หลับตา...อัตตา...จิตตา สาม มิติแห่งปราการที่แตกต่าง

วิทย์ ศิริ


หลับตา: ครรลองที่เริ่มต้น
อัตตา  : วิกฤตที่ท้าทาย
จิตตา  : อานุภาพที่ซ่อนเร้น
หลับตา : ...ทุกครั้งที่เหนื่อยล้า
                     ร่างกายนี้ปรารถนาการเยียวยา
                     วิธีหนึ่งที่แยบยล...เพียงหลับตา
                     ลดเปลือกตาลง...จนแสงสว่างถูกม่าน
                     แห่งอายตนะปิดลง...ถูกขจัดอย่างสิ้นเชิง
หลับตา : ...ทุกครั้งที่ใจนี้ปวดร้าว...ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้
                     อีกครั้งที่ต้องการหยุดความปวดร้าวนั้น...ความรู้สึก
                     ที่กัดกร่อนจิตใจ...ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าได้
                     ปิดความรู้สึก...ความคิดนั้นด้วยการหลับตาให้อยู่
                     ภายใต้วิถีการอธิษฐานและสวดมนต์ภาวนา...
                     ได้กำหนดลมหายใจ...เข้า...ออกอย่างช้าๆตามจังหวะ
                     แห่งธรรมชาติของชีวิต ด้วยเถิด
หลับตา : ...เพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยล้า,ความปวดร้าว
                     กระทั่งอารมณ์แห่งความไม่สมหวังต่างๆนานาที่ถูก
                     กักขังอยู่ในความรู้สึก...ให้สูญสิ้น หรือให้กลายเป็น
                     ผงธุลีจุณแห่งเมฆหมอกขาวที่ล่องลอยบนแผ่นฟ้า
                     เบื้องบนสุดที่กระจัดกระจายทั่วพิภพนี้...ตลอดไป
หลับตา : ...เพื่อที่จะได้ทบทวนและหวนคิดถึงเหตุและผล
                     อีกครั้ง ทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุและเกิดผล
                     ตามมาหลังเกิดเหตุปัจจัย ความบังเอิญไม่มีใน
                     พุทธวจนะ มีแต่เหตุปัจจัยเป็นชนวนเหตุ(บังเอิญ)
                     เป็นปฐมการณ์ของกรรมนำไปสู่ผล...ผลแห่งกรรม
หลับตา : ...เป็นปราการเริ่มต้นที่เราสร้างขึ้นเองในบัดดลได้
                     ...เพื่อเริ่มต้นสู่ความสงบแห่งจิต...ก่อให้เกิดสติหนุน
                     เนื่องสู่สมาธิ...ที่จะนำไปสู่การรู้จักที่อยู่ของ"อัตตา"
                     ...ตัวตนที่ถูกครอบงำด้วยกิเลสนานัปการที่อยู่ใน
                     ก้นบึ้งแห่งธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ที่ยังไม่ตื่นจาก
                     หลับใหล...และหาหนทางขจัด...เพื่อให้หลุดพ้น
                    (ชั่วคราว)
อัตตา : ...ร่างอันทรนง...ยิ่งใหญ่...ก่อกำเนิดพร้อม
                   กับการอุบัติขึ้นของจิต...ซึ่งมิอาจมองเห็นด้วยดวงตา
                   แห่งกิเลส..ซึ่งใครเล่าเป็นผู้ประทานจิตและอัตตา...
                   สองสิ่งนี้ให้แก่เรา...
                   ...มันคงเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของสรรพชีวิต...โดย
                   ที่เราเองไม่อาจทราบที่มา...และที่สุดท้ายของ
                   การดำรงอยู่
อัตตา : ...ที่คิดไปว่า" คนอื่นเข้าใจฉันและฝันว่าฉันก็
                  เข้าใจตัวเองได้อย่างถ้วนทั่ว"  ดั่งคำกล่าวของปราชญ์
                  เมธี ' คาริบ ยิบราล' ...ซึ่งเป็นข้อสังเกตุที่น่าฟังและน่าคิด
อัตตา : ...จะไม่เป็นเสาหลักของความเห็นแก่ตัวก็คง
                   ไม่ได้...มันน่าจะเป็นถึงรากฐานของความเห็นแก่ตัว
                   ในจิตใจมนุษย์ด้วยซำ
                  ...จะมีสักกี่ครั้งที่เราคิดจะทำเพื่อคนอื่นโดยที่เราไม่คำนึง
                   ถึงความรู้สึกของตนเองก่อน...ตัวเอง...เราเอง ที่พร้อม
                   หรือยังที่กล้าเสียสละ...พร้อมอุทิศ...ยอมรับความ
                   เจ็บปวดหรือความสุขจากการให้ด้วยการเข้าถึง
                   สภาวะแห่งความบริสุทธิ์ของจิตใจโดยปราศจาก
                   ข้อกังขาในเหตุและผลแห่งการกระทำนั้นๆและด้วย
                   ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง กับ คนอื่นหรือคนรอบ
                   ข้าง, คนรัก, สมาชิกในครอบครัว รวมถึง บุพการี
                   และญาติพี่น้องของเรา มาเก็บซ่อนไว้ในใจด้วยความ
                   เงียบสงัดโดยไม่ปริปากและความยินดีโดยดุษฎีกระทั่ง
                   บริบทสุดท้ายของชีวิต
อัตตา : ...หากไม่อยู่ในสองสถานของการรับรู้ที่ว่า 
                   " คนอื่นเข้าใจฉัน และฉันเข้าใจตนเอง " ก็
                   คงเหลือรวมเป็นสถานเดียวที่อัตตาแห่งชีวิตของ
                   คนเราจะดำรงอยู่อย่างจีรัง โดยกำเนิดลิขิตบนผิวน้ำ
                   เรียบใส...ผลจากการลิขิตนั้น...ย่อมไม่ปรากฏ
                   รอยจารึกใดๆแห่งอัตตาบนผิวน้ำได้อย่างแน่นอน 
                   ณ ที่นั้น...โอกาสแห่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอัตตา
                   ที่จะบังเกิดขึ้นโดยปราศจากการปรุงแต่งอีกต่อไป...
                   ลงท้ายที่ปลายสุดของ ความว่างเปล่า
อัตตา : ...เป็นปราการที่สร้างอย่างแข็งแกร่งประกอบ
                   ด้วยกำแพงเหล็ก ซึ่งไม่ยอมให้แม้แต่น้ำซึมผ่าน
                   ได้โดยง่าย...แม้แต่การกัดเซาะก็ยากลำบากยิ่ง
                   ...กว่าที่น้ำจะเล็ดรอดผ่านไปได้ หรือกัดเซาะจนเกิด
                   สนิมแห่งการสลาย
                   ...ปราการที่บดบังทัศนียภาพทั้งสองฝากฝั่ง อัตตาที่
                   ไม่เคยคิดจะหันหลังกลับ...ไม่สามารถเป็นอิสระ
                   จากสิ่งเร้าภายนอก...ยึดติด...ผูกมัดด้วยตัวมันเอง 
                   ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว...ไม่เคยคิดหรือสังเกตุด้านบน
                   ของอัตตา ที่มีความคิดที่ปลอดโปร่งล่องลอย
                   อยู่...บางครั้งก็เกิดแสงเป็นเงาระยับ เมื่อแสงแห่ง
                   ความคิดอันวิสุทธิ์ได้ตกกระทบปราการแห่ง
                   กำแพงเหล็กนั้น
                   
                   ...และสุดท้ายของอัตตา...คงไม่แตกต่างกับรากเหง้า
                      แห่งความทุกข์ที่ซ่อนตัวอยู่
จิตตา : ...อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอัตตา
                   และเป็นความลับสุดเร้นของสติและสมาธิ...เฉกเช่น
                   บ่อเกิดแห่งปัญญาที่นำเราไปสู่จุดหมายของชีวิต
                   ที่ปราศจากอวิชชาด้วย ไตรสิกขา(ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
                   ในพุทธวจนะ...ซึ่งเป็นมากกว่าวิทยาศาสตร์
                   และอยู่เหนือกาลเวลา
                   ...จากอานุภาพสู่พลานุภาพของคนๆหนึ่งซึ่งรู้แจ้ง
                   ด้วยปัญญาที่ก่อเกิดรวมกันเป็นเอกภาพแห่ง 
                   ' จิตตานุภาพ ' ที่มนุษย์พึงสามารถใช้เป็นเครื่องมือ
                   ก้าวล่วงไปได้...สู่ความเป็นอิสระจากอวิชชาทั้งปวง
                   ...ความไม่รู้...อีกนัยหนึ่งของอวิชชา...อันเป็น
                   บ่อเกิดแห่งการเกิด...การตายของทุกสิ่งที่กลาย
                   เป็น' สังสารวัฏ '
จิตตา : ...คงไม่เป็นคำกล่าวที่เกินจริง...หากใครคน
                   หนึ่งได้ตระหนักในจิตตานุภาพโดยมีธรรมานุสติ 
                   เป็นสสารแก่นแท้ของชีวิตนำพาไปสู่ความหลุดพ้น
                   จากการยึดติดในโลกสมมติ และอีกก้าวของความ
                   นึกคิดที่กอปรด้วย ' อุเบกขา' ...จิตที่ปล่อยวางจากอบาย
                   แห่งอารมณ์ทุกรูปแบบย่อมเป็นหนึ่งในธรรมานุสติ
                   ที่ส่งผลต่อ การกระทำของคนเรา
จิตตา : ...ย่อมอยู่เหนือคำบรรยายถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่
                   สามารถเนรมิตสิ่งต่างๆในชีวิตในโลกแห่งธรรม ที่
                   เหนือความคาดหมาย...นั่นหมายถึง...ความมุ่งมั่น
                   แห่งจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่มีความเพียรเป็นสรณะน้อมนำ
                   ไปสู่อานุภาพที่ซ่อนเร้น
จิตตา : ...หากผู้ใดเข้าถึงจิตตานุภาพย่อมหมายถึง 
                   โอกาสทอง ในชีวิต...ซึ่งอาจเป็นเพียงครั้งเดียว
                   ในช่วงชีวิตของคนเราที่จะบรรลุถึงธรรมะ...ซึ่ง
                   เป็นสัจจธรรมสิ่งเดียวที่สถิตอยู่ในธรรมชาติรอ
                   ผู้ใดผู้หนึ่งค้นพบ และเป็นปรากฏการณ์แห่งอดีต
                   ที่พระพุทธโคดมได้ตรัสรู้และทรงไว้ซึ่ง มุทิตาจิต
                   ที่ยิ่งใหญ่โปรดแก่มนุษย์ในโลกสมมตินี้สำหรับผู้ใด
                   ก็ตามที่เข้าถึงจิตตานุภาพของตนเองในการที่จะใช้
                   ความเพียรที่ไร้ซึ่งกาลบรรจบ เดินตามรอยพระบาท
                   ของพระพุทธองค์จวบจนสิ้นแสงแห่งวัฏฏสงสาร
                   ...กลายเป็นบุคคล ' นิรกาล '
จิตตา : ...อีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีค่าอนันต์ของ
                   จิตตานุภาพของคนเราที่น้อยคนเหลือเกิน
                   จะบรรลุได้..." การให้อภัย " ...ซึ่งเป็นทุกสิ่ง
                   ทุกอย่างที่จะทำให้จิตใจเป็นอิสระ...จิตใจที่มี
                   พลานุภาพที่บริสุทธิ์และทำให้สิ่งที่ทำให้จิตใจ
                   รู้สึกขุ่นเคืองทั้งหมดกลายเป็นโมฆะ
                   ในที่สุด แม้เราอาจไม่สามารถอภัยในสิ่งเลวร้าย
                   ต่างๆที่เขาทำกับเราแต่เราอภัยในฐานะความเป็น
                   มนุษย์ที่มี โลภ โกรธ หลงเหมือนเรา
                      อนึ่ง อิสรภาพสูงสุดเกิดได้จากสันติสุขภายในจิตใจ
                   เท่านั้น
จิตตา : ...เป็นปราการที่สร้างขึ้นได้เพื่อปกป้อง
                   ให้ผ่านพ้นแรงกิเลส, ตัณหา, อุปทานและอวิชชา
                   ทั้งปวง และต่อเมื่อ จิตนั้นได้รับการพัฒนาไปสู่
                   นิรัติศัยแห่งการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสภาวธรรมที่
                   ปราศจากการเกิดและการดับแห่งชีวิต...เหนือสิ่งอื่นใด 
                   หากสามารถกำหนดจิตใจให้เป็นใหญ่เหนืออัตตา 
                   เมื่อไรก็ตาม เมื่อนั้นการบรรลุวิมุติผล
                   ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ร่างแห่งวิญญาณของทุกผู้ทุกนาม
               ทั้งหมดนี้เป็นการกล่าวถึงสภาวธรรมของการหลับตา, อัตตา
, จิตตาในทัศนะคติของข้าพเจ้าที่ได้ประมวลมา และผูกโยงกลาย
เป็น 3 ปราการที่ตนเองศึกษาเพื่อหาช่องทางที่จะล่วงรู้และสร้างความ
เข้าใจ  ในเรื่องที่เขียนมานี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ศึกษาธรรมคนหนึ่ง 
มิบังอาจเป็นผู้รู้ด้วยประการทั้งปวง
               อนึ่ง, สภาวธรรมดังกล่าวอาจมีข้อโต้แย้ง ถึงการมีอยู่จริง
หรือไม่มีก็ตามหรือทุกสิ่งอาจเป็นเพียงสิ่งสมมติ หากแต่ธรรมชาติ
เป็นหนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนด้วยตัวมันเองเพื่อความคง
อยู่ตลอดไป และหากธรรมชาติจะสูญสิ้นไปก็ด้วยการรับรู้ของมนุษย์
เองต่างหากที่บังอาจและสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดได้ 
และมีเป้าหมายเพื่อเอาชนะธรรมชาติ สุดท้ายของสุดท้ายของสิ่ง
ที่ดำรงอยู่อย่างอสงไขย คงไม่ใช่มนุษย์อย่างเราๆแน่นอน
               (ถึงแม้มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ตามความเข้าใจของมนุษย์เอง แต่ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งใน
สิ่งมีชีวิตอีกหลายล้านชนิดที่เคยอุบัติขึ้นในจักรวาล ธรรมชาติแห่งนี้)
               " ประสบการณ์ที่แท้จริงในวิถีแห่งธรรมเท่านั้นที่
ยิ่งใหญ่เหนือกว่าจินตนาการทั้งปวงในความเป็นมนุษย์ "
                   
                           --------------------ooooooooo---------------------
				
comments powered by Disqus
  • แก้วประภัสสร

    4 กุมภาพันธ์ 2553 15:21 น. - comment id 1095954

    %E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%
    ลุงวิทย์คะ หนูนั่งหลับตาแระ
    ทำยังไงต่อคะ
    46.gif46.gif36.gif36.gif
  • ยาแก้ปวด

    4 กุมภาพันธ์ 2553 14:58 น. - comment id 1095956

    ที่ 1
    
    แย่งฉาง
    
    20.gif
  • ฉางน้อย

    4 กุมภาพันธ์ 2553 14:58 น. - comment id 1095957

    1...........46.gif46.gif
  • ฉางน้อย

    4 กุมภาพันธ์ 2553 14:58 น. - comment id 1095958

    1..........โห ยาๆ ทำไรอ่ะ
    
    เวลาเท่ากันเป๊ะ 
    
    แบ่งมาเลย ไข่ๆๆๆๆๆๆๆๆ
    
    46.gif46.gif
  • ฉางน้อย

    4 กุมภาพันธ์ 2553 15:23 น. - comment id 1095960

    ..... หลับตา อัตตา
    
    หรือว่า .........
    
    
    หลับตา.....แล้วอัดยาย ซ้อมยายอ่ะ อิอิ
    
    46.gif20.gif
  • วิทย์ ศิริ

    4 กุมภาพันธ์ 2553 15:31 น. - comment id 1095964

    4  รูปคุณแบมสมัยเป็นเด็กหรือ
    
    น่ารักสุดๆ    น้องฉางว่าไหม46.gif7.gif
  • วิทย์ ศิริ

    4 กุมภาพันธ์ 2553 15:33 น. - comment id 1095967

    5......why  ไปอัดยายล่ะ  เรื่องเดียวกันได้ยังไง
    
    20.gif7.gif
  • วิทย์ ศิริ

    4 กุมภาพันธ์ 2553 15:35 น. - comment id 1095970

    1  คุณยา  ช่วยพาน้องฉางไปshopping
    
    แถวสำเพ็งหรือพาหุรัดก็ได้
    
    หรือพาไปลพบุรีก็ดี20.gif19.gif14.gif6.gif
  • ฉางน้อย

    4 กุมภาพันธ์ 2553 15:36 น. - comment id 1095971

    6........ น้องฉางน่ารักก่า อิอิ ฟันธง
    
    46.gif46.gif
  • ฉางน้อย

    4 กุมภาพันธ์ 2553 15:37 น. - comment id 1095972

    10...........11.gif46.gif
  • สหายยา

    4 กุมภาพันธ์ 2553 16:06 น. - comment id 1095991

    74.gif74.gif
  • ครูกระดาษทราย

    4 กุมภาพันธ์ 2553 16:18 น. - comment id 1095999

    36.gifนับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านอย่างยิ่งค่ะ
    
    แต่ครูกระดาษทรายทำไม่ได้สักทีเลยค่ะ
    
    36.gifถ้าอยากหลับต้องนอนอ่านหนังสือ น่ะสิคะ
    
    อ่านไม่ถึง 2 หน้า หลับทุกทีเลย
    
    36.gifอัตตา  ไม่ยึดติดตัวเองนะ ดูเพื่อน 
    
    หรือคนรอบข้าง ว่าพึงพอใจอย่างไร
    
    36.gifส่วนจิตตานะคะ ถ้าไม่คิดอะไรเลย ละก็
    
    ต้องโดนอาจารย์สั่งให้ส่งรายงานด่วนค่ะ
  • กิ่งโศก

    4 กุมภาพันธ์ 2553 21:39 น. - comment id 1096142

    อืม...อ่านตาลายเลย อิอิ
    
    ..
  • ประทาน

    5 กุมภาพันธ์ 2553 07:51 น. - comment id 1096277

    นมัสการพระคุณเจ้าครับ
    
    ผมอ่านข้อเขียนของคุณวิทย์ศิริแล้วหลับตานั่งนิ่งๆ
    
    ประมาณ 3 นาทีเห็นคุณวิทย์ศิริเป็นบรรพชิต...
    
    ครับ..แวะมาฟังธรรมมะครับ
  • kirati

    5 กุมภาพันธ์ 2553 08:22 น. - comment id 1096295

    หวัดดีขอรับ...ท่าน วิทย์ฯ
    
    ท่านเขียนเองรึเปล่าขอรับ...
    ถ้าใช่...แสดงว่า...ท่านเข้าใจชีวิต...มาก...
    สมเป็นพุทธมามกะ...ขอรับ...ท่าน...
    เยี่ยมยอด...29.gif29.gif29.gif
  • เพียงพลิ้ว

    5 กุมภาพันธ์ 2553 09:14 น. - comment id 1096317

    หลับตาแล้วค่ะ แต่ดูเหมือนอัตตายังหยั่งรากลึก อิอิ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • ปรางทิพย์

    5 กุมภาพันธ์ 2553 12:13 น. - comment id 1096385

    หลับตา  อัตตา  จิตตา  นิจจา
    เจริญธรรม เจริญสติค่ะ
    
    บางครั้งหลับตา หวังเพียงให้ภาพเบื้อง
    หน้า หายไปจากความเป็นจริง แต่...
    เมื่อลืมตาขึ้นมา จำต้องยอมรับมันเพราะ
    มันไม่หายไปเลย ได้แต่ทำใจนะคะ
    
    อืม...คุณวิทย์จะบวชหรือคะ มีคนถือหมอน
    หรือยัง 46.gif36.gif36.gif36.gif
  • ฉางน้อย

    5 กุมภาพันธ์ 2553 16:31 น. - comment id 1096435

    17........เอ่อ พี่ปรางคะ พี่วิทย์บอกให้น้องวาช่วยถือหมอนคะ
    
    .... หมอนข้าง .......ฮี่..ฮี่..46.gif46.gif
  • ฉางน้อย

    5 กุมภาพันธ์ 2553 16:32 น. - comment id 1096437

    พี่วิทย์บอกด้วยว่า ให้พี่ปรางถือหมอนเช่นกันคะ
    
    (ไม้)หมอนรถไฟ.........46.gif65.gif
  • ฉางน้อย

    5 กุมภาพันธ์ 2553 16:33 น. - comment id 1096438

    20.......และแล้ว ก็เป็นของเรา ไข่ เอ๋ย ไข่....4.gif4.gif74.gif
  • เฌอมาลย์

    6 กุมภาพันธ์ 2553 13:52 น. - comment id 1096689

    อามิตตาพุทธ 29.gif
    ยุบหนอ พองหนอ อ้วนหนอ หิวหนอ กินหนอ ง่วงหนอ นอนหนอ 35.gif
  • นรศิริ

    6 กุมภาพันธ์ 2553 13:09 น. - comment id 1096695

    สาธุ  !
  • วิทย์ ศิริ

    6 กุมภาพันธ์ 2553 20:57 น. - comment id 1096820

    สวัสดีคับ
    
    คุณยา
    น้องฉาง
    ครูกระดาษทราย
    คุณกิ่งโศก
    คุณกีรติ
    คุณเพียงพลิ้ว
    คุณประทาน
    คุณปรางทิพย์
    คุณนรศิริ
    คุณเฌอมาลย์
    
    ขอบคุณมากคับที่แวะมาอ่านคับ
    
    หลายนิยามเป็นการบันทึกคำกล่าว คำสั่งสอน
    
    ที่เราๆท่านๆยอมรับว่าเป็นสัจจธรรม
    
    มาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ
    
    บางนิยามก็เป็นการประมวลจากการอ่ารและความเข้าใจตามที่ได้ศึกษาและเรียบเรียง
    
    
    ยังไงเสียก็ขอบคุณมากคับที่สละเวลาที่มีค่า
    
    มาอ่าน....ขอบคุณอีกครั้งคับผม11.gif4.gif6.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน