ดั่งหยาดน้ำค้างกลางใบบัว!

พุด


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=831
http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_61724.php
ใบบัวใบบุญภาคแรกค่ะ
********


คืนนี้จันทร์เพ็ญนวลผ่อง
เป็นจันทร์ขึ้นสิบห้าค่ำ
ที่แขวนตัวในม่านราตรีสีกำมะหยี่
ราวลูกจันทร์สีทองทอ เด่นดวง


ฟ้าระดะด้วยดาวสุกใสพริบพราว
จนดูราวใกล้แสนใกล้แค่เอื้อม
ในท่ามแสงจันทร์อันสกาวจรัส
แสงเทียนทองงามจรุงถูกจุดขึ้น ตั้งแค่หัวค่ำ
ในกระท่อมใบบุญของใบบัว
ที่ออกแบบราววิหาร
ให้โอบล้อมลานหญ้าตรงกลาง
ที่มีอาคารราวโบสถ์คร่ำ


ใบบัว...
ในชุดผ้านุ่งซิ่นไหมสีไพลยาวกรอมเท้า
มุ่นผมพันเกลียวทบด้วยดวงดอกลีลาวดีรัดร้อย
ราวสร้อยงามอะคร้าวให้หอมเศร้าดายเดียว..อวลพร่าง..
ร่างเธอนั่งเงียบงาม
เอนอิงพิงหมอนขวาน
บนเสื่อกก..
ค่อยๆทบพับจีบกลีบบัวอย่างละมุนละม่อมใจ
เพื่อน้อมพลีถวายเป็นพุทธบูชาในราตรีนี้...ที่กำลังจะมาเยือน..
ให้ใบบัวได้เตรียมตัวสวดมนต์ทำวัตรเย็น..อย่างมิเว้นสักค่ำคืน..


ใกล้ๆ..กัน
มีตู้เก่าแบบเดียวกับตู้เก็บพระไตรปิฎก
ไว้เก็บพระธรรมคำสั่งสอนมากเล่ม..
ที่ณ..วันนี้ 
ใบบัวได้มีเวลารื้อออกมาจัดเรียงทำความสะอาดเสียใหม่


และ..
ทำให้หัวใจใบบัว
แสนจะอิ่มใสแสนงาม
ใบบัวค่อยๆหยิบหนังสือธรรมเล่มน้อย
หลายเล่มมาพลิกดู
ด้วยดวงใจโสมนัสปิติอย่างที่สุดแล้ว
ในยามบ่ายคล้อยใกล้ตะวันลา
ที่รายรอบกระท่อมแสนสุขสงบงาม
เงียบเสียจน...ได้ยินเสียงจักจั่น..ร้องระงม


ใบบัวไล้สายตาช้าช้า
ไปยัง...
หนังสือเล่มงามในมือ*ความรู้สึกตัว*ของหลวงพ่อเทียน*
ก่อนที่หยาดน้ำตาจะเอ่อซึมซึ้งด้วยปิติเกษมในคำสอน
.......
****


*ธรรมะคือตัวเรานี่เองทุกๆคนคือธรรมะ
ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง 
คนไทย คนจีน หรือชาวตะวันตก
ทั้งหมดคือธรรมะ ..


การปฎิบัตินั้นอยู่ที่ตัวเรา
และคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถนำเรา
ไปสู่สภาพของการดับทุกข์อย่างแท้จริง
มนุษย์ก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือมนุษย์
เมื่อเรารู้ธรรมะ เราก็จะเข้าใจว่าทุกๆสิ่งนั้น
มิได้เป็นอย่างที่เราคิด 
ทุกๆสิ่งคือสมมุติ(สิ่งที่ยอมรับตกลงกัน)


นี่คือปัญญาที่เกิดขึ้น 
เพื่อที่จะประจักษ์แจ้งในคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นหรือไม่ก็ตาม
พระธรรมนั้นมีอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเราเห็นสิ่งนี้อย่างแท้จริง
เราจะอยู่เหนือความเชื่อที่งมงายทั้งหลาย
เพราะเรารู้ว่าธรรมะคือตัวเรา
ตัวเราเท่านั้นที่จะนำชีวิตของเราเองมิใช่ใดอื่น
นี่คือจุดเริ่มต้นของความสิ้นสุดแห่งทุกข์**
......


*และคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น
มีจุดมุ่งหมายเพื่อยังความสิ้นสุดแก่ความทุกข์
ถ้าเราไม่เข้าใจสิ่งนี้เราจะเกิดความลังเลสงสัย
เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์และคาดคิดเกี่ยวกับเรื่อง
การเกิดใหม่ นรก สวรรค์และอื่นๆ..*
..............
..........


*คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น
ไร้กาลเวลาและไม่ถูกจำกัดอยู่ด้วยเชื้อชาติ
สัญชาติ หรือศาสนาใดใด
ตามหลักฐานในสติปัฏฐานสูตร 
ถ้าเธอปฏิบัติสติปัฎฐานอย่างต่อเนื่องดุจลูกโซ่นั้น
คือเจริญสติในทุกขณะ แล้ว 
ความเป็นพระอรหันต์
(ผู้ดับกิเลสได้ดับเชื้อได้เห็นจริงรู้แจ้งในตัวของตัว)
หรือภาวะแห่งพระอนาคามี(ผู้ไม่หวนกลับ)


เป็นสิ่งที่หวังได้อย่างนาน
ภายใน7ปีอย่างกลาง7เดือนและอย่าเร็วสุด 7วัน
ถ้าเธอเจริญสติตามวิธีที่ข้าพเจ้าอธิบายให้ฟัง
และ..
มีสติต่อเนื่องติดต่อกันเป็นลูกโช่แล้วอย่างนานที่สุด3ปี
ความทุกข์ก็จะลดน้อยลงถึง60เปอร์เชนต์
และในบางกรณีอาจจะหมดสิ้นโดยสมบูรณ์
สำหรับบุคคลบางคนนั้นอาจจะได้รับผลนี้ภายในเวลา1ปีหรือ
ภายในเวลา 90วัน
จะไม่มีความดีใจหรือเสียใจความพอใจหรือความไม่พอใจ
หนทางไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์นี้
เป็นหนทางที่ง่าย
เหตุที่ยากเพราะเราไม่รู้มันอย่างแท้จริง เราจึงมีความสงสัยลังเล...
.......
.........


ใบบัว..อ่านไปและเพียรทำความเข้าใจ
พร้อมมิระย่อท้อใจที่จะฝึกเพียรเจริญสติ
เฝ้าดูความคิดและรู้เห็นทันเท่า
 รู้หยุดทุกข์เศร้ามากขึ้นมากเข้าได้ทันท่วงที
อย่างผู้ที่ไม่ยอมแพ้...


นาทีนี้ น้ำตาอุ่นๆของใบบัวจึงละหลั่งริน
ด้วยความรู้สึกว่า
ดวงชีวีใบบัวมีที่พึ่งทางจิตแล้ว
*คือยอดพระรัตนตรัย*
ที่เปรียบดั่งอัญมณีจิต
ที่จักทอดทอสถิตนำทางใจไปตราบชั่วนิรันดร์
และ
ประดุจ
*ดั่งดวงแก้วแสงเทียนตระการ*มาคอยส่องนำทาง
มิให้หลงดายเดียวอ้างว้างยึดมั่นหลงมั่น..
เฝ้าหลงฝันหลงรักรอใครอีกต่อไป!แล้ว
...........


ใจดวงละมุนของใบบัว..
จึ่งหอมกรุ่นราวเกสรบัวตรงหน้าในมือ
ที่ใบบัวกำลังค่อยๆจัดใส่แจกันแก้วอย่างทะนุถนอมเบามือ
ที่กำลังให้หอมเต็มไปด้วยพลังแห่งรักศรัทธา
ใบบัวค่อยค่อยทรุดตัวลงนั่งเบื้องพระพักตร์พระพุทธ
ที่งามสุกปลั่งมลังเมลืองรำไร
ในท่ามเทียนทองแห่งศรัทธา...


ที่คือศรัทธาทิพยนิรมิต
พาพบจิตสะอาดสว่างสงบพบความงามว่างร้างไร้
และ
กับทุกคืนค่ำ
ที่ใบบัวจะสวดมนต์อย่างยาวนานที่จักเริ่มด้วย


บทบูชาพระรัตนตรัย
กราบพระรัตนตรัย
นมัสการพระรัตนตรัย
ขอขมาพระรัตนตรัย
ไตรสรณคมม์
ถวายพรพระ
ชัยมงคลคาถาพาหุง
อิติปิโสเท่าอายุ
บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง
แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์
บทแผ่ส่วนกุศล
กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร
สวดพระคาถาชินบัญชร
ตามด้วยยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก


และ...
พระคาถามากมาย
สำหรับ...
คาถาพาหุงนั้น...
ใบบัวช่างแสนปิติตรึงศรัทธาในดวงจิตอย่างสูงสุดเกินเปรียบประมาณ
ด้วยได้รับบุญทานบารมีกุศลได้อ่านคำของ
*พระเทพสิงหบุราจารย์(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมโม)
เจ้าอาวาสวัดอัมพวัน เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี
อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี
ได้ประทานเล่าไว้ดังนี้ถึงที่มาว่า*
..........


**เมื่ออาตมาได้พบกับ
สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว*
คืนวันหนึ่งอาตมานอนหลับ
แล้วฝันไปว่า...
อาตมาได้เดินไปในสถานที่แห่งหนึ่ง
พบพระสงฆ์รูปหนึ่งครองจีวรสีคร่ำ
สมณสารูปเรียบร้อยน่าเลื่อมใส
อาตมาเห็นว่าเป็นพระอาวุโส ผู้รัตตัญญู...จึงน้อมนมัสการท่าน
ท่านหยุดยืนตรงหน้าอาตมา
แล้ว..กล่าวกับอาตมาว่า...


*ฉันคือ สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วแห่งกรุงศรีอยุธยา
ฉันต้องการให้เธอได้ไปที่วัดใหญ่ชัยมงคล
เพื่อดูจารึกถวายพระเกียรติ
แก่สมเด็จพระนเรศวรผู้เป็นเจ้า..


เนื่องในวาระ..
ที่สร้างเจดีย์ฉลองชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาแห่งพม่า
และประกาศความเป็นอิสระของประเทศไทยจากหงสาวดีเป็นครั้งแรก 
เธอไปดูไว้แล้วจดจำมาเผยแพร่ออกไป 
ถึงเวลาที่เธอจะได้รับรู้แล้ว*


ในฝัน..อาตมา..รับปากท่าน..
ท่านก็บอกตำแหน่งให้ 
แล้ว..
ก็ตกใจตื่นนอนตอนใกล้รุ่ง
อาตมาก็ทบทวนความฝัน 
ก็นึกอยู่ในใจว่าเราเองนั้นกำหนดจิต
ด้วยกรรมฐานมีสติอยู่เสมอ
เรื่องฝันฟุ้งช่านเป็นไม่มี


อาตมาก็ได้ข่าวในวันนั้นแหละว่า
ทางกรมศิลปากร
ทำการบูรณะปฎิสังขรณ์พระเจดีย์ใหญ่ในวัดใหญ่ชัยมงคล
และ..
จะทำการบรรจุบัวยอดพระเจดีย์ 
อันเป็นนิมิตรหมายการสิ้นสุดการบูรณะ
แล้วจะรื้อนั่งร้านทั้งหมดออกเป็นการเสร็จสิ้น


อาตมา จึงได้ขอร้อง ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร 
ให้เลื่อนการปิดยอดบัวไปอีกวันหนึ่ง
เพื่อที่อาตมาจะได้นำพระซุ้มเสมาชัย ซุ้มเสมาขอ
ที่อาตมาได้สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิม
ที่พบในเจดีย์ใหญ่ใกล้กับวัดอัมพวันซึ่งพังลงน้ำ
ที่ก๋งเหล็งเป็นคนรวบรวมเอามาให้อาตมา
ตั้งแต่เมื่อเริ่มพัฒนาวัดใหม่ๆ
แต่แตกหักผุพังทั้งนั้นหลายสิบปิ๊บ
อาตมาได้ป่นเอามาผสม 
สร้างเป็นองค์พระใหม่ไปร่มบรรจุไว้ที่ยอดพระเจดีย์บ้าง


วันนั้น..
อาตมาเดินทางไปถึง
ก็ได้เดินขึ้นไปบนเจดีย์ตอนที่สุดบันไดแล้ว
มองเห็นโพรง
ที่ทางเขาทำไว้สำหรับลงไปด้านล่าง
มีร้านไม้พอไต่ลงไปภายใน 
ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าลงไปคราวนี้
ถ้าพลาดตกลงไปจากนั่งร้านม้า ...ก็ยอมตาย
คนที่ร่วมเดินทางมาด้วย
เขามัวแต่ไปบนลานชั้นบน 


อาตมาก็ดิ่งลงไปชั้นล่างมีไฟฉายดวงหนึ่ง
เวลานั้นประมาณ  09.00น 
อาตมา..
ลงไปภายใน..
แล้วก็...พบนิมิต...ดังที่สมเด็จพระพนรัตน์ได้บอกไว้จริงๆ
อาตมาจึงได้พบว่าแท้ที่จริงแล้ว
สิ่งที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วท่านได้จารึกถวายพระพร
ก็คือ*บทสวดที่เรียกว่า*พาหุง มหากรุณิโย*


ท้ายนิมิตนั้นระบุว่า
*เราสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว ศรีอโยธเยศ คือผู้จารึกนิมิตรจนาเอาไว้
ถวายพระพรแด่มหาบพิตรเจ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช...


พาหุงมหากา
ก็คือบทสวดสรรเสริญ
พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
แล้วก็..
พรพาหุงอันเริ่มด้วย
พาหุงสหัสไปจนถึงทุคคาหทิฏฐิแล้วเรื่อยไป
จนถึงมหากรุณิโก
นาโถ หิตายะ และจบลงด้วย ภะวะตุสัพพะ มังคะลัง 
สัพพะพุทธาสัพพะธัมมา สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุเต 
อาตมาเรียกรวมกันว่า พาหุงมหากา


อาตมาจึงเข้าใจในบัดนั้นเองว่า..
บทพาหุงนี้คือ
บทสวดมนต์
ที่สมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว
ได้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไว้สวดเป็นประจำเวลาอยู่พระมหาราชวังและในระหว่างศึกสงคราม
จึงปรากฏว่า....


พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเจ้า
ทรงรบ ณ ที่ใด
ทรงมีชัยชนะอยู่ตลอดเวลาามิได้เพลี่ยงพล้ำเลย
แม้จะเพียงลำพังพระองค์กับพระอนุชาธิราชเจ้า
ท่ามกลางกองทัพพม่าจำนวนนับแสนคน
ก็ทรงมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่า
ด้วยการกระทำยุทธหัตถี
มีชัยเหนือพระมหาอุปราชา ณ ดอนเจดีย์ปูชนียสถาน
แม้ข้าศึกจะยิงปืนไฟเข้าใส่พระองค์
ในตอนที่เข้ากันพระศพของพรมหาอุปราชาออกไป ราวห่าฝนก็มิปาน
แต่ก็มิได้ต้องพระองค์
ด้วยเดชะพาหุงมหากาที่ทรงเจริญอยู่เป็นประจำนั้นเอง


อาตมา...พบนิมิตแล้ว..ก็ไต่ขึ้นมา
ด้วยความสบายใจ..
ถึงปากปล่องที่ลงไปใช้เวลา
เกือบสามชั่วโมงเนื้อตัวมีแต่หยากไย่
เดินลงมาแม่ชีเห็นเข้ายังร้องถาม
ว่า*หลวงพ่อเข้าไปในโพรงนั้นมาหรือ*แต่อาตมาไม่ตอบ


ตั้งแต่นั้นมา 
อาตมาจึงสอนการสวดพาหุงมหากาให้แก่ญาติโยมเป็นต้นมา
เพราะอะไร..
เพราะพาหุงมหากานั้น..
เป็นบทสวดมนต์ที่มีค่าที่สุด มีผลดีที่สุด
 
เพราะชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา
จากพญาวัสวดีมาร 
จากอาฬวกะยักษ์ 
จากช้างนาฬาคิรี จากองคุลีมาร
จากนางจิญมานวิกา 
จากสัจจะกะนิครนธ์ 
จากพญานันโทปนันทนาคราช
และท่านท้าวผกาพรหม 


เป็นชัยชนะที่พระพุทธองค์ทรงได้มา
ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์และด้วยอำนาจแห่งบารมีธรรมโดยแท้ 
ผู้ใดได้สวดไว้เป็นประจำทุกวัน
จะมีชัยชนะมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดกาลนาน
มีลติระลึกได้จะตายก็ไปสู่สุคติภูมิ..


ขอให้ญาติโยมสวดพาหุงมหากากันให้ทั่วหน้า 
นอกจากจะคุ้มตัวแล้ว
ยังคุ้มครองครอบครัวได้ สวดมากๆเข้า
สวดกันทั้งประเทศก็ทำให้ประเทศ
มีความรุ่งเรืองพวกคนพาล สันดานหยาบก็แพ้ภัยไปอย่างถ้วนหน้า


ไม่ใช่แต่พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเท่านั้น
ที่พบความมหัศจรรย์ของบทพาหุงมหากา
แม้พระเจ้าตากสินมหาราช
ก็ทรงพบเช่นกันโดยมีบันทึกโบราณบอกไว้ดังนี้...


*เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราช
ตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว ก็ทรงเห็นว่าสงครามกู้ชาติ
ต่อจากนี้ไปจะต้องหนักหนาและยืดยาวจึงทรงโปรดเกล้า 
ให้สร้างพระยอดธงแบบศรีอยุธยาขึ้นแล้ว
นิมนต์พระเถระทั้งหลาย
มาสวดบทพาหุงมหากาบรรจุไว้ในองค์พระ
 พระองค์ก็ทรงเจริญรอยตามพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ด้วยการเจริญพาหุงมหากา
จึงทรงบันดาลให้ทรงกู้ชาติสำเร็จ*


สวดพาหุงมหากากันให้ทุกบ้านสวดให้ได้มากๆ
จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง 
สวดพาหุงมหากาก่อน
แล้วจึงสวดชินบัญชร
เพราะชินบัญชรนั้น
เจ้าประคุณสมเด็จท่านใช้สวดบูชาพระอรหันต์ของท่าน
ต้องสวดพาหุงมหากาก่อนแล้ว
จึงมาถึงชินบัญชรให้จดจำกันเอาไว้นั่นแหละมงคลชีวิตในชีวิต*
...................
...................


และ..
ณ..บัดนี้..ในยามนี้
ที่ราตรีสีทองกำลังหยาดสายผ่องเพ็ญ
ผสานกับแสงเทียน รำไรกระจายจับ
พระพักตร์พระพุทธิ์ผู้บริสุทธิคุณ 
ส่องสว่างให้กระจ่างจิตราว*แสงสงฆ์*โชติจรัสเจรือง..


เสียงธรรมก้อง..กังวาน....
อย่างไพเราะอ่อนหวานเสนาะโสตยามผู้ใดได้สดับ
จากหอมห้วงแห่งดวงใจอันแสนใสฉ่ำเย็นของใบบัว
ที่งามล้ำยิ่งกว่าคำใด
ที่แสนยิ่งใหญ่เลอล้ำค่ากว่าอัญมณีใดในโลกหล้าปฐพี
ให้พรายพร่างพรมพัดไปในเวิ้งฟ้าพุทธภูมิ...
อันคืออนันตกาล
แห่งเวิ้งฝันสัจจะธรรมนิรันดร์รักอย่างจริงแท้.....แน่นอน..!!!!
...........
............
*************************


ชัยมงคลคาถา(พาหุง)
พาหุงสะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตังครีเมขะลัง
อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธืนา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะ *ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธืนา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะ สุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะดน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
กัตตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง**วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุเม*ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย
วาจาโน ทินะทิเน สะระเต มะตัมที
หิตวานะ เนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ 
โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ


ชัยปริตร(มหากา)
มะหากรุณิโก นาโถ หิตายะ สัพะ
ปาณินัง ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต
สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ  เม*ชะยะมังคะลัง
 
ชะยันโตโพธิยา มูเล สักยานัง นันทิ
วัฑฒะโน เอวัง อะหัง วิชะโย ดหมิ***
ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะราชิตะ
ปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อภิเสเก
สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต  ปะโมทะ
ติ  สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง
สุหุฏ ฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะสิยิฏฐัง
พรัมมะ****จาริสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง 
วาจากัมมัง ปะทักขิณัง   ปะทักขิณัง
มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา ปะทักขิณา นิ
กัตวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ 
 
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทะานุภาเวนะ สะทาโสถถี ภะวันตุ เม*
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา 
สัพพะธัมมานุภาเวนะ
สะทาโสถถี ภะวันตุ เม
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทาโสถถี ภะวันตุ เม*
..........


ถ้าสวดให้คนอื่นให้เปลี่ยนจากคำว่า เม เป็น เต
**อ่านว่าพรัมมัง
***ถ้าสวดให้คนอื่นให้เปลี่ยนจากคำว่า อะหัง วิชะโย โหมิ
เป็น ตวัง วิชะโย โหหิ
****อ่านว่าพรัมมะ
.............
...........
**************************


http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=831
บัวขาว........... แจ้ ดนุพล แก้วกาญจน์ 
เห็นบัวขาว
พราวอยู่ในบึงใหญ่
ดอกใบบุปผชาติสะอาดตา
น้ำใสไหลเย็น เห็นตัวปลา
ว่ายวนไปมาน่าเอ็นดู
หมู่ภุมริน ฮึมบินเวียนว่อน
คอยร่อนดมกลิ่น กลิ่นเกสร
พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อนในสาคร
ค่อยพาจร ห่างไปในกลางน้ำ
หมู่ภุมริน
ฮึมบินเวียนว่อน
คอยร่อนดมกลิ่น กลิ่นเกสร
พายเรือน้อย คล้อยเคลื่อนในสาคร
ค่อยพาจร ห่างไปในกลางน้ำ
ค่อยพาจรห่างไป
ในกลางน้ำ...
				
comments powered by Disqus
  • พุด

    25 เมษายน 2548 08:06 น. - comment id 460107

    
    มรรค คือวิถีแห่งการปฎิบัติ
    คือการอันนำไปสู่ความสิ้นสุดของทุกข์
    วิธีแห่งการปฎิบัติคือ..
    การรู้สึกตัวเท่าทันความคิด
    ร่างกายของเราทำงานไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบ
    แต่จิตใจของเราจะต้องดูความคิด
    ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราไม่เห็นมัน มันจึงชนะเรา
    และยังเราให้เป็นทาส มันนั่งอยู่บนศรีษะเราและตบหน้าเรา
    แต่ถ้าเราสามารถเห็นรู้ และเข้าใจมันแล้ว
    มันก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้...
    .......
    .......
    
    
    
    
    ขอเพียงทุกครั้งที่ความคิดอุบัติขึ้นเรารู้มัน 
    แม้เมื่อขณะนอนหลับ
    เมื่อเราเคลื่อนไหวร่างกายของเราขณะนอนหลับนั้น
    เราก็รู้สึกตัวด้วยนี้เป็นเพราะความรู้สึกตัวของเราสมบรูณ์
    เมื่อเราเห็นความคิดในทุกขณะ
    ไม่ว่ามันจะคิดเรื่องใดก็ตามเราเอาชนะมันได้ทุกครั้งไป
    บุคคลที่สามารถเห็นความคิดเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กระแสของนิพพาน(กิเลสดับเชื้อ)
    และเราจะมาถึงจุดหนึ่งที่บางสิ่งในภายในจะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
    
    
    
    ถ้าความคิดรวดเร็ว 
    *ปัญญา ก็จะรวดเร็วด้วย
    ถ้าความคิดหรือารมณ์ลึกมาก
    ปัญญาก็จะลึกมากด้วยเช่นกัน
    และถ้าสองสิ่งนี้ลึกเท่าๆกันและปะทะกันก็จะเกิดการแตกออก
    อย่างฉับพลันของสภาวะที่มีอยู่แล้วในคนทุกคน
    ด้วยการอุบัติขึ้นนี้ ตาหู จมูก ลิ้น กาย และจิตใจ
    จะไม่ยึดติดอยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสและวัตถุแห่งการนึกคิด
    เช่นเดียวกันกับการถอดกลไกการขับเคลื่อนของรถยนต์
    เมื่อชิ้นส่วนต่างๆถูกถอดออกจากัน รถยนต์แม้จะดำรงอยู่แต่ก็ไม่สามารถ
    จะขับเคลื่อนได้ต่อไปอีก
    .......
    .......
    
    
  • พุด

    25 เมษายน 2548 08:37 น. - comment id 460112

    
    พุดพัดชาตั้งจิตอธิษฐานไว้
    จะพิมพ์หนังสือ
    แด่เธอ..ผู้รู้สึกตัว
    ของหลวงพ่อเทียนที่แสนหายากเป็นยิ่งนัก
    
    เพราะพิมพ์มาตั้งแต่ปี2527
    และพุดได้มาแบบปาฏิหาริย์นัก
    และ
    กับหนังสืออานิสงส์การสวดพระพุทธคุณ
    แจกแด่มิ่งมิตรน้องพี่ในร่มรักเรือนไทย
    และญาติมิตรต่างจังหวัดค่ะ
    คงประมาณอีกไม่นานแล้วค่ะแล้วจะแจ้งให้ทราบนะคะ
    
    ด้วยรักล้นใจค่ะ
    
    
    
  • จัสมินฆ์

    25 เมษายน 2548 12:06 น. - comment id 460211

    ครับ
  • tiki

    25 เมษายน 2548 12:09 น. - comment id 460215

    สาธุ อนุโมทนาบุญค่ะ
  • ด้วยปีกรัก...ด้วยปีกรัก...

    25 เมษายน 2548 13:02 น. - comment id 460235

    http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=2626
     ปีกรัก   
    คีรีบูน : : Key Bb  
    เธอคือดวงใจดวงเดียว
    ที่ฉันรักเธอ
    ใจมันคอยพร่ำเพ้อ
    แต่ดวงฤทัย
    รักอันแสนยิ่งใหญ่
    จากดวงใจเปี่ยมพลัง
    ด้วยความหวัง
    ด้วยศัทธาแห่งความรัก
    วอนเธอจงปราณีใจ
    ที่คอยภักดีคงมั่น
    เอาใจเธอให้กับฉัน
    ดั่งธารไหลริน
    แม้ความรักโบยบิน
    ติดปีกบิน ถิ่นแดนใด
    สุดแดนไกล จะบินไป
    ด้วยปีกรัก
    ดนตรี
    เธอคือดวงใจดวงเดียว
    ที่ฉันรักเธอ
    ใจมันคอยพร่ำเพ้อ
    แต่ดวงฤทัย
    รักอันแสนยิ่งใหญ่
    จากดวงใจเปี่ยมพลัง
    ด้วยความหวัง
    ด้วยศัทธาแห่งความรัก
    วอนเธอจงปราณีใจ
    ที่คอยภักดีคงมั่น
    เอาใจเธอให้กับฉัน
    ดั่งธารไหลริน
    แม้ความรักโบยบิน
    ติดปีกบิน ถิ่นแดนใด
    สุดแดนไกล จะบินไป
    ด้วยปีกรัก...
     
    
  • ข้าวปล้อง

    25 เมษายน 2548 13:43 น. - comment id 460263

    ถ้อยคำของพี่พุดยังสวยงามและมีคุณค่าเสมอ ^-^
  • คนเมืองลิง

    25 เมษายน 2548 14:59 น. - comment id 460334

    นึกว่าน้ำกลิ้งบนใบบัวซะอีกค่ะ
    
    ที่แท้...ดั่งหยาดน้ำค้างกลางใบบัว
    
    โดยใบบัวคือคนที่มีจิตใจงดงามนี่เอง
  • ขอโทษครับ...ผมเมา

    25 เมษายน 2548 16:00 น. - comment id 460391

    สาธุ.......อนุโมทนา ด้วยคนครับ
    
    
    
  • Completely

    25 เมษายน 2548 16:06 น. - comment id 460401

    โอเล่อยากเป็นได้สักเพียงครึ่งของพี่พุด
    
    ชีวิตคงจะสุขสงบและมีความสุขมากกว่านี้
    
    ... ... ...
    
    สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ... จริงๆใช่ไหมคะพี่
    
    ทุกข์เกิดขึ้นที่ใจเราเอง ... ใช่เพราะผู้อื่น ... ใช่ไหมคะพี่
    
    ... ... ... 
    
    พี่พุดคะ ... ถ้าเราสวดให้คนอื่น ... แปลว่าเราสวดเพื่อให้ผลบุญและความสุขตกอยู่ที่เค้าใช่ไหมคะ
    
    ตอนนี้โอเล่เห็นคนๆนึงกำลังเป็นทุกข์มาก และโอเล่ก็ทุกข์กับเขาเสียเหลือเกิน ... ไม่เห็นหนทางใดที่จะทำให้เขาทุกข์น้อยลงเสียที
    
    ถ้าโอเล่สวดบทพาหุงให้เขา ... ชีวิตของเขาจะสงบร่มเย็นใช่ไหมคะ
    
    อยากจะทำอะไรให้สัก ที่ทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่เป็น
    
    ... ... ...
    
    คิดถึงพี่พุดเสมอค่ะ
  • พี่พุด

    25 เมษายน 2548 17:58 น. - comment id 460466

    พี่พุดนะคะ
    เพิ่งเข้ามา 
    พี่พุดไม่ค่อยสบายเหมือนจะเป็นไข้ค่ะ 
    ไม่ได้เต้นออกกำลังกายมาเป็นอาทิตย์แล้วค่ะ ตั้งแต่สงกรานต์
    มาตอบคำถามน้อง- Completelyก่อนนะคะ
    ทุกดวงใจ
    
    คนดี
    จริงๆแล้ว..การสวดมนต์
    เพียงเป็นทางสายหนึ่ง
    ที่พุทธศาสนิกชน
    เชื่อมั่นศรัทธากันมานานค่ะ
    ว่า..
    จะทำให้มีสิริมงคลกับชีวิต
    ทั้งกับตัวเราและผู้ที่เราอุทิศบุญกุศลให้นะคะ
    เป็นทางแห่งความดีพลีศรัทธาเชื่อมั่นในคุณ
    พระศรีรัตนตรัยค่ะ
    ว่าอย่างไรเราก็ยึดมั่นเชื่อในการทำความดี
    
    และคือทางให้เพียรมีสมาธิมีสติ
    มีความสงบค่ะ
    เพราะ
    คือการจะได้ไม่ต้องเอาจิต
    ไปคิดถึงความทุกข์ที่มากระทบค่ะ
    เพราะที่เราทุกข์มากนักหนาเพราะ
    ทุกครั้งที่คิด
    เราจะพาจิตเข้าไปในความคิดนั้นไปปรุงแต่งสาระพันให้จิตใสเรายิ่งฟุ้งซ่าน
    
    ไม่ว่าทุกข์หรือสุขมันก็กัดกินหัวใจเราให้ทุรนทุรายเร่าร้อนทั้งนั้น
    เพราะในจิตไม่มีความว่างเลย
    
    เสมือนที่หลวงพ่อเทียนบอกค่ะ
    ให้เราเพียรเจริญสติ
    *ที่ความรู้สึกตัว*
    
    ที่พี่พุดนำมาสอนในงาน
    บุญเหนือโลกย์ลบโศกรานนะคะ
    
    ก็คล้ายๆการรวบรวมสมาธิเช่นกัน
    หากเพียงมิใช่การสวดมนต์ค่ะ
    เพราะสวดมนต์เราทำทั้งวันไม่ได้
    
    เลยใช้วิธีฝึกด้วย
    วิธีการนำความเคลื่อนไหว
    มาใช้ในอิริยาบถเราได้ทั้งวัน
    หากฝึกนานๆเข้า
    คือให้จิตจับอยู่ทุกการเคลื่อนไหว
    ไม่ส่ายจิตไหวไปตามความคิดค่ะ
    แค่ปล่อยให้ความคิดไหลเข้ามา
    แล้วก็เห็นแล้วก็ไม่หลงทางปล่อยให้มีการต่อเนื่องในความคิด
    ก็จะรำลึกรู้ได้ค่ะ
    ในที่สุดก็จะฉลาดทำได้นานเลยคือ
    ไม่คิดไงคะ
    แค่เห็น แล้วก็ปล่อยก็ปล่อยราวสายน้ำไม่มีการกักไว้ค่ะ
    นานไปก็จะว่างเลยค่ะจิตจะใสเลย
    แม้จะมีอะไรมากระทบก็จะตามทัน
    และ
    ทั้งทุกข์สุขก็จะไม่มีไม่เอา
    ในที่สุดก็คือเหลือเพียงความกระจ่างแจ้ง
    ลองดูเองนะคะ
    และ
    นั่นแหละ
    คือคำนิพพานที่นี่เดี่ยวนี้
    ที่เราต้องทำเองค่ะจึงจะพบเอง
    ไม่เกิน7ปี 7เดือนบางคนก็7วัน
    หากตั้งใจทำจริงนะคะอย่ายอมแพ้
    
