2 ตุลาคม 2549 14:24 น.

ณ จันทร์ (เคยแอบรักใครใช่ไหม ฉันก็เช่นกัน)

TANOI_ZA

ณ 
จันทร์ 

******* 

แม้เธอจะส่องสว่างได้เพียงเสี้ยวหนึ่งของแสงตะวัน 
แม้ใคร...ใครจะเห็นค่าเธอเพียงความงามยามค่ำคืน 
หากไม่ว่าจะฟ้าไหน...คืนไหน... 
หรือต่อให้ประกายแสงจากเธอจะริบหรี่จนสู้แม้แต่แสงดาวไม่ได้ก็ตาม 
แต่ 'พระจันทร์' ก็ยังคงเป็น 'พระจันทร์' อยู่เสมอ... 
เธอยังคงต้องทำหน้าที่พระจันทร์ให้สุดกำลังทุกครั้งเมื่อถึงเวลาของเธอ 
อย่างน้อยก็เพื่อใคร...ใครที่ไม่เคยเห็นค่าเธอ 
ได้เข้านิทราอย่างปลอดภัยด้วยแสงสว่างจาก 'พระจันทร์'

           เคยแอบรักใครใช่ไหม ฉันก็เช่นกัน
          สำหรับฉันมันเริ่มมาจากมุขสนุกสนานระหว่างบรรดาสาวโสด ที่มักจะมีหนุ่มหน้าตาโดนต่อมสเป็คไว้คุยพอหอมปากหอมคอในวงสนทนา
          ช่วงแรกๆ ฉันก็แค่มองเธอจากระยะร้อยหลา ได้แค่เล็งอยู่อย่างนั้นหลายปีผ่านไป ฟ้าก็มอบโอกาสให้หน่วยกิจกรรมของเราได้ใช้ห้องสำนักงานเดียวกันและหลังจากนั้นไม่นานฟ้าก็ยังประทานบทสนทนาแรกระหว่างเราให้โดยที่ฉันเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของความรู้สึกรุนแรงที่เกินกว่าคำว่า 'ปลื้ม' ได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาเป็นครั้งแรก หากนั่นก็ยังไม่มากพอที่ฉันจะบอกได้ว่าความรู้สึกทรมานข้างในหัวอกนี้มันคืออะไรกันแน่ 'ปลื้ม''หลง' หรือ 'รัก'
          หลังจากบทสนทนาแรกระหว่างเราเกิดขึ้น ความรู้สึกของฉันก็เริ่มพัฒนาไปพร้อมๆ กับระยะทางระหว่างเราที่หาความแน่นอนไม่ได้
เหมือนจะใกล้กันมากขึ้น แต่กลับไม่เคยแม้เพียงส่งยิ้มให้เธอยามเดินสวนกัน แม้ฉันไม่แน่ใจว่าตัวจริงของเธอมีมนุษยสัมพันธ์ดีเด่นเข้าขั้นเชื่องเหมือนฉันหรือเปล่า หากสำหรับฉันแล้วอาการแบบนี้มันผิดนิสัยของฉันมาก ฉันที่มักจะยิ้มให้ทุกคนที่รู้จักแม้เพียงครั้งเดียวที่ได้คุยกันกลับมองผ่านไปราวไม่เห็นเธอเสียอย่างนั้นแต่ฉันจะส่งยิ้มให้เธอได้อย่างไร ในเมื่อแค่การพยายามตั้งสติเพื่อบังคับท่อนขาแข็งทื่อของฉันให้เดินตรงไปตามเส้นทางโดยไม่เข่าอ่อนไปกองกับพื้นเพราะกำลังเดินสวนทางกับเธออยู่นี้ก็ยากเต็มทีแล้ว
          แล้วหลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยกันอีกเป็นระยะๆ ด้วยบทสนทนาสั้นกระชับก่อนจะแยกจากกันไปตามวาระ ในขณะที่เสี้ยวส่วนหัวใจของฉันกลับลอยติดไปกับเธอทีละนิดๆ โดยที่ฉันก็รู้ตัวดีแต่ไม่เคยฉุกคิดสักนิด
          ฉันยังคงหลงระเริงอยู่กับระยะห่างที่เปลี่ยนจากสิบเป็นเก้าแต่ไม่เคยไปถึงแปดอย่างเพ้อเจ้อไปเองว่า กิโลใจที่เก้าครั้งที่สองนั้นคือแปด กิโลใจที่เก้าครั้งที่สามนั้นคือเจ็ด
          กระทั่งวันหนึ่งฉันเหลือบไปเห็นหลักกิโลใจที่เก้า โดยมีเธอเป็นผู้ชี้ทางอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าคนแปลกหน้าคนนี้คิดอย่างไรกับเธอ นั่นจึงทำให้ฉันได้รู้ว่าตัวเองยืนอยู่จุดไหน หากหัวใจที่หลงเริงร่ามาจนไกลก็ดันดื้อรั้นเกินกว่าที่เหตุผลนับร้อยพันประการจากสมองของฉันจะทัดทานได้ ฉันจึงปล่อยให้ตัวเองหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะเห็นระยะห่างระหว่างเราลดลงมากกว่านี้ หากคราวนี้ฉันไม่กล้าอีกแล้ว ฉันไม่กล้าเพ้อเจ้อจนเกินความจริง ฉันจึงได้แต่เฝ้ารอรอให้เธอเป็นฝ่ายเข้ามาก่อน และเธอก็เข้ามา เข้ามาด้วยความบังเอิญและไม่เกี่ยวกับโอกาสแรกที่ฟ้ามอบให้กับฉัน ร้ายเข้าไปใหญ่คือ คราวนี้มือของเธอสัมผัสมือของฉันโดยบังเอิญ หากแค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ฉันเก็บมาคิดวุ่นวายใจไปหลายวัน โชคดีที่ความเจ็บจากอุบัติเหตุ ณ หลักกิโลใจที่เก้ายังคงเรื้อรังมาจนทุกวันนี้ ฉันจึงไม่เคยลืมเตรียมตัวเจียมใจของตัวเองอยู่เสมอ
          แต่ถึงฉันจะเจียมตัวเองขนาดไหน หากลึกในใจก็ยังคงหวังถึงวันที่ฉันจะได้มีโอกาสเข้าใกล้เธอมากกว่านี้ ทว่าวันหนึ่งฉันก็เริ่มรู้ตัวว่าเป็นได้แค่ไหน เมื่อฉันเห็นเธอกับผู้หญิงคนนั้น คนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยรู้ว่ามีตัวตน ภาพเธอที่ยืนขึ้นทันทีราวกับรอคอยการมาของผู้หญิงคนนั้นอย่างใจจดใจจ่อทำเอาฉัน
          ฉันไม่แน่ใจตัวเองว่าตอนนั้นยังยิ้ม ยังคุยเล่น ยังแซวเรื่องเธอกับเพื่อนได้อย่างไร เพราะทันทีที่ฉันอยู่เพียงลำพัง น้ำตาก็เอ่อท้นล้นขอบตาอย่างง่ายดายและไม่คาดคิด ฉันเฝ้าแต่สงสัยและถามตัวเองว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับเธอตลอดเวลาที่สมองมีเวลาคิด
          สมเพชตัวเองนัก ฉันไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเธอมีอิทธิพลกับผู้หญิงอย่างฉันมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
          ทั้งที่ฉันเตือนตัวเองอยู่เสมอ
          ฉันรู้ว่าฉันยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร
          ฉันรู้ว่าเราแทบไม่รู้จักกัน
          ฉันรู้ว่าเราต่างกันมากขนาดไหน
          ฉันรู้ว่าเราคิดเหมือนกันก็แค่ในความฝันของฉันเท่านั้น
          แต่ทำไมฉันต้องร้องไห้ด้วย ฉันไม่อยากร้องไห้เลย ฉันไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ มันไม่มีเหตุผล!!...หรือเพราะฉันกลัวความรัก
เสี้ยวหนึ่งฉันคิดได้ว่า บางทีการที่ฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยรักใคร ไม่เคยเห็นผู้ชายเป็นสาระสำคัญของชีวิต ไม่เคยให้ใครมามีอิทธิพลกับความรู้สึก ไม่เคยให้ความรู้สึกมีอิทธิพลเหนือเหตุผล อาจเป็นเพราะฉันกลัวความรัก
          ฉันกลัวว่าความรักจะทำให้ฉันเป็นคนอ่อนแอ ไร้เหตุผล และร้องไห้เพราะเธอ ฉันจึงไม่กล้ายอมรับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกที่เริ่มจากมุขสนุกสนานระหว่างบรรดาสาวโสด ซึ่งถลำลึกทีนิดๆ จนฉันไม่ทันรู้ตัวเพราะอาการใจพองโตมันใหญ่คับหัวอกและเบียดบังความจริงไว้ในลืบหนึ่งของหัวใจ จนเมื่อวันหนึ่งที่ใจดวงนี้เหี่ยวลงความจริงเหล่านั้นจึงปรากฏออกมาย้ำเตือนอีกครั้ง
          แต่ถึงแม้ว่าฉันจะยอมรับความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าปลื้มแค่ไหนก็ตามที หากส่วนหนึ่งของฉันก็ยังย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่าฉันยังไม่อาจแน่ใจถึงความรู้สึกตัวเองได้เลยว่า ฉันคิดอย่างไรกับเธอ
แล้วความคิดบ้าระห่ำก็บอกให้ฉันเดินเข้าไปบอกความในใจกับเธอ ฉันอยากเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเราซึ่งไม่เคยมีบทสนทนาหรือส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ที่มากไปกว่าธุระซ้ำยังไม่เคยเข้าใกล้โลกของอีกฝ่ายมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ฉันอยากเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเราที่เหมือนไม่มีตัวตน ราวกับว่าสักวันถ้าฉันหายไปจากชีวิตเธอก็คงไม่เกิดอะไรขึ้น คงจะไม่มีการรับรู้เพราะเธอไม่เคยรู้สึกถึงตัวฉัน อยากเปลี่ยนให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ขยับเข้ามาชิดกันมากกว่านี้ อย่างน้อยแค่เพื่อนก็ยังดี
          แต่มันคงไม่ดีถ้าฉันจะดึงเธอมาเสี่ยงกับความรู้สึกที่สุดแสนจะง่อนแง่นนี้ ความรู้สึกที่ฉันไม่อาจแน่ใจได้ว่ามันคืออะไร
          ฉันกลัวว่าสักวันหนึ่งฉันอาจต้องจากเธอไปถ้าฉันรู้ว่าความรู้สึกนี้ไม่ใช่ความรัก จนบางทีก็เผลอคิดไปว่าเราไม่น่าเข้าใกล้กันตั้งแต่แรกเลย และฉันก็ไม่น่าเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาในวันนั้นเลย ฉันจะได้ไม่ต้องเผลอใจไปอย่างนี้ อยู่สงบๆ คนเดียวมาได้ตั้งนาน ปลงตกเรื่องความรักกับตัวเองมาตลอด แต่กลับมาพลาดให้กับมุขสนุกสนานระหว่างบรรดาสาวโสดเสียได้ ฉันไม่น่าเลย สิ่งที่ฉันควรจะทำคือฉันน่าจะถอดใจตั้งแต่หลักกิโลใจที่เก้าแล้ว ฉันน่าจะรู้ตัวว่าฉันไม่เคยมีตัวตนในโลกของเธอ ฉันน่าจะรู้ตัวว่าฉันไม่เคยเป็นแม้แต่คนสุดท้ายที่เธอจะนึกถึงด้วยซ้ำ
          นั่นสิ ในเมื่อฉันไม่เคยมีตัวตน ไม่เคยเป็นแม้แต่คนสุดท้ายที่เธอจะนึกถึง แล้วฉันจะตีโพยตีพายไปทำเสม็ดเห็ดหอยอะไร แม้แต่การเข้าหาเธอก่อนหรือทำอะไรเพื่อตัวเองสักอย่างฉันก็ยังไม่เคยลงมืออย่างจริงจัง แล้วฉันจะมาร้องไห้หาพระแสงของ้าวไปเพื่ออะไร ยายนี่นี่โง่สิ้นดี 
          อีกอย่าง ฉันจะสงสัยว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกับเธอไปทำไม รู้หรือไม่รู้ฉันก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อให้ฉันได้ใกล้เธอมากกว่านี้อยู่แล้ว ไม่ใช่สาระสำคัญสักนิดก็ฉันไม่เคยมีตัวตนในโลกของเธออยู่แล้ว
          และสำคัญที่สุดสำหรับฉันในตอนนี้คือ ถึงฉันจะไม่เคยมีตัวตนในโลกของเธอ แต่ฉันก็รู้ดีเสมอว่าเธออยู่ในโลกของฉัน ในโลกใบนี้โลกที่ฉันเห็นเธอสำคัญแต่ไม่อาจแสดงออกจนเกินงามได้ เธอยังคงสำคัญสำหรับฉัน ไม่ว่าฉันจะเป็นอะไรในโลกของเธอ ไม่ว่าฉันจะเป็นอะไรสักอย่างสำหรับเธอ แต่ฉันก็ยังเป็นฉันอยู่เสมอ ฉันก็ยังคงตัดใจจากเธอไม่ลง
          ถึงฉันจะสงสัยว่าทำไมฉันถึงตัดใจจากคนที่คุยกันนับครั้งได้ไม่ลงเสียที แต่ฉันก็ไม่จะคิดหาเหตุผลมาตอบตัวเองอีกแล้ว ฉันจะปล่อยให้ 'พระจันทร์' ได้ทำหน้าที่ของ 'พระจันทร์' ไปอย่างที่ควรจะทำอาจไม่สามารถทำได้อย่างพระอาทิตย์ แต่ฉันก็จะปล่อยให้ 'พระจันทร์' ทำหน้าที่ของตัวเองไปโดยไม่ต้องสนใจว่าคนที่เราทำให้จะเห็นความสำคัญของ 'พระจันทร์' หรือไม่ เพราะอย่างไรเสีย ตราบใดที่ 'พระจันทร์' ไม่เคยทำหน้าที่ หรือแม้แต่คิดจะสาดแสงแข่งกับพระอาทิตย์ 'พระจันทร์' ก็ไม่ควรจะเรียกร้องอะไรจากใครคนนั้นให้ตัวเองต้องเจ็บขนาดนี้และ 'พระจันทร์' ก็สมควรจะเจียมเนื้อเจียมตัวอยู่เสมอว่าควรอยู่ตรงไหนและควรทำอะไรในมุมของตัวเอง

ณ จันทร์				
15 มีนาคม 2549 16:47 น.

วุ่นนักรักเธอ Love Me, Please ตอนที่ ๒

TANOI_ZA

ทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งจะมาถึงร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หากเสียงเพลงจังหวะทึบแต่กลับฟังดูอึกทึกครึกโครมและแสงไฟสลัวหากวิบวับเป็นระยะๆ รวมถึงกลิ่นเหล้าผสมกลิ่นบุหรี่ที่ลอยตลบอบอวนอยู่ภายในร้านอาหารแห่งนี้กำลังจะทำให้ฉันหงุดหงิดในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ในขณะที่เหล่าเพื่อนร่วมร้านกลับกำลังเอาแต่สนุกสนานเฮฮากับงานวันเกิดของฝาแฝดสุดฮอตแห่งโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดังในจังหวัด ปักษิน เกียรตินาคินทร์ และ ปักษา เกียรตินาคินทร์ ซึ่งฉันเองก็ใช้สถานที่ของโรงเรียนแห่งนี้เป็นยิมสอนเทควันโดในช่วงหลังเลิกเรียนมาเกือบ 3 แล้วด้วย 
          ทั้งๆ ที่ฉันไม่ค่อยชอบสถานที่แบบนี้สักนิด แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะขี่รถมอเตอร์ไซด์กลับบ้าน พ่อกับแม่ก็โทรมาเพื่อบังคับให้ฉันไปเป็นตัวแทนในการคุม โฉมตรู บำเพ็ญคุณ หรือ หวาน น้องสาวร่วมสายเลือดที่หวานสมชื่อให้ที ตามข่าวที่สายรายงานมาบอกว่า งานวันเกิดในคืนนี้เป็นของเด็กแฝดคู่หนึ่งที่มีฐานะดีไม่ใช่ย่อย ซึ่งหนึ่งในนั้นกำลังมีทีท่าว่าจะจีบน้องสาวของฉันแบบจู่โจม ฉันจึงต้องจำใจมานั่งเป็นสิ่งสักการะในงานนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ 
          อันที่จริงแล้วบ้านของเราค่อนข้างอบอุ่นมาก แต่ในความอบอุ่น พ่อกับแม่ของเราก็ค่อนข้างเจ้าระเบียบและหัวโบราณเล็กน้อย จึงยากมากกับการที่เราจะไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในวัยเรียน แต่โชคดีตรงที่เราสองคนพี่น้องมีนิสัยติดบ้านอยู่แล้ว เพื่อนสนิทก็อาศัยอยู่แทบเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ หากน้องของฉันจะซวยหน่อยก็ตรงที่เพื่อนในซอยส่วนใหญ่จะเรียนจบมาพร้อมๆ กับฉัน ดังนั้นเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ของยายหวานจึงเป็นคนแปลกหน้าสำหรับครอบครัวเรา ที่สำคัญยายหวานหน้าตาเป็นมิตรและอัธยาศัยดีเกินไป ทำให้ถูกตาต้องใจใครต่อใครไปทั่วจนสายโทรศัพท์บ้านแทบไหม้ เมื่อสมัยที่หวานเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม คุณนายชดช้อย จึงไม่เคยวางใจให้หวานไปไหนกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยโดยไม่มีฉันไปด้วยสักครั้ง 
          เรื่องความคิดและนิสัยของเราสองคน ส่วนใหญ่จะไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น เพียงแต่การแสดงออกระหว่างเราสองคนจะต่างกันอย่างสุดขั้ว ด้านตัวฉันส่วนใหญ่จะอยู่อย่างสงบสุขุมแต่อาจจะบ้าบอไร้สติได้ถ้าอยู่กับเพื่อน ลูกศิษย์ หรือคนที่คุยกันแล้วถูกคอ เพราะโดยพื้นฐานฉันเป็นสาวห้าวขาลุยอยู่แล้ว ส่วนหวานนั้นจะนุ่มนวลอ่อนหวาน ยิ้มง่ายคุยเก่ง ช่างเอาใจ และยอมคน ซึ่งฉันไม่ชอบให้หวานยอมใครสักเท่าไหร่นัก เพราะทุกครั้งที่มีปัญหาทีไร หวานมักจะเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้ทุกที ส่วนเรื่องหน้าตาของเราสองคนนั้นหลายๆ คนบอกว่าค่อนข้างคล้ายกันแต่ฉันจะหน้าดุและดูสงบจนน่าเกรงขามมากกว่า ด้วยความที่ฉันเป็นคนไม่ชอบเสวนากับคนแปลกหน้าโดยไม่จำเป็น เรื่องการแต่งตัวของฉันถึงแม้จะทันสมัยหากก็ดูเท่สมาร์ทและขรึมเกินไป แต่ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อฉันชอบแบบนี้ ส่วนใบหน้าของหวานนั้นจะดูหวานหยดสมชื่อ อีกทั้งรายนั้นยังช่างพูดช่างคุยและยิ้มเก่ง พูดง่ายๆ คือหวานมีมนุษยสัมพันธ์ดีนั่นเอง ซึ่งทุกอย่างที่พูดมายิ่งทำให้ยายหวานดูน่ารักอ่อนหวานน่าคบหามากกว่าฉันไปหลายขุม นอกจากเหตุผลข้างหน้านี้ หวานก็ยังชอบการแต่งตัวเป็นชีวิตใจอีกด้วย ซึ่งฉันว่ามันอาจเป็นอิทธิพลจากการที่แม่ของเราเคยเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าก็เป็นได้ เอ... แต่จะว่าไปแล้วคุณนายชดช้อยก็เป็นแม่ของฉันเหมือนกันนี่นา แล้วทำไมฉันถึงได้ชอบแต่งตัวเป็นทอมบอยแบบนี้ล่ะ 

          เอาล่ะ ฉันอารัมภบทมามากพอแล้ว ตอนนี้เรากลับมาที่งานเลี้ยงกันดีกว่า จริงอยู่ว่าเด็กแฝดคู่นี้ก็ดูน่ารักใช้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าริจะปีนเกลียวจีบน้องสาวของฉันในตอนนี้ก็ยังเด็กเกินไปแน่ เพราะถึงยายหวานจะหน้าเด็กกว่าอายุจริงอยู่หลายเท่า แต่มันก็เรียนตั้งระดับอุดมศึกษาจนจะจบอยู่รอมร่อแล้ว แล้วดูเด็กพวกนี้สิ อายุแค่ 18 ขวบเอง รู้จักกันเพราะเป็นเพื่อนรุ่นน้องของเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนและของเพื่อนอีกกี่ทอดของยายหวานก็ไม่รู้ ทำเป็นแก่แดดแก่ลมบังอาจจะจีบรุ่นพี่เชียว ถ้าเป็นลูกศิษย์ของฉันล่ะก็ เราต้องเจอกันแน่ 

