ฤดีทองฤดูทุ่ง

สาวบ้านนา


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4721
(ข้าวคอยเคียว)
*******************************
มนต์รักข้าวรอเคียว..ลำน้ำน่าน 
พอสิ้นสายสร้อยฝนพรมทุ่งท่า
ลมเหมันต์เร่ฟ้ามาอีกหน
ห่มท้องทุ่งสีทองของคนจน
เจิมตำบลข้าวนาก่อนลารวง
แล้วเพลงเกี่ยวป่าวร้องจึงก้องไป
สู่ทิวตึกศิวิไลซ์ในเมืองหลวง
บอกข่าวนาไม้ดอกออกพุ่มพวง
ว่าตะแบกหม่นม่วงจะร่วงลา
เรียกหนุ่มสาวชาวทุ่งมุ่งกลับถิ่น
สู่แผ่นดินเถียงน้อยคล้อยพรรษา
คืนมาเกี่ยวรวงทองของท้องนา
คืนมาสู่วิญญาญ์ชาวป่าพฤกษ์
สู่วิมานฟางข้าวเมื่อหนาวเยือน
ฟังพ่อแม่สอนเตือนจนเดือนดึก
ตราบน้ำค้างหยดยวงในห้วงนึก
ร่วมรำลึกเพลงเกี้ยวเกี่ยวอุรา
แหล่ะเมื่อคลายวังเวงบทเพลงไพร
สิ้นเสียงหริ่งเรไรใกล้อุษา
กล่อมอรุณด้วยโนรีสาริกา
ยามฝั่งฟ้าแสงทองเรืองรองรับ
แม่ดอกกระถินริมรั้วทั่วท้องทุ่ง
บานจรุงอีกคราวเกร็ดหนาวจับ
ไกลออกไปโพ้นคุ้งรุ่งระยับ
ปวงไก่ป่าแซ่ศัพท์เสียงลับลอย
ข้าวอ่อนโยนโอนช่อพ้อหมอกหนาว
ระบัดโศกทิ้งเศร้าร้าวร่วงผล็อย
โน้มรวงรอคล้องเกี่ยวคมเคียวคอย
จากมือน้อยสาวบ้านนามิช้านาน
สิ้นเพลงข้าวอกหนุ่มก็รุ่มร้อน
เมื่อกระโดนแดงดอนซ้อนสีหวาน
บานสาดทุ่งหนุ่มคอยรอยกันดาร
จะลาลานลิ่วลับไปกับลม
ดอกโสนเริ่มแย้มแต้มมนต์รัก
พยานภักดิ์สองใจได้สุขสม
เพลงสงฟางกลางนายังน่าชม
เคียวลับคมเหน็บฝาสัญญาไว้
นี่ก็หนาวอีกแล้วแก้วกานดา
เสียงนกร้องปร่าปร่าว่าหวั่นไหว
น้ำในคลองแห้งเหือดเดือดเป็นไอ
ราวหัวใจพี่แห้งแล้งหน้านาง
ข้าวรอยุ้งของน้องก็อ้อนโหย
กลัวร่วงโรยไร้ใครเกี่ยวใส่ฉาง
จะเรี่ยราดหล่นดินสิ้นหนทาง
หากไร้คู่เคียงข้างช่วยงานนา
ช่อรวงทองเหลืองสุกทุกท้องทุ่ง
เถิดหมายมุ่งคืนถิ่นทิ้งยศฐา
พี่ลับเคียวคมแวววับกับน้ำตา
รอสาวนาคืนมาเกี้ยวเกี่ยวรวงโอน
***********


ฤดีทองฤดูทุ่ง..ลำน้ำน่าน(สาวนาตั้งชื่อให้จ๊ะ)
กลับมาเถิดมาสู่ฤดูทุ่ง
มาหมายมุ่งถางทางที่ร้างเรื้อ
หอบเอาฝันไออุ่นมาจุนเจือ
มากอดเนื้อกอดน้องร้องรอบกาย
เก็บเกี่ยวแล้วพี่เอ๋ยเลยลงแขก
พลังแรกสามัคคีมีความหมาย
ความสัมพันธ์บ้านเราหรือเฉาตาย
แม้นข่าวร้ายราคาข้าวยังร้าวราน
เราอาจอยู่เพียงพอไม่ง้อใคร
รู้พอใช้รู้เก็บเม็ดข้าวสาร
ตื่นเช้ามาจับไถไปลุยงาน
ไม่เกียจคร้านให้ใครได้นินทา
กลับมาซิ..มาสู่ฤดูเกี่ยว
มาจับฟางจับเคียวเหนี่ยวเหน็บฝา
ลับคมงามล้างรอยคราบน้ำตา
อิ่มสุขอยู่ใต้ฟ้า..ผืนนาเนาว์
********************************


คมเคียว..เกี่ยวรวง    ราชิกา  
**  รวงข้าวเหลือง  เรืองรอง  ครองพิสุทธิ์
เปรียบประดุจ  เมืองแมน  แดนสวรรค์
ข้าวออกรวง  สีทอง  ผ่องอำพัน
รอคอยวัน  คมเคียว  ที่เกี่ยวรวง
**  เฝ้าพร่ำเพรียก  เรียกหา  จนฟ้าสาง
ไม่จืดจาง  คอยเธอ  เพ้อห่วงหวง
คำสัญญา  จะกลับมา  มิหลอกลวง
สิ่งทั้งปวง  มอบไว้  ให้แก้วตา
**  ตะแบกบาน  สีม่วง  ร่วงหล่นพริ้ว
ถูกปลิดปลิว  ปลดวาง  กลางเวหา
หริ่งเรไร  ร้องระงม  พรมพนา
อนิจจา  ทุ่งร้าง  อ้างว้างใจ
**  รวงข้าวเหลือง  เรืองรอง  สีทองทาบ
เหลือเพียงคราบ  น้ำตา  มารินไหล
ไร้คมเคียว  เกี่ยวรวง  ดวงหทัย
รอคอยใคร  ดั่งคมเคียว  เกี่ยวรักคืน.......ฯ
********************


