..... ร่างศิลา .....

เพรง.พเยีย


๏  เพ่งภาพพลันนึกย้อน.............อโยธยา  พู้นเอย
ตรึกกอปรคำตำรา.....................กล่าวอ้าง
ยอยศยิ่งราชธา-.........................นีเอก
เหล่าวัดเหล่าวังสร้าง..................เสกแม้นเมืองสวรรค์ ฯ
๏  เมืองอู่ข้าวอู่น้ำ......................บริบูรณ์
ล้วนแหล่งทรัพย์เกื้อกูล...............ก่อตั้ง
ลำน้ำใหญ่รวมศูนย์.....................ไหลสบ
เสริมส่งเมืองให้รั้ง......................ท่าค้าสำคัญ ฯ
๏  ศิลปะงามเลิศล้ำ.....................ศรีบุรินทร์
ด้วยปราชญ์แลศิลปิน...................ประดิษฐ์ไว้
สร้างสรรค์รูปแบบจิน-..................ตะภาพ ใหม่เนอ
จนจวบวันนี้ไซร้............................สืบซ้องสรรเสริญ ฯ
๏  อโยธยาแว่นฟ้า......................เวลา  นี้เอย
ล้วนอิฐเศษศิลา..........................เกลื่อนว้าง
เห็นก่ายแต่กองอา-.....................ดูรเทวษ
ซากวัดซากวังร้าง........................ล่มแล้วฤาไฉน ฯ
๏  นั่นหรือ! ปราสาทคุ้ม................เขตวัง
ตำหนักศรีบัลลังก์.......................ฉัตรแก้ว
โอ้..เห็นแต่พาบพัง......................พูนสาป
เพลิงศึกโหมสิ้นแล้ว....................ล่มร้างเลือนสยาม ฯ
๏  นั่นซากทรงส่วนแจ้ง................เจดีย์
ยอดจรดราวคีรี............................เรี่ยฟ้า
ต่างโกศพระภูมี..........................มิ่งสถิต
เทิดเกียรติไว้เอ่ยอ้า....................ออกครั้งครองสมัย ฯ
๏  กลับเหลือเพียงหม่นให้............แหงนมอง
ด้วยศึกเผาสิ้นผอง.......................ภาพอะเคื้อ
เหลือร่างบอกเรืองรอง................รอยอดีต
สูญศักดิ์แทบสิ้นเชื้อ....................ชาติแกล้วกรุงศรี ฯ
๏  เหล่าราษฎร์คงตื่นไห้...............อาดูร
กี่ศพในกองกูณฑ์.......................เกลือกเถ้า
ข้าศึกแล่งดับสูญ........................พินาศส่ง
การณ์สุดสะอื้นเคล้า...................ขื่นร้องระงมเสียง ฯ
๏  รอบเมืองเคยแกร่งด้วย...........ปราการ
มากลับกลายล่มลาญ..................แหลกได้
ต้องพลัดถิ่นทิ้งฐาน....................แต่เกิด  เนาเนอ
คอยอยู่อย่างยากไร้....................ทั่วร้างเทวษเหลือ ฯ     
๏  บ้านเมืองเหลือจักฟื้น..............บูรณา
แท้เหตุใดนำพา..........................พินาศนี้
หรือการดั่งตำรา..........................เราบอก
แจงเหตุล้วนบ่งชี้.........................หนึ่งไว้สำคัญ ฯ
๏  การณ์นั้นคือแตกข้อง..............สามัคคี
จึงเปิดช่องไพรี...........................ล่วงล้ำ
เข้าเหยียบย่ำธานี........................เลือกเข่น
จนสุดทานเพลี่ยงพล้ำ..................แตกแพ้พังหนี ฯ
๏  เหลือเมืองเพียงกล่าวใต้..........ตำนาน
กับซากอิฐโบราณ.......................แหล่งอ้าง
ไว้คอยบอกลูกหลาน....................เราสืบ
สูงสุดสู่ล่มร้าง.............................เหตุนั้นจากไฉน ฯ
				
comments powered by Disqus
  • ก่อพงษ์ พงษพรชาญวิชช์

    22 เมษายน 2550 08:17 น. - comment id 685742

    เข้ามาชื่นชมครับ
    
    ฝากคำถามนี้ไปยังชนชั้นนำในสังคมไทยด้วยครับ
  • กุ้งหนามแดง

    22 เมษายน 2550 09:11 น. - comment id 685748

    เมื่อไรเปิดประตูใจให้ข้าศึก....ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นนี้..
    
    เศร้า..
  • พุด

    22 เมษายน 2550 10:01 น. - comment id 685756

    5.jpg16.gif36.gif
    
    เมื่อวานพี่พุดมีโอกาสไปอยุธยาค่ะ
    เป็นสถานที่พี่พุดรักที่จะไป
    และ..
    ไปกรานกราบพระพุทธไสยาสน์
    ที่วัดพุทไธศวรรค์ท่ามแสงตะวันลา
    
    ค่ะ..แล้ว
    
    ได้น้อมนมัสการพระพุทธรูปองค์ดำ
    พระนเรศวร พระเอกาทศรถ พระเจ้าอู่ทอง
    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงณ..ที่แห่งนั้น
    
    พี่พุด..น้ำตาซึมซึ้งตื้นตันค่ะ
    ทุกคราคราว
    ที่ได้ย่างก้าวอย่างดายเดียว
    เดินไปในท่ามลานลั่นทม
    และ..
    ทรากปรักหักพัง
    ศิลาทุกก้อนทุกแผ่นที่ได้ถ่ายทอดทุกเรื่อง
    ราวของบรรพชนผู้หาญกล้า
    ผู้ได้พลีชีพปกบ้านป้องเมือง
    ยอมพลีจิตวิญาณเพื่อลุกหลานเหลนไทย
    ทุกวันนี้ ได้หยัดยืนอย่างทรนง36.gif10.gif
    
    ให้เราอนุชนรุ่นหลัง
    ได้ซาบซึ้งปิติภาคภูมิใจค่ะ
    
    พี่พุดได้อ่านบทกวีที่ประดิษฐฐาน
    ในกรอบทองวางไว้ใต้พระพุทธรูปในราชวงค์อู่ทองที่ปรางค์พระประธานค่ะ
    ที่จารไว้อย่างงดงามมาก
    ด้วยความโศกสะเทือนใจ
    เป็นที่ยิ่งค่ะ คนดี
    
    ...................36.gif10.gifโศกตรา..!
    
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
    (สี่แผ่นดิน ลุ่มเจ้าพระยา)
    
    
    ไปนั่งทอดตาทอดใจ
    ดูสายน้ำรักนิรันดร์ค่อยๆระรินไหล
    อย่างช้าช้าอย่างอาลัยอาวรณ์
    หน้าพระตำหนักสิริยาลัย
    ที่แสนสงบงามในท่ามแมกไม้ไทย
    จนตะวันพลบตะวันตกดินตรงหน้า
    กับฟากฟ้าที่แสนงามราวเรียวรุ้ง
    ราวในเรื่อง
    สไบนวลสไบนางและ*ดั่งดวงเนตรในทุกยาม*
    ทั้ง*ลีลาวดีมณีรุ้ง*
    ที่เคยถอดจิตถอดใจรจนาฝากไว้
    ให้ทุกดวงใจในร่มรักได้อ่านผ่านตา
    หวังฝากประทับใจ
    
    
    ดูนกกาโผผิน
    ด้วยดวงใจเหว่ว้าดายเดียวราวย้อนยุค
    พบสุขสงบหากไยแสนเศร้า
    ราวได้ยินเสียงทุกข์..สุขสรรพสิ่ง
    แห่งเงื้อมเงางามอดีตกาล
    เสมือนตัวเองนั้นร่วมเป็นหนึ่งใน
    
    และ
    ได้น้อมนำมาลัยสดงดงามไปกราบพระอัฐิ
    ที่ฝังพระศพเจ้าฟ้ากุ้ง
    
    ในแสงเรื่อเรืองรัศมีของทิวาวัน
    ที่กำลังผันดวงลงเรี่ยต่ำทายทักทุกศิลาคร่ำ
    ยอดเจดีย์วัดไชยวัฒนาราม
    
    ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดดำเพนท์พิมพ์ลายดอกไม้
    สดสะพรั่งด้านหน้า ยาวกรอมเท้า 
    ใส่หมวกถักลายลูกไม้สีขาว
    กำลัง.
    ค่อยๆก้าวเดินอย่างช้าช้า ผ่านลานลีลาวดี 
    ที่กำลังส่งกลิ่นหอมระรินสะพรั่งพร่างไปทั่ว
    และดวงดอกปลิดโปรยโรยกรายแลละลานตา ตรงลานหญ้า
    ราว..
    ถูกประดับด้วยมนตราแห่งหวานเศร้าร้างลาแรม
    ให้แสนอาวรณ์อาลัย
    
    
    ทุกย่างก้าวรอยย่ำบนศิลามณี
    ที่นะบัดนี้สึกกร่อนไปกับกาลเวลา
    ทุกศิลาที่ประดับเป็นพระปรางค์ปรา เจดีย์  
    ยิ่งพาให้ใจดวงเหว่ว้า 
    นัยน์เรียวตาซึมซึ้งราวมีหยาดน้ำผึ้ง
    กำลังจะหยดรินรดบนเรียวแก้มพลีทุกนาที
    กับ.....
    มหัศจรรย์ความงามนี้ที่ยากบอกด้วยคำ
    หากจักสัมผัสได้ด้วยพลังแห่งความรัก
    อันล้ำลึกดำดื่มอย่างปลาบปลื้มปิติเพียงนั้น
    ราวกับสวรรค์ แลฟ้าดินประทานพร
    ให้หัวใจอ่อนหวานในร่างอรชรได้รับรู้รับทราบเพียงลำพัง
    
    
    
    เธอ..เดินช้าช้าเข้าไปภายในเบื้องพระวิหารรายและ
    หยุดร่ำไห้.....
    เมื่อแหงยเงยไปเห็นองค์พระพุทธมากมาย ที่นะบัดนี้สิ้นไร้เศียร..!
    ...............
    
    
    
    พบพุทธบุญเพรงสยาม.....ลำน้ำน่าน
    
    
    ๑) อยุธยายศล่มแล้ว...........ลอยสวรรค์ ลงฤา*
    โคลงสะอื้นรำพัน.................ศึกแพ้
    แรมนิราศจาบัลย์................บุณย์รักษ์ เวียงแล
    อินนรินทร์ธิเบศร์แล้...........ร่ำร้าวโคลงหวนฯ
    (*นิราศนรินทร์)
    
    (๒) เศวตฉัตรช่อฟ้า............    วงศ์สวรรค์
    เก้ารัชกาลบรร-...................    จบแล้ว
    รัตนวงศ์วรรณ....................    วัฏแผ่น ดินแฮ
    สันตติวงศ์แพร้ว.................    ร่วงรุ้งเรืองสยามฯ
    
    (๓) แดง...ฤกษ์ไทฤกษ์ด้าว..    ดำเกิง สุรีย์แล
    แดง...เลือดหลั่งเลือดเชิง.....    ศึกเชื้อ
    แดง...มารมอดมารเพลิง......    พ่ายพุทธ
    แดง...ชาดหรคุณชาดเกื้อ.....   เลือดแก้วละเลงสยามฯ
    
    (๔) น้ำเงินงามรามร่มเกล้า....   เครือกษัตริย์
    กษัตริย์เกษมวิวรรธน์.............วรทล้ำ
    ล้ำแผ่นสุพรรณบัฏ...................บรมราช- วงศ์แล
    ราชธรรมเพียบพร้ำ.................พุทธพร้อมพรสยามฯ
    
    (๕) เขียว..กระทงตองท่องท้อง...ธารทอง
    เขียว...ทุ่งข้าวรวงรอง...............ระบัดกล้า
    เขียว...ผักคละครองคลอง.........เครียวยอด 
    เขียว...พระมรกตหลักหล้า........เหล่านี้มณีสยามฯ
    
    (๖) ขาว...กลีบแก้วพุดซ้อน.......แซมทรวง
    ขาว...หยดน้ำค้างยวง...............หยาดน้ำ
    ขาว...ข้าวดอกมะลิรวง..............หุงใหม่ 
    ขาว...ดอกบัวไป่ช้ำ...................ผ่องแผ้วพุทธถวายฯ
    
    (๗) เหลือง...รวงพวงพุ่มข้าว......โพสพสรม
    เหลือง...พัสตร์สงฆ์รงค์ลม.........รุ่งคุ้ง
    เหลือง...อรุณแรกขานขรม........ขมิ้นเพรียก 
    เหลือง...บุปผาร่วงรุ้ง................เรื่อแล้วลานสยามฯ
    
    (๘) แว่วตะโพนแผ่วพ้น...........เพลบุญ
    โพ้นวรรษาราพิกุล...................เกี่ยวข้าว
    ปรางค์สางรุ่งอรุณ.....................ระดะยอด อวดแฮ
    บุญสยามค่ำเช้า........................ชาติฟื้นเกษตรศานต์ฯ 
    
    (๙) ขึ้นสิบห้าค่ำไหว้..................วิสาขา
    เทียนรุ่งร่ำเรียมตา...................ตาดเคื้อ
    นวลเดือนอาบปฏิมา.................มณฑป 
    อาบโบสถ์เทียนอาบเนื้อ...........นุชหน้าพัสตร์สงฆ์ฯ
    
    (๑๐) ไขประทีปประดับต้น.........รัตติธรรม
    สงฆ์แว่วแจ้วลำนำ...................นพน้อม 
    เพลาพร่าจันทรารำ-.................ไรยอด โพธิ์แล
    โบสถ์ค่ำพัสตร์ภายพร้อม..........พร่างพื้นแขไขฯ
    
    (๑๑) ข้าวออกรวงดกแล้ว..........ละลานตา
    ไหวว่ายตะเพียนปลา...............ผุดปลื้ม
    พลบค่ำเพรียกวิหคนา............ นางเพรียก ละเมอฤา
    แรมล่าอริราชครึ้ม...................ศกคล้อยเรือนหายฯ
    
    (๑๒) ทองหยิบเคยหยิบป้อน......เพลา เสมอนอ
    เรียมหยาดหวานหยาดตา.........ขยิบซึ้ง
    เรียมหยอดรักหยอดยา.............หยดพิษ
    แรมรักร้าวรักทึ้ง......................หยิบแย้มแซมขมฯ
    
    (๑๓) รอนตะวันลับเศร้า...........บึงอุบล
    จันทร์แจ่มแย้มนวลยล............เยี่ยมฟ้า
    ขิมครวญดั่งครางคน.................ครวญพี่ นะแม่
    นิราศเรียมห่างหน้า.................ห่อนได้แลเห็นฯ
    
    (๑๔) ปรารถนาภาพลึกล้ำ.........ละเลงบุญ
    เกล็ดทิพย์ลิบละมุน..................ม่านน้ำ
    อารยธรรมค้ำจุน......................จวบค่ำ
    เจ้าพระยาพาข้าม......................ล่องฟ้าสวรรค์สยามฯ
    
    (๑๕) ทอดสะพานล่องข้าม..........แขนงชล
    ระยับหมอกดอกอุบล.................เบ่งใต้
    บัวเรียมระเมียรยล..................หยั่งย่าน ชเลแล
    บัวสี่เหล่าเนาไซร้.....................สร่างสิ้นธรรมสรรค์ฯ
    
    (๑๖) พรพรหมธรรมแต่เบื้อง....บุราณกาล
    สืบแผ่นดินระรินมาลย์.............อะคร้าว
    ข้าวจวักตักถวายทาน...............ทรวงบาตร อรุณแล
    พบพุทธบุญเพรงข้าว................กนกเนื้อนาถสยามฯ
    
    (๑๗) พุทธคุณไตรรัตน์ล้ำ.........รวีอรุณ
    พุทธุปบาทกาลบุญ....................เบิกฟ้า
    พุทธศาสนิกละมุน...................พุทธชาด สยามนอ
    พุทธบุตรโชติชวาลหล้า.............สว่างเพี้ยงพันแสงฯ
    
    (๑๘) เพชรพิกุลเกล็ดแก้วร่วง..พะไลทราย
    พันพร่างธรรมทองพราย...........พิจิตรฟ้า
    มะลิหล่นร่วงโรยวาย.................วัฏจักร
    เบิกรุ่งบุญระบายหล้า............... โบสถ์เบื้องระเบียงวิหารฯ 
    
    (๑๙) บัวบังใบตะไคร่ครึ้ม..........บัญจรงค์
    บังอุบลจตุวงศ์..........................เวี่ยน้ำ
    เบญจภูตโพชฌงค์....................ฌาปนกิจ บังฤา
    เบญจขันธ์กิเลสล้ำ....................ยากยั้งบังไฉนฯ 
    
    (๒๐) เบญจขันธ์กิเลสรั้ง............ยามโยค ญาณเอย
    ทุกข์สร่างหมางเศร้าโศก...........สร่างสิ้น
    วิปัสสนาวิโมกข์........................วิมุตติ
    เบี่ยงบ่วงอบายหวิ้น..................วิวัฏโพ้นพรหมสวรรค์ฯ
    
    (๒๑) ปราชญ์ใดในโลกร้าง.......ธรรมา
    แสวงสว่างศาสนา....................เสน่ห์น้อม
    ฤาประลาตพันธนา...................เนืองยศ 
    กิเลสรัดมายาย้อม....................ขุ่นข้นใจถลำฯ
    
    (๒๒) ปวงปราชญ์ปรัชญ์ก่อเคื้อ..กวีนิพนธ์
    เพาะบ่มอักษรมนตร์.................มิ่งแก้ว
    ค่าคำรดเหล่าอุบล.....................บริพัตร ทวีปนา
    สงฆ์สะแบงกลดแล้ว.................เกียรติคล้อยครืนหลังฯ
    
    (๒๓) เงาเมรุเงาวัดเวิ้ง.............ไพหาร
    พุทธะหลั่งวิญญาณ....................หยาดไว้
    ชะรอยพุทธเพรงกาล................มาล่ม ลงแล
    ธารพระธรรมผากไร้................ร่อยร้างมลายขวัญฯ
    
    (๒๔) พรายน้ำวาววับน้ำ...........นองพระยา
    เงาโบสถ์คร่ำลำนาวา................ลิ่วลื้น
    ไหลลอยล่องชีวิตมา..................มาดมุ่ง เมืองแล
    จมคลื่นกระแสไป่ฟื้น...............ฝากน้ำซากสลายฯ
    
    (๒๕) ปณิธานไพร่ฟ้า...............กวีไพร
    พลีหลั่งเลือดละไม....................มุ่งฟื้น
    ปลุกสำนึกดื่มดวงใจ.................ชนชาติ กวีนอ
    กราบแผ่นดินน้ำตารื้น.............รักษ์ร้อยชาติสยามฯ
    
    ..............
    
    
    
    ใต้ร่มไม้ใบระยิบระยับไหว
    ฟังธรรมใจรับแดดทองส่องพรายพร่าง
    ใจดวงทองรับยอดธรรมส่องนำทาง
    ใสกระจ่างอัญมณีทิพย์นิรมิตใจ..
    
    หลับตานิ่งทิ้งทุกสิ่งไว้ภายนอก
    ตาในบอกเปิดจิตงามรับพร่างใส
    ดอกบัวบุญแย้มคลี่บานกลางบึงใจ
    ยอดพระรัตนตรัยดั่งน้ำค้างลงพร่างริน..
    
    ในนิมิตเราเคียงกันลานดอกจิต
    น้อมชีวิตกราบกรานถวายสิ้น
    มีเพียงว่างวางทุกข์น้ำตาริน
    หวังสุดสิ้นทุกข์ระทมเคยห่มใจ..
    
    แกะเปลือกใจพบจิตใสอย่างช้าช้า
    แก่นชีวาคือทำดีมิหวั่นไหว
    รู้สละออกเพียรรู้ให้น้ำค้างใจ
    หอมดวงใจใสเย็นพร่างสร้างรอยบุญ..
    
    เสียงสวดก้องสะท้อนทาบอาบอุ่นนัก
    ฝากใจภักดิ์สองดวงจิตอันหอมกรุ่น
    ใบไม้ร่วงพรูพร่างกระจ่างใจรับอรุณ
    ดอกพุดไพรใจละมุนรับวันพร..
    
    แล้วดวงจิตกระจ่างก็พร่างวับ
    งามธรรมจับนวลเนื้อจิตซึ้งคำสอน
    สนิทแนบแอบแสนรักฟ้าอวยพร
    ให้เราสองล่วงสู่ฝั่งฝันวันนิพพาน..!
    
    
    
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song774.html
    สี่แผ่นดิน 
    
    คนมี ชีวิตและกายา
    ถือ กำเนิดเกิดมา
    เป็นหญิง หรือว่าเป็นชาย
    ผู้มี พระคุณอันแสนยิ่งใหญ่
    กว่า สิ่งใด ก็คือแผ่นดิน
    เป็นแดน ที่ให้ชีวา
    พึ่งพา อาศัยและอยู่กิน
    คุณใด จะเปรียบแผ่นดิน
    เอื้อชีวิน จากวันที่เกิด จนตาย
    ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
    ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
    ความทุกข์เยือน เรือนกาย
    หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
    สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
    ยามดี เราดีตาม
    ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
    บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
    หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
    
    ยามใด ความทุกข์กรายมาเยือน
    ทุกข์ใดเล่าจะเหมือน
    ความทุกข์เยือน เรือนกาย
    หากเรือน ของเรามีทุกข์ กรายใกล้
    สุขอย่างไร อย่างไรตัวเรา
    ยามดี เราดีตาม
    ในยาม มีทุกข์ควรแบ่งเบา
    บุญคุณ ยิ่งใหญ่นานเนาว์
    หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
    หน้าที่เรา ตอบแทนพระคุณแผ่นดิน... 
    ...............
     
    
    
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song25.html
    ลุ่มเจ้าพระยา 
    
    ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
    เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
    น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
    ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
    เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
    เพราะว่าชีวา แสน สั้น
    เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
    ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
    อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
    จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
    ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
    ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
    
    เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
    เพราะว่าชีวา แสน สั้น
    เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
    ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
    อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิด มั่น
    จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
    ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
    ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน... 
     
    
    
    
    36.gif10.gif
  • มัสลิน

    22 เมษายน 2550 10:20 น. - comment id 685766

    ปรบมือ   41.gif   อีกครั้ง อยากปรบมือ41.gif
  • แก้วประเสริฐ

    22 เมษายน 2550 11:15 น. - comment id 685784

    36.gif16.gif36.gif
    
                  นับเป็นโคลงที่งดงามโคลงหนึ่งครับ
    
                         16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • rain..

    22 เมษายน 2550 12:31 น. - comment id 685822

     
      เรนอรุณสวัสดิ์พี่นางนะคะ..36.gif..
        ก็ตอนนี้เรนไม่รู้ว่าผู้ใหญ่เค้าทำอะไรกันอยู่นะดิคะ..
      ..
      เรนเห็นด้วยกับคุณก่อพงษ์นะคะ..53.gif..
    เรนว่า โลกร้อนขึ้นทุกวันด้วยดิคะ..
    
       เรนว่า..ผู้ใหญ่ไม่เคยจริงจังที่จะสร้างค่านิยมที่ดีงาม..ให้กับเด็กๆ..
      ไร้กติกา..
         ..มีอะไรเพิ่มขึ้นมากมาย..
    ความรู้..และเทคโนโลยีใหม่ๆ.. แต่มัยน๊า?กลับมีปัญหาทวีขึ้น..มากมาย..
       ..
      ความเดือดร้อน..แนวโน้มของความวุ่นวาย..
    สาเหตุเกิดจากอะไรหรอคะ..
      เกร็ดของประวัติศาสตร์ที่งดงาม.. มิสามารถหยุดยั้งความเห็นแก่ตัว..
    รังแกกันอย่างปราศจากการควบคุม..
         ...
     เก๊าะคงเป็นเพียง..ความคิดของเรน เรนแค่อยากที่จะเขียนในสิ่งที่เรนคิดเอง..
    เรนขอโทษ..พี่นางนะคะ..
      และเรนขออนุญาต..เก็บในไดฯของเรน..
    36.gif
  • เจน_จัดให้

    22 เมษายน 2550 12:47 น. - comment id 685829

    ดีจ้าคุณเพริง.พเยีย....11.gif
    
    โคลงก็ไพเราะ  งามเหมาะด้วยเสียงเพลง.....46.gif
    
    ปล.ขออนุญาตเก็บไว้เป็นที่ระลึกนะจ๊ะ  เป็นแบบอย่างการเขียนที่ดีอ่ะจ้า36.gif
  • กุหลาบขาว

    22 เมษายน 2550 14:01 น. - comment id 685864

    แวะมาชื่นชมผลงานค่ะ..งานงามค่ะ..11.gif
  • นายธนา

    22 เมษายน 2550 15:46 น. - comment id 685922

    กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร
    
    ไพเราะยิ่งล้ำจะพรรณนาครับ....
    ยกนิ้วให้เลย....72.gif72.gif72.gif
  • เพียงแพรว

    22 เมษายน 2550 16:02 น. - comment id 685929

    ข้าน้อยมาศึกษางานเขียนของท่านเจ้าค่ะ 
    
    29.gif29.gif29.gif29.gif11.gif11.gif11.gif11.gif11.gif11.gif
  • เพียงพลิ้ว

    23 เมษายน 2550 11:08 น. - comment id 686342

    สามัคคีคือพลัง
    
    ดีใจที่ได้อ่านโคลงของคุณค่ะ
    
    
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน