13 พฤศจิกายน 2546 19:42 น.

ประกายชล - ไอตะวัน 3

TANOI_ZA


ตอนที่สาม เริ่มรัก
          หลังจากนั้น ฉันกับคุณไอและตาเค้กก็กลับบ้านด้วยกันเป็นประจำทุกวัน แต่จะมีในบางคืนที่ฉันจะพาเขาไปเที่ยวสถานที่เที่ยวยามกลางคืน เช่น ผับหรือตลาดกลางคืน โดยปราศจากเงาตาเค้กค่อยติดตาม เพราะตาเค้กจะต้องนอนแต่หัวค่ำทุกคืน (อันที่จริงแล้ว ที่พาไปเที่ยวกลางคืน เพราะอยากไปไหนมาไหนกันแค่สองคนด้วยนั่นแหละค่ะ) 
          วันนี้ก็เช่นกัน เราก็มาผับเดิมที่เรามักจะมาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เนื่องจากว่าร้านนี้เป็นร้านประจำของฉันกับยัยกลอน หรือ ร้อยกรอง ทองประพันธ์ ซึ่งวันนี้ฉันได้นัดยัยกลอนมาด้วย เพราะตั้งใจอยากจะให้ไอ (แน่ะๆ! เริ่มไม่เรียกคุณแล้วนะยัยชล) มีเพื่อนคนอื่นนอกจากฉันบ้าง ในตอนที่เราสองคนไปถึงกลอนได้นั่งรอเราสองคนอยู่แล้ว ฉันจึงรีบจูงมือไอเข้าไปทัก
"มานานหรือยังกลอน รอนานหรือเปล่าวะ ก็ตาเค้กหลานรักเธอน่ะสิ กว่าจะทำการบ้านเสร็จ กินอิ่ม นอนหลับได้ ก็ปาไป 3 ทุ่มครึ่งแล้ว กลอนเงยหน้ามองแล้วตอบว่า 
ไม่นานเลยย่ะ แค่เกือบชั่วโมงเอ....เอง ยัยกลอนชะงักไปนิดนึง คงเพราะตกใจไม่คิดว่าฉันจะพาคนอื่นมาด้วย ฉันจึงเริ่มแนะนำตัวทั้งสองคนให้รู้จักกัน
อ้อ! นี่คุณไอตะวัน ประทานชล ประธานบริษัทของเรา แต่ตอนนี้เวลาเลิกงาน ตำแหน่งเลยเท่ากันแล้ว เลยเรียกไอเฉยๆได้ และฉันก็แนะนำกลอนให้ไอรู้จักต่อทันที
ส่วนนี่ ยัยกลอน เพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมค่ะ 
          ทั้งคู่เงียบไปสักพักหนึ่ง จึงเริ่มกล่าวคำทักทายซึ่งกันและกัน วันนี้ทั้งกลอนและไอเงียบผิดปกติ เหมือนกับว่ากำลังคิดถึงอะไรบางอย่างกันอยู่ ซึ่งฉันน่าจะสังเกตได้ไม่ยากนัก แต่ดูเหมือนว่าใจจริงของฉัน ก็กลัวจนไม่กล้าพอที่จะสังเกตพฤติกรรมนั้น
          ช่วงเวลาหลังจากวันนั้น ยัยกลอนก็เข้ามาร่วมก๊วนบ่อยขึ้น แต่ถ้าฉันเข้าใจสีหน้าและท่าทางของไอไม่ผิด ฉันว่าเขาไม่ชอบให้ยัยกลอนเขาไปยุ่งเกี่ยวกับเขามากนัก 
          อย่างเช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเรา 4 คนไปเดินซื้อของกัน แล้วฉันก็มองเห็นเสื้อตัวหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าทั้งแบบทั้งสีต้องถูกใจคุณไอแน่ๆเลย จึงชวนทุกคนให้หยุดมอง
"นี่ เสื้อตัวนั้นสวยจัง ไอฉันว่าคุณต้องชอบแน่ๆเลย เราแวะดูกันก่อนเถอะ พวกเราจึงพากันเดินไปที่ร้านเสื้อร้านนั้น 
คุณไอตะวันชอบสีไหนคะ ชอบสีฟ้าหรือสีแดง แต่กลอนว่า คุณไอตะวันต้องชอบสีฟ้าแน่เลย ใช่ไหมค....
ไม่ใช่! สีแดง เขาสวนขึ้นมาทันควัน ทั้งๆที่ยัยกลอนยังพูดไม่จบดีด้วยซ้ำ น้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจและแฝงความหมายอะไรบางอย่างซึ่งฉันก็ไม่สามารถเข้าใจเขาได้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยแสดงกริยาแบบนี้กับฉันเลยสักครั้ง
ผมชอบสีแดง แล้วก็ไม่ได้ชอบสีฟ้าอีกต่อไปแล้ว โปรดเข้าใจไว้ด้วย
          เขาหันไปหาพนักงานและบอกให้จัดเสื้อตัวสีแดงใส่ถุงให้ด้วย ทั้งคู่อาจจะไม่ทันสังเกตุถึงรอยแตกแยกที่แสดงออกมา เพราะ ณ เวลานั้น ดูเหมือนว่าเขาสองคนจะลืมไปแล้วด้วยซํ้า ว่าฉันเองก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน ซึ่งมันก็ทำให้ฉันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่ตอนนี้ฉันเองก็ยังอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน 
          ฉันในตอนนี้รู้แต่ว่า คุณไอยังชอบสีฟ้าอยู่แน่ๆ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฉันเคยชี้ให้เขาดูเสื้อสีแดงตัวหนึ่ง แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะเอาเสื้อตัวสีฟ้าอีกตัว ทั้งๆที่แบบเสื้อมันแก่เกินวัยเขาไปมาก 
          ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่ร้านเสื้อในวันนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่มากไปกว่านั้นอีก แต่ก็ยังมีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆทุกครั้งที่เขาสองคนพบกัน จนกระทั่งวันหนึ่งไอก็บอกกับฉันว่า 
"คุณชล คือ...วันนี้เราไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลงกันโดยที่ไม่กลอนได้ไหม 
          ฉันอยากจะถามเหตุผลเขาใจจะขาดว่า ทำไมเขาถึงรังเกียจกลอน ถึงขนาดที่ไม่อยากให้ไปไหนมาไหนด้วย จะเป็นเพราะว่ากลอนเข้ามาแทรกกลางระหว่างเราสองคนก็ไม่น่าจะใช่ (เอาเข้าไปคนเราเวลาอย่างนี้ยังจะมีอารมณ์มาเข้าข้างตัวเองอีก) แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ถามเขาออกไป เพราะฉันคิดว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขา ที่ยังไม่พร้อมจะบอกฉัน 
          แต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของฉัน มันถามเขาแทนคำพูดของฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว จนกระทั่งเขาส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ฉันพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายอะไรบางอย่างที่ทำให้ฉันหวั่นไหว
"ไม่มีอะไรหรอก เพียงแค่..วันนี้ผมอยากอยู่กับคุณแค่สองคน ก็เท่านั้นเอง
          หลังจากที่เราดูหนัง กินข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขับรถไปส่งตาเค้กที่บ้านก่อนตามปกติ แต่วันนี้ใจฉันที่มันสั่นไปด้วยความหวั่นไหว อันเกิดจากสายตาเขาที่ส่งมาให้ฉันเมื่อเย็น จนฉันอยากจะให้ตาเค้กนอนดึกสักวันเพื่อไปเป็นเพื่อนฉันเอาซะดื่อๆ แต่ฉันก็เข้าใจต้องยอมปล่อยตาเค้กไปนอนตามปกติ 
แต่กว่าฉันจะยอมออกจากบ้านได้ ก็โอ้เอ้อยู่นานจน 4 ทุ่มครึ่งได้ เราสองคนถึงเริ่มเดินทางออกจากบ้านของฉัน 
          ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างทาง ต่างคนต่างนั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ซึ่งฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาคิดอะไรอยู่บ้าง ฉันรู้แต่ว่าฉันอยากจะรู้ความหมายของสายตาที่เขาส่งมาให้เมื่อเย็นนี้ ว่ามันจะใช่อย่างที่ฉันเข้าใจหรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ใครจะกล้าสรุปอะไรเข้าข้างตัวเองล่ะ ไม่นานนักเราสองคนมาถึงที่ร้าน เมื่อเรานั่งที่โต๊ะและสั่งเครื่อง ดื่มเบาๆกันเรียบร้อยเขาก็พูดออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมสายตาที่ชวนฉันรู้สึกจั๊กจี้ใจ
"วันนี้ผมดีใจนะที่ทั้งคุณกลอนและเค้กไม่ได้มาด้วย เขาเริ่มพูดอะไรที่ทำให้ใจฉันสั่นและเริ่มกลัวเขาขึ้นมาเล็กน้อย
คือผมมีอะไรอยากจะบอกคุณให้รู้เอาไว้ รับฟังผมด้วยแล้วกัน ถึงแม้ว่ามันออกจะกระทันกันไปหน่อย แต่ผมก็คิดดีแล้วล่ะ ว่าผมรักคุณ และอยากให้คุณเท่านั้นมาเป็นแฟนผม 
คะ! ว่าไงนะคะ! ฉันตะโกนพร้อมกับทำตาโตด้วยความตกใจ
          แต่สักพักก็รู้สึกถึงความร้อนจากจุดต่างๆของร่างกายที่เริ่มพุ่งขึ้นสู่ใบหน้าเป็นจุดเดียว ใจสั้นไม่เป็นจังหวะ มือไม้อ่อนแรงแถมยังเกะกะจนไม่รู้จะจับไปวางไว้ที่ไหน และใบหน้าก็ยังหนักจนไม่มีแรงจะยกขึ้นมาสบตาคนพูดด้วยซํ้า สักพักเครื่องดื่มที่เราสั่งไปเมื่อกี้ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าเราสองคน ฉันไม่รออะไรแล้วล่ะค่ะ มือที่รู้สึกเกะกะเมื่อกี้เหมือนเจอที่พักพิง รีบดิ่งไปหยิบนํ้าส้มขึ้นเทลงคอแบบรวดเดียวจบ
'เอ้ะ! แต่ว่าทำไมนํ้าส้มมันรสชาติแปลกๆนะ เอ้า! แล้วทำไมนํ้าส้มมันถึงมีสองแก้วได้ล่ะ ก็เมื่อกี้..คุณไอสั่งบรั่นดีไปไม่ใช่เหรอ
คุณไอ ทำไมมองชลแปลกๆล่ะคะ
ก็ตั้งแต่รู้จักคุณมา ผมไม่เคยเห็นคุณดื่มเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์เลยนี่ครับ เรื่องที่ผมบอกรักคุณมันทำให้คุณกลุ้มใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ
          คำพูดที่เหมือนจะห่วงใยและสำนึกผิดที่บอกรักฉันกระทัน แต่ฉันรู้ว่าเขาไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆหรอก เขาต้องการจะแซวที่ฉันหยิบแก้วผิด เพราะเขินที่เขาบอกรักฉัน ก็เขาอมยิ้มที่แสนจะน่ารักไว้จนแก้มปริเลย ฉันจึงแกล้งทำเป็นงอนแก้มป่องให้เขาง้อเล่น แต่เขาไม่ยอมง้อ กลับถามฉันต่อว่า
"แล้วคุณรักผมหรือเปล่า เรื่องอะไรจะตอบ ก็ฉันยังเขินยังงอนอยู่เลยนิ
งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ผมชวนคุณออกไปเต้นรำเพลงต่อไปดีกว่า ถ้าคุณออกไปเต้นกับผมแสดงว่าคุณเองก็รักผมด้วยเหมือนกัน ตกลงเอาอย่างนี้นะครับ 
          สักพักเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่ก็จบลง และเพลงใหม่ก็เริ่มบรรเลงอินโทรไปพร้อมกับหัวใจฉันที่เริ่มสั่นแรงยิ่งกว่าเดิมอีกครั้ง เขาออกไปยืนรออยู่ที่ลานเต้นรำ แต่ฉันก็ยังไม่ยอมลุกตามเขาออกไป เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตาอย่างเดียว เพราะว่าฉันยังเขินอยู่เลยนี่นา 
          ครู่ต่อมาเมื่อฉันก็รวบรวมความกล้าได้ ก็ลุกขึ้นเอามือโอบรอบเอวเขาไว้พร้อมกับซุกหน้าลงที่อกของเขาทันที 
ยอมเต้นรำได้ด้วยก็ได้ เพราะเห็นว่าใจกล้าบอกรักคนอย่างเราหรอกนะ แต่ฉันก็ต้องรู้สึกแปลก เพราะว่าเขากลับไม่ยอมขยับตัวเลยสักนิดเดียว ออกจะแข็งๆด้วยซ้ำไป ก็คงตลึงนั่นแหละคงไม่คิดว่าฉันจะกล้าขนาดนี้ ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้ตาฝาดหรือฉันไม่เป็นบ้าไป แต่ฉันก็ต้องตกใจสุดขีด (เน้นอีกครั้งนะคะว่า สุดขีด จริงๆ) เมื่อพบว่าคนที่ฉันเอาหน้าไปซบอกเมื่อกี้เป็นหนุ่มหล่อที่ไหนก็ไม่ทราบ 
ไม่จริ๊ง......ใครว่ะเนี้ย โคตรหล่อเลย เอ้ย!! ไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่เวลามาเหล่หนุ่มหล่อนะยัยบ๊อง ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า
          ฉันอยากจะเป็นลมให้มันรู้แล้วรู้รอดไปตอนนั้นเลย แต่ว่ายังทำไม่ได้ เพราะหนึ่งหนุ่มหล่อผู้นี้ จะต้องไม่รับตัวฉันที่กำลังจะล้มลงไปแน่ๆเลย (แถมยังจะมีเตะซ้ำอีกด้วย ข้อหาหน้าตายังไม่สวยเข้าขั้น แต่ดันถือโอกาสลวนลามคนหล่อ) และสองไอตะวันอยู่ไหนล่ะ ก็เมื่อกี้ฉันฉันยังเห็นเขาอยู่ตรงนี้อยู่เลยนี่นา ฉันจึงหันหลังเพื่อมองหาเขา ปรากฎว่าเขายืนทำหน้าเหวอเหมือนเห็นผียังไงยังงั้นเลย เขาคงคิดว่าฉันปฏิเสธเขาละมั้ง แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็จะทำร้ายจิตใจเขาเกินไปแล้ว ซึ่งฉันจะไม่มีทางทำแน่ๆ 
          แล้วเขาก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร (ซึ่งใครที่ว่าก็คือ ฉันนั่นแหละ) และถ้าฉันเดาไม่ผิด คงจะเป็นเพราะว่าเขาเห็นสีหน้าที่เหวอกว่าของฉัน แบบที่ไม่สามารถสรรหาคำใดๆในโลกนี้มาอธิบายได้เลย 
          ตอนนี้เขาก็คงจะรู้แล้วว่าฉันไม่ได้จะปฏิเสธเขา แต่มันเป็นเพราะว่าฉันเขินมากจนซุ่มซ่ามเซ่อซ่าทำให้สารภาพรักผิดคน ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่แสนจะโรแมนติคและน่าประทับใจ (คืออันนี้มันก็ประทับใจนั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากให้เราประทับใจกันแบบนี้นี่) แล้วเขาก็รีบพาฉันออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว โดยทิ้งพ่อหนุ่มรูปหล่อยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
          เมื่อเราสองคนเข้ามานั่งในรถและหันมาสบตากัน เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งแถมยังดังกว่าเดิมอีกด้วย
"โอ๊ย!! ให้ตายเหอะผมไม่อยากจะเชื่อเลย โอ๊ย!! ผมไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะขนาดนี้ แต่ผมกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆนะคุณ
          ทั้งๆที่เขาไม่ใช่คนที่จะเสียมารยาทกับใครได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะกับคนที่เขาพึ่งจะสารภาพรักไป แต่เขาก็เสียมารยาทกับฉัน เพราะฉันดันทำตัวซุ่มซ่ามน่าหัวเราะเยาะเองนี่นา เป็นใครเขาก็ต้องหัวเราะลืมตายกันทั้งนั้นแหละ
'แต่เขาก็ไม่ควรจะหัวเราะขนาดนี้นี่'
          ฉันเลยไม่คิดจะพูดอะไรเพื่อเป็นการแก้ตัว แต่มันก็ทำให้เขาค่อยๆเบาเสียงหัวเราะลงอย่างเกรงใจฉัน เราสองคนนั่งเงียบมาตลอดทางฉันเองก็เอาแต่นั่งนึกว่า
'ฉันยังไม่ได้บอกรักเขาเลย อุตส่าห์จะบอกก็ดันทำแผนเสีย โอ๊ยนึกทีไรอยากจะเอาหัววิ่งชนนุ่นให้ตายไปเลยจริงๆเชียว
          เราเงียบกันจนกระทั่งตอนเขาก็ขับรถผ่านทุ่งหญ้ากว้าง ติดริมแม่น้ำ ทำให้ฉันนึกอะไรดีๆออก และหวังว่าคราวนี้คงไม่เกิดอะไรที่น่าประทับใจมากไปกว่าตอนที่อยู่ในผับอีกแล้ว ฉันจึงรวบรวมความกล้าพูดออกมาว่า
"อยากนั่งดูดาวริมแม่น้ำจังเลยค่ะ 
          ไม่มีคำตอบจากเขา แต่เส้นทางเดินรถได้เปลี่ยนจากที่ขับอยู่บนถนน ไปเป็นขับฝ่าทุ่งหญ้าและจอดที่ริมแม่น้ำ ฉันเปิดเพลงช้าให้เข้ากับบรรยากาศรอบๆตัวเรา แล้วจึงเปิดประตูเดินลงจากรถ ไปนั่งกอดเข่ารอเขาด้วยใจที่แทบจะออกมาเต้นแร็พอยู่ข้างนอกตัวอยู่แล้วที่ริมแม่น้ำ (แถวบ้านชลและท่านผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะเรียกมารยาหญิงชนิดนี้ว่า อ่อย ก็ได้นะคะ แล้วเหยื่อจะติดเบ็ดหรือเปล่าลองอ่านกันต่อค่ะ) แล้วเขาก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ 
'นั่นไง! ติดกับแล้ว เอ้ย!!ไม่ใช่ มาอ้อนเราแล้ว' (อาการอาจจะนอกหน้านอกตาไปบ้าง แต่ก็อย่างว่า นานจะหลงมา ก็ต้องรีบ รวบหัวรวบหางไว้ คุณคนโสดเช่นดิฉันคงเข้าใจดี) สักพักหนึ่งฉันก็รู้สึกถึงความรู้สึกที่แสนอบอุ่น เพราะเสื้อคลุมไหล่ที่มาพร้อมกับกลิ่นนํ้าหอมจางๆและสัมผัสที่เขาวางลงบนไหล่ของฉัน
คลุมไว้ดีกว่า อากาศเย็นๆแบบนี้ ถ้าคุณไม่สบายผมคงไม่เป็นอันทำอะไรพอดี เขาหน้าแดงแป๊ดเลย คงรวบรวมความกล้าที่จะพูดอะไรทำนองนี้อยู่นานเลยสินะ แต่ฉันยังไม่ยอมพูดขอบคุณเขาหรอกนะ เพราะว่าฉันเองก็กำลังรวบรวมความกล้าที่จะบอกรักเขาอยู่ 
          ตอนนี้ก็เลยได้แต่มองไปที่ประกายของแม่นํ้าที่เกิดจากแสงจันทร์และแสงดาวที่กระทบกับคลื่นแม่นํ้าจนกลายเป็นประกายแวววาว เพื่อรวบรวมความกล้า (เกี่ยวกันไหมเนี้ยที่มองดูประกายของแม่นํ้าแล้วมีความกล้าเพิ่มขึ้นได้เนี้ย พูดเหมือนกับเรื่องรักโรแมนติคจะกลายเป็นหนังแปลงร่างอย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันทำให้ใจฉันที่สั่นอยู่สงบลงไปเยอะเลยล่ะ)
"ไอ เราอยากเต้นรำกับไอ....ได้ไหม!? สายไปหรือเปล่า" 
          พูดจบฉันก็ร้องไห้ออกมา ทั้งๆที่มันก็แค่ขอเขาเต้นรำเพื่อแทนคำตอบที่เขาถามฉันที่ผับ แต่ทำไมฉันถึงได้รู้สึกตื้นตันขนาดนี้ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่า ฉันเคยคิดว่าระหว่างฉันกับเขามันไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะฐานะเราต่างกันมากเหลือเกิน หรือไม่ ความรู้สึกลึกๆในใจ ฉันรู้สึกว่าไขว่คว้าใจเขาไม่ได้เลย ในใจลึกๆของฉันที่ไม่กล้ายอมรับว่า เขาได้ให้ใจใครคนหนึ่งไปแล้วตลอดกาล ฉันตอนนี้เหมือนฝันอยู่ กลัวว่าอีกประเดี๋ยวก็อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้ กลัวความไม่มั่นคง และอีกหลายๆความรู้สึกที่มันเต็มอยู่ข้างในใจ
"เป็นอะไรชล อยากเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ ผมยินดีอยู่แล้ว ผมกลัวแต่ว่าคุณจะไม่ยอมเต้นกับผมซะอีก ฉันสวนขึ้นมาทันทีว่า
เต้นซิเต้น เราจะเต้นกับไอคนเดียวเลยทั้งชีวิตนี้ ห้ามไอเผลอใจไปเต้นกับใครแล้วด้วยนะ เขาเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับนํ้าตาฉันเบาๆ และโอบกอดฉันไว้อย่างอ่อนโยน
จะเต้นเลยไหม ผมอยากเต้นรำกับคุณแล้ว เขาประคองฉันขึ้นมา แล้วเราก็กอดกันพร้อมกับยํ่าเท้าไปตามจังหวะดนตรีที่ผสมผสานกับเสียงจิ้งหรีดเรไร ฉันคิดได้อย่างเดียวว่าตั้งแต่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ เพลงนี้เป็นเพลงที่เพราะที่สุดในชีวิตฉันแล้ว 
"เรารักไอนะ....รักมานาน แต่รู้ว่าไม่ควรไขว่คว้า รู้ว่าไม่เคยอยู่ในฐานะอื่น นอกจากคนที่ไออยากเป็นเพื่อนด้วย ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา เหมือนมีเส้นบางๆที่เรามองไม่เห็นมากั้นกลางระหว่างเราไว้ แต่ตอนนี้เรากลับกลัวมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
กลัวอะไรหือ!? ไม่เห็นมีอะไรที่น่ากลัวเลย จริงอยู่ว่าตอนแรกผมก็แค่ประทับใจชล อยากได้เพื่อนอย่างชล แต่ตอนนี้ผมไม่อยากให้ชลเป็นแค่เพื่อนแล้วนะ
เรากลัวความไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าสักวันหนึ่ง จะมีใครเข้ามาทำให้ไอกลับไปหาหรือเปลี่ยนใจไปจากเราหรือเปล่า เรากลัวจะเสียไอไป แต่ถ้ามันถึงวันนั้นจริงๆละก็ เราอยากให้ไอบอกเราตรงนะ ไม่ต้องทนฝืนอยู่กับคนที่ไอไม่ได้รักหรอก
พอเหอะชลยิ่งพูดยิ่งใจหาย อย่าพูดอีกเลยนะ ผมจะหายไปไหนได้ยังกัน ผมไม่ไปไหนหรอกจะอยู่กับชลนี่แหละ ผมสัญ.... ฉันเอื้อมมือไปปิดปากเขาเบาๆ ก่อนที่เขาจะหลุดคำที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาทำมันไม่ได้หรอกออกมา
อย่าสัญญาเลย มันไม่แน่นอนหรอก เราเองก็แค่พูดเผื่อๆไว้เท่านั้นเอง ถ้ามันจะมีวันนั้นเราก็แค่อยากให้ไอได้อยู่กับคนที่ไอรักจริงๆมากกว่าทนอยู่กับเรา แต่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ เราจะทำใจปล่อยไอไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย 
          ไม่มีคำพูดใดๆจากเขา ฉันเองก็กำลังงงกับสิ่งต่างๆที่ฉันเพิ่งพูดออกไป ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมถึงแช่งตัวเองแบบนั้น แต่มันเหมือนอะไรบางอย่างบอกให้ฉันพูดออกไปเช่นนั้น
"เอ่อ.....ชลผม..มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกชล.. 
          ตู๊ดๆ...ตู๊ดๆ... เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้นมา เขาจึงขอตัวไปคุยโทรศัพท์ก่อน สักพักเขาก็วิ่งกลับมา ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
ผมมีธุระด่วน!! ต้องรีบไปจัดการ เดี๋ยวผมไปส่งชลที่บ้านก่อนแล้วกันนะ 
เฮ้อ...ฉันจะโล่งอกหรือกลุ้มใจต่อดีละเนี้ย ที่เขายังไม่ได้พูดสิ่งที่ส่วนลึกในใจฉันสงสัยและรํ่าร้องอยากที่จะรู้ความจริงอยู่ 
          ตลอดทางกลับบ้านสีหน้าเขาดูเคร่งเครียดมาก จนฉันไม่อยากจะถามอะไร เพราะแค่นี้เขาก็เครียดกับงานจะแย่อยู่แล้ว เมื่อถึงบ้าน ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไร เขาก็ชิงพูดตัดหน้าฉันว่า
"โชคดีนะครับ ราตรีสวัสดิ์ แล้วพรุ่งนี้ผมจะมารับ ฉันจึงรีบหันไปเปิดประตูรถและเดินลงไปอย่างสนับสนุนอาการเร่งรีบของเขา แต่พอเขาลับตาไป ฉันก็เดินยิ้มอย่างมีความสุขเข้าบ้าน
จะขี้โกงเกินไปหรือเปล่านะที่มีความสุขจนล้นใจขนาดนี้ในขณะที่เขากำลังเคร่งเครียดกับเรื่องงาน แต่มันก็คนละส่วนนี่นา มีความสุขก็มี เป็นห่วงก็เป็นห่วงไง ไม่เรียกว่าขี้โกงหรอก (แบบนี้แถวบ้านเขาเรียกว่า แก้ตัวเข้าข้างตัวเองแล้ว)

          ฟ้าสวยสดใสมักน่ากลัวกว่าฟ้าที่หม่นหมอง เพราะอะไรที่มองแล้วถูกใจ มองแล้วมีความสุข เรามักไม่อยากให้มันจากเราไปเร็ว ทั้งๆที่เราทุกคนก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่า เราจะได้มองเห็นฟ้าสวยสดใสนี้ไม่ได้นานนักหรอก สักวันก็ต้องมีวันที่ฟ้าหม่นหมองเข้ามาแทนที่ ดังนั้นทุกครั้งที่เรามองท้องฟ้าที่สวยสดใสก็จะมีความรู้สึกกลัวไปด้วยพร้อมกัน และตอนนี้ประกายชลก็ได้มีโอกาสเห็นฟ้าที่สวยสดใสสมใจเธอ ก่อนที่ฝนจะเข้ามาสร้างความเปียกปอนหัวใจที่อัดแน่ไปด้วยความกลัวสิ่งที่เธอคิดว่าสักวันมันต้องเกิดขึ้น 
TANOI_ZA				
12 พฤศจิกายน 2546 15:40 น.

ประกายชล -ไอตะวัน 2

TANOI_ZA



          ตอนที่สอง เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่มีความหมายขึ้นของประกายชลลองติดตามอ่านกันดูนะคะ 

          เอ้ะ! ที่ไหนเนี้ย อืม...อ้าวเจ้านาย งั้นเมื่อกี้ฉันก็ฝันไปนะสิ โชคดีจริงๆที่เป็นแค่ฝัน" ฉันหันไปร้องทักเจ้านายด้วยอาการที่ยังมึนงงอยู่ และเริ่มมองสำรวจไปรอบๆตัว จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเอาความหล่อ ที่ฉันฝันถึงมาตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา

"อ้าวนาย! ได้เจอกันอีกครั้งจนได้นะ เอ้อนี่! เมื่อกี้ฉันฝันว่านายเป็นประธานบริษัทของเราด้วยล่ะ ตลกชะมัดเลย ประธานบริษัทดีๆที่ไหนจะรักความลำบากชอบขึ้นรถเมล์มาทำงานกันเน้าะ ฉันพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากไอตะวัน (แล้วคนดีๆที่ไหนจะพูดไม่คิดแบบฉันมั่งนะ)

ก็ประธานบริษัทเราไงล่ะ ยัยประกายชล บอสฉันพูดเสียงเข้ม พร้อมกับกอดอกมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อยากจะบรรยายเลยว่ามันน่ากลัวขนาดไหน

ไม่เป็นไรหรอกครับคุณดุสิต เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมไม่ถือหรอก แล้วเขาก็หันมาทางฉันพร้อมกับอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น

วันนั้นบังเอิญ รถของผมเสียแถวๆป้ายรถเมล์ที่คุณรอรถเมล์อยู่ พอดีวันนั้นผมก็รีบไปเตรียมงานกับเลขาเพื่อเข้าร่วมประชุมตอนเช้าด้วยก็เลย...

อ้าว แล้วทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ล่ะ 

เธอก็ฟังให้จบก่อนซิประกายชล มัวแต่พูดขัดขึ้นมาเธอจะฟังจบหรือเปล่าล่ะ

ครับ ผมก็ขึ้นไม่เป็นอีกนั่นแหละครับ แล้วบังเอิญตอนนั้น ผมเห็นคุณซึ่งใส่เครื่องแบบพนักงานของบริษัทเรายืนอยู่ ผมจึงคิดว่าคุณคงจะไปทำงานที่บริษัทแน่ๆ ก็เลยไปขอความช่วยเหลือคุณ เขาอธิบายให้ฟังยกใหญ่

เอ้อ!! วันนั้นผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณ ที่ช่วยพาผมขึ้นรถเมล์เลย ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอขอบคุณคุณไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับ เอาไว้ผมมีโอกาสเมื่อไหร่ จะตอบแทนคุณให้สมกับที่คุณช่วยประธานบริษัทไว้เลย

ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกคะ ฉันสิต้องขอบคุณคุณที่ยังอุตส่าห์ขอบใจฉัน เอาเป็นว่าฉันขอรับไว้แค่น้ำใจก็แล้วกัน เพราะคนระดับอย่างคุณ อย่ามาเสียเวลาตอบแทนเศษน้ำใจของพนักงานบริษัทที่ไม่มีค่าอะไรอย่างฉันอยู่เลย งั้น..ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวเลยก็แล้วกัน สวัสดีค่ะ ฉันพูดใส่เขาด้วยเสียงที่ห้วน สั้น (จนฉันเองยังสงสัยเลยว่า ทำไมถึงพูดใส่คนที่ฉันคิดถึง แบบตัดเยื่อขาดใยขนาดด้วย) และฉันก็หันไปบอกเจ้านายว่า

เอ้อ!! เจ้านายค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเตรียมข้อมูลให้ที่ห้องนะคะ กรุณาเร็วๆด้วยนะคะ หนูไม่ชอบรอใครนานๆ

ครับ ได้ครับคุณประกายชล เจ้านายตอบรับฉัน ด้วยสีหน้าที่งงๆในพฤติกรรมแปลกๆของฉันที่พูดใส่ประธานบริษัทคนโปรดของเขา

ตกลง นี่ผมเป็นเจ้านายมันหรือมันเป็นเจ้านายผมกันแน่เนี้ย. รู้สึกว่าผู้ที่บอสหวังว่าจะให้แสดงความคิดเห็นด้วย กลับไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย เพราะใจของไอตะวันได้ลอยตามติดไปกับฉันผู้ที่เพิ่งจากไป (อุ้ย! เขินจังเลยอ่ะ ผู้อ่านจะคิดว่าฉันเล่าเรื่องเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าเนี้ย)

              

               เพราะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน ที่ทำให้ฉันแสดงท่าทีกับไอตะวันไปแบบนั้น ทั้งๆที่ฉันควรจะดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งสิ มันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันผิดหวังที่ฉันได้รู้ว่า จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่อยู่คนละระดับกับฉัน เป็นคนที่ฉันไม่มีสิทธิ์คิดถึงไม่มีสิทธิ์หวัง ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันมีแต่เขาในหัวใจ คิดถึงเขาทุกวัน รอเขาด้วยความหวังทุกวัน ว่าเราจะมีโอกาสได้สนิทกันมากกว่าวันนั้น แต่พอได้มารู้จักกันอย่างเป็นทางการ เขากลับกลายเป็นใครแล้วก็ไม่รู้ที่ฉันไม่ควรตีสนิทด้วย (โอ๊ย!! ยัยบ๊องเอ๊ย.....เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังไม่เข้าใจอีก เขาเรียกว่าน้อยใจก็เลยประชดไปอย่างนั้นไง) 

               เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ทำให้ฉันนั่งเหม่อตลอดทั้งวัน ทำงานก็ผิดๆพลาดๆ เพราะว่านั่งคิดแต่เรื่องของเขา ได้แต่นึกโมโหตัวเองที่ทำตัวไม่รักดี รู้ทั้งรู้ว่าไอตะวันเขาอยู่เกินเอื้อมแล้ว ฉันก็ยังจะคิดถึงเขาไม่เลิกอีก แถมตอนที่แอบเจ้านายหลับ ก็ยังฝันว่าได้มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น กับเขา(นี่ขนาดห้ามใจตัวเองนะเนี้ย ยังเพ้อได้ขนาดนี้ ฝันซะเป็นตุเป็นตะเลย นี่ถ้าไม่ได้ห้ามไว้ล่ะก็ฉันคงฝันว่าฉันมีเหลนกับเขาเลยละมั้งเนี้ย) 

               

               ในตอนเย็นขากลับบ้าน ฉันก็ต้องไปรับตาเค้กที่ ร.ร.อนุบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง และจะพาเขาไปกินไอศกรีมร้านประจำกับเพื่อนสนิทฉันอีกคนหนึ่งด้วย

               พอฉันเดินมาถึงที่ลานจอดรถ ก็เจอชายคนหนึ่งถามฉันว่าอะไรซักอย่าง แต่ฉันก็ไม่ทันได้ฟังอะไร และเหมือนว่าเขาพยายามจะพูดอะไรต่อ แต่ว่าฉันในตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะฟังอะไรแล้วทั้งนั้นก็เลยจะเดินหนีและก็พูดบ่นกับตัวเองว่า

เฮ้อ!!...นี่ฉันเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย ไม่มีอารมณ์จะฟังใครเขาพูดอะไรหรือไงนะยัยชล เฮ้อ!!......

เมฆๆ เมฆ รอพี่ด้วย พี่มีเรื่องจะปรึกษาหน่อย เรื่องใหญ่มากๆเลย พี่ไม่เคยเจอปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชี...........วิต เสียงนี้ทำใ ห้ฉันที่กำลังจะจากไป หยุดนิ่งแล้วหันมามองที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ฉันทำท่าจะกล่าวทักทายในตอนแรกแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจ (แบบเพิ่งนึกได้ว่าเขาอยู่เกินเอื้อม) ไม่อยากพูดคุยเสวนากับคนที่อยู่คนละระดับ เดี๋ยวคุณไอตะวันเขาจะดูต้อยตํ่า ฉันจึงตัดสินใจที่จะเดินต่อไป แต่แล้วก็มีเสียงมาห้ามไว้ว่า

คุณประกายชลกำลังจะกลับบ้านเหรอครับ ให้ผมไปส่งได้หรือเปล่า

ตอบแทนเศษนํ้าใจฉันน่ะเหรอค่ะ คงไม่ต้องหรอกค่ะเพราะฉันกลับเองได้อยู่แล้ว ปัง!!!!!โครม เสียงฉันเดินชนป้ายห้ามเลี้ยว ที่วางอยู่ตรงลานจอดรถบริษัท จนหน้าควํ่า แต่ว่าคราวนี้ไอตะวันกลับไม่มีทีท่าว่าจะขำหรือมีอาการใดๆ นอกเสียจากสีหน้าที่แสดงความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม (TANOI_BONG: อ้าวไม่ห่วงเลยเหรอ แค่สงสัยอย่างเดียวอ่ะนะ) แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยฉัน ซึ่งก็ไม่รู้เพราะอะไร ฉันถึงได้ยินยอมเขาโดยไม่ขัดขืนสักนิด

เป็นไรมากหรือเปล่าครับ

ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ ปล่อยมือฉันได้แล้วมั้งคะ ฉันรีบมาก

ให้ผมไปส่งดีกว่าไหมครับ

ใช่ผมก็ว่าอย่างนั้นนะครับคุณคนสวย ผมว่าให้พี่ผมไปส่งเถอะ คุณดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่ง ไอเมฆ ประทานทรัพย์กล่าวเสริมทัพพี่ชาย

นะครับคุณประกายชล ผมมีธุระจะคุยกับคุณด้วยเเหมือนกัน แล้วฉันก็ต้องยอมเขาเพราะสายตาที่อ้อนวอนแกมดุเหลือเกินของเขาข่มฉัน

ไหนล่ะ รถคุณน่ะ แล้วรถฉันด้วยจะเอาไว้ที่นี่หรือไง พรุ่งนี้ฉันไม่มีรถขับมาทำงานนะคุณ เดี๋ยวก็มาทำงานสายหรอก งานคุณจะเสียได้นะ ฉันยอมเขาก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่วายประชดเขานิดๆตามประสาคนขี้ใจน้อย

ก็เดี๋ยว พรุ่งนี้ผมค่อยไปรับคุณที่บ้านก็ได้นี่ ไม่เป็นไรหรอก เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ฉันเองที่เมื่อกี้ก็กลัวเขาอยู่เหมือนกัน เริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง แล้วเราสองคนก็พากันออกมาจากบริษัทด้วยรถเบนซ์คันหรูของเขา โดยลืมว่าน้องชอยของเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน

               

               เราสองคนเงียบกันได้สักพัก ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา เขาเองก็เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังไม่ยอมพูด ต่างคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นานจนกระทั่ง

คือ........ผม

นี่!! คุณ

ไม่ต้องมามัวเกี่ยงกันว่าให้ใครพูดก่อนหรอก เชิญคุณพูดได้เลยค่ะ เพราะฉันจะบอกให้คุณพูดน่ะแหละ บรรยากาศมันอึดอัดฉันไม่ชอบ เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วก็มีเสียงออกมาจากปากเขาด้วยนํ้าเสียงจริงจังว่า

ผม.........ไม่อยากให้คุณเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดปังคุณหรอกนะเรื่องที่ผมเป็นประธานบริษัท แต่มันเป็นเพราะว่าวันนั้น...

โอ๊ย!... ฉันไม่ได้โกรธคุณด้วยเรื่องแค่นั้นหรอก

อ้าว งั้นโกรธผมเรื่องอะไรละครับ

ก็เรื่องที่ฉันอุตส่าห์เฝ้าคิดถะ..........เปล่าไม่มีอะไร ฉันไม่โกรธคุณหรอก ฉันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ภายใต้สีหน้าที่ไม่รู้ไม่ชี้นั้น ตกใจแบบสุดๆ เพราะฉันเกือบจะหลุดเอาความในใจของฉันที่มีให้กับเขาออกไปอยู่แล้ว

ไม่จริง!!ผมไม่เชื่อคุณหรอก ก็คุณเมื่อกลางวันนี้ เขาเริ่มพูดเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบ เพื่อบังคับให้ฉันบอกความจริงกับเขา แต่เรื่องอะไรฉันจะบอกความในใจฉัน สู้พูดเปิดโอกาสให้ตัวเองสามารถคุยกับเขาได้ไม่ดีกว่าเหรอ ก็เมื่อกลางวันดันไปพูดตัดเยื่อขาดใยไว้ซะขนาดนั้น ต้องรีบพูดเดี๋ยวเขาไม่ง้อให้เราคุยด้วยจะยุ่ง

อ่ะ ก็ได้ๆ ฉันไม่โกรธคุณแล้วก็ได้ คุณก็ไม่ต้องอยากรู้เลยนะ ว่าฉันโกรธคุณเรื่องอะไร เขางงกับคำด่วนสรุปเอาเองแบบเอาแต่ใจของฉัน แต่ก็ต้องจำยอม เพราะดูเหมือนว่าฉันจะไม่ยอมพูดอะไรอีก และเขาจะไม่มีโอกาสได้รู้เหตุผลที่ฉันโกรธเขาแน่ๆ 

มีอีกเรื่องหนึ่ง คือ.....ผมไม่เข้าใจที่คุณทำแบบนั้น ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ ผมไม่อยากให้คุณทำเหมือนว่าเราไม่ควรคุยกันอย่างสนิทสนม มันไม่จำเป็นเลย ที่เราจะต้องทำตัวห่างเหินกันแบบนั้น คือผมหมายความว่า เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าเราจะไม่คิดถึงฐานะหน้าที่ทางการงานของเราสองคน" 

               พูดจบความเงียบ ก็เข้ามาครอบคลุมเราสองคนอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันและเขาไม่มีความรู้สึกอึดอัดเหลืออยู่เลยสักนิด มันกลับเป็นความรู้สึกโล่งอก เขาจะรู้หรือเปล่านะว่า คำพูดที่เขาพูด มันทำให้ฉันดีใจมากขนาดไหน ความน้อยใจเมื่อเช้านี้มันได้ถูกทำลายไปจนไม่เหลือเลยนะ 

               แต่ฉันเดาว่าเขาต้องรู้แน่เลยเพราะว่าฉันเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมานิดนึง จนฉันจรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยดุเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว ครู่ต่อมา เขาก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบภายในรถ และก็ทำลายฝันกลางวันของฉันด้วยค่ะ เพราะเมื่อกี้ฉันเผลอนึกถึง วันที่เราสองคนแต่งงานกัน (นี่ขนาดแค่บอกว่าให้เป็นเพื่อนกันได้เท่านั้นเองนะ ฉันยังเพ้อได้ขนาดนี้ ถ้าเขาบอกว่าสนิทกันได้ ฉันจะไม่เพ้อว่าฉันมีลูกกับเขาเลยเหรอเนี้ย)

"และที่สำคัญ ผมไม่ต้องการให้คุณดูถูกตัวเอง ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม แล้วน้ำใจของคุณ มันไม่ใช่แค่เศษน้ำใจเลยสักนิด น้ำใจที่คุณให้ผมมาในวันนั้นทำให้ผมประทับใจและคิดถึงคุณมาตลอด เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองอีกเลยนะครับ" 

               ฉันว่าเขาคงต้องการพูดปลอบใจฉันมากกว่าต้องการสื่อความหมายอย่างอื่น แต่มันก็ได้ผลนะ มันทำให้ฉันเขินที่ฉันเขาประทับใจฉัน ฉันเลยพูดขัดเขาเพื่อแก้ไขบรรยากาศที่มันชวนจักจี้หัวใจของฉันว่า

"คุณประทับใจที่ฉันพาคุณขึ้นรถเมล์ผิดขนาดนั้นเลยเหรอ"

               ทั้งที่เรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะมากมายอีกแล้ว แต่มันก็ทำให้เราสองคน หันมาสบตากันและประสานเสียงหัวเราะกันจนเหมือนกับว่า เมื่อกลางวันฉันกับเขาไม่ได้ทะเลาะกันเลย เมื่อขับรถมาถึงทางแยก เขาจึงถามว่า

"จะให้ผมไปทางไหนต่อครับ"

"คุณไอตะวันรู้จักร.ร.อนุบาล...หรือเปล่าคะ คือฉันต้องไปรับลูกชายฉันที่นั่นด้วยค่ะ"

"อ้าว! นี่คุณประกายชลมีลูกแล้วเหรอครับเนี้ย แถมยังเรียนตั้งอนุบาลแล้วด้วย ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องแต่งงานมานานพอสมควรเลยน่ะสิ"

               ฉันตอบเขาพร้อมกับหันไปจ้องหน้าเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงที่รู้ว่าฉันมีครอบครัวแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ฉันต้องการจะให้เขาเข้าใจผิดก็ตาม (งงไหมคะว่าทำไม ก็ถ้าเขามีใจให้กับฉัน และพอเขารู้ว่าฉันมีลูก เขาก็น่าจะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาใช่ไหมคะ)

"ลูกน่ะมีแล้วค่ะ แต่ไม่ใช่ลูกที่มาจากท้องของฉัน ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉัน ที่เสียชีวิตระหว่างไปทำงานที่ต่างประเทศเมื่อปีที่แล้วน่ะค่ะ ฉันเลยรับเป็นแม่บุญธรรมให้ตาเค้ก"

               สรุปแล้วฉันก็ต้องผิดหวัง เพราะฉันไม่เห็นสีหน้าที่แฝงความหมายอะไรสักอย่างที่ฉันอยากเห็นจากสีหน้าของเขา 

'นี่ที่เขาบอกว่า ให้เราสนิทกันได้ เป็นเพื่อนกันได้ เขาก็หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆเหรอเนี้ย ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดไปถึงเรื่องที่เราได้แต่งงานกัน เฟื่องไปแล้วมั้งเรานี่ เฮ้อ..แต่ก็ช่างมันเหอะ เพื่อนก็เพื่อนวะ ดีกว่าทนคิดถึงเขาล่ะ' เมื่อเรารับตาเค้กขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย ตาเค้กก็ทวงสัญญาขึ้นมาทันที

"ชลๆ คุณน้าคนนี้จะกินไอติมกับเราด้วยเหรอ" ทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า 

'เอ้าตายแล้วฉัน มัวแต่นึกถึงเรื่องของตัวเองจนลืมลูก ลืมผัวเลย เอ้ะ!!ผัว เอ้ย! สามียังไม่มีนี่นา ก็มีแต่ที่อยากให้มาเป็นละน้า' ฉันนึกอะไรแผลงๆและก็เผลอมองไปที่เป้าหมายที่วางไว้ในความคิด

"คือ...ฉันลืมไปเลยค่ะว่าฉันนัดเพื่อนสนิทของฉันกับตาเค้กไว้ ว่าเราจะไปร้านไอศกรีมเจ้าประจำกัน คุณไอตะวันสนใจจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ ฉันจะได้แนะนำว่าที่สามี เอ้ย!! ไม่ใช่ เพื่อนใหม่ของฉันให้เพื่อนสนิทของฉันรู้จักด้วย" เขาเงียบไปอึดใจ 

'รึว่าเขาจะอึ้ง ที่ฉันเปิดเผยขนาดนั้นนะ แต่ว่า..คงไม่ใช่หรอกมั้ง สีหน้าเขาไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรเลยนิ' ฉันจึงถามขึ้นอย่างเกรงใจและอย่างพึ่งนึกขึ้นได้ว่า

"แต่ถ้าไม่ว่าง ก็ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเราสองแม่ลูกลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ" นี่ต้องเน้นคำว่าแม่ลูกให้เยอะๆเข้าไว้ จะได้ดูเป็นนางสาวไทยกับเขาบ้าง ช่วยด้วยแล้วกันนะตาเค้ก นี่แหละคนที่แม่อยากให้เป็นพ่อเราน่ะ

"ว่างสิครับ ว่าง ตกลงเดี๋ยวผมไปด้วยก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวไหนนักหรอก เหงามานานแล้ว"

               ตอนที่เขาพูดว่า 'ผมเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวไหนนักหรอก เหงามานานแล้ว' เขาดูเศร้าลงมานิดนึง แต่ก็กลับเข้าสู่สีหน้าปกติได้อย่างรวดเร็วแต่มันก็ไม่สามารถรอดจากความรู้สึกฉันไปได้หรอก ในขณะที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะเรา 

'โธ่ ยัยกลอนนี่เอง' มันโทรมาบอกว่ามันมาไม่ได้แล้ว เพราะว่างานที่มหาวิทยาลัยมีปัญหานิดหน่อย ให้ฉันกับตาเค้กไปร้านไอศกรีมกันสองคนได้เลย 

'แต่เสียใจย่ะ วันนี้ฉันมีคุณไอตะวันว่าที่ลูกเขยบ้านฉันมาด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องเธอเบี้ยวนัด เรื่องจิ๊บๆ' เราสามคนจึงเปลี่ยนโปรแกรมกัน โดยเริ่มจากดูหนัง 

'ให้ตายเถอะค่ะท่านผู้อ่าน เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหน ที่ดูหนังรักโรแมนติคแล้วร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้เลย ทำให้เราทั้ง 3 คนต้องแย่งผ้าเช็ดหน้าที่มีอยู่เพียงผืนเดียว (ซึ่งเป็นของเขา ที่ให้ฉันมาในตอนแรกน่ะแหละ เพราะว่าฉันเป็นคนเริ่มร้องไห้ก่อน) กันยกใหญ่' 

               พอออกมาจากโรงหนังได้ ฉันกับตาเค้กก็พากันหัวเราะที่เขาร้องไห้ซะยกใหญ่ ซึ่งเจตนาของฉันคือ ฉันคิดว่าเขาน่ารักจังเลยที่ดูหนังเศร้าแล้วร้องไห้ได้ขนาดนั้น เขาเหมือนกับตาเค้กเวลาดูละครเรื่องบ้านทรายทองกับดาวพระศุกร์ไม่มีผิดเลย ส่วนตาเค้กนี่สิเรียกว่าหัวเราะเยาะได้เลย แถมยังแซวจนคนถูกแซวหน้าแดงแป๊ดเลย และฉันเริ่มสังเกตุได้ว่า ดูเหมือนวตาเค้กจะไม่ค่อยชอบใจเขาสักเท่าไหร่ เพราะตาเค้กชอบพูดแซวและถามประวัติคุณไอตะวันจนละเอียดยิบชนิดที่ฝ่ายทะเบียนประจำอำเภอยังยอมแพ้เลย แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่มีผู้ชายเข้ามาทำความรู้จักฉัน (ซึ่งนานๆ แบบว่าโคตรนานมากๆจะมีหลุด เอ้ย! หลง เอ้ะ!ไม่ใช่ๆต้องเป็นคำว่า 'เข้ามาในชีวิตฉัน' สิ) เพียงแต่ว่าคราวนี้ ตาเค้กแปลกๆอย่างไรก็ไม่ทราบ ฉันเองก็บอกไม่ถูก เพราะเหมือนว่าตาเค้กก็จะยอมๆเขาบ้าง อาจจะเป็นเพราะว่าคุณไอตะวันสุภาพกับฉันและเอาใจตาเค้กเก่ง 

'เอ้ะ! หรือตาเค้กดูออกว่าคุณไอตะวันไม่ได้คิดอะไรกับฉันหว่า'

               ตอนที่เราไปนั่งกินข้าวกันถือว่านี่เป็นเวลาที่ฉันมีความสุขมากเลย (TANOI_BONG:ก็แหม ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่คุณลูกนี่  ประกายชล:คือ.......อันนั้นมันก็ใช่แหละค่ะ แต่มันมีที่ทำให้มีความสุขมากว่านั้นคือ ฉันได้รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับเขา) ตอนที่เรานั่งกินข้าวกันอย่างมูมมาม เอ้ย! อย่างมีความสุข (มูมมาม ถ้าจะเรียกให้ดูดีต้องเรียกว่ากินข้าวอย่างมีความสุขนะคะ หมายเหตุ 'กินข้าวอย่างมีความสุข' มีผลบังคับแค่กับเราสองแม่ลูกเท่านั้น คนอื่นไม่มีผลค่ะ) อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาว่า

"ผมจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมกินข้าวแล้วมีความสุขน่ะ มันเมื่อไหร่" 

"อ้าว ทำไมละคะ ชีวิตคุณก็ออกจะดูสมบูรณ์ดีไม่ใช่เหรอคะ"

"ผมหมายถึงความสุขทางใจต่างหากละครับ" 

'เอ้ะ พูดงี้หมายความว่าไงเนี้ย คนฟังใจพองโตแล้วนะ'

"ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท ที่เรียกว่าจริงใจกับผมสักเท่าไหร่หรอก จะมีที่คุยกันได้ก็ ไอเมฆน้องชายผมกับนายกวีเพื่อนอีกคนที่ตอนนี้ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ ยังไม่กลับมาเลย"

"อืม" ฉันและตาเค้กพยักหน้ารับฟังพร้อมกัน

'แปลกแหะ ตาเค้กนั่งนิ่งเชียวไม่กวนแล้วหรือพ่อตัวยุ่ง'

"เพื่อนที่มีอยู่ตอนนี้ ตอนไปดูหนังด้วยกันก็คอยแต่จะคิดว่า 'บริษัทเพื่อนจะพัฒนาไปถึงไหนกันแล้วนะ' พอไปกินข้าวด้วยกันก็คิดแต่ว่า 'จะทำยังไงดีจะพูดยังไงดี ถึงจะได้กำไรหรือผลประโยชน์จากบริษัทที่มานั่งกินข้าวกันด้วยกันนะ' ทำให้ผมลืมบรรยายกาศการดูหนังและการกินข้าวที่คนปกติเขาทำกันไปนานเลย" แล้วเขาก็หันมาสบตาฉัน

"จนกระทั่งวันนี้ ที่ผมได้มากับคุณ ผมถึงได้กลับมารู้สึกสนุกกับการนั่งกินข้าวและการดูหนังอีกครั้งหนึ่ง ผมคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกจะเป็นเพื่อนคุณ ตั้งแต่วันนั้นผมก็เอาแต่คิดว่า 'ถ้าได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อนก็คงจะดี' ขอบคุณ คุณประกายชลมากนะครับที่ชวนผมมากับคุณด้วยวันนี้"

"ก็ ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แม่ผมใจบุญอยู่แล้ว"

"ตาเค้ก!! จุ๊ๆ" ฉันส่งเสียงพร้อมสายตากำราบตาเค้ก 

'แหม ตาเค้กนะ ตาเค้ก แม่อุตส่าห์ดีใจที่เรานั่งเงียบฟังคุณไอตะวันมาตลอด หลงนึกว่าลูกเราไม่ต่อต้านคุณไอตะวันแล้วซะอีก' แล้วเขาหัวเราะออกมาได้กับท่าทีเราสองคน ฉันอุทานออกมาอย่างเข้าใจเขาว่า

"มิน่าล่ะ! ตอนที่ฉันชวนคุณมาด้วย ถึงเอาแต่นั่งเหม่อและก็พูดเหมือนไม่ค่อยยินดียินร้ายกับการไปเที่ยวไหนสักเท่าไหร่เลย ที่แท้เพื่อนที่มีอยู่แต่ละคน ก็ไม่มีใครน่าไปไหนด้วยสักคนนี่เอง" เขาไม่ตอบอะไรออกมา มีแต่รอยยิ้มที่ส่งมาแทนคำตอบ

งั้นเอาอย่างนี้ไหม ต่อไปนี้ถ้าฉันจะไปเที่ยวไหนฉันจะชวนคุณไปกันนะ

ได้ครับผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่..........น้องเค้กจะยอมให้น้าไปด้วยได้ไหมครับ ฉันหันไปมองหน้าตาเค้ก เพื่อส่งสายตาบอกให้ตาเค้กตอบรับคุณไอตะวัน

อืมๆก็ได้ๆ นี่เห็นว่าน่าสงสารหรอกนะ แล้วชลก็ส่งสายตามาอ้อนวอนอีกด้วย ไม่งั้นอย่าหวังเลย

นี่ตาเค้ก มากไปๆ อายุเท่าไหร่กันหรือไงเรา จะไปเทียบรุ่นกับน้าเขาได้ไง 

ก็นั่นแหละ ก็น้าไอยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องพึ่งเค้กนี่ ฉันต้องหันไปขอโทษไอตะวันในความแก่แดดของพ่อยอดยุ่ง แต่เขากลับพูดว่า

สมกับที่คุณเลี้ยงมาเลยนะครับ เหมือนกันเหลือเกิน 

               แทนที่ฉันจะเคืองกับการแซวของเขา ฉันกลับภูมิใจที่ฉันเลี้ยงตาเค้ก แล้วเขาสามารถซึมซับนิสัยฉันไปได้บ้าง เพราะสำหรับการที่เราเป็นแค่ลูกบุญธรรมกับแม่บุญธรรมนั้น ไม่ได้มีอะไรที่สามารถเป็นเครื่องยืนยันความเป็นแม่เป็นลูกกันได้ นอกจากกระดาษแค่ใบเดียว เพราะฉะนั้นความสนิทสนมจะเป้นอีกอย่างที่ทำให้เรารักกันได้เหมือนเราเป็นแม่เป็นลูกกันจริง ฉันจึงหันไปหัวเราะพร้อมกับเขา โดยมีตาเค้กนั่งงงอยู่ ว่าเราหัวเราะกันเรื่องอะไร

 

               เมื่อเขามาส่งเราสองแม่ลูกที่บ้าน ก่อนลงรถเขาก็พูดขึ้นมาว่า

เรากลับบ้านด้วยกันทุกวันได้ไหมครับ ผมสนุกมากเลยวันนี้ และผมก็ยังติดใจอยู่เลย คุณเองเมื่อไหร่จะไปเที่ยวก็ไม่รู้ ผมคงอดใจทนไม่ไหวแน่ๆเลย 

เอาอีกแล้ว คุณไอตะวันขา....คำพูดที่ชวนให้คนฟังเข้าใจผิดแบบนี้ ขยันพูดให้คนฟังหัวใจพองอยู่เรื่อยเลยนะ

เป็นเด็กเลยนะคะ ได้ขนมที่อร่อยๆชิ้นหนึ่งแล้วก็อยากกินชิ้นที่สองต่อขึ้นมาทันทีเลย

แล้วตกลงหรือเปล่าละครับ

ก็ได้ไง ถามอยู่ได้ แม่เราเขาใจดีจะตาย โดยเฉพาะกับนาย แต่นายต้องไปรับเราที่ร.รหลังเลิกเรียนทุกวันด้วยนะเข้าใจป่ะ ตาเค้กตอบแทนฉันที่กำลังยืนอึ้งเพราะความดีใจ (แบบว่า จริงๆอยากจะตอบไปเลยทันทีที่เขาถามเลยด้วยซํ้าว่า ได้เลยค่ะ แต่ว่ามารยาเอ้ย!! มารยาทหญิงที่แม่สอนมาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็ก มันคํ้าคอให้ทำท่าคิดก่อนที่ตอบตกลง)

เกินไปตาเค้ก ฉันหันไปส่งสายตาพร้อมกับเสียง เพื่อปรามความซ่าของตาเค้กก่อนเล็กน้อย แล้วจึงหันไปตอบตกลง

ได้ค่ะ แต่ต้องไปรับตาเค้กที่ร.ร.ทุกวันด้วยนะคะ คุณจะไหวเหรอ

ได้ครับ ผมไหวอยู่แล้ว ตกลงแล้วนะครับ แล้วอีกอย่างนึง คุณจะเรียกผมว่า ไอ เฉยๆก็ได้ครับ ส่วนผมขอเรียกคุณว่า ชล นะครับ

คุณน่ะเป็นประธานบริษัทจะเรียกฉันว่าชลสั้นๆน่ะได้อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ฉันนี่สิเป็นแค่พนักงานบริษัทจะเรียกชื่อคุณเฉยๆได้ไงไม่ดีหรอก เดี๋ยวพนักงานในบริษัทคนอื่นๆก็ไม่เคารพคุณกันพอดีสิ

อืม...งั้นเอาอย่างนี้ ไว้คุณเรียกผมว่าไอตอนหลังเลิกงานก็ได้ครับ

โอเคค่ะ กลับบ้านปลอดภัยนะคะ วันนี้ขอบคุณมากค่ะ ตาเค้กขอบคุณน้าเขาด้วยสิ วันนี้เขาอุตสาห์พาเราสองแม่ลูกไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่นะ

ขอบคุณครับ นายมีบุญนะเนี้ยได้คำขอบคุณจากเราด้วย

งั้นโชคดีนะคะ สวัสดีค่ะ เมื่อคุณไอ (ได้เรียก ไอ สั้นๆเป็นครั้งแรกแล้ว ดีใจจัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่การเรียกในใจก็เหอะ) ขับรถพ้นไปจากสายตาเราสองคน ฉันจึงชวนตาเค้กเข้าบ้าน ขณะที่เราจะเข้าบ้านฉันก็ตั้งใจว่า จะทำหน้าที่คุณแม่สักหน่อยจึงพูดขึ้นว่า

ตาเค้ก! แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา แทนที่จะมีอาการสำนึกผิดหรือเข้าใจความหมายอะไรสักหน่อย ตาเค้กกลับพูดว่า

เอ้า!! ก็ของมันแน่อยู่แล้ว ผมลูกใครล่ะ ตาเค้กพูดอย่างนี้ทีไร ฉันทำอะไรต่อไม่ถูกทุกที ดูสิค่ะท่านผู้อ่าน ตาเค้กแก่แดดขนาดจับจุดอ่อนของฉันได้ว่า ฉันไม่ชอบสอนคนอื่นในเรื่องที่ตัวเองก็ยังไม่สามารถทำได้ ฉันจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก ก็ด้แต่คิดว่าสักวันฉันจะต้องหาทางอื่นมาสอนตาเค้กให้ได้

ตอนนี้อาจเรียบๆไม่มีอะไรมาก แต่มันจะเป็นพื้นฐานของตอนต่อไปนะคะ

โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป(ด้วยนะคะ อิๆ) TANOI_ZA				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงTANOI_ZA