http://thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_65507.php
ลุยทุ่ง---กลับบ้าน..........ฤกษ์  
ขี่ควาย ลุยทุ่ง มุ่งเดิน
โขดเขิน คันนา ฝ่าข้าม
กอกก โคกคลอง หนองน้ำ
ทุ่งงาม รวงทอง ยองใย
เจ้าทุย ดุ่ยย่ำ โคลนเลน
โอนเอน ปรือปรง พลิ้วไหว
ปลิงเกาะ ดูดเลือด ท้องควาย
ตัวกลม หลุดไป อิ่มเอม
กบเขียด ตระหนก ตกใจ
แมงปอ ล้อไล่ เกษม
ปลาช่อน ฮุบเหยื่อ ปรีเปรม
จอกแหน แผ่เต็ม บึงบาง
นกยาง เดินย่อง คันนา
ฝูงกา บินลิ่ว พลิ้วหาง
ตัวหุ่น ไล่กา ขากาง
เถียงนา เก่าร้าง ผุพัง
กระท่อม ปลายนา หลังน้อย
ยืนคอย เจ้าของ คืนหลัง
เหมือนนก หลงปลื้ม ลืมรัง
ลืมถิ่น เคยสร้าง ฝันงาม...  
********************


สาวนา..กำลังอ่านบทกวีนี้
ในท่ามกลางแสงตะเกียงอันริบหรี่
และแสงจันทร์เสี้ยวอันรุบหรู่


ฝนหลงฤดูเพิ่งหยุดตก..
พัดดวงดอกลั่นทมปลิดปลิวโปรยปรายหอมห่มลงบนพื้นหญ้า
ตะแบกนากลีบม่วงละมุน
หมุนวนไปตามทิศทางลมควะคว้าง..ควะคว้าง..กลางนาน้อย
เสียงดุเหว่าไพร
นกน้อยๆกระจ้อยกระจิ๊บเงียบสนิทราวนิทราแนบในรวงรัง
ที่พักพิงอันแสนอบอุ่นเป็นสุข


หากมวลมนุษย์มากมาย
ไร้รังถาวร
ไร้รวงรอที่นาเดิม
ต้องมาเติมตามต่อหารังรวงกันเอาเอง
มาบรรเลงบทเพลงเศร้าคลุกเคล้าชีวาชีวิต
มาสถิตฝากความหวังนะใจกลางเมืองหลวงเมืองลวง
มากมาย
ที่ต่างตีนถีบปากกัด
กระจัดกระจายพรายพลัดพรากจากรังเดิมรวงดิน


มาถวิลหาชีวิตที่ดีกว่า
หารู้ไม่ว่า
ในความดีกว่านั้น 
แท้จริงแล้วไซร้
คือการติดกับแบบใหม่กับโลกศิวิไลซ์
หากดวงใจไม่หนักแน่นพอ 
ไม่รู้คำว่าสมถะพอเพียงเพียงพอ
เพราะ คนเราหาเท่าไรก็ไม่พอใช้ 
หากหัวใจและร่าง 
มีความอยากได้ใคร่มีในเรื่องวัตถุมิสิ้นสุดมิหยุดคิดมิรู้พอ


สาวนา เศร้าสะเทือนใจ
นอนเอนอิงพิงต้นทองกวาว
มองนาแล้ว
ใจก็ยิ่งรานร้าวเศร้าระบม
เพราะนาแล้งแห้งไปหมดทั้งหมู่บ้านตำบล..
ไร้น้ำไร้นาไร้ข้าวไร้ร้าง....ช่างแสนอ้างว้างใจเป็นยิ่งนัก


สาวนาจำคำอ้ายได้
ที่เคยบอกสาวนาไว้ว่า ...
สงครามใด
ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าสงครามความอดอยากแลเจ็บไข้
หากคนในชาติ ไม่มีกิน ท้องกิ่วหิวสิ้นไปทั้งแผ่นดิน
แล้วจะมีอะไรให้หวังให้ฝันอีกเล่า 
นะเจ้ายอดดวงใจไทยทุกดวง


เมื่อคืน...
พี่ทองพี่ชายคนดีลูกคุณป้า
ที่ไปร่ำเรียนเมืองบางกอกเกี่ยวกับวิชาการเกษตร
และกลับมาพัฒนาบ้านเกิด
บอกกับสาวนาว่า..
ตอนนี้
แผ่นดินทองที่ราบสูงของผองเราหลายจังหวัดนั้น
ได้พบกับปัญหาภัยแล้งปัญหาน้ำวิกฤต
ที่รัฐบาลต้องทุ่มเทพลังปัญญาช่วยชีวิตชาวนาและนาแล้ง
นับล้านไร่มิให้แห้งกรอบบอบช้ำไปกว่านี้


และจะมีผลกระทบไปทั่วทั้งประเทศ
หากเรามีผลผลิตข้าวน้อย
และ..
ไหนยังจะ
มีปัญหาทางภาคใต้..ที่ผลผลิตทางผลไม้พืชพรรณ
ราคาตกต่ำเพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปรับซื้อ
ด้วยกลัวความไม่ปลอดภัยแห่งชีวิต
ที่พี่ทองกระซิบด้วยความซาบซึ้งใจว่า


*สมเด็จพระบรมราชินีนาถ*
ทรงมีกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับ
สถานการณ์ภาคใต้ ที่ทรงห่วงใยมาก
และช่างน่าเศร้าสลดใจสะเทือนใจ
ที่คนไทยผู้บริสุทธิ์ได้ถูกฆ่าตาย
อย่างสิ้นไร้ความยุติธรรม
ทรงมีพระเมตตาธรรมได้วิงวอนให้ทุกฝ่ายได้ยุติปัญหานี้โดยเร็ว*


และ
สาวนาหยาดน้ำตาซึ้งเศร้าสะเทือนใจเช่นกัน
เมื่อ
พี่ทองเล่าว่าพระองค์ท่านทรงมีพระราชกระแสว่า
จำต้องมาเรียนรู้วิธีการป้องกันพระองค์ท่านเอง


โอ้.พระแม่เจ้า.จอมขวัญเกล้าแห่งชาวไทย
จอมใจไทยทุกดวง
ที่เทิดไว้เหนือเกล้า
เป็นพระแม่เจ้าพระแม่เมืองพระมิ่งขวัญ
ที่ชาวไทยนั้นยอมพลีภักดิ์
ยอมถวายร่างรักและจิตวิญญาณแห่งภักดี
ขอเป็นข้าธุลีใต้เบื้องพระบาทตราบชั่วนิจนิรันดร์
ทรงมีพระน้ำหฤทัย
อันแสนงดงามหยาดเย็นมากมี
ทรงมีพระบารมีเมตตาธรรม
มาน้อมนำค้ำจุนโลกและชาวไทย
ที่แสนยิ่งใหญ่เลิศล้ำ
เกินจะหาค่าคำงดงามใดใดในหล้าโลก
มากล่าวเทิดสดุดีรำพึงรำพัน..


ที่ทรงสอนนำ
ให้ผสานใจรู้รักษ์สามัคคีกันเถอะนะ
อย่ารบราฆ่าฟันกันเลย
จงปันแบ่งน้ำใจใสรินหยาด
เพื่อดับความร้อนเร่าไม่เข้าใจ
แทนสาดกระสุนใส่กัน
และ
กระสุนนั้น กลับไปทำร้ายชีวิตผู้บริสุทธิ์
ที่ยังมีผู้ที่รักที่รออยู่เบื้องหลัง
แสนโศกเศร้าสะเทือนใจ
อย่างไม่เข้าใจในชะตากรรมนี้
ที่จะฝังความรู้สึกสิ้นศรัทธาไว้ให้ตราในดวงจิต
ตราบจนชีวิตจะหาไม่..ว่าเขาได้ทำผิดใดกันเล่า..


สาวนา..ทอดถอนใจ
เมื่อ
พี่ทองเล่าถึงประเทศอิรัค..
ประเทศที่นะบัดนี้เป็นดั่งเมืองร้างแห่งทะเลทราย
ว่าก็คือตัวอย่างแห่งสงคราม
ที่นะวันนี้คือดินแดนมิคสัญญี
และ
เล่าว่าล่าสุด
มีเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์หญิงสัญชาติอังกฤษถูกฆ่าตายอีก
ทั้งๆที่เธอ ไปบรรเทาทุกข์ให้แก่เด็กๆและผู้คนที่อดอยากยากไร้


โอ้โลกเอ๋ย
ไยหมุนเฉยเลยลา..
พามวลมนุษย์ให้หัวใจยิ่งหยาบช้าหนานัก
ด้วยกิเลสแห่งความไม่รู้จักคุณค่าแห่งความสงบสุขและสันติภาพ
ความรักเมตตาแด่เพื่อนมนุษย์
ผู้ร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น..เล่าละหนอ 
ไหนบอกทุกศาสนาสอนให้รักโลก
รักเด็กและผู้คนบนผืนโลกเดียวกัน


แล้วไยยังใจดำจำต้องมาเข่นฆ่าห้ำหั่น ราวสัตว์ร้ายใช่คนเล่า
เพราะการเมืองที่เบียดเบียน
เพราะความไม่รู้ค่าความยุติธรรมที่จริงแท้
หรือมากมายปมปัญหาที่ยากแก้ไข เสียแล้วเล่า


นอกจาก
เราชาวเหล่าชมพูทวีปที่ยังมีดวงพระประทีปธรรม
มาน้อมนำส่องสว่างนะกลางใจ
ให้เลือกดำรงประเทศ
และดวงใจด้วยความรักเมตตาและ
เพียรใช้วิธีเจรจาด้วยวิธีทางการทูตน่าจะดีที่สุด
เหมือนวิธิอหิงสาของท่านมหาตมคานธี
ผู้ใช้วิธีดับความร้ายด้วยความเย็นด้วยสันติ..


และนี่คือโลก...
ที่เราถือเป็นโชค...
ได้เกิดมาในแดนดินถิ่นขวานทอง
ที่เคยอุดมด้วยอู่ข้าวอู่น้ำ
ทำให้หัวใจไทยงดงามด้วยอารยธรรม
วัฒนธรรมประเพณี
ที่มีแต่ความละเมียดละมุนมาช้านานนับพันปีแล้ว


ลองคิดดูนะคนไทยทุกพี่น้อง
ว่าเราจะหันหน้าพาประเทศเราเดินไปในทิศทางใด
แบบเยอรมันที่มีสงครามเข่นฆ่าชาวยิวนับล้าน
หรือ
ให้ตายแบบอดอยากราวเมืองร้างราวอิรัค
เพราะความคิดต่างกัน


สาวนา..นั้น
คิดแบบ
คนที่มีสมองสองมือยึดมั่น..
ในเงามสงบแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยอันแสนร่มเย็นเป็นสุข
แบบพุทธศาสนิกชนมานานช้า
ที่เน้นว่าให้มีความปรานี
มีศีลมั่นไม่มีการเบียดเบียนฆ่าฟันให้ชีวิตผู้อื่นเดือดร้อน
ไปทุกหย่อมหญ้า


และ
สาวนาเชื่อว่า
ความลำบากแบบชาวนาชาวไร่
ที่มีมือตืนหยาบกร้านหากทว่าจิตวิญญาณมิได้หยาบตาม
หากมีแต่ชีวิตรักโลกงามรักความสมถะ ไม่เบียดเบียนใคร
กลับให้คุณค่ามากกว่า 
ขอเพียงให้รู้ค่าการใช้ชีวิตให้เป็นเพียงนั้น
ใช่ฝันไกล ..