          พี่เปรี้ยว ทำไมหน้าบึ้งอย่างนั้นล่ะ ปวดหัวเหรอ น้องรักของฉันตะโกนกรอกหูข้างหนึ่งจนขี้หูแทบทะลักออกทวารทั้ง 5 หลังจากที่หวานเพลินกับการคุยกับนายขวานฟ้าหน้าวอก รุ่นน้องร่วมชมรมสมัยที่ฉันยังเรียนมหาวิทยาลัยอย่างออกรสออกชาติอยู่นานสองนาน มีคนเขาฝากเป็นห่วง ประโยคหลังที่ตามมาชักทะแม่งหูพิกล แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจจะถามอะไรนัก เพราะกำลังเบื่อกับบรรยากาศวุ่นวายในร้านนี้เต็มที 
          จะปวดก็เพราะหนูตะโกนใส่หูพี่นั่นแหละ ฉันตอบกลับในระดับที่ดังไม่แพ้กัน เพราะเสียงเพลงในร้านนี้มันเอ็ดตะโรไม่น้อยเลย 
          ก็เห็นไม่ยิ้มไม่แย้ม ของบนโต๊ะก็ไม่ยอมแตะ หวานก็เลยห่วงน่ะสิ หรือถ้าพี่เปรี้ยวเหงาก็บอกหวานมาเลยนะ เราจะได้กลับบ้านกัน 
          บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ พี่แค่นั่งคิดเรื่องงานก็เท่านั้นเอง 
หวานมองฉันด้วยสายตาครุ่นคิดเหมือนไม่ไว้ใจอยู่พักหนึ่ง จนในที่สุดมันก็ถามฉันออกมาจนได้ แน่นะ 
          เออสิ พี่ว่าหนูไปสนุกกับเพื่อนเถอะ นานๆ จะได้มาเที่ยวทั้งที ว่าแล้วหวานก็ทำท่าจะหันไปคุยกับขวานต่อ ถ้าไม่ติดว่าปักษิน เด็กเมื่อวานซืนซึ่งจ้องจะงาบน้องของฉันทุกวินาทีมาฉุดตัวหวานไปที่อื่นเสียก่อน 
          อ้าว! ยายหวานถูกลากไปซะแล้ว แกก็หมดเพื่อนคุยเลยน่ะสิ ฉันเริ่มชวนนายขวานคุย แต่หมอนี่ก็ยังทำตัวสุขุมเหมือนเดิม นี่แกกลัวพิกุลเน่ามันจะหลุดออกจากปากหรือไงวะไอ้ขวาน 
          บ้า! ผมกลัวจะเผลอหลุดปากบอกรักพี่เปรี้ยวไปต่างหาก ฉันล่ะเบื่อกับมุขสำส่อนของมันเหลือเกิน เจอหน้าใครเป็นใช้ดะไม่เลือกหน้าทุกที 
          ตั้งแต่หนีไปอยู่เชียงใหม่นี่หายจ้อยไปเลยนะแก เป็นไงบ้างล่ะ 
          พี่เปรี้ยวจะเอาเวอร์ชั่นไหนล่ะ ยืดหรือเยื้อ 
          ขอภาพโดยรวมแล้วกัน เดี๋ยวแกจะเล่าจบไม่ทันหลานฉันบวชพอดี 
          ก็ดีนะพี่เปรี้ยว เหมือนเดิมทุกอย่าง ไอ้นี่ต้องการจะบอกอะไรฉันหรือเปล่านะ มันถึงได้เน้นวลีท้ายเหลือเกิน แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดไปเองมากกว่า แล้วพี่เปรี้ยวล่ะ เป็นไง 
          แกเหมือนเดิมแล้วจะให้ฉันเปลี่ยนได้ไง แต่ฉันเปิดยิมแล้วนะเว้ย เกือบ 3 ปีแล้ว แกสนใจจะพาลูกแกไปเรียนหรือเปล่า ฉันรับสั่งจองตั้งแต่ไข่กับอสุจิยังไม่ปฏิสนธิกันนะเว้ย 
          ของผมแค่แม่เด็กก็ยังไม่มีปัญญาฉุดมาทำพันธุ์เลย ฉันอดหัวเราะไม่ได้อีกแล้วเมื่อมันพูดออกมาอย่างนี้ นายขวานถึงจะเงียบๆ แต่ก็มีมุขฮามาให้คนในชมรมหัวเราะไม่เว้นแต่ละวัน 
          ฉันเปิดอยู่ที่โรงเรียนนาคินทร์แถวบ้านฉันนั่นแหละ ถ้าแกสนใจพรุ่งนี้ว่างๆ ก็แวะไปสิ พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์ด้วย ฉันนัดพวกน้องๆ ในชมรมมารวมตัวกันพอดีเลย 
          อ้าว! แล้วทีผมทำไมพี่ไม่โทรบอกบ้างล่ะ 
          แล้วแกจะให้ฉันนั่งทางในบอกแกหรือไง ธูปสักดอกแกยังไม่เคยจุดบอกฉันเลยว่าเปลี่ยนเบอร์แล้ว 
          นั่นสินะ ว่าแต่พี่เปรี้ยวได้ไปดูชมรมบ้างหรือเปล่า 
          ดูสิ เดี๋ยวนี้ชมรมดูมีระดับขึ้นเยอะ คงตั้งแต่แกจบนั่นแหละ ฉันยิ้มด้วยความสะใจอย่างไม่คิดจะปิดบังหลังจากที่หลอกด่ามันได้อีกแล้ว เออนี่ เดี๋ยวนี้ฉันมีร้านขายหนังสือแล้วนะ 
          อย่างพี่เปรี้ยวนี่มีปัญญากับเขาด้วยเหรอ 
          เรื่องปัญญาฉันมีแน่ แต่เรื่องเงินนี่ฉันหุ้นกับเพื่อนเอา ลงทุนเช่าตึกพาณิชย์ 3 ชั้นมา 2 ตึก ดาดฟ้าก็ทำเป็นสวนย่อมเล็กๆ ไว้พักผ่อนหย่อนใจ ส่วนชั้น 3 ก็เปิดเป็นร้านเสริมสวยเฟิร์ทแอนด์เบส์ทแฮร์ดีไซน์ ส่วนฉันก็เปิดชั้นล่างสุดเป็นร้านหนังสือ แล้วชั้น 2 ก็ให้คุณนายชดช้อยเปิดเป็นร้านขายน้ำเพื่อสุขภาพไป 
          เฮ้ย! จะดีเหรอพี่เปรี้ยว ลงหุ้นกับเพื่อนอย่างนี้ไว้ใจได้เหรอ 
          ไว้ใจได้สิ เพื่อนฉันคนนี้คบกันมาเกือบ 15 ปีแล้วนะ แล้วอีกอย่างฉันก็หุ้นแค่ค่าเช่าตึกเท่านั้นเอง 
          ไม่ใช่... ผมหมายถึงพี่เปรี้ยวต่างหาก ไอ้นี่มันน่า... 
          แกก็รู้ว่าคนอย่างฉันเลขสองหลักยังงงเลย 
          แล้วนี่ผมไม่อยู่ พี่เปรี้ยวทำไงล่ะ 
          ก็ให้หวานช่วยไง หวานเก่งนะแก ขรรค์พยักหน้าอย่างรับรู้ 
          แล้วร้านอยู่ตรงไหนล่ะ เผื่อผมจะไปเที่ยว 
          อยู่หน้าโรงเรียนนาคินทร์นั่นแหละ ตึกของฉันเด่นมากเลยนะแก ด้านหน้าร้านตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้น 3 เป็นกระจกใสหมด ป้ายหน้าร้านของฉันจะสีเขียวๆ ชื่อร้านรักดี ถ้าแกกลับมาบ้านเมื่อไหร่ก็แวะไปหาฉันที่นั่นได้เลย 
          ผมก็กลับมาแล้วนี่ไง ว่าจะไปพรุ่งนี้เลย 
          ฉันหมายถึงคราวหน้าที่แกกลับมาไง คราวนี้ขวานไม่พูดอะไรอีก มีเพียงรอยยิ้มปริศนาส่งมาให้ฉันราวต้องการบอกใบ้อะไรสักอย่าง จนฉันเริ่มเอะใจ 
          หรือว่าแก... 
          พอดีที่บ้านโทรไปบอกผมว่าป๊าป่วยหนัก 
          แล้วป๊าแกเป็นไงบ้าง ฉันอดถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ เพราะป๋าทรงเกียรติท่านเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณให้กับชมรมของเราอย่างเป็นทางการมาโดยตลอด 
          ก็อยู่ดีมีสุขทุกประการ เพียงแต่ไอ้ดาบน้องผมต่างหากที่กำลังจะไปต่อโทฯ ที่กรุงเทพ 
          นี่บ้านแกหักเหลี่ยมโหดกันอย่างนี้เลยเหรอวะ 
          แป๊บนะพี่เปรี้ยว โทรศัพท์มา ขรรค์ลุกจากไปที่ทางออกร้านทันทีที่พูดจบ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับน้องสาวของมันและประโยคนี้ วันนี้ผมต้องไปแล้ว ม้าโทรมาสั่งให้ซื้อก๋วยเตี๋ยวกลับไปฝาก ถ้าไงพรุ่งนี้ผมจะแวะไปหาที่ร้านแต่เช้าเลยนะ 
          สักตี 5 นะแก จะได้เฝ้าร้านให้ฉันเลย เวลานี้หมาแถวนั้นมันหลับกันพอดี 
          ผมพูดจริงๆ ร้านพี่เปรี้ยวเปิดกี่โมงล่ะ ขรรค์พูดพลางเก็บของใส่กระเป๋าอย่างรีบร้อน 
          ร้านหนังสือเปิดตั้งแต่ 7 โมง ส่วนร้านน้ำเพื่อสุขภาพนี่เปิด 10 โมงครึ่ง แต่ถ้าอยากไปแล้วเจอฉันก็ต้องหลังบ่าย 2 ไปแล้ว 
          โอเค งั้นเจอกันที่ยิมพี่เปรี้ยวเลยดีกว่า 
          ไปแล้วเหรอพี่ขวาน ปิ่น อยู่ๆ ยายหวานก็โผล่พรวดมาอยู่ที่ด้านข้างฉันพร้อมกับน้องปักษินด้วยสีหน้าร้อนรน 
          นายขวานปลายตาไปทางหวานเล็กน้อย ด้วยสีหน้าและแววตาไร้อารมณ์จนฉันเองยังอดใจหายแทนยายหวานไม่ได้เลย 
          ปิ่น โชคดีนะ ไว้เจอกัน หวานหันไปส่งยิ้มให้ปิ่นแวบหนึ่งก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้ขวานบ้าง 
          ถึงแม้หวานจะพยายามส่งยิ้มหวานไปให้อย่างต้องการรับไมตรีจากอีกฝ่ายกลับคืนบ้าง แต่ทว่านายขวานก็ยังคงใจแข็งทำเพียงพยักหน้าให้น้องสาวของฉันแค่นั้น ก่อนจะเดินจากเราสองคนไปอย่างสุขุม 
          ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนายขวานถึงไม่ค่อยชอบยายหวานนัก 

          เมื่อสังเกตโดยรอบร้านดูแล้ว บรรยากาศการตกแต่งร้านถือว่าใช้ได้ทีเดียว แสงไฟถูกจัดไว้อย่างสลัวๆ แต่ก็ไม่ถึงกับมืด เพราะมีแสงไฟนีออนจากสระน้ำใต้พื้นร้านที่ทำจากกระจกใสทะลุขึ้นมาถึงข้างบน ด้านสระน้ำใต้พื้นกระจกก็ถูกจัดไว้อย่างสวยงาม สะอาดตาและกระจ่างสดใส ส่วนในบางมุมของร้านก็ถูกออกแบบให้ลูกค้าสามารถหย่อนขาลงไปแตะผิวน้ำได้อีกด้วย ยิ่งมองดูก็ยิ่งประทับใจและอยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง แต่ถึงอย่างไร ที่แบบนี้มันก็ไม่ใช่โลกของฉันอยู่ดี ไม่ว่าจะมองไปทางไหนงานคืนนี้ก็มีแต่คนที่ดูดีมีฐานะหรือไม่ก็คนดังมีชื่อเสียงมาร่วมฉลองกันให้ว่อนทั่วร้าน แต่ฉันกลับไม่สามารถทักใครได้สักคนยกเว้นน้องสาวตัวเองกับเพื่อนๆ ของหวานและขรรค์รุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัย 
          ขอโทษนะครับ ช่วยขยับหน่อย เสียงทุ้มที่ดังมาอย่างนุ่มนวลแต่กระตุกเส้นประสาทส่วนหลังแหวนของฉันให้กระดิกดังอยู่ติดหู ชนิดที่ฉันได้กลิ่นน้ำหอมของคนพูดได้อย่างชัดเจน... 
          ด้วยความตกใจฉันจึงรีบหันไปทางต้นเสียงอย่างไม่ทันคิด 
          เฮ้ย!  มือข้างหนึ่งของฉันกระตุกไปถูกหน้าของอีกฝ่ายดังแปะ 
          อุ้ยขอโทษค่ะ! ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันรีบลุกจากเก้าอี้และหันไปยกมือไหว้ชายในชุดสูทอย่างสำนึกผิด 
          คนที่ยังก้มตัวอยู่ในระดับในหน้าของฉันเมื่อครู่ ใช้มือข้างซ้ายกุมใบหน้าตัวเอง พลางมองฉันด้วยแววตางุนงง ก่อนจะยืดตัวตรงจนเผยให้เห็นถึงความสูงแบบเกินหน้าเกินตาคนในร้านของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน และดูเหมือนว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่เพราะเสียงเพลงกำลังเข้าสู่จังหวะที่ดังขึ้นนั้นดันกลบเสียงเขาไว้จนหมด ฉันจึงได้แต่แสดงสีหน้าให้เขารู้ว่าฉันไม่สามารถรับสารจากเขาได้ อีกฝ่ายที่สูงกว่าฉันทำท่าจะก้มลงมาอีกครั้ง มือของฉันข้างหนึ่งจึงกระตุกไปชกที่หน้าอกของเขาอีกครั้ง 
          เมื่อกี้ก็ตบ ทีนี้ก็ชก คุณหาเรื่องผมทำไมเนี่ย เสียงเขาโดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเขาตะโกนในช่วงที่เพลงจบลงพอดี พร้อมกับการหายไปของเสียงผู้คนในงานที่พร้อมใจกันเงียบลงโดยมิได้นัดหมาย 
          ฉันน่ะเหรอหาเรื่องคุณ คนอย่างฉันไม่เคยหาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว ฉันพูดให้เสียงเบาลงกว่าเดิม แต่ก็คงเบาลงได้ไม่มากแล้วเพราะตอนนี้อารมณ์ของฉันกำลังเดือด 
          แล้วผมหาเรื่องคุณหรือยังล่ะ 
          ยัง ฉันตอบคำถามเขาอย่างตรงไปตรงมาทันทีที่สิ้นเสียงของอีกฝ่าย 
          ก็นั่นไง งั้นคุณมาตบผมทำไม 
          อ๋อใช่! ฉันตอบเหมือนไม่ได้ใช้สมองไปนิด แต่มันก็แค่อารมณ์โง่ชั่ววูบ ขอแก้ตัวหน่อยแล้วกัน 
          ฉันหมายความว่า คุณไม่ได้หาเรื่องฉันจริงๆ แต่เมื่อกี้ฉันตกใจไปหน่อย มือมันเลยกระตุกไปถูกหน้าของคุณเข้า 
          นี่เหรอเหตุผล 
          ก็ขอโทษแล้วไง ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ  
          แค่บอกว่าคุณตกใจ ก็เลยเผลอปัดมือมาถูกหน้าผมเนี่ยนะ อย่างนี้ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณตกใจ คุณก็จะมีสิทธิ์ที่จะทำร้ายคนอื่นทุกครั้งเลยงั้นสิ 
          เอ๊ะ! นี่ตกลงว่าฉันไม่ชำนาญภาษาไทย หรือว่าหมอนี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องกันเนี่ย 
          ขอโทษเถอะครับ คุณจะไม่มีสิทธิ์ได้ทำแบบนี้กับผมอีกแน่ 
          แต่ฉันขอให้เราสองคนอย่าได้เจอกันอีกเลยจะดีที่สุด คนอะไรฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง ฉันกำลังจะหันไปหยิบกระเป๋าถือและเตรียมจะชวนน้องสาวกลับบ้าน แต่อีตาบ้านี่ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่หลุมไหนมากันแน่ ถึงได้ไม่รู้ว่าหญิงไทยเขารักนวลสงวนตัว เพราะเขาดันจับต้นแขนของฉันไว้อย่างถือวิสาสะ จนฉันดันเผลอต่อยแก้มอีกข้างเขาไปโดยไม่ตั้งใจ 
          ทำบ้าอะไรเนี่ย คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับแบบนี้กับผมนะ อีกฝ่ายลูบริมฝีปากของตัวเองที่ตอนนี้เริ่มมีเลือดซึมออกมาบ้างเล็กน้อย 
          ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่คุณก็ไม่ควรทำอย่างนี้ เพราะกับผู้หญิงแปลกหน้า คุณเองก็ไม่มีสิทธิ์อะไรมาถูกเนื้อต้องตัวเธอเหมือนกัน ฉันหันไปคว้ากระเป๋าถือเพื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าให้เขา ไปล้างปากซะ เสร็จแล้วก็ใช้ผ้านี่แหละเช็ด 
ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังมีสีหน้างุนงงกับสิ่งที่ฉันยื่นให้ แต่ก็ยังดีที่เขายอมยื่นมือมารับผ้าเช็ดหน้าไป รีบๆ ไปล้างซะสิ ล้างเสร็จก็เช็ดเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถือว่าฉันให้แทนคำขอโทษแล้วกัน ฉันกำลังจะปิดกระเป๋าแต่ก็นึกขึ้นได้ว่าบางทีเขาอาจจะ... ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดหรอกนะ ผืนนั้นฉันยังไม่ได้ใช้เลย รับรองคุณภาพ 
          ฉันหันไปคว้าข้อมือโฉมตรู และสาวเท้าออกจากที่นั้นโดยไม่ยอมสบตาใครในงานทั้งสิ้น เข้าตำราทำให้งงแล้วจากไป 

          ทันทีที่เราเดินมาถึงที่จอดรถมอเตอร์ไซด์ ฉันก็รีบจัดการส่งหมวกกันน็อคให้หวาน ก่อนจะหันมาหยิบหมวกกันน็อคของตัวเองบ้าง 
          เมื่อกี้พี่เปรี้ยวทะเลาะกับใครเหรอ หล่อได้สเป็คหวานมาก หวานพูดด้วยสีหน้าเพ้อเจ้อและเน้นน้ำเสียงที่คำว่า มาก จนออกนอกหน้า 
          ช่างมันเถอะ พี่ไม่อยากนึกถึงหน้ามันแล้ว ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ผู้ชายอะไรขี้โวยวายยิ่งกว่าผู้หญิงอย่างฉันเสียอีก ว่าแต่หวานเถอะ อุตส่าห์ได้มางานวันเกิดเพื่อนแท้ๆ พี่เลยทำให้อดสนุกจนจบงานเลย 
          ไม่เป็นไรหรอก หวานก็อยากกลับเหมือนกัน คิดถึงการ์ตูนที่เพิ่งซื้อมาเมื่อเย็นจะแย่อยู่แล้ว 
          งั้นก็ไปกันเถอะ 
          ฉันหันกลับไปมองที่ป้ายขนาดใหญ่เหนือประตูทางเข้าร้านซึ่งเขียนด้วยตัวหนังสือตวัดว่า ร่ายเวทย์ อย่างอดเสียดายไม่ได้ที่จะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก ก่อนจะเข้าประจำที่คนขี่และจัดกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้ด้านหลังให้มาอยู่ด้านหน้า เพื่อเปิดทางให้หวานขึ้นมาซ้อนท้ายได้ถนัด 
          เดี๋ยวครับ เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง เมื่อฉันและหวานนั่งบนไอ้แก่เรียบร้อยแล้ว 
          มีอะไรเหรอษิน น้องสาวของฉันส่งเสียงตะโกนกลับไป ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังวิ่งมาจากตัวร้าน 
          จะกลับจริงๆ เหรอ ในที่สุดคนที่ส่งเสียงมารั้งเราไว้ ก็วิ่งมาหยุดตรงหน้าน้องของฉันจนได้ 
          อืม พี่หายใจไม่ค่อยออกน่ะ เดี๋ยวแม่ว่าด้วย 
          ก็ไหนว่าพาพี่มาด้วยแล้วจะอยู่ถึงสามทุ่มได้ไง อยู่ต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ งานนี้ถ้าไม่มีหวานคงหมดสนุกแย่เลยนะ ไม่ได้ยินหรือไงว่าหวานบอกว่าหายใจไม่ค่อยออก ไอ้เด็กนี่มันอายุเท่าไหร่กันแน่เนี่ย โตป่านนี้ยังมาทำท่างอแงเป็นเด็ก 5 ขวบอยู่ได้ 
          แต่พี่ว่าษินรีบกลับไปที่งานจะดีกว่านะ เพราะยังไงงานคืนนี้เป็นงานวันเกิดษินกับษา แขกในงานคงไม่มีใครรอให้พี่ไปเป่าเทียนหรอก 
          นั่นสินะ ถ้าอย่างนั้นเป่าตอนนี้เลยก็ได้ นะครับ อยู่ต่อนะครับ 
          เอ๊ะ! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง อันที่จริงฉันอยากจะพูดอย่างนี้ แต่นี่มันเรื่องของหวาน ฉันควรจะปล่อยให้มันจัดการด้วยตัวเองจะดีกว่า 
          ขอโทษนะษิน พี่ต้องไปแล้วจริงๆ ไปเถอะค่ะพี่เปรี้ยว 
          ทันทีที่หวานบัญชา พี่คนนี้ก็รีบปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว โดยไม่รอให้เด็กที่ชื่อปักษินได้มีโอกาสงอแงไร้สาระอีก แต่เด็กนั่นก็ยังไม่วายตะโกนตามหลังมา โชคดีนะครับ แล้วเจอกัน แล้วคืนนี้ผมจะฝันถึงหวาน 
          โอ๊ก!!!! ช่างกล้าอะไรเช่นนี้ 

          ฉันขี่ไอ้แก่มาโดยไม่ถามอะไรน้องสาวตัวเองสักคำ ทั้งๆ ที่ในใจของฉันนั้นอยากจะถามมันใจแทบขาด ฉันสงสัยเหลือเกินว่า หวานอาจไม่ได้ชอบเด็กคนนี้อย่างที่สายของเรากังวล แต่คนอย่างหวานถ้ามันไม่อยากทำก็จะไม่ฝืนใจทำเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นมันมางานนี้ทำไม 
          พี่เปรี้ยว อยู่ๆ หวานก็เรียกฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าผิดปกติ 
          อ้าว! มีอะไรก็พูดมาเลยสิ เงียบทำไม คาใจนะเนี่ย ฉันถามย้ำเมื่อเห็นว่ายายหวานเงียบไป 
          หวานลืมของไว้ที่งาน 
          สำคัญไหม ที่ฉันถามไปอย่างนั้นเพราะน้ำเสียงของยายหวานฟังดูเศร้าจนฉันไม่แน่ใจว่ามันพูดเพราะกำลังตกใจที่ลืมของหรือว่ามีอะไรอย่างอื่นหรือเปล่า 
          สำคัญสิ สำคัญมากเลย 
          ฉันรีบกลับรถไปยังร้านร่ายเวทย์ ทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งจากร้านนั้นมาไม่ถึงสิบนาที เพราะกลัวของจะหายไปเสียก่อนที่เราจะไปถึง หวานเอ๋ย! ทำไมเพิ่งนึกได้เนี่ย ป่านนี้ไม่หายไปแล้วเหรอ 
          ถ้าหายก็ดีสิ เอาไปเลย 
          วันนี้ยายหวานพูดแปลกๆ ชอบกล จนฉันชักเอะใจว่าของสำคัญที่ว่ามันคืออะไรกันแน่ 
          ช่างมันเถอะพี่เปรี้ยว ไม่ต้องกลับไปเอาหรอก เรากลับบ้านกันเถอะ 
          ได้ไง ของสำคัญของหนู ยังไงก็ต้องไปเอากลับมาสิ 
          ไม่ต้องจริงๆ พี่เปรี้ยว หวานตั้งใจลืมไว้เอง 
          รถของฉันแทบเสียหลักลงข้างทาง แต่โชคดีนักที่ฉันมีสติพอที่จะทรงตัวต่อไปได้ 
          หนูอยากบอกอะไรพี่หรือเปล่า 
          ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าหวานจะลืมอะไรไว้ เขาก็ไม่เคยรู้ว่ามันอยู่ตรงนั้น ไม่เคยเห็นค่าของมันเลยสักครั้ง 
          หนูกำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย พี่ไม่เข้าใจหนูเลย 
          ทำไงดีพี่เปรี้ยว หวานนึกว่าหวานลืมเขาไปแล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ ทุกอย่างของหวานก็ยังอยู่ที่เดิม 
          ยายหวาน นี่ถ้าหนูไม่ยังยอมอธิบายอะไร พี่จะจอดให้ลงเดินกลับบ้านแล้วนะ แล้วฉันก็จอดตรงริมฟุตบาทใกล้ๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวริมทาง ใกล้สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ระหว่างบ้านของเรากับร้านร่ายเวทย์พอดี มีอะไรทำไมไม่เล่าให้พี่ฟัง เก็บไว้คนเดียวทำไม พี่เป็นห่วงนะ 

          โปรดติดตามตอนต่อไป 

          แสนซน				
13 มีนาคม 2549 16:58 น.

