หลับตา: ครรลองที่เริ่มต้น
อัตตา : วิกฤตที่ท้าทาย
จิตตา : อานุภาพที่ซ่อนเร้น
หลับตา : ...ทุกครั้งที่เหนื่อยล้า
ร่างกายนี้ปรารถนาการเยียวยา
วิธีหนึ่งที่แยบยล...เพียงหลับตา
ลดเปลือกตาลง...จนแสงสว่างถูกม่าน
แห่งอายตนะปิดลง...ถูกขจัดอย่างสิ้นเชิง
หลับตา : ...ทุกครั้งที่ใจนี้ปวดร้าว...ไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้
อีกครั้งที่ต้องการหยุดความปวดร้าวนั้น...ความรู้สึก
ที่กัดกร่อนจิตใจ...ให้โอกาสแก่ข้าพเจ้าได้
ปิดความรู้สึก...ความคิดนั้นด้วยการหลับตาให้อยู่
ภายใต้วิถีการอธิษฐานและสวดมนต์ภาวนา...
ได้กำหนดลมหายใจ...เข้า...ออกอย่างช้าๆตามจังหวะ
แห่งธรรมชาติของชีวิต ด้วยเถิด
หลับตา : ...เพื่อปลดปล่อยความเหนื่อยล้า,ความปวดร้าว
กระทั่งอารมณ์แห่งความไม่สมหวังต่างๆนานาที่ถูก
กักขังอยู่ในความรู้สึก...ให้สูญสิ้น หรือให้กลายเป็น
ผงธุลีจุณแห่งเมฆหมอกขาวที่ล่องลอยบนแผ่นฟ้า
เบื้องบนสุดที่กระจัดกระจายทั่วพิภพนี้...ตลอดไป
หลับตา : ...เพื่อที่จะได้ทบทวนและหวนคิดถึงเหตุและผล
อีกครั้ง ทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุและเกิดผล
ตามมาหลังเกิดเหตุปัจจัย ความบังเอิญไม่มีใน
พุทธวจนะ มีแต่เหตุปัจจัยเป็นชนวนเหตุ(บังเอิญ)
เป็นปฐมการณ์ของกรรมนำไปสู่ผล...ผลแห่งกรรม
หลับตา : ...เป็นปราการเริ่มต้นที่เราสร้างขึ้นเองในบัดดลได้
...เพื่อเริ่มต้นสู่ความสงบแห่งจิต...ก่อให้เกิดสติหนุน
เนื่องสู่สมาธิ...ที่จะนำไปสู่การรู้จักที่อยู่ของ"อัตตา"
...ตัวตนที่ถูกครอบงำด้วยกิเลสนานัปการที่อยู่ใน
ก้นบึ้งแห่งธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ที่ยังไม่ตื่นจาก
หลับใหล...และหาหนทางขจัด...เพื่อให้หลุดพ้น
(ชั่วคราว)
อัตตา : ...ร่างอันทรนง...ยิ่งใหญ่...ก่อกำเนิดพร้อม
กับการอุบัติขึ้นของจิต...ซึ่งมิอาจมองเห็นด้วยดวงตา
แห่งกิเลส..ซึ่งใครเล่าเป็นผู้ประทานจิตและอัตตา...
สองสิ่งนี้ให้แก่เรา...
...มันคงเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของสรรพชีวิต...โดย
ที่เราเองไม่อาจทราบที่มา...และที่สุดท้ายของ
การดำรงอยู่
อัตตา : ...ที่คิดไปว่า" คนอื่นเข้าใจฉันและฝันว่าฉันก็
เข้าใจตัวเองได้อย่างถ้วนทั่ว" ดั่งคำกล่าวของปราชญ์
เมธี ' คาริบ ยิบราล' ...ซึ่งเป็นข้อสังเกตุที่น่าฟังและน่าคิด
อัตตา : ...จะไม่เป็นเสาหลักของความเห็นแก่ตัวก็คง
ไม่ได้...มันน่าจะเป็นถึงรากฐานของความเห็นแก่ตัว
ในจิตใจมนุษย์ด้วยซำ
...จะมีสักกี่ครั้งที่เราคิดจะทำเพื่อคนอื่นโดยที่เราไม่คำนึง
ถึงความรู้สึกของตนเองก่อน...ตัวเอง...เราเอง ที่พร้อม
หรือยังที่กล้าเสียสละ...พร้อมอุทิศ...ยอมรับความ
เจ็บปวดหรือความสุขจากการให้ด้วยการเข้าถึง
สภาวะแห่งความบริสุทธิ์ของจิตใจโดยปราศจาก
ข้อกังขาในเหตุและผลแห่งการกระทำนั้นๆและด้วย
ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง กับ คนอื่นหรือคนรอบ
ข้าง, คนรัก, สมาชิกในครอบครัว รวมถึง บุพการี
และญาติพี่น้องของเรา มาเก็บซ่อนไว้ในใจด้วยความ