สาวนา..
ฟังคำพี่ทอง
พี่ชายที่ได้รับการศึกษา
ที่คอยให้ความรู้สาวนา
ให้เข้าใจว่าโลกเรานี้กำลังหันหน้าไปในทิศทางใด
ให้สาวนาได้ทำใจตามทัน
สาวนาคนโง่งมนั้น
แม้น
มีชีวิตจมอยู่แต่กับวัวควายท้องทุ่งท้องนา
ก็ได้แต่คิดตามประสาซื่อว่า


ทำไมหนอคนเรามีที่ทำกิน
ที่แสนอุดมสมบูรณ์แล้ว
มีร่มฉัตรเพชรฉัตรแก้ว
อันแสนพราวเพริศเลิศล้ำค่า
ให้ยึดมั่นในความเที่ยงธรรมเที่ยงตรง
คอยกางกั้นปกป้องเกศคุ้มผองภัยแล้ว
มีดวงแก้วพระรัตนตรัย
ที่ดั่ง*ดวงมณีใส*แห่งศาสนา
คอยส่องกระจ่างนำทางสว่างแล้ว
ทำไมเล่า
เจ้ายังไม่หันมาลบรอยร้าวด้วยน้ำใจใสเย็น
ดั่งหยาดน้ำค้างแห่งรสพระธรรม


และด้วยรสความดีแห่งศาสนานั้นๆ
ที่มุ่งสอนไปในทิศทางเดียวกัน
ให้ทุกคนนั้นเป็นคนดีมีหัวใจใสฉ่ำเย็น
ให้เป็นผู้มีเหตุมีผล
ให้มนุษย์หมดทั้งสิ้นทั้งนั้ทั้งนั้น
ได้พึ่งพาพึงพิงกันได้รักกัน
ได้ปันแบ่งแบบไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
ไม่ว่าชาติศาสนาใด..มิใช่ดอกละหรือ


และ
สำหรับ
ชีวิตสาวนา...คือ
ขอเพียงแค่มีที่ทำกิน
มีกระท่อมพอซุกหัวนอน
มีนามีไร่ไว้เลี้ยงชีพชอบประกอบกรรมดี
มีดวงชีวีได้คืนกลับแบ่งปัน 
ข้าวในยุ้งฉางอันแสนงามงดจากหยดหยาดเหงื่อ
จากสองมือนี้ที่หยาบกร้านจับเคียวคม


ยอมก้มหน้าทนสู้..สู่ดิน 
มิยอมทิ้งถิ่น
ยอมเหนื่อยยากพลีสิ้นทุกหยาดเลือดรัก
ให้เพียงได้ปันรวงเรียวแห่งรัก
ไปเลี้ยงผู้คนบนผืนดินแม่มาตุภูมิ
ที่ให้ชีวิตสาวนาได้หยัดยืน
อย่างภาคภูมิใจในคำว่า*ไท*ใช่ทาส*ก็เพียงพอ


ก็ขอแค่มีชีวีชีวิตที่เรียบง่าย
ได้ใช้ชีวิตแสนงาม
ในท่ามกลางธรรมชาติอันสดใส
ฟ้ากระจ่างใสเมฆสวยงาม
ทุ่งรวงทองที่ระย้าย้อยห้อยรวงเรียวรอเคียวคม
ราวกับผืนพรมทองระยับ
ยามสายแสงอุษาวะวับ
สาดพรายพร่างกระทบอาบเอิบเจิมจรัสทาบทา


มีมวลหมู่นกกานกไพรทุกสรรพสัตว์
ที่ไม่เบียดเบียนกัน
มีพงไพรพฤกษ์พนา
ให้สาวนาไปเก็บเห็ดหาผักหญ้ามากินมาทำยาสมุนไพร


ไปนอนนับดาวเหนือเนินผา
ไปเฝ้าดูดวงดอกไม้ป่า
ร่ายฟ้อนอ้อนแสงสีเวทีโลกเวทีฝันอันโอบเอื้องาม
ไร้การแบ่งแยก
ใช้เพียงใจดวงงามแผกพิเศษพิสุทธิ์ใส
รับรู้สึกในทุกอณูนึก
ที่ธรรมชาติเฝ้ารินร่ำพร่ำให้ในทุกงามอันคือความจริงแท้


ที่จะเพียรสอน
ให้จิตเราผสานผสมเป็นหนึ่งเดียว
ยอมรับว่าเรานั้นไซร้เปรียบประดุจดังธุลีหล้า
หาใช่ยิ่งใหญ่ไม่รู้ตายไม่


เราเพียงมาฝากร่างใจ
มาฝึกจิตให้สนิทสนมกลมกลืน
ไปกับธรรมชาติดินน้ำลมไฟอย่างไร้ตัวตน
เมื่อวันหนึ่ง..
ดวงชีวิตปลิดปลง
ก็คงเน่าเปื่อยดั่งใบไม้ในราวป่าราวไพร
หลุดลอยลิ่วลดลงมา
ฝากทุกสิ่งทิ้งทุกอย่างไว้กับผืนหล้าพสุธาที่รัก
อันคือจักเป็นความจริงนิรันดร์
ว่า..
ร่างเรานั้นยามปราณแตกดับ
ไม่มีใครจักห้ามให้ไม่เสื่อมสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ที่จำต้องพลีคืนสู่ธรรมชาติ


นี่แหละคือธรรม 
ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบมานานนับพันๆปี
และ
หวังเพียงก่อนมลายชีวีและร่างที่หายึดมั่นได้ไม่นั้น
ขอเพียงเพียรอบร่ำด้วยรสพระธรรม
ให้พบพลังแห่งจิตไสวพร่างด้วยปิติเกษมแห่งความเอมอิ่ม
ที่เข้าใจเข้าจิตว่าชีวิตจิตวิญญาณ
เพียงผ่านร่างผ่านภพ
มาจบสิ้นไม่เหลือรอยคืออะไร...


คือ..
ความวาง ว่างไง ใช่แบกหนัก
แล้ว..
ดวงจิตอันประภัสสรนั้น
จะได้พลันลอยลาเลื่อนลับข้ามพ้นมหานทีสีทันดร
อย่างเบาสบายคล้ายปุยนุ่นสีขาวอันงามพราว ไร้ห่วงใด
ไปสถิตทอด
ในแดนดินงามไสวในว่ายเวิ้งฝันนิรันดร์รัก อันแสนงามว่างงามเย็น


มิจำต้องแบกเข็ญทุกข์ในจิต
กลับมาสถิตทับทอดในร่างหนักร่างใหม่
ที่เสมอทุกข์ทนพอกันกับจิตที่ยังมิหลุดพ้นรัก
ให้หนักให้บ่วงรัดร้อยห้อยห่วงหาโหยหาพันธนา
มามีชีวิตชดใช้กรรมมาเกิดใหม่เป็นวงรอยเป็นวงกรรม


จนกว่าวิบากรรมวิบากเก่านั้น
จะน้อยลงๆจนเบาสบาย
คล้ายพบว่างโล่งก่อนจะสายเกิน
ก่อนจะลงโลง
จะโลงทิพย์โลงทอง..โลงไม้ 
หรือใช้เสื่อหรือกระดาษห่อร่างไร้ลมแทน
ก็ขอแค่ให้วาดหวังว่า
จะได้พบโล่งวางว่างนั้นนะคนดีนะทุกดวงใจ
และนี่คือมรณานุสติ
ที่สาวนาคิดเองคิดได้ไปตามประสาสาวนา
ที่เรียนรู้ธรรม
จากธรรมชาติและมาวาดฝันมาวาดคิดเอาเอง
มาบรรเลงเป็นบทเพลงแห่งชีวิตไว้สอนจิตสอนใจตัวลำพัง


มิจำต้องมาแบกบ่นเบื่อบ้า
ราวบอดใบ้อีกหลายชาติ
จนกว่าจะค้นพบยอดแห่งพระธรรม
คือการรักษาศีล
สร้างทานบารมีให้มีสติปัญญาพาเพียรหลุดพ้น


หรือ
ได้มาวงวนพบรอยร่างแห่งยอดกัลยาณมิตร
ที่แสนรักเอยแสนรักในกมล
มาทายทักมาให้พักพิงอิงใจอิงไหล่อิงธรรม
อิงฤดีอันราวทองคำแท้
ที่จะช่วยพากันแก้จิต
คอยคิดเคียงครองเพียงประคองให้
ลอยล่องไปตามกระแสธารธรรมอันแสนงามเย็น 


อันนี้สุดแต่ดวงใจใครจะเล็งเห็นธรรม
เห็นรอยกรรมรอยเก่ารอยทอง
ที่จะพลันพามาส่อง
เมื่อถึงกาลเวลาที่เคยได้ร่วมสร้างสมบารมีมาด้วยกัน
ในภพก่อนชาติปางก่อน
ได้ย้อนมาเป็นคู่บุญคู่ธรรมคู่ทอง..


สาวนา
จึงมีความสุขมากมาย
ยามได้ชิดใกล้ฝากกายใจร่าง
ในท่ามกระท่อมรึมบึงบัว 


ที่มีรั้วตำลึงกระถิน
ผักนานาสารพันเลื้อยพันพร่างพันผูก
ที่ปลูกด้วยจิตวิญญาณแห่งรัก
ที่รดน้ำรักจากนวลใจ
ที่มีเนื้อใสราวสายธารระรินมิสินสาย
หวังให้พันธุ์ไม้งามงอกแตกกอช่อผลิในดวงจิต
ให้มิมีวันสิ้นสุดในความรักผืนไพรผินดินมิสิ้นรักในธรรมชาติ
และ
ทุกหวานหอมดวงพะยอมหอมไพรดวงดอกไม้ป่า
ต้นไม้ทั้งโลกหล้าที่ได้ชิดใกล้ 
ได้น้อมนำมาหอมห่มร่างจิต
ให้งามเย็นงามเป็นไม่แล้งไร้
และยังปันแบ่งให้ทุกเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง
ได้ชิมเชยชิด


และ
ชีวิตสาวนา
ในยามนิทราฝัน
ก็ยังได้พบความบรรเจิดใจ


มีเตียงโบราณม่านมุ้งไสวรับลมเย็น
ให้นอนฝันพราวเคล้าเสียงงามเศร้าแสนสุข
จาก
ดนตรีแห่งท้องทุ่ง
ดนตรีที่ราวสายรุ้งในยามเช้า
ที่แสนพริ้งพราว
ให้เคล้าคลุกกล่อมจิตให้หลับลึกและฝันดี


ไหนจะยามฝนพรำ
สาวนา
ยังมีบทเพลงฝันบทเพลงฝน
ที่หล่นกระทบหลังคาจากหยดติ๋งๆ
ดนตรีประสานเสียงระงมจากกบเขียดในท้องนา
หรีดหริ่งเรไรที่พากันมาประลองบรรเลง
ราวเพลงพรหมบันดาลงามง่าย
ใช้เพียงใจสัมผัสแผ่วก็จะแว่วหวานวังเวง 
ในทุกราตรีหวานทิวากาลมานานเนา...


แล้ว
ยามเหงาใจ
อยากฝึกจิตให้ยิ่งพร่างใส
ให้งามยิ่งกว่างาม...ราวหยาดน้ำค้างกลางใบบัว
สาวนา
ยังมีวัด.มีหลวงพ่อ
มีมิ่งมิตรกัลยาณมิตรธรรม
ที่คือที่พึ่งทางจิตสนิทราวพี่น้องท้องเดียวกัน
ได้ปันแบ่งทั้งทุกข์สุข
มิให้หมายมากรายกล้ำทำร้าย
กลายกลบจิต
ให้ดวงชีวาชีวิตอับแสงหมองหม่นมืดดำนาน


ฝึกดวงจิตให้รู้คิดรู้รักหักใจได้
ให้รู้นิยามค่าคำ*ยิ่งให้ยิ่งได้*
ในทุกลีลาชีวิต
มีบทเรียนธรรม
คอยสอนใจ
คอยกำกับใจ
คอยรู้ทันรำงับใจ
ให้ชีวิตสาวนาสาวไพร
ไม่มีวันยอมพ่ายเแพ้อุปสรรคใด
แม้นใจจะดายเดียวเดียวดาย
หากยังฝากไว้เพียงหวังดีแด่ทุกชีวีเพื่อนมนุษย์


ขอเพียง
สาวนามีใจดวงพิสุทธิ์ใส*ดั่งอัญมณีไพร*
เช่นเฉกนี้ที่แสนดีที่แสนติดดิน
มีดวงชีวินเรียบง่ายมีดวงจินต์มิหวังร้ายทำลายใคร


และ
ขอให้ได้ใช้ชีวิตและสมองสองมือแบบสาวนาสาวไพร
สร้างโลกสวยด้วยหยาดเหงื่อด้วยสมองสองมืองามนี้
ก็เหลือที่จะพอแล้วจ๊ะทุกยอดดวงใจ..ของสาวนา..นะ..นะจ๊ะ!
********************************


หอมอรุณธรรมทองของท้องนา..ลำน้ำน่าน
น้องหุงข้าวหนาวนี้ที่เพิ่งเยือน
อย่าแชเชือนน้ำข้าวซาวให้พี่
เหยาะเกลือแกงข้าวหอมย้อมฤดี
ความสุขมีในสามัญธรรมดา
ดอกมะลิหอมอุ่นกลิ่นกรุ่นแล้ว
ข้าวสารแก้วหอมพร่างกลางพรรษา
หอมอรุณธรรมทองของท้องนา
สาวบ้านป่าหอมแก้ม...เอียงแก้มให้
ปลุกตื่นแล้วดวงใจในหน้าหนาว
ปลุกมาสู่แดดเช้าของวันใหม่
บุพเพสันนิวาส...สะอาดไพร
ร่วมกราบไหว้ถวายข้าวอย่างชาวพุทธ
เตรียมแบกไถไปนาเมื่อฟ้าเรือง
สว่างเหลืองจีวรพรพิสุทธิ์
พระธรรมทองสัมมาฯ มายื้อยุด
สองเราหลุดพ้นจิต....สู่นิพพาน


สร้อยฝนสร้อยฝันสวรรค์ไพร....สาวบ้านนา
สร้อยฝนสร้อยฝันสวรรค์ไพร
สร้อยเกี่ยวใจเคียวเกี่ยวรวงห่วงหอมหา
มนต์เพลงทุ่งรุ้งรวงเรียวเกี่ยวข้าวนา
เพลงเหว่ว้ายามดายเดียวเคียวรอใคร
อ้ายสัญญาคืนถิ่นทุ่งมุ่งกระท่อม
จะมาหอมแก้มสาวนาเนียนแดดใส
จนวันนี้ข้าวเหลือซังหวังซมซานรอเคียวใจ
คมบาดใจไหวบาดซ้ำย้ำระทม
ตะแบกแบกรักหนักรอกี่ปีแล้ว
ดงดอกแก้วตระการหวานหอมห่ม
หล่นเลือนลาพร่างพื้นหอมพร่างพรม
เหมือนคำลมคำมั่นคำสัญญา..
เพียงคิดถึงแค่นั้นใช่หันกลับ
ลอมฟางรับรู้ใจใครห่วงหา
สาวนาเอ๋ยนอนนิ่งเฉยมองเพียงฟ้า
อ้ายลับลารวงระย้าย้อยเฝ้าน้อยใจ
ไม่เป็นไรใจสาวนาชินชาเฉย
อ้ายอย่าเอ่ยคำหวานให้หวามไหว
ลั่นทมริมกระท่อมยังหวานเศร้าเฝ้าปลอบใจ
เหมือนดวงใจสาวนาล้าแรมรัก
สวดมนต์ทำบุญหมุนวงล้อ
ข้าวกี่กอใจกี่เจ็บเหน็บหนาวหนัก
ไม่เป็นไรใจสาวนายังแน่นหนัก
ยังพลีภักดิ์ยังเฝ้ารอกับกอรวง
หากรักจริงไยอ้ายไม่คืนกลับ
กี่วันนับกี่เดือนรอพ้อห่วงหวง
อ้ายมีเพียงลมลิ้นวิ่นวาดสวาทลวง
ว่ารักรวงรักสาวนาน่าน้อยใจ
สี่ในสี่ห้องหัวใจให้อ้ายหมด
เป็นงามงดรักบริสุทธิ์ดุจน้ำใส
เป็นน้ำค้างกลางป่าพงนะดวงใจ
คือสาวไพรคือสาวนา..อย่าลืมเลือน!อย่าลารวง!.ให้ห่วงรอให้พ้อรัก!
***********


http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4721
  ข้าวคอยเคียว   
ผ่องศรี วรนุช : : Key Cm  
ได้ยินไหมพี่ เสียงนี้ คือสาวบ้านนา
พร่ำเพรียกเรียกหา ตั้งตานับเวลารอคอย
คอยเช้า คอยเย็น ไม่เห็นสักหน่อย
ปีเคลื่อนเดือนคล้อย
รักเอ๋ยจะลอยรักเอ๋ยจะลอยแรมไกล
อีกเมื่อไรรักจะคืนรื่นรมย์
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย
ตะแบกบานแล้วร่วง สีม่วง ที่พี่ชื่นชม
หรีดหริ่งระงม พี่ปล่อยน้องให้ตรมคนเดียว
รวงเอ๋ยรวงทอง ต้องร้าง คนเกี่ยว
รวงข้าวคอยเคียว
น้องนี้คอยเหลียวคอยนับวันรอพี่มา
กลับเถิดหนาสาวบ้านนายังคอย...
 
				
comments powered by Disqus
  • idaho

    18 พฤศจิกายน 2547 11:33 น. - comment id 372678

    เสียงนกร้องบอกว่าเวลาเช้า
    ตื่นเถิดเราได้เวลาพบวันใหม่
    อาทิตย์ส่องแสงทั่วแดนไท
    น้ำค้างใสพรายพราววับวาวแวม
    
  • หิ่งห้อย เพียงดิน

    18 พฤศจิกายน 2547 13:14 น. - comment id 372736

    ปีนี้ฝนแล้งมาก สงสารชาวนา ข้าวกล้าเหี่ยวเฉายืนต้นตาย สุดท้ายไอ้ขวัญ อีเรียม ต้องแบกกระเป๋าเข้ากรุงมาขายแรง เผชิญโชคในเมืองกรุงเป็นแน่แท้ ขอวอนรัฐช่วยขจัดทุกข์ของชาวนา เพราะสงครามความจน ก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่าสงครามความขัดแย้งทางใต้ เช่นกัน
    
    ....หิ่งห้อย เพียงดิน ณ ทุ่งดอกจาน
  • วิจิตร ภู่เงิน

    18 พฤศจิกายน 2547 16:16 น. - comment id 372827

    /*// กลับมาแล้ว
    
    มาแล้วอ้ายกลับมาแล้ว  
    
    ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
    
    แผ่วๆแว่วมาแต่ไกล
    
    คิดฮอดบ้าน คิดฮอดนวลนางที่จากไป...
    
    //ไม่ไหวครับ ลืมเนื้อร้อง ผมอยากใช้คำคล่องๆเหมือนพี่พุดจังครับ ถ้าใช้ได้คงดีมากๆ
  • ผีขี้เมา

    18 พฤศจิกายน 2547 17:11 น. - comment id 372866

    มาชมผลงานจ้า..เพื่อนรัก
    
    
  • คนเมืองลิง อุลังอุตัง

    18 พฤศจิกายน 2547 17:45 น. - comment id 372884

    ^_^ มาชมผลงานค่ะ
  • เพราะรัก

    18 พฤศจิกายน 2547 20:27 น. - comment id 372962

    
    แวะมากทักทายนะคะเข้าเน็ตไม่ได้อ่ะคะเลยไม่ได้มากทักทายแต่ว่าคิดถึงเสมอนะคะ
    คืนนี้นอนหลับฝันดีค่ะ
    
    หนึ่งดวงใจที่จะรัก
    หนึ่งดวงใจนี้ที่คิดฝัน
    หนึ่งดวงใจจะเป็นพลัง
    หนึ่งดวงใจนี้คือรักเธอ
  • ชัยชนะ

    18 พฤศจิกายน 2547 21:53 น. - comment id 373022

    สาวนาผู้สมถะ
    
    ถึงชื่อเป็นสาวนา แต่ทันข่าวทันเหตุการณ์ต่าง ๆ มาเล่าให้ฟังอยู่เสมอครับ
    
    
    
    
    
  • เมกกะ

    18 พฤศจิกายน 2547 22:20 น. - comment id 373047

    เหมือนไข่มุกด์ เมื่อหล่น บนจานหยก	
    วนิพก พ่ายสิ้น เพียงยินเสียง	 	
    มธุรส โอษฐ์ฉะอ้อน ประอรเอียง	
    ดาลเผดียง ดาเรศ เนตรอนงค์		
         
          รอยลักยิ้ม ริมแก้ม เมื่อแย้มยิ้ม	
    พิศยิ่งพิมพ์ ใจพึง ตะลึงหลง		
    ช้อนชะม้าย ชายตา พาพะวง	
    อยากผจง จุมพิต สนิทนวล		
         
          แก้วกระหวัด รัดเกี้ยว เกลียวเกศแก้ว	
    รอยไรแนว เนียนระดับ รับถี่ถ้วน		
    เจ้าปักปิ่น ปัทมา ค่าเคียงควร	
    ชดช้อยชวน เชยหวัง ระวังแวง		
         
          เทียบทุกคำ ที่เขียน คือเทียนไข	
    ผู้เผาไหม้ ตัวเอง เพื่อเปล่งแสง		
    ยิ่งค่าความ งามเทิด เจิดแจรง	
    ยิ่งเสียดแทง หัทยางค์ ให้ร้างเลย		
         
          อย่าให้เหมือน ใบศรี ที่เบิกขวัญ	
    พอเสร็จพลัน เป็นใบตอง นะน้องเอ๋ย		
    ถนอมหน่อย อย่าลอยร้าง ไปอย่างเคย
    เก็บไว้เชย เมื่อช้ำ เช็ดน้ำตา
    
    อิอิ  แวะมาเยี่ยมพี่พุดจ้า ฮิๆๆ  ถึงเปลี่ยนชื่อ  เมกก็ไม่เปลี่ยนใจครับพี่
    
    +-*-+  +-*-+-*-+ปู๊ชายอารมดี๊ดี+-*-+-*-+  +-*-+
    
  • วนา.

    19 พฤศจิกายน 2547 00:34 น. - comment id 373156

    ..........รางวัลแด่คนช่างฝัน......
    
    อย่ากลับคืนคำ เมื่อเธอย้ำสัญญา 
    อย่าเปลื่ยนวาจา เมื่อเวลาแปรเปลื่ยนไป 
    ให้เธอหมายมั่นคง แล้วอย่าหลงไปเชื่อใคร 
    เดินทางไป อย่าหวั่นใครขวางกั้น 
    
    * มีดวงตะวัน ส่องเป็นแสงสีทอง 
    กระจ่างครรลอง ให้ใฝ่ปองและสร้างสรรค์ 
    เมื่อดอกไม้แย้มบาน ให้คนหาญสู้ไม่หวั่น 
    คือรางวัล แด่ความฝันอันยิ่งใหญ่ ให้เธอ 
    
    ** บนทางเดินที่มีขวากหนาม 
    ถ้าเธอคร้ามถอย ไปฉันคงเก้อ 
    ฉันยังพร้อมช่วยเธอเสมอ 
    เพียงตัวเธอ ไม่หนีไปเสียก่อน 
    
    *** จะปลอบดวงใจ ให้เธอหายร้าวราน 
    จะเป็นสะพาน ให้เธอเดินไปแน่นอน 
    จะเป็นสายน้ำเย็น ดับกระหายยามโหยอ่อน 
    คอยอวยพร ให้เธอสมดังหวังได้ นิรันดร์ 
    
    
  • กัลลดาค่ะ.....

    19 พฤศจิกายน 2547 09:14 น. - comment id 373225

    รูปสวยมากค่ะพี่พุด...
    
    ดามาอ่านผลงานงามนะค่ะ...
    
    มีความสุขมากๆนะค่ะพี่...
  • สาวนา

    19 พฤศจิกายน 2547 10:13 น. - comment id 373259

    - idaho
    ไอซี่คนดีน้องน้อย
    
    ซึ้งใจมากเลยนะ
    ที่กลับมาเป็นสีสัน
    ให้พลังใจสาวนา
    รักเสมอมาและเสมอไป
    ระหว่างเราจ๊ะ
    
    สาวนา
    ***********
    คุณหิ่งห้อยเพียงดิน
    รักความคิดคุณจ๊ะ
    และนามปากกา..
    
    สาวนาชอบ
    คำฟ้าเพียงดินจังค่ะ
    อยากรจนางานโดยชื่อว่าอย่างนี้จ๊ะ
    ขอบคุณนะจ๊ะ
    
    สาวนา
    ****************
    วิจิตร....
    รักงานวิจิตรใจในทุกดินนาดินไร่
    ที่วิจิตรบรรจงเล่าเคล้าคลุกธรรมชาติชีวิต
    ที่จริงเสียจนราวไปนั่งในบรรยากาศงามนั้น
    แค่หลับตาฝันตามคำอันล้ำค่าแบบใสซื่อ
    คือวิถีทองแห่งท้องทุ่งจริงจ๊ะ
  • สาวนา

    19 พฤศจิกายน 2547 10:20 น. - comment id 373264

    ผีขี้เมา .....
    ยังรักสาวนา 
    กลับมาแล้ว
    มาเยี่ยมก็ดีใจมากแล้วจ้า
    ไม่กลัวผีขี้เมา
    เพระคงไม่มีแรงหลอกเราแน่เลยอิอิจ๊ะ
  • สาวนา

    19 พฤศจิกายน 2547 10:23 น. - comment id 373265

    คนเมืองลิง อุลังอุตัง 
    นานนานจะมาเยี่ยมนะจ๊ะ
    ดีใจมากจ๊ะ
    ขอบคุณนะ
  • สาวนา

    19 พฤศจิกายน 2547 10:29 น. - comment id 373274

    - น้องเพราะรัก
    
    มาเพราะรัก เพราะรัก และเพราะรัก
    ที่หวังจักให้น้ำใจกำลังใจสาวนาสม่ำเสมอ
    ซึ้งใจมาก
    
    จากใจด้วยรักและเพราะรักเช่นกันนะจ๊ะ
    
    สาวนา
    ************
    ชัยชนะ
    
    หากตราบใดยังมีอุทัยโลกหมุน
    สาวนาก็ยังคงมีละมุนหวานหอม
    และพร้อมพลีจะหมุนใจดวงใสซื่อ
    ที่ยึดถือรักหนักแน่นมั่นคง
    ตรงต่อเวลาเช่นกันจ๊ะ
    
    โลกสอนให้เราใฝ่รู้
    และควรอยู่อย่างทันสมัยทันเหตุการณ์จ้า
    โดยการอ่านการรับฟังนะจ๊ะ
    และแสนโชคดี ที่สาวนายังรจนาระบายใจ
    ให้ใครๆได้รับทราบถึงก้นบึ้งแห่งดวงใจใสงามนี้ได้จ๊ะ
    
    
  • ลอยไปในสายลม

    19 พฤศจิกายน 2547 14:33 น. - comment id 373475

    มาแบบลูกทมุ่งยาว ๆ 
    อีกแล้ว
    อิ อิ
    
    เพราะดีค่ะ
    
    .....แต่อ่านแค่บทแรกนะคะ อิ อิ
    
    เดี๋ยวจะหาว่าชมเล่น ๆ อิ อิ...

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน