ประกายชล-ไอตะวัน ตอนที่ 1

TANOI_ZA

ฉันมีชื่อว่า ประกายชล ปิ่นทอง ค่ะ นิสัยที่เด่นที่สุดก็คือ ซุ่มซ่าม จนเพื่อนๆพากันเรียกฉันว่า 'ยัยเปิ่น' ชื่อเล่นฉันคือ 'ชล' ค่ะ ตัวฉันเองก็ไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ความซุ่มซ่ามของฉันจะทำให้ฉันมีโอกาสได้พบกับคนที่ฉันจะสามารถรักเขาได้ตลอดชีวิตของฉัน เขาคนนั้นมีชื่อว่า 'ไอตะวัน ประทานทรัพย์' นามสกุลก็บอกแล้วใช่ไหมคะว่าไอตะวันเขารวย 
                แต่วันที่เรารู้จักกันครั้งแรก ฉันไม่รู้หรอกนะคะ ว่าเขาเป็นประธานบริษัทที่ฉันทำงานอยู่ เพราะว่าฉันเพิ่งเริ่มทำงานที่นั่นแค่ 1 อาทิตย์เอง อยากรู้กันไหมคะ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างความรักวิบากของเราสองคนบ้าง
               เรื่องมันเริ่มจากวันนั้น วันนั้นเป็นวันที่ฉันออกมาทำงานช้ากว่าปกตินิดหน่อย เนื่องจากว่า วันนี้เป็นวันเกิดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของฉันที่ชื่อว่า เค้ก (อันที่จริงแล้ว ตาเค้กไม่ใช่ลูกชายของฉันหรอกค่ะ ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายของฉัน แต่ว่า...พี่ของฉันได้รับอุบัติเหตุระหว่างไปทำงานพร้อมกับพี่สะใภ ้จนถึงขั้นเสียชีวิต เหลือสมบัติล้ำค่าไว้ให้ฉันและพ่อกับแม่เก็บรักษาไว้เพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ ตาเค้กนี่แหละ)
                แถมวันนั้นไอ้กระป๋องน้อยของฉัน (รถยนต์น่ะค่ะ) ก็ดันมาเสียเมื่อวานนี้อีก ทำให้ฉันต้องรีบมากเป็นพิเศษเลย ก็แหม...รถเมล์มันไม่ค่อยจะง้อใครนี่คะ ไม่รีบฉันได้ไปทำงานสายแน่เลย
'อุ้ย!! รถเมล์มาแล้ว' ฉันจึงรีบวิ่งเพื่อที่จะขึ้นรถเมล์ให้ทัน แต่ในขณะที่ฉันกำลังรีบอยู่นั่นแหละ ก็มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งวิ่งมาพูดกับฉันว่า
"คุณครับ! คุณครับ คุณที่ทำงานอยู่บริษัท...น่ะครับ รอผมด้วย คุณช่วยพาผมไปด้วยได้หรือเปล่าครับ คือผมขึ้นรถเมล์ไม่เป...." ฉันยังไม่ทันได้ฟังอะไรนักหรอกค่ะ ฉันก็รีบคว้าข้อมือเขา แล้วพาขึ้นรถเมล์ไปด้วยทันที ก็ใครเขาจะมัวนั่งคุยกันตอนรอรถเมล์ล่ะคะ พอขึ้นมาบนรถเมล์ได้ฉันก็บอกให้เขาพูดต่อ
"ว่าไงคะ เมื่อกี้คุณจะพูดอะไรเหรอ ตอนนี้ก็พูดได้แล้วล่ะค่ะ แต่ว่าคงพูดได้ไม่นานนักหรอกนะ เพราะว่าเดี๋ยวฉันก็ต้องลงแล้วล่ะค่ะ"
"คือผมขึ้นรถเมล์ไม่เป็น ผมก็เลยจะขอให้คุณพาขึ้นรถเมล์ด้วย เพราะผมก็ทำงานอยู่ที่เดียวกับคุณ" ฉันหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ เผยให้เห็นลักยิ้มน่ารักๆอันเป็นพรสวรรค์ที่พ่อแม่ให้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด (หลงตัวเองซะไม่มี)
"ขึ้นรถเมล์ไม่เป็น โห่!!คู๊ณ......เกิดมาตั้งกี่ปีแล้วเนี้ย คุณเองก็ดูแก่กว่าฉันอยู่หรอกนะ ถึงมันไม่น่าจะมากกว่ากันสักเท่าไหร่ก็เหอะ แต่กลับยังไม่มีปัญญาขึ้นรถเมล์อีกเหรอ" (ดูฉันสิซุ่มซ่ามแล้วยังปากเสียอีกต่างหาก จนเพื่อนๆต้องบอกให้ฉันไปหาคุณหมอ เพื่อผ่าตัดเอาฟาร์มสุนัขที่ได้สัมปทานในปากของฉันออกโดยด่วน)
                ยังไม่ทันที่เขาจะได้คัดค้านอะไรฉันหรอก ฉันก็รีบพูดอย่างภาคภูมิใจ ในความชำนาญด้านการขึ้นรถเมล์ของฉันว่า 
"ต้องฉันนี่คุณ ตอนนี้นะต่อให้หลับตาฟังแต่เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์อย่างเดียว ฉันยังรู้ได้เล้ย... ว่ารถเมล์คันที่ผ่านหน้าฉันไปสายอะไร" ฉันเชิดหน้าขึ้นเพื่อสนับสนุนคำพูดของฉันเอง แต่แล้วคนทั้งรถเมล์ก็ต้องหันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็ฉันร้องเสียงดังลั่นรถเลยน่ะสิ
"เฮ้ย........................!!"
"คุณ คุณ...คุณทำงานที่เดียวกับฉันใช่ไหม แล้ววันนี้คุณรีบไปทำงานหรือเปล่า" ฉันพูดพร้อมกับสะกิดไหล่เขาด้วย
"คือ...เราต้องลงป้ายหน้าโดยด่วนแล้วนะคุณ เตรียมตัวดีๆล่ะ"
"อ้าว!! ทำไมละครับ จะถึงแล้วเหรอ แต่ผมไม่เห็นคุ้นกับแถวนี้เลยนะ"
"เหอะน่า! เร็วเข้าอย่างเพิ่งถามอะไรมากเลย เราต้องลงแล้วล่ะ" 
                ฉันจูงมือเขาให้ลงที่ป้ายรถเมล์นี้ เพื่อต่อรถเมล์คันใหม่ให้กลับไปอีก 2 ป้ายที่ผ่านมา ทำไมน่ะเหรอคะ ก็เมื่อกี้น่ะสิคะ ฉันเหลือบไปเห็นว่ารถเมล์มันไม่เลี้ยวตรงที่มันควรจะเลี้ยวเป็นประจำทุกวัน แต่มันกลับตรงต่อไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะเลี้ยวเลยสักนิด (ตอนแรกมีคิดแบบนี้ด้วยนะคะ 'คนขับต้องหลงแน่เลยแบบว่ายังไม่ส่างเมาจากเหล้าที่กินไปเมื่อวาน หรือไม่เขาเปลี่ยนเส้นทางใหม่' เพราะฉันเองก็ไม่ได้ขึ้นรถเมล์มานานแล้วเหมือนกัน แต่ดูยังไงๆก็ไม่มีทางใช่เด็ดขาด) ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมคะคุณผู้อ่าน ใช่แล้วล่ะค่ะฉันขึ้นรถเมล์ผิดสายไงคะ
                หลังจากนั้น พอฉันพาเขาขึ้นรถเมล์คันใหม่ได้ ฉันจึงบอกสาเหตุให้เขารู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องลงรถเมล์คันเมื่อกี้ แล้วก็ต่อรถอีกสายเพื่อกลับมาอีก 2 ป้าย พอเขารู้เท่านั้นแหละ เขาก็ทำท่าเป็นสุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ซึ่งฉันคิดว่าเขาไม่ต้องทำก็ได้ เพราะมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลย สู้ให้เขาหัวเราะออกมาเลย ยังจะดีซะกว่าที่เขาทำแบบนี้ (แต่ฉันว่านะถ้าเขาหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ละก็ เขาก็ต้องถูกฉันว่าว่าเสียมารยาทอีกแหละ จริงไหมคะ ก็คนมันก็คนขี้แพ้ชวนตีนี่ ใครจะทำอะไรก็ต้องผิดเสมอล่ะ) 
                ฉันดูออกเลยว่า เขาอยากหัวเราะจะตายอยู่แล้ว แต่ด้วยมารยาทหรืออะไรก็ตามที่สั่งสอนให้เขาเป็นคนที่มีมารยางามแบบนี้ ทำให้เขาไม่ยอมหัวเราะออกมาอย่างเต็มที่ (พอจะนึกภาพออกกันบ้างหรือเปล่าคะ ที่เขาเรียกกันว่า กลั้นหัวเราะแหล่ะคะ เขากลั้นซะจนหน้าดำหน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหล แก้มปริ ตาหยี คิดดูเอาเองนะคะ ว่าเขาขำกับเรื่องนี้ขนาดไหน) ยิ่งเขาทำแบบนี้ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหน้าแตกยิ่งกว่าเก่าอีก เพราะว่าเมื่อกี้ ฉันทำตัวเสียมารยาทกับเขาไว้มาก แต่พอถึงคราวที่ฉันพลาดบ้าง เขากลับนิ่งเฉยเพื่อรักษาหน้าฉัน (ก็แล้วมันจริงไหมล่ะยัยเปิ่น ก็ตัวเองอยากทำตัวเสียมารยาทออกไปซะขนาดนั้นเองนิ) ฉันก็เลยพูดประชดเขาไปว่า 
"ถ้าคุณอยากจะหัวเราะมากขนาดนั้น ก็หัวเราะออกมาเลยเหอะ ฉันไม่ถือหรอก"
"ฮึๆ!! ฮะๆ ก๊า................................ก!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ" เขาหัวเราะออกมาจริงๆด้วยค่ะ แบบเอาเป็นเอาตายเลยด้วย หัวเราะได้เด็ดดวง และเข้าถึงอารมณ์มากเลยนะพ่อคุณ ฉันจึงพูดห้ามเขาให้หยุดหัวเราะออกไปว่า
"นี่คุณ!......ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ฉันก็พูดประชดคุณนะ นี่คุณ นี่...คุณ อายคนอื่นเขานะ พอได้แล้วไม่ต้องหัวเราะแล้ว ฉันรู้แล้วว่าคุณขำที่ฉันหน้าแตก พอเหอะนะฉันขอล่ะ แค่นี้ฉันก็อายคุณจะแย่อยู่แล้ว อย่าให้คนอื่นเขาสงสัยที่คุณหัวเราะจนหน้าดำ หน้าแดง น้ำหูน้ำตาไหลขนาดนี้เลย ฉันไม่อยากให้คนอื่นเขารู้นะ" (เห็นไหมคะคุณผู้อ่าน ฉันบอกแล้วว่าถ้าเขาหัวเราะออกมา ฉันก็ต้องไม่พอใจอีกนั่นแหละ)
"โอเคๆ ฮึๆๆโอ๊ย..คุณผมไม่ไหวแล้วจริงๆนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
"เอ้า!! ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้เล่า ฉันพูดอะไรผิดตรงไหนเล่า นี่คุณถ้าไม่รีบหยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะปล่อยให้คุณหลงไปเลยด้วย"
                นิ่งกริบไปเลย เป็นไงเล่าเงียบไปเลย แผนนี้ใช้ได้ผลค่ะ เขาเงียบไปเลย แต่ฉันสิพอเห็นหน้าเขาที่พยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มที่ มันช่างเหมือนกับเวลาที่ เด็กๆพยายามกลั้นหัวเราะเวลาที่ฉันหน้าแตก แล้วงอนที่พวกเขาหัวเราะฉัน และพวกเขาก็ต้องมาง้อฉัน และที่เขากำลังทำอยู่มันก็น่ารักซะจนฉันต้องหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู แล้วเราสองคนก็สบตากันและหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างมีความสุข อารมณ์เขินอายเมื่อกี้ก็ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว มันเหลือแต่ความรู้สึกดีๆที่มีความสุขตอนที่เราหัวเราะกัน (ฉันคิดว่าเราสองคนรู้สึกอย่างนั้น)
                สักพักเราสองคนก็มาถึงที่หน้าบริษัท เพื่อนฉันก็มารออยู่ที่หน้าบริษัทเหมือนกับว่ามารอรับญาติที่ไม่ได้พบกันนานเป็นเวลา 20 ปีได้ หรืออีกกรณีก็นี่เลย พี่น้องที่ถูกพลัดพรากจากกัน ตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทุกคนมุ่งหน้ามาที่ฉัน ต่างแย่งกันถามฉันว่า 'ทำไมมาสาย ทุกคนเป็นห่วงเธอนะ ตอนแรกฉันก็นึกว่า เธอซุ่มซ่ามจนเดินไปชนรถใครเขาบุบซะแล้วสิ แต่ดูแล้วคงไม่ใช่มั้ง เพราะไม่เห็นมีเจ้าทุกข์ตามมาเอาเรื่องเลย' (มันจะดีมากเลยนะ ถ้าไม่มีประโยคท้ายๆนะคะเพื่อนๆ) พอฉันหันมามองหา 'เขาคนนั้น' (เขาคนนั้นของฉันก็คือ ไอตะวันนั่นแหละค่ะ ท่านผู้อ่าน) ก็ไม่อยู่ซะแล้ว แต่ก็ช่างเหอะ อยู่บริษัทเดียวกัน เดี๋ยวสักวันก็ต้องมีโอกาสได้เจอจนได้แหละ
                
               แต่นี่ผ่านไป 2 อาทิตย์กว่าแล้วนะ ทำไมฉันยังไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าเขาอีกล่ะ ชื่อเขาฉันก็ยังไม่รู้เลย แล้วเขาจะจำฉันได้เท่ากับที่ฉันจำเขาได้แม่นยำไหมนะ ฉันในตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ฉันจำเขาได้ดีพอๆกับที่ฉันสามารถจำวิธีที่ใช้หายใจได้เลย แต่ฉันก็อธิบายไม่ได้หรอกว่า ทำไมถึงจำเขาได้ขนาดนี้
                เช้าวันนี้ฉันมาสายอีกแล้ว เพราะนั่งปั่นงานให้เจ้านายจนถึงตี 4 กว่าได้มั้ง (ที่เสร็จตี 4 กว่าเพราะว่า ก่อนหน้านั้นนั่งเล่นเกมส์Computerเพลิน จนตี 3 กว่าน่ะค่ะ) เลยตื่นสาย เรื่องไปส่งตาเค้กก็เลยต้องยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อฉันอีกแล้ว
                ในขณะที่ฉันกำลังรอลิฟท์อยู่ฉันก็คิดว่า น่าจะหาแฟ้มข้อมูลเพื่อเตรียมให้เจ้านายดีกว่า ว่าแล้วฉันก็เริ่มทำการค้นหาทันที เสียงลิฟท์ดังขึ้น บอกให้ฉันรู้ว่า ลิฟท์มาถึงชั้นหนึ่งแล้ว ฉันรีบเดินเข้าไปทันที ทั้งๆที่ตาฉันยังคงก้มหาของในกระเป๋าไม่วางตา พอลิฟท์ปิด ก็มีเสียงทักฉันว่า
"อะแฮ่มๆ!! ประกายชลเธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"
"คะ!? อ้าวเจ้านาย อรุณสวัสดิ์ค่ะเช้านี้อากาศดีนะคะ ชลเตรียมแผลงานมาให้เรียบร้อยแล้วค่ะ เจ้านายอยากจะดูเลยไหมคะ"
"อะแฮ่มๆ ประกายชล คือ..เมื่อกี้ฉันถามเธอว่าเธอขึ้นลิฟท์ผิดหรือเปล่า"
"เอ้ะ!? เฮ้ย!! ผิดค่ะ หนูขึ้นผิดจริงๆด้วย ขอโทษค่ะหนูไม่ได้ตั้งใจ คือ...หนูมัวแต่หาแฟ้มอยู่น่ะค่ะ"
"เอ่อ! พอๆๆ ฉันเข้าใจเธอดี คราวนี้ไม่เป็นไรแล้วกันนะครับคุณไอตะวัน ทีลูกน้องผมซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ผิด" เขาพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรขึ้นมา ฉันก็ร้องทักคนที่ยืนอยู่ข้างเจ้านายของฉันอย่างดีใจว่า
"อ้าว!! คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ? สบายดีหรือเปล่า? เอ้ะ!อย่างนี้ก็แปลว่าคุณก็ขึ้นลิฟท์ผิดเหมือนกันเลยสิคะ ฉันก็เหมือนกันเลยค่ะ แหม! เราสองคนที่แย่จังเลยนะคะ ซุ่มซ่ามขึ้นลิฟท์ของผู้บริหาร"
"เธอคนเดียวน่ะสิ ประกายชล" บอสพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่ฉันจะหน้าแตกไปมากกว่านี้
"คนๆนี้คือ คุณไอตะวัน ประทานทรัพย์ ประธานบริษัทของเรา นี่เธออยู่ที่นี่มา 3 อาทิตย์กว่าแล้วนะ แต่เธอยังไม่รู้จักท่านประธานบริษัทของเราอีกเหรอ"
"ห้ะ!! เมื่อกี้เจ้านายว่าไงนะคะ ประธานบริษัทเหรอคะ คุณ....ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปีนเกลียวคุณนะคะ" ฉันหันมามองหน้าไอตะวันอย่างช็อคที่สุด อย่างที่ไม่เคยช็อคมาก่อนในชีวิต แล้วฉันก็เป็นลมคาอกไอตะวันไป
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป....TANOI_ZA				
comments powered by Disqus
  • ใบหมอน

    7 พฤศจิกายน 2546 14:28 น. - comment id 70088

    ชอบมากค่ะ    รอมาตั้งนานแล้ว   แต่ยังไม่ได้อ่านต่อเลยค่ะ
  • TANOI_BONG (แสนซน)

    12 พฤศจิกายน 2546 15:26 น. - comment id 70152

    หาเวลาลงตอนต่อไปนานมากแล้วหมือนกันค่ะ แต่พอจะเอาลงก็เข้าเวบไม่ได้ พอไม่ได้เอาติดตัวมาก็เข้าได้ บุญคนเรามันจะไม่ได้เอามาให้คนอ่านที่ชื่นชมล่ะนะคะแล้วจะพยายามเอามาลงให้นะคะ
  • ..สีน้ำฟ้า..

    13 ธันวาคม 2546 13:19 น. - comment id 70453

    ตามมาอ่านย้อนหลังค่ะ น่าติดตามดี
    นานแล้วที่ไม่อ่านเรื่องน่ารักแบบนี้
    ขอบคุณ ตะนอยซ่า..นะจ้ะ ที่เขียนให้อ่าน
  • TANOI_ZA

    13 ธันวาคม 2546 23:04 น. - comment id 70466

    ขอบคุณนะคะที่ตามมาอ่านย้อนหลังน่ะค่ะ แล้วก็ขอบคุณที่บอกว่า \"นานแล้วที่ไม่อ่านเรื่องน่ารักแบบนี้\"  ด้วยค่ะ และที่สำคัญขอบคุณที่บอกว่า \"ขอบคุณ ตะนอยซ่า\" เรื่องที่เอาผลงานมาลง อ่านกระทู้คุณแล้วมีกำลังใจดีนะคะ
    สุดท้ายนี้ขอบคุณอย่างที่สุดที่อ่านผลงานเรา เพราะถ้าไม่มีคนอ่านก็ไม่งานเขียน
    ขอบคุณที่ให้กำลังใจเราให้พยายามต่อไป ขอบคุณจริงๆ นะ
    
    TANOI_ZA (แสนซน)

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน