28 กันยายน 2546 19:18 น.

ประกายชล-ไอตะวัน ตอนที่ 1

TANOI_ZA

ฉันมีชื่อว่า ประกายชล ปิ่นทอง ค่ะ นิสัยที่เด่นที่สุดก็คือ ซุ่มซ่าม จนเพื่อนๆพากันเรียกฉันว่า 'ยัยเปิ่น' ชื่อเล่นฉันคือ 'ชล' ค่ะ ตัวฉันเองก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ความซุ่มซ่ามของฉันจะทำให้ฉันมีโอกาสได้พบกับคนที่ฉันจะสามารถรักเขาได้ตลอดชีวิตของฉัน เขาคนนั้นมีชื่อว่า 'ไอตะวัน ประทานทรัพย์' นามสกุลก็บอกแล้วใช่ไหมคะว่าไอตะวันเขารวย 

                แต่วันที่เรารู้จักกันครั้งแรก ฉันไม่รู้หรอกนะคะ ว่าเขาเป็นประธานบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ เพราะว่าฉันเพิ่งเริ่มทำงานที่นั่นแค่ 1 อาทิตย์เอง อยากรู้กันไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างความรักวิบากของเราสองคนบ้าง

               เรื่องมันเริ่มจากวันนั้น วันนั้นเป็นวันที่ฉันออกมาทำงานช้ากว่าปกตินิดหน่อย เนื่องจากว่า วันนี้เป็นวันเกิดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันที่ชื่อว่า เค้ก (อันที่จริงแล้ว ตาเค้กไม่ใช่ลูกชายของฉันหรอกค่ะ ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายของฉัน แต่ว่า...พี่ของฉันได้รับอุบัติเหตุระหว่างไปทำงานพร้อมกับพี่สะใภ ้จนถึงขั้นเสียชีวิต เหลือสมบัติล้ำค่าไว้ให้ฉันและพ่อกับแม่เก็บรักษาไว้เพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ ตาเค้กนี่แหละ)

                แถมวันนั้นไอ้กระป๋องน้อยของฉัน (รถยนต์น่ะค่ะ) ก็ดันมาเสียเมื่อวานนี้อีก ทำให้ฉันต้องรีบมากเป็นพิเศษเลย ก็แหม...รถเมล์มันไม่ค่อยจะง้อใครนี่คะ ไม่รีบฉันได้ไปทำงานสายแน่เลย

'อุ้ย!! รถเมล์มาแล้ว' ฉันจึงรีบวิ่งเพื่อที่จะขึ้นรถเมล์ให้ทัน แต่ในขณะที่ฉันกำลังรีบอยู่นั่นแหละ ก็มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งวิ่งมาพูดกับฉันว่า

"คุณครับ! คุณครับ คุณที่ทำงานอยู่บริษัท...น่ะครับ รอผมด้วย คุณช่วยพาผมไปด้วยได้หรือเปล่าครับ คือผมขึ้นรถเมล์ไม่เป...." ฉันยังไม่ทันได้ฟังอะไรนักหรอกค่ะ ฉันก็รีบคว้าข้อมือเขา แล้วพาขึ้นรถเมล์ไปด้วยทันที ก็ใครเขาจะมัวนั่งคุยกันตอนรอรถเมล์ล่ะคะ พอขึ้นมาบนรถเมล์ได้ฉันก็บอกให้เขาพูดต่อ

"ว่าไงคะ เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรเหรอ ตอนนี้ก็พูดได้แล้วล่ะค่ะ แต่ว่าคงพูดได้ไม่นานนักหรอกนะ เพราะว่าเดี๋ยวฉันก็ต้องลงแล้วล่ะค่ะ"

"คือผมขึ้นรถเมล์ไม่เป็น ผมก็เลยจะขอให้คุณพาขึ้นรถเมล์ด้วย เพราะผมก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับคุณ" ฉันหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ เผยให้เห็นลักยิ้มน่ารักๆอันเป็นพรสวรรค์ที่พ่อแม่ให้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด (หลงตัวเองซะไม่มี)

"ขึ้นรถเมล์ไม่เป็น โห่!!คู๊ณ......เกิดมาตั้งกี่ปีแล้วเนี้ย คุณเองก็ดูแก่กว่าฉันอยู่หรอกนะ ถึงมันไม่น่าจะมากกว่ากันสักเท่าไหร่ก็เหอะ แต่กลับยังไม่มีปัญญาขึ้นรถเมล์อีกเหรอ" (ดูฉันสิซุ่มซ่ามแล้วยังปากเสียอีกต่างหาก จนเพื่อนๆต้องบอกให้ฉันไปหาคุณหมอ เพื่อผ่าตัดเอาฟาร์มสุนัขที่ได้สัมปทานในปากของฉันออกโดยด่วน)

                ยังไม่ทันที่เขาจะได้คัดค้านอะไรฉันหรอก ฉันก็รีบพูดอย่างภาคภูมิใจ ในความชำนาญด้านการขึ้นรถเมล์ของฉันว่า 

"ต้องฉันนี่คุณ ตอนนี้นะต่อให้หลับตาฟังแต่เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์อย่างเดียว ฉันยังรู้ได้เล้ย... ว่ารถเมล์คันที่ผ่านหน้าฉันไปสายอะไร" ฉันเชิดหน้าขึ้นเพื่อสนับสนุนคำพูดของฉันเอง แต่แล้วคนทั้งรถเมล์ก็ต้องหันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ฉันร้องเสียงดังลั่นรถเลยน่ะสิ

"เฮ้ย........................!!"

"คุณ คุณ...คุณทำงานที่เดียวกับฉันใช่ไหม แล้ววันนี้คุณรีบไปทำงานหรือเปล่า" ฉันพูดพร้อมกับสะกิดไหล่เขาด้วย

"คือ...เราต้องลงป้ายหน้าโดยด่วนแล้วนะคุณ เตรียมตัวดีๆล่ะ"

"อ้าว!! ทำไมละครับ จะถึงแล้วเหรอ แต่ผมไม่เห็นคุ้นกับแถวนี้เลยนะ"

"เหอะน่า! เร็วเข้าอย่างเพิ่งถามอะไรมากเลย เราต้องลงแล้วล่ะ" 

                ฉันจูงมือเขาให้ลงที่ป้ายรถเมล์นี้ เพื่อต่อรถเมล์คันใหม่ให้กลับไปอีก 2 ป้ายที่ผ่านมา ทำไมน่ะเหรอคะ ก็เมื่อกี้น่ะสิคะ ฉันเหลือบไปเห็นว่ารถเมล์มันไม่เลี้ยวตรงที่มันควรจะเลี้ยวเป็นประจำทุกวัน แต่มันกลับตรงต่อไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะเลี้ยวเลยสักนิด (ตอนแรกมีคิดแบบนี้ด้วยนะคะ 'คนขับต้องหลงแน่เลยแบบว่ายังไม่ส่างเมาจากเหล้าที่กินไปเมื่อวาน หรือไม่เขาเปลี่ยนเส้นทางใหม่' เพราะฉันเองก็ไม่ได้ขึ้นรถเมล์มานานแล้วเหมือนกัน แต่ดูยังไงๆก็ไม่มีทางใช่เด็ดขาด) ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมคะคุณผู้อ่าน ใช่แล้วล่ะค่ะฉันขึ้นรถเมล์ผิดสายไงคะ

                หลังจากนั้น พอฉันพาเขาขึ้นรถเมล์คันใหม่ได้ ฉันจึงบอกสาเหตุให้เขารู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องลงรถเมล์คันเมื่อกี้ แล้วก็ต่อรถอีกสายเพื่อกลับมาอีก 2 ป้าย พอเขารู้เท่านั้นแหละ เขาก็ทำท่าเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ซึ่งฉันคิดว่าเขาไม่ต้องทำก็ได้ เพราะมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย สู้ให้เขาหัวเราะออกมาเลย ยังจะดีซะกว่าที่เขาทำแบบนี้ (แต่ฉันว่านะถ้าเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ละก็ เขาก็ต้องถูกฉันว่าว่าเสียมารยาทอีกแหละ จริงไหมคะ ก็คนมันก็คนขี้แพ้ชวนตีนี่ ใครจะทำอะไรก็ต้องผิดเสมอล่ะ) 

                ฉันดูออกเลยว่า เขาอยากหัวเราะจะตายอยู่แล้ว แต่ด้วยมารยาทหรืออะไรก็ตามที่สั่งสอนให้เขาเป็นคนที่มีมารยางามแบบนี้ ทำให้เขาไม่ยอมหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ (พอจะนึกภาพออกกันบ้างหรือเปล่าคะ ที่เขาเรียกกันว่า กลั้นหัวเราะแหล่ะคะ เขากลั้นซะจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหล แก้มปริ ตาหยี คิดดูเอาเองนะคะ ว่าเขาขำกับเรื่องนี้ขนาดไหน) ยิ่งเขาทำแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหน้าแตกยิ่งกว่าเก่าอีก เพราะว่าเมื่อกี้ ฉันทำตัวเสียมารยาทกับเขาไว้มาก แต่พอถึงคราวที่ฉันพลาดบ้าง เขากลับนิ่งเฉยเพื่อรักษาหน้าฉัน (ก็แล้วมันจริงไหมล่ะยัยเปิ่น ก็ตัวเองอยากทำตัวเสียมารยาทออกไปซะขนาดนั้นเองนิ) ฉันก็เลยพูดประชดเขาไปว่า 

"ถ้าคุณอยากจะหัวเราะมากขนาดนั้น ก็หัวเราะออกมาเลยเหอะ ฉันไม่ถือหรอก"

"ฮึๆ!! ฮะๆ ก๊า................................ก!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เขาหัวเราะออกมาจริงๆด้วยค่ะ แบบเอาเป็นเอาตายเลยด้วย หัวเราะได้เด็ดดวง และเข้าถึงอารมณ์มากเลยนะพ่อคุณ ฉันจึงพูดห้ามเขาให้หยุดหัวเราะออกไปว่า

"นี่คุณ!......ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ฉันก็พูดประชดคุณนะ นี่คุณ นี่...คุณ อายคนอื่นเขานะ พอได้แล้วไม่ต้องหัวเราะแล้ว ฉันรู้แล้วว่าคุณขำที่ฉันหน้าแตก พอเหอะนะฉันขอล่ะ แค่นี้ฉันก็อายคุณจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเขาสงสัยที่คุณหัวเราะจนหน้าดำ หน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้เลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นเขารู้นะ" (เห็นไหมคะคุณผู้อ่าน ฉันบอกแล้วว่าถ้าเขาหัวเราะออกมา ฉันก็ต้องไม่พอใจอีกนั่นแหละ)

"โอเคๆ ฮึๆๆโอ๊ย..คุณผมไม่ไหวแล้วจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"

"เอ้า!! ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนเล่า นี่คุณถ้าไม่รีบหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะปล่อยให้คุณหลงไปเลยด้วย"

                นิ่งกริบไปเลย เป็นไงเล่าเงียบไปเลย แผนนี้ใช้ได้ผลค่ะ เขาเงียบไปเลย แต่ฉันสิพอเห็นหน้าเขาที่พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ มันช่างเหมือนกับเวลาที่ เด็กๆพยายามกลั้นหัวเราะเวลาที่ฉันหน้าแตก แล้วงอนที่พวกเขาหัวเราะฉัน และพวกเขาก็ต้องมาง้อฉัน และที่เขากำลังทำอยู่มันก็น่ารักซะจนฉันต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู แล้วเราสองคนก็สบตากันและหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างมีความสุข อารมณ์เขินอายเมื่อกี้ก็ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว มันเหลือแต่ความรู้สึกดีๆที่มีความสุขตอนที่เราหัวเราะกัน (ฉันคิดว่าเราสองคนรู้สึกอย่างนั้น)

                สักพักเราสองคนก็มาถึงที่หน้าบริษัท เพื่อนฉันก็มารออยู่ที่หน้าบริษัทเหมือนกับว่ามารอรับญาติที่ไม่ได้พบกันนานเป็นเวลา 20 ปีได้ หรืออีกกรณีก็นี่เลย พี่น้องที่ถูกพลัดพรากจากกัน ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้ามาที่ฉัน ต่างแย่งกันถามฉันว่า 'ทำไมมาสาย ทุกคนเป็นห่วงเธอนะ ตอนแรกฉันก็นึกว่า เธอซุ่มซ่ามจนเดินไปชนรถใครเขาบุบซะแล้วสิ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่มั้ง เพราะไม่เห็นมีเจ้าทุกข์ตามมาเอาเรื่องเลย' (มันจะดีมากเลยนะ ถ้าไม่มีประโยคท้ายๆนะคะเพื่อนๆ) พอฉันหันมามองหา 'เขาคนนั้น' (เขาคนนั้นของฉันก็คือ ไอตะวันนั่นแหละค่ะ ท่านผู้อ่าน) ก็ไม่อยู่ซะแล้ว แต่ก็ช่างเหอะ อยู่บริษัทเดียวกัน เดี๋ยวสักวันก็ต้องมีโอกาสได้เจอจนได้แหละ

                

               แต่นี่ผ่านไป 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะ ทำไมฉันยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกล่ะ ชื่อเขาฉันก็ยังไม่รู้เลย แล้วเขาจะจำฉันได้เท่ากับที่ฉันจำเขาได้แม่นยำไหมนะ ฉันในตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ฉันจำเขาได้ดีพอๆกับที่ฉันสามารถจำวิธีที่ใช้หายใจได้เลย แต่ฉันก็อธิบายไม่ได้หรอกว่า ทำไมถึงจำเขาได้ขนาดนี้

                เช้าวันนี้ฉันมาสายอีกแล้ว เพราะนั่งปั่นงานให้เจ้านายจนถึงตี 4 กว่าได้มั้ง (ที่เสร็จตี 4 กว่าเพราะว่า ก่อนหน้านั้นนั่งเล่นเกมส์Computerเพลิน จนตี 3 กว่าน่ะค่ะ) เลยตื่นสาย เรื่องไปส่งตาเค้กก็เลยต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อฉันอีกแล้ว

                ในขณะที่ฉันกำลังรอลิฟท์อยู่ฉันก็คิดว่า น่าจะหาแฟ้มข้อมูลเพื่อเตรียมให้เจ้านายดีกว่า ว่าแล้วฉันก็เริ่มทำการค้นหาทันที เสียงลิฟท์ดังขึ้น บอกให้ฉันรู้ว่า ลิฟท์มาถึงชั้นหนึ่งแล้ว ฉันรีบเดินเข้าไปทันที ทั้งๆที่ตาฉันยังคงก้มหาของในกระเป๋าไม่วางตา พอลิฟท์ปิด ก็มีเสียงทักฉันว่า

"อะแฮ่มๆ!! ประกายชลเธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"

"คะ!? อ้าวเจ้านาย อรุณสวัสดิ์ค่ะเช้านี้อากาศดีนะคะ ชลเตรียมแผลงานมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้านายอยากจะดูเลยไหมคะ"

"อะแฮ่มๆ ประกายชล คือ..เมื่อกี้ฉันถามเธอว่าเธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"

"เอ้ะ!? เฮ้ย!! ผิดค่ะ หนูขึ้นผิดจริงๆด้วย ขอโทษค่ะหนูไม่ได้ตั้งใจ คือ...หนูมัวแต่หาแฟ้มอยู่น่ะค่ะ"

"เอ่อ! พอๆๆ ฉันเข้าใจเธอดี คราวนี้ไม่เป็นไรแล้วกันนะครับคุณไอตะวัน ทีลูกน้องผมซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ผิด" เขาพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรขึ้นมา ฉันก็ร้องทักคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้านายของฉันอย่างดีใจว่า

"อ้าว!! คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ? สบายดีหรือเปล่า? เอ้ะ!อย่างนี้ก็แปลว่าคุณก็ขึ้นลิฟท์ผิดเหมือนกันเลยสิคะ ฉันก็เหมือนกันเลยค่ะ แหม! เราสองคนที่แย่จังเลยนะคะ ซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ของผู้บริหาร"

"เธอคนเดียวน่ะสิ ประกายชล" บอสพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ฉันจะหน้าแตกไปมากกว่านี้

"คนๆนี้คือ คุณไอตะวัน ประทานทรัพย์ ประธานบริษัทของเรา นี่เธออยู่ที่นี่มา 3 อาทิตย์กว่าแล้วนะ แต่เธอยังไม่รู้จักท่านประธานบริษัทของเราอีกเหรอ"

"ห้ะ!! เมื่อกี้เจ้านายว่าไงนะคะ ประธานบริษัทเหรอคะ คุณ....ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปีนเกลียวคุณนะคะ" ฉันหันมามองหน้าไอตะวันอย่างช็อคที่สุด อย่างที่ไม่เคยช็อคมาก่อนในชีวิต แล้วฉันก็เป็นลมคาอกไอตะวันไป


โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป....TANOI_ZA				
27 กันยายน 2546 18:19 น.

เหตุผล

TANOI_ZA

เคยได้ยินมาเป็นพันเหตุผลที่คนรักใช้ตอบคนที่เขารัก เวลาที่คนที่เขารักต้องการรู้ถึงเหตุผลว่า ทำไมเธอถึงรักเขา แต่สำหรับฉันไม่เคยหาเหตุผลเลยสักครั้ง ตอบได้แค่เพียงว่า "ไม่รู้สิ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรัก ว่าทำไมถึงต้องเป็นเธอ" และก็ตามมาด้วยประโยคนี้ "ความรักไม่มีเหตุผลไงล่ะ" จริงๆแล้วไม่เคยทราบซึ้งกับประโยคนี้มาก่อน 
                     จนกระทั่งฉันหาคำตอบให้คนที่ฉันรักไม่ได้ว่า ทำไมฉันถึงรักเขา แต่ก็ไม่คิดจะหาเหตุผลหรอกเพราะฉันเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เวลาที่คนเราทำอะไรด้วยเหตุผล เมื่อสักวันหนึ่งที่เหตุผลนั้นมันหมดไป เราก็จะไม่ต้องการที่จะทำสิ่งนั้นต่อไปแน่ๆ เช่น ถ้าฉันชอบเธอเพราะเธอหล่อ/สวย และถ้าสักวันหนึ่งเธอไม่สวย/หล่อขึ้นมาล่ะ ฉันคงเปลี่ยนใจไปจากเธอแน่ๆเลย แล้วถ้าฉันชอบเธอเพราะว่าเธอเป็นคนดี แต่พอวันหนึ่งฉันได้รู้อีกมุมหนึ่งของเธอขึ้นมา ฉันก็คงไปจากเธออีกแหละ เพราะเธอไม่ใช่คนดีอย่างที่ฉันคิด (แต่ฉันก็รู้ว่าไม่มีใครเป็นคนดีได้หมดหรอกนะ) 
                     เพราะฉะนั้นคำถามที่ฉันไม่อยากให้คนที่รักกันถามกันก็คือ "เธอรักฉันเพราะอะไร" และได้โปรดเถอะที่รัก ฉันไม่ต้องการได้ยินเหตุผลที่เธอรักฉันเลย เพราะมันจะทำร้ายกันทุกครั้งที่ได้ยิน มันจะทำให้ฉันกลัวว่า สักวันหนึ่งถ้าฉันไม่ได้เป็นแบบที่เธอชอบอีกแล้ว เธอคงจะไปจากฉันอย่างง่ายดายแน่นอน เพราะมันไม่เหตุผลใดๆอีกแล้ว ที่เธอจะรักคนที่ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอรักได้ 

ถ้าคิดดูดีๆแล้วมันก็เหมือนกับการบอกเลิกล่วงหน้าทั้งที่เราพึ่งเริ่มรักกันเท่านั้นเอง				
27 กันยายน 2546 17:27 น.

รักที่ไม่ทำร้ายใคร

TANOI_ZA

รักที่ไม่ทำร้ายใครคือรักที่มีแต่ความปราถนาดี อยากให้คนที่เรารักมีความสุข แม้กระทั่งยอมให้ความสุขของคนที่เรารักทำร้ายเราจนหมดแรงก้าวต่อไปก็ตาม แต่ความเจ็บปวดนั้นแหละ จะเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้เราอย่างแท้จริง				
22 กันยายน 2546 18:21 น.

กิ่งทอง-ใบหยก

TANOI_ZA

ชีวิตอันเรียบง่ายของฉันไม่เคยเรียบอีกเลย ตั้งแต่วันที่ 'ใบหยก' เข้ามาในชีวิต ฉันจำได้ว่าฉันเป็นคนว่าง่าย ไม่เกเร ไม่ขี้งอน ไม่เรื่องมาก ไม่ขี้น้อยใจ ไม่ขี้อิจฉา (คือจริงๆแล้วก็มีบ้างแต่ไม่มากนักหรอก) ฉันรู้จักเค้าที่ยิมเทควันโดที่ฉันเรียนอยู่ เค้ามาในวันแรกก็กวนประสาทฉันเลย ตอนนั้นฉันได้ Free spairing กับเขา (Free spairing คือการใช้วิชาเทควันโดที่ได้เล่าเรียนมาต่อสู้กัน) นายนั่นก็พูดข่มฉันว่า
"ตัวเล็กแค่นี้ คิดจะมาสู้กับเราเหรอเดี๋ยวก็ไม่รอดหรอก" 
แต่ก็จริงแหละนะ วันนั้นฉันเกือบเอาชีวิตกลับมาฝากพ่อกับแม่แค่วิญญาณซะแล้ว ก็เลยยิ่งไม่ค่อยชอบหน้าสักเท่าไหร่ อย่างวันนั้นก็อีก ฉันนั่งเล่นกีต้าร์ของฉันอยู่ดีๆ (ท่านผู้อ่านลองนึกภาพตามนะ) กำลังร้องเพลินๆเลยนะอยู่ๆก็มีเสียงแทรกขึ้นมา (เชื่อไหมวันนั้นฉันเจอความสามารถพิเศษของตัวเองเลยนะ ว่าฉันสามารถร้องเพลงโดยใช้เนื้อร้องของอีกเพลงแต่ทำนองของอีกเพลงได้ โดยที่ตอนแรกๆไม่มีใครสามารถจับได้เลย ว่าแต่!! มันน่าภูมิใจไหมเนี้ย) ซึ่งเพลงที่ร้องเป็นเพลงอะไรฉันเองก็จำไม่ได้แล้ว เพราะวันนั้นฉันไม่ชอบใจที่เขาทำแบบนี้ ก็เลยไม่ได้จำ แต่ถ้ารู้ว่าเราจะรักกันนะ จะจำไว้ทุกเรื่องเลย เรื่องในวันนั้นทำให้ฉันรู้สึกว่า ตัวเองหน้าแตกเป็นอย่างมากเลย เพราะฉันเป็นที่นับถือของน้องๆในยิม แต่กลับถูกตานี่หักหน้าไม่เหลือ แต่ว่ามันมีที่แตกยับยิ่งกว่านี้อีกนะ แต่ไอ้ที่แตกไม่ใช่หน้าของฉันหรอก มันคือขาของฉันต่างหากที่แตกยับเยิน
นายนั่นทำให้ฉันขาหักล่ะ แต่ว่ามันกลับทำให้ฉันมีโอกาสที่ได้เห็นข้อดีที่ฉันไม่เคยเห็นจากหยก (เอ่อ...........อ่ะก็ได้ คือจริงๆแล้วก็เห็นบ่อยแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้น่ะ ก็ตอนนั้นยังมีอคติอยู่นี่นา แต่ตอนนี้เริ่มเห็นใจหยกแล้วล่ะ) หยกคอยรับคอยส่งเสมอเลยนะ เช้าเห็นหน้า เที่ยงเห็นหน้า เย็นเห็นหน้า (นี่ถ้านายนี่เป็นข้าวนะฉันคงไม่ต้องมีโอกาสได้กินอย่างอื่นแน่ๆเลยล่ะ) ถือของให้ด้วยนะ จะเอาอะไรก็ตามใจตลอด (ถ้าไม่เอาแต่ใจเกินไปนะ ไม่งั้นก็มีดุเหมือนกันล่ะ) จนตอนนั้นเหมือนว่าเราสองคนเป็นแฟนกันเลยล่ะ 
แต่ว่าก็รู้สึกดีๆได้ไม่นานนักหรอก (เอ้ะ! นี่ฉันยอมรับตัวเองแล้วเหรอว่ารู้สึกดีๆกับหยก ยัง...ยังหรอก ก็ฉันไม่ใช่คนใจง่ายนี่นา แต่ว่าฉันชอบโกหกตัวเองน่ะสิ) หยกก็เริ่มหายไป ฉันไม่ยอมถามหาหยกกับใครเลยนะ ทั้งๆที่อยากรู้เรื่องหยกใจขาดดิ้นเลย จนเพื่อนมาคุยกันต่อหน้าต่อตาว่า หยกมีแฟนแล้วแต่อยู่คนละมหาวิทยาลัย และที่อาทิตย์นี้ฉันยังไม่ได้เห็นหน้าของหยก ทั้งๆที่ปกติเขาต้องมาดูแลฉันแต่วันนี้เขากลับไม่มาเลย ก็เป็นเพราะว่าหยกไปหาแฟนที่เชียงใหม่ ฉันทำเป็นไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เพื่อนๆพยายามจะทำให้ฉันแสดงความในใจที่แท้จริงออกมาไว้อย่างมิดชิด จนกระทั่งเพื่อนกลับไปได้เท่านั้นแหละร้องไห้แบบสุดๆเลย
พอนายนั่นโผล่หน้ามาให้เห็นนะฉันเลยแกล้งไม่คุยด้วย หลบหน้าหลบตา ไม่สนใจ แต่จะเรียกว่าแกล้งก็ไม่ถูกเพราะการแกล้งของฉันมันคงไม่มีค่าพอที่จะทำให้หยกรู้สึกได้หรอก (ขี้น้อยใจอีกด้วยนะ) แต่ดูหยกร้อนใจมากๆเลยนะที่ฉันไม่คุยกับหยก หลบหน้าหลบตาหยกแบบนี้ (คิดไปเองน่ะสิ ไม่ค่อยจะเข้าข้างตัวเองเท่าไหร่เลยนะแม่คุณ) 
แล้ววันนั้นฉันก็เห็นหยกเดินมากับหญิงสาวที่สวยซะด้วยนะ แต่ว่าแก่กว่าฉันและหยกอีก ดูสิ!! เดินเบียดกันจนแทบจะขี่คอกันอยู่แล้วหรือถ้าขี่คอกันได้แบบไม่อายใครคงขี่คอกันไปนานแล้วล่ะ (แหม! ขี้อิจฉาซะด้วยนะ อยากทำแบบเค้าบ้างล่ะสิ) 
ฉันทำไงน่ะเหรอเต็มตาขนาดนี้ ก็วิ่งหนีน่ะสิ สุดชีวิตเลยด้วยนะ กลัวหยกจะตามทันน่ะ แล้วก็ตามมาจริงๆด้วย เลยวิ่งกันแบบที่ว่าหนังอินเดียยังต้องออกมาประท้วงที่ผลรวมระยะทางการวิ่งของฉันกับหยกมากกว่าระยะทางมาตรฐานหนังไทยเลย แต่ในที่สุดหยกก็ตามทัน แต่พอทันแล้วหยกกลับบอกฉันว่า 
"เดี๋ยวเราจะแนะนำคนที่คนอื่นเขาบอกว่าเป็นแฟนผมให้คุณรู้จัก" เอ้า! ดูสิคนเรารู้ทั้งรู้ความรู้สึกเราแล้ว ยังมีหน้ามาตอกยําเราอีก 
แต่ฉันก็รอแฟนของหยกนะรอทั้งนําตาเลย (ไม่รู้มันพร้อมใจกันมาจากมหาสมุทรไหนมั่งถึงได้ทะลักเป็นเขื่อนแตกได้ขนาดนี้) แต่หยกไม่ทันเห็นหรอก เพราะว่าหันไปหาคนรักของเขาซะก่อน พอคนรักของหยก   เดินมาถึง หยกก็หันมาหาฉัน ก็เลยเห็นว่าฉันร้องไห้ แต่ฉันพยายามกั้นไว้แล้วนะแต่ไม่ไหว หยกกลับหัวเราะลั่นเลย ฉันก็งงสิเกิดอะไรขึ้น นําตาฉันมันเป็นตลกค่าเฟ่รึไงกัน ฉันน้อยใจจนเดินหนีแต่เค้ารั้งไว้บอกว่า 
"ผมมีคนที่อยากแนะนำให้คุณรู้จัก" แต่ฉันไม่อยากรู้จักนี่เรื่องไรจะอยู่ฟังล่ะ 
"นี่พี่สาวผมครับชื่อฝ้าย" โครม!? Oh no!ฉันล้มต่อหน้าหยกเหรอเนี้ย แต่เอ้ะ! เมื่อกี้หยกบอกว่าพี่งั้นเหรอ พี่! ไม่จริง ดีใจจังเลย แต่ฉันฟอร์มไม่ฟังหยกนะเดินหนีต่อ 
"ผมรักคุณ" ฉันหันกลับไปมองพร้อมกับรอยยิ้มทันที 
"ผมรักคุณนะ พี่ฝ้าย พี่เป็นพี่ที่ดีเหลือเกิน" เขาแกล้ฉันให้ฉันหน้าแตกดูสิคะเขาแกล้งฉันอีกแล้ว (คนอะไรน่า..น่า....น่ารักจริงๆเลย) พอฉันหน้าแตกขนาดนี้อยู่ต่อได้ไงล่ะฉันก็เลยต้องวิ่งหนีหยกอีกรอบ
แต่คราวนี้หยกไม่ยอมให้วิ่งหนีลแล้ว เขาวิ่งมากอดฉันไว้แน่นเลย (มีสิทธิ์อะไรก็ไม่รู้ แหม!! แต่จริงๆแล้วก็ดีใจนะน่ะ)
"ผมรักคุณครับกิ่ง" (ชื่อฉันค่ะ ชื่อฉันท่านผู้อ่านรู้แล้วนะ นี่แหละค่ะชื่อฉัน) เค้ากระซิบข้างหูฉัน แค่นั้นแหละหมดแรงทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าหามดอย่างเดียวเลย
"มีสิทธิ์อะไรมากอดฉัน" ฉันแกล้งถามหยกไป
"ก็คิดว่าคนเขารักกันก็ต้องกอดกันไงจริงรึเปล่าล่ะ" คราวนี้ฉันเงียบไม่พูดอะไร ไม่ใช่อะไรหรอกเขินจนหมดแรงน่ะค่ะ 
ฉันพยายามจะหนีอีกนะ (ไม่รู้จะเก๊กทำไมกันนักหนานะยัยกิ่ง ยอมๆไปเหอะเดี๋ยวก็ขึ้นคานกันพอดี 3ชาติกว่าแล้วนะที่ไม่มีใครหลงมาให้ดีใจแบบนี้น่ะ ยัยกิ่ง) หยกจับฉันหันหน้าไปมองตาเขาพร้อมกับถามว่า
"รักผมบ้างรึเปล่า" เงียบค่ะเงียบ ดิฉันเงียบอย่างเดียว 
"ไม่ตอบผมจูบนะ ตอบว่าไม่รักก็จูบด้วยเอ้า คอยดูสิ" กว่าฉันจะรวบรวมความกล้าได้นะ ปากหยกแทบจะถึงปากฉันแล้ว แต่ว่านะพอบอกว่า 'รัก' ไปหยกก็จูบอีกแหละเขาบอกว่าลูกติดพัน 'น่ารักจริงๆแฟนใครก็ไม่รู้' (แหน้ะ!! เขาขอตัวเองเป็นแฟนแล้วเหรอยะ นี่สงสัยว่าถ้าเขาแค่ขอเธอเป็นแฟน เธอไม่บอกเลยเหรอว่าเขาขอเธอแต่งงานน่ะ ขี้ตู่จังเลย)
นี่แหละค่ะความรักระหว่าง 'กิ่งทอง-ใบหยก' ไม่ค่อยวิบากเท่าคู่อื่นหรอกนะ แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่เริ่มต้นนี่นา ชีวิตคู่ไม่จบกันแค่นี้หรอก จริงไหมค่ะท่านผู้อ่าน แต่เราทั้งคู่ (กิ่งทอง-ใบหยก) จะพยายามรักษามันไว้ให้ดีเลยล่ะค่ะ สู้ตายค่ะ!!				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟTANOI_ZA
Lovings  TANOI_ZA เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงTANOI_ZA