เงียบสงัดโดยไม่ปริปากและความยินดีโดยดุษฎีกระทั่ง
บริบทสุดท้ายของชีวิต
อัตตา : ...หากไม่อยู่ในสองสถานของการรับรู้ที่ว่า
" คนอื่นเข้าใจฉัน และฉันเข้าใจตนเอง " ก็
คงเหลือรวมเป็นสถานเดียวที่อัตตาแห่งชีวิตของ
คนเราจะดำรงอยู่อย่างจีรัง โดยกำเนิดลิขิตบนผิวน้ำ
เรียบใส...ผลจากการลิขิตนั้น...ย่อมไม่ปรากฏ
รอยจารึกใดๆแห่งอัตตาบนผิวน้ำได้อย่างแน่นอน
ณ ที่นั้น...โอกาสแห่งความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงอัตตา
ที่จะบังเกิดขึ้นโดยปราศจากการปรุงแต่งอีกต่อไป...
ลงท้ายที่ปลายสุดของ ความว่างเปล่า
อัตตา : ...เป็นปราการที่สร้างอย่างแข็งแกร่งประกอบ
ด้วยกำแพงเหล็ก ซึ่งไม่ยอมให้แม้แต่น้ำซึมผ่าน
ได้โดยง่าย...แม้แต่การกัดเซาะก็ยากลำบากยิ่ง
...กว่าที่น้ำจะเล็ดรอดผ่านไปได้ หรือกัดเซาะจนเกิด
สนิมแห่งการสลาย
...ปราการที่บดบังทัศนียภาพทั้งสองฝากฝั่ง อัตตาที่
ไม่เคยคิดจะหันหลังกลับ...ไม่สามารถเป็นอิสระ
จากสิ่งเร้าภายนอก...ยึดติด...ผูกมัดด้วยตัวมันเอง
ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว...ไม่เคยคิดหรือสังเกตุด้านบน
ของอัตตา ที่มีความคิดที่ปลอดโปร่งล่องลอย
อยู่...บางครั้งก็เกิดแสงเป็นเงาระยับ เมื่อแสงแห่ง
ความคิดอันวิสุทธิ์ได้ตกกระทบปราการแห่ง
กำแพงเหล็กนั้น
...และสุดท้ายของอัตตา...คงไม่แตกต่างกับรากเหง้า
แห่งความทุกข์ที่ซ่อนตัวอยู่
จิตตา : ...อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังอัตตา
และเป็นความลับสุดเร้นของสติและสมาธิ...เฉกเช่น
บ่อเกิดแห่งปัญญาที่นำเราไปสู่จุดหมายของชีวิต
ที่ปราศจากอวิชชาด้วย ไตรสิกขา(ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
ในพุทธวจนะ...ซึ่งเป็นมากกว่าวิทยาศาสตร์
และอยู่เหนือกาลเวลา
...จากอานุภาพสู่พลานุภาพของคนๆหนึ่งซึ่งรู้แจ้ง
ด้วยปัญญาที่ก่อเกิดรวมกันเป็นเอกภาพแห่ง
' จิตตานุภาพ ' ที่มนุษย์พึงสามารถใช้เป็นเครื่องมือ
ก้าวล่วงไปได้...สู่ความเป็นอิสระจากอวิชชาทั้งปวง
...ความไม่รู้...อีกนัยหนึ่งของอวิชชา...อันเป็น
บ่อเกิดแห่งการเกิด...การตายของทุกสิ่งที่กลาย
เป็น' สังสารวัฏ '
จิตตา : ...คงไม่เป็นคำกล่าวที่เกินจริง...หากใครคน
หนึ่งได้ตระหนักในจิตตานุภาพโดยมีธรรมานุสติ
เป็นสสารแก่นแท้ของชีวิตนำพาไปสู่ความหลุดพ้น
จากการยึดติดในโลกสมมติ และอีกก้าวของความ
นึกคิดที่กอปรด้วย ' อุเบกขา' ...จิตที่ปล่อยวางจากอบาย
แห่งอารมณ์ทุกรูปแบบย่อมเป็นหนึ่งในธรรมานุสติ
ที่ส่งผลต่อ การกระทำของคนเรา
จิตตา : ...ย่อมอยู่เหนือคำบรรยายถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่
สามารถเนรมิตสิ่งต่างๆในชีวิตในโลกแห่งธรรม ที่
เหนือความคาดหมาย...นั่นหมายถึง...ความมุ่งมั่น
แห่งจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่มีความเพียรเป็นสรณะน้อมนำ
ไปสู่อานุภาพที่ซ่อนเร้น
จิตตา : ...หากผู้ใดเข้าถึงจิตตานุภาพย่อมหมายถึง
โอกาสทอง ในชีวิต...ซึ่งอาจเป็นเพียงครั้งเดียว
ในช่วงชีวิตของคนเราที่จะบรรลุถึงธรรมะ...ซึ่ง
เป็นสัจจธรรมสิ่งเดียวที่สถิตอยู่ในธรรมชาติรอ
ผู้ใดผู้หนึ่งค้นพบ และเป็นปรากฏการณ์แห่งอดีต
ที่พระพุทธโคดมได้ตรัสรู้และทรงไว้ซึ่ง มุทิตาจิต
ที่ยิ่งใหญ่โปรดแก่มนุษย์ในโลกสมมตินี้สำหรับผู้ใด
ก็ตามที่เข้าถึงจิตตานุภาพของตนเองในการที่จะใช้
ความเพียรที่ไร้ซึ่งกาลบรรจบ เดินตามรอยพระบาท
ของพระพุทธองค์จวบจนสิ้นแสงแห่งวัฏฏสงสาร
...กลายเป็นบุคคล ' นิรกาล '
จิตตา : ...อีกหนึ่งองค์ประกอบที่มีค่าอนันต์ของ
จิตตานุภาพของคนเราที่น้อยคนเหลือเกิน
จะบรรลุได้..." การให้อภัย " ...ซึ่งเป็นทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่จะทำให้จิตใจเป็นอิสระ...จิตใจที่มี
พลานุภาพที่บริสุทธิ์และทำให้สิ่งที่ทำให้จิตใจ
รู้สึกขุ่นเคืองทั้งหมดกลายเป็นโมฆะ
ในที่สุด แม้เราอาจไม่สามารถอภัยในสิ่งเลวร้าย
ต่างๆที่เขาทำกับเราแต่เราอภัยในฐานะความเป็น
มนุษย์ที่มี โลภ โกรธ หลงเหมือนเรา
อนึ่ง อิสรภาพสูงสุดเกิดได้จากสันติสุขภายในจิตใจ
เท่านั้น
จิตตา : ...เป็นปราการที่สร้างขึ้นได้เพื่อปกป้อง
ให้ผ่านพ้นแรงกิเลส, ตัณหา, อุปทานและอวิชชา
ทั้งปวง และต่อเมื่อ จิตนั้นได้รับการพัฒนาไปสู่
นิรัติศัยแห่งการเข้าใจอย่างถ่องแท้ในสภาวธรรมที่
ปราศจากการเกิดและการดับแห่งชีวิต...เหนือสิ่งอื่นใด
หากสามารถกำหนดจิตใจให้เป็นใหญ่เหนืออัตตา
เมื่อไรก็ตาม เมื่อนั้นการบรรลุวิมุติผล
ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ร่างแห่งวิญญาณของทุกผู้ทุกนาม
ทั้งหมดนี้เป็นการกล่าวถึงสภาวธรรมของการหลับตา, อัตตา
, จิตตาในทัศนะคติของข้าพเจ้าที่ได้ประมวลมา และผูกโยงกลาย
เป็น 3 ปราการที่ตนเองศึกษาเพื่อหาช่องทางที่จะล่วงรู้และสร้างความ
เข้าใจ ในเรื่องที่เขียนมานี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ศึกษาธรรมคนหนึ่ง
มิบังอาจเป็นผู้รู้ด้วยประการทั้งปวง
อนึ่ง, สภาวธรรมดังกล่าวอาจมีข้อโต้แย้ง ถึงการมีอยู่จริง
หรือไม่มีก็ตามหรือทุกสิ่งอาจเป็นเพียงสิ่งสมมติ หากแต่ธรรมชาติ
เป็นหนึ่งเดียวที่ดำรงอยู่และปรับเปลี่ยนด้วยตัวมันเองเพื่อความคง
อยู่ตลอดไป และหากธรรมชาติจะสูญสิ้นไปก็ด้วยการรับรู้ของมนุษย์
เองต่างหากที่บังอาจและสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดได้
และมีเป้าหมายเพื่อเอาชนะธรรมชาติ สุดท้ายของสุดท้ายของสิ่ง
ที่ดำรงอยู่อย่างอสงไขย คงไม่ใช่มนุษย์อย่างเราๆแน่นอน
(ถึงแม้มนุษย์จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ตามความเข้าใจของมนุษย์เอง แต่ก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่งใน
สิ่งมีชีวิตอีกหลายล้านชนิดที่เคยอุบัติขึ้นในจักรวาล ธรรมชาติแห่งนี้)
" ประสบการณ์ที่แท้จริงในวิถีแห่งธรรมเท่านั้นที่
ยิ่งใหญ่เหนือกว่าจินตนาการทั้งปวงในความเป็นมนุษย์ "
--------------------ooooooooo---------------------
4 กุมภาพันธ์ 2553 15:21 น. - comment id 1095954
ลุงวิทย์คะ หนูนั่งหลับตาแระ ทำยังไงต่อคะ

4 กุมภาพันธ์ 2553 14:58 น. - comment id 1095956
ที่ 1 แย่งฉาง

4 กุมภาพันธ์ 2553 14:58 น. - comment id 1095957
1...........

4 กุมภาพันธ์ 2553 14:58 น. - comment id 1095958
1..........โห ยาๆ ทำไรอ่ะ เวลาเท่ากันเป๊ะ แบ่งมาเลย ไข่ๆๆๆๆๆๆๆๆ

4 กุมภาพันธ์ 2553 15:23 น. - comment id 1095960
..... หลับตา อัตตา หรือว่า ......... หลับตา.....แล้วอัดยาย ซ้อมยายอ่ะ อิอิ

4 กุมภาพันธ์ 2553 15:31 น. - comment id 1095964
4 รูปคุณแบมสมัยเป็นเด็กหรือ น่ารักสุดๆ น้องฉางว่าไหม

4 กุมภาพันธ์ 2553 15:33 น. - comment id 1095967
5......why ไปอัดยายล่ะ เรื่องเดียวกันได้ยังไง

4 กุมภาพันธ์ 2553 15:35 น. - comment id 1095970
1 คุณยา ช่วยพาน้องฉางไปshopping แถวสำเพ็งหรือพาหุรัดก็ได้ หรือพาไปลพบุรีก็ดี

4 กุมภาพันธ์ 2553 15:36 น. - comment id 1095971
6........ น้องฉางน่ารักก่า อิอิ ฟันธง

4 กุมภาพันธ์ 2553 15:37 น. - comment id 1095972
10...........

4 กุมภาพันธ์ 2553 16:06 น. - comment id 1095991

4 กุมภาพันธ์ 2553 16:18 น. - comment id 1095999
นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านอย่างยิ่งค่ะ แต่ครูกระดาษทรายทำไม่ได้สักทีเลยค่ะ
ถ้าอยากหลับต้องนอนอ่านหนังสือ น่ะสิคะ อ่านไม่ถึง 2 หน้า หลับทุกทีเลย
อัตตา ไม่ยึดติดตัวเองนะ ดูเพื่อน หรือคนรอบข้าง ว่าพึงพอใจอย่างไร
ส่วนจิตตานะคะ ถ้าไม่คิดอะไรเลย ละก็ ต้องโดนอาจารย์สั่งให้ส่งรายงานด่วนค่ะ

4 กุมภาพันธ์ 2553 21:39 น. - comment id 1096142
อืม...อ่านตาลายเลย อิอิ ..

5 กุมภาพันธ์ 2553 07:51 น. - comment id 1096277
นมัสการพระคุณเจ้าครับ ผมอ่านข้อเขียนของคุณวิทย์ศิริแล้วหลับตานั่งนิ่งๆ ประมาณ 3 นาทีเห็นคุณวิทย์ศิริเป็นบรรพชิต... ครับ..แวะมาฟังธรรมมะครับ

5 กุมภาพันธ์ 2553 08:22 น. - comment id 1096295
หวัดดีขอรับ...ท่าน วิทย์ฯ ท่านเขียนเองรึเปล่าขอรับ... ถ้าใช่...แสดงว่า...ท่านเข้าใจชีวิต...มาก... สมเป็นพุทธมามกะ...ขอรับ...ท่าน... เยี่ยมยอด...

5 กุมภาพันธ์ 2553 09:14 น. - comment id 1096317
หลับตาแล้วค่ะ แต่ดูเหมือนอัตตายังหยั่งรากลึก อิอิ

5 กุมภาพันธ์ 2553 12:13 น. - comment id 1096385
หลับตา อัตตา จิตตา นิจจา เจริญธรรม เจริญสติค่ะ บางครั้งหลับตา หวังเพียงให้ภาพเบื้อง หน้า หายไปจากความเป็นจริง แต่... เมื่อลืมตาขึ้นมา จำต้องยอมรับมันเพราะ มันไม่หายไปเลย ได้แต่ทำใจนะคะ อืม...คุณวิทย์จะบวชหรือคะ มีคนถือหมอน หรือยัง

5 กุมภาพันธ์ 2553 16:31 น. - comment id 1096435
17........เอ่อ พี่ปรางคะ พี่วิทย์บอกให้น้องวาช่วยถือหมอนคะ .... หมอนข้าง .......ฮี่..ฮี่..

5 กุมภาพันธ์ 2553 16:32 น. - comment id 1096437
พี่วิทย์บอกด้วยว่า ให้พี่ปรางถือหมอนเช่นกันคะ (ไม้)หมอนรถไฟ.........

5 กุมภาพันธ์ 2553 16:33 น. - comment id 1096438
20.......และแล้ว ก็เป็นของเรา ไข่ เอ๋ย ไข่....

6 กุมภาพันธ์ 2553 13:52 น. - comment id 1096689
อามิตตาพุทธยุบหนอ พองหนอ อ้วนหนอ หิวหนอ กินหนอ ง่วงหนอ นอนหนอ

6 กุมภาพันธ์ 2553 13:09 น. - comment id 1096695
สาธุ !

6 กุมภาพันธ์ 2553 20:57 น. - comment id 1096820
สวัสดีคับ คุณยา น้องฉาง ครูกระดาษทราย คุณกิ่งโศก คุณกีรติ คุณเพียงพลิ้ว คุณประทาน คุณปรางทิพย์ คุณนรศิริ คุณเฌอมาลย์ ขอบคุณมากคับที่แวะมาอ่านคับ หลายนิยามเป็นการบันทึกคำกล่าว คำสั่งสอน ที่เราๆท่านๆยอมรับว่าเป็นสัจจธรรม มาไว้เป็นเครื่องเตือนใจ บางนิยามก็เป็นการประมวลจากการอ่ารและความเข้าใจตามที่ได้ศึกษาและเรียบเรียง ยังไงเสียก็ขอบคุณมากคับที่สละเวลาที่มีค่า มาอ่าน....ขอบคุณอีกครั้งคับผม
