดกั้นตัวเอง มาถึงจุดนี้เราไม่มีสิ่งนั้นหลงเหลืออยู่ เรากลายเป็นอีกคนหนึ่งที่เข้าใจทุกคนรอบข้าง จากที่เคยแว้ด ๆ ใส่คนนั้นคนนี้เวลาที่เราไม่ได้ดั่งใจ เราก็กลับกลายเป็นคนที่คอยเอาอกเอาใจคนอื่นรอบข้าง จากที่เคยวิ่ง เดิน ลงส้นเท้า เรากลับเป็นคนที่เดินเบาขึ้น พูดเบา นิ่ม กริยาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แม้ปัจจุบันเราจะไม่ค่อยได้ปฏิบัติมากนัก ก็ยังเก็บอาการเหล่านี้ไว้กับตัวเองเสมอ
     ใคร่ขอจบการปฏิบัติรรมไว้ตรงนี้นะคะ ต่อไปคงเป็นการเขียนเล่าเรื่องเกร็ดเล้ก ๆ น้อย ๆ ของการปฏิบัติธรรม จะเน้นในเห็นเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดกับบุคคลรอบข้างที่เข้าร่วมปฏิบัติด้วยกันค่ะ
     				
11 พฤษภาคม 2547 11:47 น.

ปฏิบัติธรรม 5

sun strom


       ปีติ คืออาการที่เกิดขึ้นกับจิตใจของแต่ละคน ท่านเคยนั่งยิ้มคนเดียวหรือเปล่า  เคยคิดเคยฝันถึงสิ่งที่ดีดี ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างไหม หากเคยก็ใคร่เรียนบอกว่า นั่นคือ ปีติ คือความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจ สำหรับเราแล้ว เราเกิดความรุ้สึกสุขเพราะเราได้ปฏิบัติธรรม การได้นั่ง เดิน ซึ่งเป็นการเจริญสติให้ตัวเองรู้สึกตัว
       การติดปิติของเรา เท่าที่เกิดกับเราก็คือ การติดสุขแบบที่กล่าวมาแล้ว ไม่สามารถก้าวพ้นไปได้ วางไม่ได้ เพราะสุข เดินก็สุข นั่งก็สุข  คือทุกอย่างในตอนนั้น มองแล้ว คิดแล้ว ไม่มีทุกข์มาให้เห็น แต่ตรงนี้หลวงพ่อท่านเคยอธิบายไว้ว่า เราไม่ต้องไปยึดติด เพราะหากเรายึดติดเราจะเกิดทุกข์ จริง ๆ แล้วเรายังหาสาเหตุตรงนี้ไม่ได้ต่างหาก ก็ในเมื่อเราสุข มันจะเกิดทุกข์อย่างไร แต่ท่านก็กล่าวว่า ทุกข์เพราะเราสุข จึงหนีไปไหนไม่พ้น 
       รวมแล้วเป็นเราไม่รู้จักวาง ไม่ปล่อยวางความคิด ทุกข์แต่ไม่ทราบสาเหตุแห่งทุกข์นั้นเราจึงก้าวไปไม่ถึงไหน แต่อย่างไรแล้วสิ่งที่เกิดกับเรานับว่าเป็นผลดีต่อเรา เพราะอย่างน้อย ๆ เราก็ผ่านการรู้สึกตัวมาได้ในระดับหนึ่งแม้จะไม่เป็นเหมือนสวิชตัดไฟก็ตาม(เรื่องสวิชตัดไฟจะเล่าให้ฟังอีกครั้งนะคะ ให้ถือว่าเป็นเกร็ดเล็ก ๆ ของการปฏิบัติธรรมค่ะ)
       วันที่ 6 ของการปฏิบัติ กิจที่เราทำก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง  เรายังนั่ง เดิน เพื่อเจริญสมาธิอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุด แม้จะไม่ก้าวไปไหน เราพยายามจะไม่ยึดติด เราพยายามจะไม่คิด อยากจะปล่อยวาง  แต่ตามมันไม่ทันซักที บอกว่าจะไม่คิด นั่นหมายถึงเราคิดไปแล้ว อืมม มันลำบากนะคะสำหรับการที่จะทำให้ตัวเราเองมีสติตลอดเวลา  
       หากเมื่อถึงที่สุดของการปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะเกิดความสงบนั่นหมายถึงการเข้าถึงนิพพาน นี่เป็นคำหลวงพ่อท่านสอน ท่านอธิบายถึงความสงบไว้ดังนี้นะคะ
สงบมี 2 ชนิด หนึ่งคือ สงบเหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำ  สองคือ สงบเหมือนออกมานอกถ้ำ
       สงบเหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำนั้นหมายถึงว่า เราเข้าไปอยู่ในถ้า อยู่ในความมืด พอเราจุดไป ความมืดก็จะหายไปความสว่างก็จะเข้ามาแทนที่ แต่พอเราดับไฟ มันก็จะมืดเหมือนเดิม แม้เราจะจุดไฟให้สว่างเราก็ยังไม่สามารถมองเห็นผนังถ้ำได้ทั้งหมด และเราเองก็ยังอยู่ในถ้ำอยู่ดี เราจึงเรียกความสงบแบบนี้ว่า สงบอยู่ภายใต้โมหะ  หรือสงบแบบไม่รู้ หรืออย่างไม่รู้นั่นเอง การที่บางคนเข้าไปนั่งให้จิตใจสงบแล้วเข้าใจตัวเองว่าได้เจริญวิปัสสนา อย่างนี้ก็จริง แต่เป็นจริงชนิดที่อยู่ภายในถ้ำ
       สงบเหมือนอยู่นอกถ้ำ ก็เหมือนกับที่เราออกไปอยู่นอกถ้ำแล้วมันไม่มืด และเราก็ไม่ต้องจุดไฟ แล้วยังสามารถมองเห็นและรู้ว่ารูปร่างสัณฐานของถ้ำเป็นอย่างไร เปรียบได้กับความสงบที่ปราศจากความหลงผิด นั่นหมายถึง สงบจากกิเลส ไม่มีโทสะ โมหะ โลภะ  การสงบแบบนี้เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สงบแบบรู้ นั่นคือ รู้แจ้งเห็นจริง รู้ตามความเป็นจริง รู้แล้วก็สงบ
       เราได้หยิบยกคำหลวงพ่อท่านสอน มาให้อ่าน เพื่อเกิดประโยชน์ต่อท่านบ้าง เราเองแม้จะเข้าร่วมการปฏิบัติธรรม เราก็ไม่ได้เอ่ยอ้างว่า เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง เรารู้เท่าที่การเจริญสมาธิของเราจะทำได้ เราอาจะไม่ใช่บุคคลที่อยู่ในถ้ำ และเราเองก็อาจจะไม่ใช่คนที่อยู่นอกถ้ำ แต่เราก็สามารถมองเห็นบางเสี้ยวของถ้ำ จากที่ใดที่หนึ่งที่เรายืนอยู่ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวนิดเดียวเราก็ภูมิใจที่สามารถมองเห็นในส่วนนั้นได้
       ครั้งหน้าจะเข้าสู่วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมแล้วนะคะ วันสุดท้ายจะเป็นการเก็บอารมณ์ เป็นการทดสอบเราว่า เราสงบได้แบบไหน เป็นสงบแบบนอกถ้ำหรือว่าสงบภายในถ้ำ คอยติดตามนะคะ
				
10 พฤษภาคม 2547 05:33 น.

กิจกรรม... สำหรับวันว่าง

sun strom


          เช้าวันเสาร์ป๊าไปรับที่ที่สถานีรถปรับอากาศเวลาตีห้า หลังจากนั้น 15 นาที ก็ขับรถถึงบ้าน นอนต่ออีก 1 ชั่วโมง ก็ตอนเช้าวันนี้มีฝนโปรยมาจากฟ้าให้อากาศมันดีขึ้นนี่นา ตื่นอีกที 6 โมงกว่านิดหน่อย ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง แหงนหน้ามองฟ้า อืมม...เรากลับหวนคิดถึงบ้านที่เราจากมา....
          ที่บ้านเรานั้นยามเช้าเรามักจะตื่นตั้งแต่เช้า และชอบที่จะเดินเล่นภายในบริเวณบ้านที่มีต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เกือบ 10 ต้น ปลูกเรียงรายกันเป็นระยะ เราชอบดูกระแตตัวน้อย ๆ วิ่งเล่นกัน ชอบดูนกหลากหลายชนิดที่คอยบินมาเกาะที่กิ่งไม้ให้เราได้ชื่นชม ชอบฟังเสียงจักจั่นที่ดังจนแสบแก้วหูเพราะมันเยอะมาก หากเราเดินผ่านใต้ต้นไม้ ก็เหมือนกับมีละอองฝนเล็ก ๆ หล่นมากระทบตัวเรา แรก ๆ เราไม่ทราบหรอกน๊ะว่ามันเป็นอะไร ป๊าบอกว่า นั่นคือฉี่ของตัวจักจั่น
          บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้ที่บ้านในเมืองนนท์  กว่าเราจะทำความสะอาดร่างกาย แต่งตัวเรียบร้อยก็เกือบ ๆ เจ็ดโมงเช้า รับประทานอาหารเช้าเสร็จก็กลับขึ้นไปบนห้อง เพราะระหว่างที่ทานอาหารกันนั้น ป๊าบอกว่า วันนี้เราไม่ต้องไปเป็นเพื่อนป๊า เพราะป๊าจะไปกันเองกับแม่เล็ก 2 คน เราก็เลยมีเวลาเป็นของตัวเอง ดีใจจัง เราจะไปไหนดีน๊ะ..........
          มีโอกาสแบบนี้น่าจะออกไปทานข้าวกลางวันนอกบ้านซักหน่อย ส่งข้อความหาใครคนหนึ่ง บอกเค้าว่า วันนี้เราอยู่นนท์น๊ะ บอกไปแค่นี้ เพียงเพื่อคอยการเรียกกลับ แต่สุดท้ายก็หาย ไม่มีอะไรผ่านเข้ามาทางโทรศัพท์ ตัดใจ เค้าคงไม่ว่าง ไม่เป็นไรเราคงมีโอกาสพบเค้าซักวัน หันหน้าเข้าหาตู้หนังสือ รื้อหนังสือต่าง ๆ ออกมาอ่าน ทั้งอ่านทั้งแยกหมวดหมู่ และจัดเก็บเข้าที่ใหม่ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยง  ลงมาข้างล่างทำบะหมี่ทาน ยังอีกตั้งครึ่งวันเราจะทำอะไรดีหละ
          กดโทรศัพท์อีกครั้ง หาปะป๊า ทราบว่าตอนนี้ท่านกำลังนั่งทานอาหารกลางวันที่ร้านธิดาวรรณเพชรบุรีก็เบาใจ อีกซักพักท่านคงแวะไปที่สถานีควบคุมการส่งสัญญาณผ่านเคเบิลใต้น้ำที่ ชลี 1 หาดเจ้าสำราญ เพื่อพูดคุยกับเพื่อน ๆ ของท่าน ป๊าบอกว่าหากแม้เราไปเที่ยวถ้ามีโอกาสแวะไปดูคนทำงานที่เค้าต้องเฝ้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างน้อย ๆ ก็เพื่อเป็นกำลังใจให้กับบุคคลเหล่านั้น เราไม่ได้มาตรวจงาน แต่เรามาในฐานะเพื่อนของเค้า ป๊าเป็นคนมีน้ำใจสำหรับเพื่อนเสมอ
          ยามบ่าย ๆ เราลงมาข้างล่างต่อเน็ต เข้าไปคุยกับเพื่อน ๆ ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ต้องออฟไลน์ เพราะไม่สนุก ในใจเรากังวลจัง แต่ว่า...เป็นเรื่องอะไรหละ อยากจะโทรหาเค้าน๊ะ แต่เราไม่กล้า เพราะเราเคยสัญญากับเค้าไว้แล้วว่า เราจะไม่รบกวนเค้าในเวลาที่เค้าต้องใช้เวลาเหล่านั้นกับครอบครัวของเค้า อีกอย่างเราเป็นผู้หญิง ดูไม่เหมาะหากจะทำอะไรแบบนั้น ลงไปเดินเล่นหน้าบ้านได้แป๊บเราก็ต้องกลับเข้าห้องอีกครั้ง เปิดทีวีดู เลือกช่อง HBO เนื่องจากมีภาพยนตร์ให้เราได้ดูตลอด ดูหนังยังไม่จบเรื่องเราก็เบื่ออีกแล้ว กังวล.....
          ซิน๊ะเราต้องทำอะไรซักอย่างเพื่อให้ความกังวลหายไป เข้าห้องพระทำสมาธิซักหน่อยดีกว่า ตั้งนโมสามจบเสร็จแล้ว ก็อธิฐานขอพรจากหลวงพ่อ ลงมือนั่งสมาธิ  2 ชั่วโมงผ่านไป เราดีขึ้นมาก ไม่กังวลอีกแล้ว เนี่ยเป็นเพราะเราหวังมากเกินไป อะไรบ้างหละที่เป็นของเรา ไม่มีซักอย่าง หวังอะไรหละ สิ่งที่เป็นไม่ได้ตัดทิ้งเสียน๊ะ ชำเลืองมองนาฬิกาข้างผนัง 16.30 น. เราผ่านครึ่งวันบ่ายมาได้ ประเดี๋ยวไปตลาดซักหน่อย ซื้อขอมาตั้งโต๊ะสำหรับมื้อเย็นรอป๊ากับแม่เล็ก
          ใคร่ขอแทรกเรื่องนี้คั่นเรื่องปฏิบัติธรรม 5 ที่กำลังจะตามมา เนื่องด้วยในการที่จะสื่อให้เห็นปีตินั้น มันค่อนข้างละเอียด จริง ๆ แล้วเรื่องปฏิบัติธรรมตอนที่ 5 นั้นเราเขียนไว้ใกล้จะจบแล้ว แต่เราลืมแผ่นดิสไว้ที่นนท์เลยไม่มีโอกาสจะลงให้อ่าน คงต้องเรียบเรียงใหม่อีกครั้งซิน๊ะ
				
6 พฤษภาคม 2547 13:25 น.

ปฏิบัติธรรม 4

sun strom


          การปฏิบัติธรรมที่เราคิดตั้งแต่แรกว่า คงไม่เปลี่ยนแปลงตัวเรามากมายนั้น เป็นการเข้าใจของเราเพียงผู้เดียว มีบางคนที่ไปไม่ถึงไหนเลย ผ่านมาถึง 4 วัน ยังไม่ผ่านการรู้สึกตัว ยังหนาว ยังเจ็บ ยังปวด ยังง่วง หลวงพ่อท่านอธิบายตรงนี้ว่า มันขึ้นอยู่กับการปล่อยวาง หากไม่สามารถปล่อยวางได้ สมาธิ ปัญญาก็จะไม่เกิด การปล่อยวางในที่นี้หมายถึงปล่อยวางทางด้านจิตใจ คนเราส่วนใหญ่จะยึดติดความคิดตัวเอง การหยุดไม่ให้คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ย่อมทำได้ยาก หรือทำไม่ได้เลย แต่หากเรารู้จักการควบคุมความคิด ให้รู้จักตามอารมณ์ความรู้สึกให้ทัน เราเองเข้าใจว่า เราสามารถควบคุมตรงนี้ได้ แต่เมื่อมาคิดให้ลึก ๆ แล้ว เรายังห่างไกลมากนัก แค่เรานึกถึงเรื่องนี้ เรายังไม่ทราบเลยว่า อารมณ์ที่เราเกิดการยินดีนั้นมันเกิดขึ้นในใจแล้ว ซึ่งจริง ๆ ไม่ถูกต้องเพราะ การยินดีเป็นอารมณ์ที่เราควรตามมันทัน แต่นี่เพียงเราคิดมันยินดีแล้ว ตามมันไม่ทันซักที หากเป็นบุคคลอื่น ที่เขาสามารถปฏิบัติได้ถึงจุดหนึ่งแล้ว จะตามอารมณ์เหล่านี้ทันเสมอ ก็ให้อยู่ในระดับกลาง ๆ อย่างที่หลวงพ่อท่านสอนไว้ว่า เย็นไม่คิด ร้อนไม่คิด  สุข ทุกข์ ล้วนไม่คิด เพราะถ้าคิดแล้วอารมณ์ต่าง ๆ ย่อมตามมาเสมอ 
          ผ่านเข้าวันที่ 5 ของการปฏิบัติธรมแล้วนะคะ เรามาถึงจุดหนึ่งที่เราเรียกเองว่า ความสุข  ในที่นี้เราใคร่เรียนให้ทราบว่า เป็นความสุขทางใจ ที่ไม่สามารถเกิดกับคนได้ทุกคน แม้คนคนนั้นจะมีแก้วแหวนเงินทองมากมาย ใช้อย่างไรก็ไม่หมด แม้แต่คนที่คิดว่าตัวเองมีพร้อมแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่สามารถจะมีสุขชนิดนี้ได้
          ด้วยความสุขที่เกิดขึ้นกับใจเราแบบนี้ เราถามหลวงพ่อท่านตอบว่าเป็นปิติ คนส่วนใหญ่มาติดอยู่ตรงนี้  ติดปิติ จนไม่สามารถก้าวข้ามไปถึงไหน ปิติที่เกิดจากการปฏิบัตินั้น ตามความรู้สึกของเราแล้ว ใคร่ขออธิบายไว้ดังนี้นะคะ เวลาที่เราก้าวเดิน มันเบามาก เหมือนลอย ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็เดินตามปกติ เพียงแต่เรารู้สึกตัวทุกครั้งที่ก้าวเดิน ทราบว่าจะวางเท้าอย่างไร แกว่งมือแบบไหน เป็นการทำด้วยความรู้สึกตัวจริง ๆ การพูด เสียงพูดที่เปล่งออกมา จะมาจากส่วนลึกภายในร่างกาย จะเบา นุ่ม  กริยาท่าทางต่าง ๆ จะเป็นไปแบบรู้สึกตัว  ใคร่ขอยกตัวอย่างไว้ดังนี้นะคะ เช่นการขึ้นลงบรรไดบ้าน เราเคยวิ่งขึ้นลงบรรไดบ้านวันหนึ่งหลายรอบ หากเรารู้สึกตัวถึงการขึ้นบรรไดบ้านจริง ๆ เราจะทราบทุกอย่างเกี่ยวกับบรรไดบ้านของเรา ลองถามตัวเองดูซิว่า บรรไดบ้านที่ท่านขึ้นลงประจำ มีกี่ขั้น ตรงไหนที่มีตำหนิบ้าง ก็ท่านวิ่งขึ้นวิ่งลงทุกวันไม่ใช่หรอ น้อยคนนักที่ตอบได้ว่าบรรไดบ้านมีกี่ขั้น เพราะที่ท่านวิ่งขึ้นวิ่งลงทุกวันน่ะ เป็นการทำเพราะความเคยชิน ไม่ใช่การรู้สึกตัว ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ จะแตกต่างกันมาก(ไว้มีโอกาสจะอธิบายตรงนี้ให้ทราบนะคะ)
          เราลืมคนที่ทำให้เราเจ็บปวดแทบไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะเรายึดติด ว่า เค้าต้องเป้นคนดี เป็นคนแบบที่เราต้องการ เรายึดติดตรงนี้มาก จนเราไม่สามารถจะเติมสิ่งบกพร่องต่าง ๆ ของเค้าลงไปได้ พอจะเติมลงไป เราปิดกั้นตัวเองตลอด ไม่ยอมรับความคิดใหม่ ๆ เข้ามาสู่ตัวเอง  หากเมื่อเราทำใจให้ว่างได้ สิ่งต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาในความคิด ล้วนถูกกลั่นกรอง จากความรู้ที่เราได้จากการปฏิบัติธรรม สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรที่เราสมควรเก็บ หรือถ่ายโอนออกไปจากหน่วยความจำของเรา เหมือนกับหลุดไปสู่อีกโลกหนึ่งที่เราไม่เคยสัมผัส
          นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้นของการได้มาซึ่งปัญญา ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม ซึ่งหากเราสามารถฝึกถึงขั้นสูง ๆ แล้ว หน่วยความจำที่ดีจริง ๆ จะต้องว่างเปล่า ปราศจากความรู้สึกทุกอย่าง รับอารมณ์อะไรเข้ามาก็สามารถผองถ่ายออกจากตัวเองได้ในเวลารวดเร็ว ทุกข์หรือ ก็ทราบว่าทุกข์เป็นแบบนี้ก็อย่าไปทุกข์ปล่อยมันไป สุขหรือ ก็ทราบว่าสุขเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสุขปล่อยมันไป ไม่ว่า ความรู้สึกจะมาในลักษณะไหน เราสามารถจัดการ(ในทางธรรมเรียกว่า ตามอารมณ์ต่าง ๆ ได้ทัน)ได้ทุกอย่าง เรายังไม่ถึงจุดนั้นหรอกนะคะ เพราะเรามาถึงปิติ เราก็ไม่ผ่านไปสู่สิ่งที่ดีกว่าปิตินั้นได้ การปฏิบัติธรรมจริง ๆ แล้วตามตำราที่หลวงพ่อต่าง ๆ ท่านสอนไว้ นั้น เป็นการหาสิ่งที่เป็นเหตุของการเกิดทุกข์ทั้งหมด หาเพื่อดับที่สาเหตุนั้น ๆ จริง ๆแล้วตามความรู้สึกของเรา ที่เข้ารับการปฏิบัติธรรม เราคิดว่า การปฏิบัติธรรมจริง ๆ เป็นการทำความสะอาดจิตใจ ของคนคนนั้น เพื่อรองรับสาเหตุของการเกิดทุกข์ หรือเกิดสุขต่าง ๆ หากจิตใจเราสะอาดแล้ว ไม่ว่าทุกข์ หรือสุข เราล้วนรับได้เสมอ จริงป่าวคะ
          คราวหน้าเราจะพูดถึงรายละเอียดของ ปิติ การติดปิติ อาการของปิติ การหลุดพ้นจากปิติ(ตรงนี้เราอธิบายตามที่หลวงพ่อท่านสอนเรา เพราะเราเองจนป่านนี้เรายังไม่สามารถหลุดพ้นจากปิติได้ซักที)				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟsun strom
Lovings  sun strom เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงsun strom