วุ่นนักรักเธอ Love Me, Please ตอนที่ ๑

TANOI_ZA

ผมแอบชอบผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เธอเป็นรุ่นพี่ในชมรมเทควันโดของผมเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ผมเริ่มรู้จักกับเธอครั้งแรกเมื่อสมัยที่ผมเข้าปีหนึ่งใหม่ๆ ผมรู้ดีว่าเธอไม่ชอบขี้หน้าของผมสักเท่าไหร่ เพราะผมดันนิสัยเสียตรงที่กล้าแสดงออกมากไปหน่อย ว่าผมชื่นชอบผู้หญิงเก่งอย่างเธอเข้าอย่างจัง ที่สำคัญเธอไม่ชอบให้ผู้ชายแปลกหน้าเข้าใกล้เธอมากเกินไปนัก ซึ่งผมดันทำอย่างนั้นเสียด้วยสิ แต่ก็ช่วยไม่ได้ในเมื่อผมประทับใจเธอเข้าเต็มเปาเสียแล้ว 
ภาพเธอใส่ชุดเทควันโดสายดำลอยมาจากฝากหนึ่งของเวทีเพื่อเตะเป้าที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเวทีโดยต้องข้ามคนไปถึง 3 คนในงานเปิดโลกกิจกรรมประจำปีของมหาวิทยาลัย ช่างเป็นภาพที่สวยงามและยังติดตรึงในความทรงจำของผมจนทุกวันนี้ ผมมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างมากที่ตัวเธอสูงแค่เพียง 150 เซนติเมตรเท่านั้น แต่เธอกลับทำในสิ่งที่ผู้ชายสูง 179 เซนติเมตรอย่างผมไม่มีปัญญาทำ ผมตัดสินใจได้ทันทีว่าผมจะเข้าชมรมนี้ โดยไม่สนใจว่าป๊าหรือม้าจะคัดค้านหัวชนฝาขนาดไหนก็ตาม เมื่อผมได้เข้าสู่ชมรมเทควันโด ผมก็ได้เรียนรู้ว่าถ้าต้องการมิตรภาพแสนวิเศษอย่างที่คนอื่นได้รับจากเธอคนนี้ ผมก็ไม่ควรกระโตกกระตากในการแสดงออกความรู้สึกตัวเองมากไปนัก ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นแค่ความรู้สึกปลื้มเท่านั้นก็ตาม 
เมื่อวันเวลาเปลี่ยนผันไป ผมจึงเริ่มรู้จักเธอมากขึ้น ผมได้รู้ถึงเหตุผลสำคัญที่เธอได้เป็นจุดศูนย์กลางของคนในชมรมว่าเป็นเพราะเธอใส่ใจทุกความรู้สึกของพวกเราอยู่เสมอ ถึงแม้เธอจะเป็นคนแข็งๆ แสดงออกไม่ค่อยเก่งและซุ่มซ่ามจนสร้างปัญหาให้กับพวกเราบ่อยมากขนาดไหนก็ตาม แต่พวกเราในชมรมทุกคนก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวว่าเธอรักพวกเรามาก ยามเธอทำหน้าที่เป็นคุณครูสอนเทควันโด เธอก็เป็นครูที่เข้าใจธรรมชาติของนักเรียนอยู่เสมอ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะอายุเพียง 5 ขวบหรือ 20 ปีก็ตาม และเมื่อเธอได้เป็นประธานชมรม เธอก็บริหารชมรมเก่งมากจนผมอยากลองวัดรอยเท้าเธอดูสักครั้ง และผมก็ต้องมาเสียใจที่พักหลังๆ มานี้เราสองคนทะเลาะกันบ่อยมากขึ้น เพราะลักษณะการบริหารงานของเราสองคนต่างกันในบางจุด แต่ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เราจะโกรธกันอย่างจริงจัง 
ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกเดิมมันพัฒนาเป็นความรู้สึกดีและมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมรู้เพียงว่าวันเสาร์และวันอาทิตย์ได้กลายเป็นวันที่ผมไม่ต้องการให้มาถึงมากที่สุด เพราะนั่นจะทำให้ผมต้องพยายามหาข้ออ้างในการเจอเธอนอกเวลาชมรมอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างไรผมก็ทำได้แค่ดูเธออยู่ห่างๆ เท่านั้น เพราะผู้หญิงที่หน้าตาสวยดุ หุ่นเล็กกระจิดริดอย่างเธอมีหรือจะว่าง เธอมีแฟนแล้ว หล่อเสียด้วย หรือถ้าไม่หล่อก็รวย หรือถ้าไม่รวยก็เก่ง และถึงไม่มีใครอยู่ข้างกาย เธอก็ไม่เคยมองคนอย่างผมอยู่แล้ว เพราะเธอหลงคิดว่าคนอย่างผมไม่มีหัวใจ... ก็จะให้ผมรักใครได้อย่างไร ในเมื่อผมแอบรักเธอออกขนาดนี้ 
เอาเถอะ ผมมันขี้ขลาดเอง ผมกลัวเธอจะตีตัวออกห่างผมเหมือนที่เธอเคยทำกับผมอย่างเมื่อครั้งแรกที่เรารู้จักกัน สุดท้ายผมจึงเป็นได้แค่ ไอ้ตายด้าน ในสายตาของเธอมาโดยตลอด 
ผมยังจำได้ว่าแฟนคนแรกของเธอเป็นเจ้าของผับชื่อดังแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางใจเมือง ผู้ชายคนนี้หล่อเหลาเอาการแต่สุดท้ายก็ไปกับเธอไม่รอด เพราะรุ่นพี่ของผมคนนี้เธอบอกเลิกหมอนั่นหลังจากที่คบกันอยู่เพียง 5 เดือน ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาไม่รู้จักรักตัวเองและครอบครัวเอาเสียเลย เล่นเอาฝ่ายนั้นไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรไปเกือบ 2 เดือน และหลังจากที่ผมแอบมีหวังอยู่ได้ไม่นาน ผมก็ต้องเสียโอกาสที่มีอยู่ให้กับนิสิตคณะรัฐศาสตร์ที่แสนฉลาดซึ่งก็จบลงที่เดิม คราวนี้เธอบอกว่าต่างฝ่ายต่างไม่มีเวลาให้กัน เพราะบ้างานทั้งคู่ คบกันไปก็คงไม่ต่างจากคนแปลกหน้า หากเมื่อเลิกกันแล้วกลับเป็นฝ่ายนั้นเพียงฝ่ายเดียวที่กลัวความรักแบบข้ามเดือนข้ามปี เพราะหลังจากนั้นเพียง 3 เดือน รุ่นพี่ของผมก็มีแฟนใหม่ และรายนี้นี่เอง ที่ทำให้เธอเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เมื่อความรักจบลงตรงจุดเดิมด้วยการที่เธอบอกเลิกกับชิน หนุ่มน้อยคณะบริหารธุรกิจผู้ค่อนข้างเพียบพร้อมแต่ดันอ่อนหัดและไม่มีความเป็นผู้นำ หากหลังจากนั้นไม่นานฝ่ายนั้นก็ทำอะไรสั้นๆ ด้วยการขู่จะฆ่าตัวตายถ้าเธอไม่กลับมาคบด้วย เล่นเอารุ่นพี่ของผมคนนี้หัวหมุนไปพักใหญ่กว่าที่เธอจะแก้ปัญหาได้ 
แต่โชคร้ายสำหรับผมยังไม่หมด เมื่อน้องสาวจอมจุ้นจ้านของเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวผมดันเสนอตัวเข้ามาช่วย ซึ่งผมว่าเธอวุ่นวายกับชีวิตผมจนเกินหน้าที่มากไปด้วยซ้ำ แถมเรื่องที่เธอเคยอาสาจะช่วยก็เหมือนจะถูกพับโครงการไปโดยปริยาย ในช่วงแรกๆ ผมก็ไม่เคยใส่ใจเรื่องราวเกี่ยวกับเธอสักนิด จนกระทั่งเธอเข้ามาเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกันในขณะที่ผมกำลังเรียนปี 4 อยู่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธาและเธอก็เป็นดาวมหาวิทยาลัย พ่วงตำแหน่งขวัญใจประชาชีหลังจากเป็นตัวแทนจากคณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์ในการลงประกวดเฟรชชี่เกิร์ลกับเฟรชชี่บอยนั่นแหละ เรื่องของเราจึงกลายเป็นเรื่องสาธารณะมากขึ้นเพราะเธอเด่นอย่างเดียวยังไม่พอ เธอยังคอยตามผมแจยิ่งกว่าสมัยที่เธอยังเรียนแค่ระดับมัธยมอีก ซึ่งมันเลวร้ายมากเพราะการกระทำของเธอทำให้เราดูเหมือนสนิทกันมากจนกระทั่งมีคนแซวผมอย่างหนาหูว่า ผมเลี้ยงต้อย ไม่ก็สมภารกินไก่วัด ไม่ก็ฝากปลาย่างไว้กับแมว แต่สรุปคือ ถ้าต้องมีใครสักคนเป็นปลา คงเป็นผมมากกว่า 
ต้องขอบคุณพวกนั้นจริงๆ ที่ทำผมตาสว่างและดูเธอออกจนได้... เธอคงชอบผมแน่ๆ และพี่ของเธอคงเอาผมตายคาเท้าด้วยเช่นกันถ้ารู้เรื่องนี้เข้า รุ่นพี่ของผมคนนี้เคยห้ามไม่ให้ผมยุ่งกับน้องสาวของเธอโดยเด็ดขาด ถ้าผมไม่ได้มีใจให้เธอ ซ้ำยังห้ามผมทำร้ายจิตใจของเธออีกต่างหาก ผมซวยไหมเนี่ย แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องแค่นี้ของกล้วยๆ อยู่แล้ว... หากผมก็ทำได้แค่พยายามเท่านั้น เพราะมันช่วยไม่ได้จริงๆ ถ้าน้องของเธอกลับเป็นฝ่ายดันทุรังเสียเอง 
และก่อนวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ในเขตจังหวัดพิษณุโลก เธอก็มาหาผมที่บ้านเพื่อต่อว่าต่อขานเสียยกใหญ่ ว่าผมจะไปทำงานที่เชียงใหม่แล้วทำไมไม่บอกเธอสักคำ แล้วมันเรื่องอะไรของเธอกัน ผมสงสัยนักว่าเธอเป็นอะไรกับผม แน่นอนว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่คิดเท่านั้น ผมพูดสิ่งที่ผมคิดออกไปจนหมด ผมหมดแล้วกับความอดทนที่สะสมมาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีสุดท้ายที่เธอคอยตามผมขนาดนี้ ผมทำตามคำขอร้องของรุ่นพี่คนนั้นได้แค่นี้จริงๆ 
จนถึงวันนี้ผมเองก็จำถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้ทั้งหมดเหมือนกัน แต่ถ้าให้อธิบายคร่าวๆ ก็ประมาณว่า แล้วมันเรื่องอะไรของหวาน หวานเป็นอะไรกับพี่หรือไง หวานก็เป็นแค่คนรู้จัก พี่เองก็มีโลกส่วนตัวของพี่ แล้วหวานจะมาเจ้ากี้เจ้าการเป็นห่วงพี่อะไรนักหนา พี่ไม่เคยต้องการ มันน่ารำคาญ เอ... นี่แหละคำพูดของผมเลย ไม่น่าเชื่อว่ามันผ่านมานานเกือบ 3 ปีแล้ว แต่ผมกลับยังจำมันได้ทุกถ้อยคำขนาดนี้ จำได้แม้กระทั่งรอยยิ้มสุดท้ายที่เธอส่งมาให้พร้อมๆ กับคำขอโทษที่อาจดูไม่ต่างจากทุกครั้งที่เธอก่อเรื่องเท่าใดนั้นด้วย แต่ผมว่ามันต่าง... คงเป็นเพราะครั้งนี้เธอไม่ง้อให้ผมต้องหงุดหงิดรำคาญใจเหมือนเคยนั่นเอง 
หลังจากนั้นเป็นต้นมา การติดต่อระหว่างผมกับผู้คนที่เอ่ยถึงมาข้างต้นก็เลือนหายไปตามระยะทางและเวลา จนกระทั่งวันที่ผมได้รับโทรศัพท์จากม้าเมื่อ 1 เดือนก่อน ท่านโทรมาตามให้ผมกลับมาสานต่อกิจการด่วน เพราะป๊ากำลังป่วยหนัก... เสียที่ไหนล่ะ ท่านทั้งสองคนก็แค่ไม่มีคนอยู่ช่วยบริหารงานที่ร้าน เพราะนายกระบี่น้องชายของผมมันกำลังจะไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทที่กรุงเทพต่างหาก ซึ่งมันจะไม่ยุ่งยากเท่าไหร่นัก ถ้าผมกลับมาถึงบ้านแล้วเก็บตัวเงียบเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในจังหวัดนี้ แต่ผมกลับนึกซ่าอยากไปงานวันเกิดของลูกพี่ลูกน้องที่เป็นฝาแฝด โดยไม่เคยนึกคิดว่าจะได้เจอเธอที่งานวันเกิดนี้อีกครั้ง... พี่เปรี้ยว 

โปรดติดตามตอนต่อไป 

แสนซน				
6 ธันวาคม 2548 15:45 น.

พลัดพราก... ห่างไกล...

TANOI_ZA

พลัดพราก... ห่างไกล... 

แม้เราจะได้คุยกันทุกวันเหมือนเดิม 
ประโยคเหล่านี้ฉันก็ยังคงถาม ยังคงเตือนเธอทุกวันด้วยความห่วงใยเสมอ 
เรื่องราวระหว่างเราก็ยังคงถึงหูกันและกันเหมือนเคย 
มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่เหมือนเดิมคือ ...ระยะทางระหว่างเรา...  
ฉันหวังว่าอย่างนั้น... 
ฉันหวังว่า ระหว่างเราจะมีเพียง อย่างเดียว ที่เปลี่ยนไป 
*คนดี... ฝากดูแลตัวเองเผื่อคนทางนี้ด้วยนะ* 

การพลัดพราก 
อาจเป็น ความห่างไกล ที่สร้าง ความเหินห่าง ได้ไม่ยาก 
แต่จะเกินความสามารถของเราไหม 
ถ้าฉันจะหวังให้ การพลัดพราก ระหว่างเรา 
เป็น ความห่างไกล ที่จะเพิ่มเพียง ความคิดถึงระหว่างกัน 

การพลัดพราก 
อาจเป็น ความห่างไกล ที่สร้าง ความผิดใจ ได้ไม่ยาก 
แต่จะเกินความสามารถของเราไหม 
ถ้าฉันจะหวังให้ การพลัดพราก ระหว่างเรา 
เป็น ความห่างไกล ที่จะเพิ่มเพียง ความเข้าใจ ระหว่างกัน 




การพลัดพราก 
อาจเป็น ความห่างไกล ที่สร้าง ความหวาดระแวง ได้ไม่ยาก 
แต่จะเกินความสามารถของเราไหม 
ถ้าฉันจะหวังให้ การพลัดพราก ระหว่างเรา 
เป็น ความห่างไกล ที่จะเพิ่มเพียงความไว้ใจ ระหว่างกัน 

การพลัดพราก 
อาจเป็น ความห่างไกล ที่สร้าง ความรำคาญ ได้ไม่ยาก 
แต่จะเกินความสามารถของเราไหม 
ถ้าฉันจะหวังให้ การพลัดพราก ระหว่างเรา 
เป็น ความห่างไกล ที่จะเพิ่มเพียง ความห่วงใย ระหว่างกัน 

การพลัดพราก 
อาจเป็น ความห่างไกล ที่สร้าง ความท้อแท้ ได้ไม่ยาก 
แต่จะเกินความสามารถของเราไหม 
ถ้าฉันจะหวังให้ การพลัดพราก ระหว่างเรา 
เป็น ความห่างไกล ที่จะเพิ่มเพียง ความมุ่งมั่น ระหว่างกัน 

การพลัดพราก 
อาจเป็น ความห่างไกล ที่สร้าง ความเปลี่ยนแปลง ได้ไม่ยาก 
แต่จะเกินความสามารถของเราไหม 
ถ้าฉันจะหวังให้ การพลัดพราก ระหว่างเรา 
เป็น ความห่างไกล ที่จะเพิ่มเพียง ความหนักแน่นมั่นคง ระหว่างกัน 

จะยากไปไหม 
จะพยายามได้ไหม 
จะเกินความสามารถ เรา ไหม 
ถ้า การพลัดพราก จะเพิ่มเพียงระยะทางระหว่างเรา 
แต่ 
การพลัดพราก จะไม่อาจเพิ่มระยะห่างระหว่างเราได้อย่างง่ายดาย 

พลัดพราก... ห่างไกล... 
ภาพเมื่อวานยังคงติดตา คำพูดล่ำลายังคงติดหู ความรู้สึกอาทรยังติดใจ แต่สุดท้ายเราก็หยุดเวลาไม่ได้ บัดนี้ระยะทางระหว่างเราได้เพิ่มขึ้นมากมายจนเกินสบตากันได้อย่างทุกวัน 
ใจหนึ่งก็หวาดกลัวว่าความห่างไกลจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปมากกว่าระยะทางหรือเปล่า 
กลัวว่าเราจะเหินห่างกัน ถ้านานวันไปเรายิ่งพบหน้ากันน้อยลง 
กลัวว่าเราจะผิดใจกัน ถ้าจุดยืนระหว่างเรามันต่างกันมากขึ้นทุกที 
กลัวว่าเราจะหวาดระแวงกัน ถ้าระยะห่างจะทำให้เรามองไม่เห็นความเป็นไป ณ อีกฟากของขอบฟ้า 
กลัวว่าเราจะรำคาญกัน ถ้าสักใครสักคนจะติดต่อหากันถี่จนไร้เหตุผล 
กลัวว่าเราจะท้อแท้กัน ถ้าระยะทางระหว่างเราไม่เคยแคบลง 
กลัวว่าเราจะเปลี่ยนแปลงกัน ถ้าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในที่สุด 
หากใจหนึ่งก็วาดฝันเสียสวยหรูไว้ว่า... 
บางทีเราอาจจะคิดถึงกันมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะเรามักจะคิดถึงกันทุกครั้งที่ไม่ได้สบตา 
บางทีเราอาจจะเข้าใจกันมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะเราต่างก็รู้สึกเหมือนกัน 
บางทีเราอาจจะไว้ใจกันมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะเราไม่ต้องเห็นพฤติกรรมของกันและกันตลอดเวลา 
บางทีเราอาจจะเป็นห่วงกันมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะว่าเราจะไม่ได้อยู่ดูแลกันและกันเช่นเคย 
บางทีเราอาจจะมุ่งมั่นกันมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะเราต่างก็ลุ้นวันเวลาที่จะกลับมาเคียงข้างกันอีกครั้งให้เร็วขึ้นอีกนาที... อีกนาที... 
บางทีเราอาจจะหนักแน่นมั่นคงมากกว่าเดิมก็ได้ เพราะว่าเราต่างก็รักกันและกัน 
ฉันไม่รู้ว่านี่คือการปลอบใจตัวเองให้หายใจต่อได้อีกวันหรือเปล่า แต่ฉันก็หวังว่า 
เราจะพยายามให้เป็นอย่างหลังมากกว่า				
6 ธันวาคม 2548 15:43 น.

พอแล้ว... แค่นี้ก็พอ

TANOI_ZA

ฉันไม่ขอให้ทุกคนบนโลกนี้ยอมรับพฤติกรรมเพี้ยนพิลึกที่ฉันแสดงออกไป... 
แต่ฉันขอเพียงใครสักคนเข้าใจในสิ่งที่ฉันทำบ้างก็พอ 

ฉันไม่ขอให้ทุกคนบนโลกนี้เปลี่ยนทัศนะส่วนตัวจนเหมือนกับที่ฉันคิด... 
แต่ฉันขอเพียงใครสักคนเข้าใจความต่างระหว่างมนุษย์บ้างก็พอ 

ฉันไม่ขอให้ทุกคนบนโลกนี้จดจำฉันไว้ตราบนานเท่านาน... 
แต่ฉันขอเพียงเนื้อที่ส่วนหนึ่งในความทรงจำของใครสักคนก็พอ 

ฉันไม่ขอเป็นคนสำคัญสำหรับทุกคนบนโลกนี้... 
แต่ฉันขอเพียงใครสักคนที่ใส่ใจความรู้สึกกันบ้างก็พอ 

ฉันไม่ขอเป็นคนที่ดีเลิศเลอค่าในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง... 
แต่ฉันขอเพียงได้ทำประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอก็พอ 

ฉันไม่ขอเป็นอันดับหนึ่งของจุดนัดฝัน... 
แต่ฉันขอเพียงกำลังใจจากใครสักคนเวลาที่ฉันล้มบ้างก็พอ 
* 
* 
* 
* 
จนกระทั่งวันนี้... ชั่วชีวิตของฉันก็ยังไม่เคยดีพร้อม... 
แต่แค่นี้ก็พอแล้ว... สำหรับคนอย่างฉัน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงTANOI_ZA