    พี่พุดเลยเพียรนำคำสอน
    ที่สอดประสานกันของทั้งท่านพุทธทาสและ
    หลวงพ่อเทียนที่พี่พุดคิดว่าใช่เลย
    มาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน
    รุ้มั้ยคะ..กว่าท่านจะค้นพบความว่างนิรันดร์นั้น
    ท่านมีอายุ 46ปีแล้ว
    เชื่อนะคะทุกวิถีทาง
    จงเพียรหยุดคิด ค่ะมิปรุงต่อปรุงแต่ง
    คนดี..พี่พุดเองก็ล้มลุกคลุกคลานรานร้าวมีพายุ
    ชีวิตพัดมาตลอดค่ะ
    ก็หวังชีวิตจะมิมืดบอดจนตายค่ะ
    จงอย่าพ่ายใจท้อใจที่จะหลุดพ้นจากวัฎฎสังสารอันแสนยาวนานนี้นะคะ
    
    http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_74794.php
    ไปอ่านเรื่องนี้ที่พี่พุดเพียรบอกวิธี
    
    เมื่อเรามีเวลาว่าง
    จะเดินจงกรมสลับกับการนั่งสร้างจังหวะก็ได้
    การฝึกสติแบบนี้ทีแรกต้องนั่งอย่างนี้
    นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งเหยียดขาก็ได้
    นั่งขัดสมาธิก็ได้
    นั่งเก้าอี้ห้อยเท้าอยู่ก็ได้..
    ...........
    ............
    
    
    
    
    
    เอามือวางไว้ที่ขาทั้งสองข้าง.....คว่ำไว้
    พลิกมือขวาตะแคงขึ้น...ทำช้าช้า...ให้รู้สึก
    ยกมือขวาขึ้นครึ่งตัว...ให้รู้สึก..มันหยุดก็ให้รู้สึก
    เอามือขวามาที่สะดือ...ให้รู้สึก
    พลิกมือซ้ายตะแคงขึ้น...ทำช้าช้า...ให้รู้สึก
    ยกมือซ้ายขึ้นครึ่งตัว...ให้รู้สึก..มันหยุดก็ให้รู้สึก
    เอามือซ้ายมาที่สะดือ...ให้รู้สึก
    เลื่อนมือขวาขึ้นหน้าอก...ให้รู้สึก
    เอามือขวาออกตรงข้าง...ให้รู้สึก
    ลดมือขวาลงที่ขาขวา ตะแคงไว้...ให้รู้สึก
    คว่ำมือขวาลงที่ขาขวา...ให้รู้สึก
    เลื่อนมือซ้ายขึ้นหน้าอก...ให้รู้สึก
    เอามือซ้ายออกตรงข้าง...ให้รู้สึก
    ลดมือซ้ายลงที่ขาซ้าย ตะแคงไว้...ให้รู้สึก
    คว่ำมือซ้ายลงที่ขาซ้าย...ให้รู้สึก...
    .........
    .......
    
    
    
    และ...
    หวังจิตให้ทุกดวงใจลองฝึกนะคะ
    เป็นการเจริญสติค่ะ
    และจะหยุดคิดได้..
    หากทำนานๆเข้าโดยนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน
    
    ให้มีสติในทุกอิริยาบถไม่ว่าจะนั่งนอนยืนเดินหรือทำอะไร
    ให้จิตจับในกิริยานั้นคือให้รู้สึกตัวตลอดเวลา
    และไม่ช้านานเราก็จะค้นพบความว่างกระจ่างใจค่ะ
    แล้วความทุกข์จากความคิดใด
    ก็จะมิหมายมากลายกล้ำทำให้เราช้ำใจเศร้าใจทุกข์ใจได้นานเลย
    ลองดูนะคะ...
    
    
    ด้วยรักห่วงใยมากมายค่ะ
    
    
    
  • พี่พุด

    25 เมษายน 2548 18:16 น. - comment id 460480

    พี่พุดลืมบอกไปว่า
    ให้ก๊อปคาถาพาหุงให้สวดนะคะ
    และ
    หาหนังสือสวดมนต์ให้เขานะค
    ะระยะแรกเป็นจิตวิทยาค่ะที่สร้างศรัทธาใจ
    ให้มายึดมั่นฝากร่างจิตในร่มพระรัตนตรัย
    ก่อนที่จะเพียรเจริญสติ
    เฝ้าดูการเคลื่อนไหวนะคะ
    
    และ
    ให้สวด
    อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
    วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู
    อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา 
    เทวะมะนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ
    ให้เกินอายุไป1จบนะคะ
    
    
    เขาจะได้พลีศรัทธาเอาจิตมาจดจ่อตรงบทสวดนะคะก็ยังดี ที่หยุดจิตคิดทุกข์วางไว้ได้สักพักค่ะ
    จนกว่ากาลเวลาจะเยียวยาใจและให้หันมาเห็น
    ทางดับทุกข์ที่เที่ยงแท้แน่นอนค่ะ
    
    รักนะคะ
  • ว่าน

    25 เมษายน 2548 19:09 น. - comment id 460530

    มาร่วมอนุโมทนาด้วยคนนะคะ
  • ลักษมณ์

    26 เมษายน 2548 01:36 น. - comment id 460824

    คงมีแต่เพียงหยาดน้ำอันใสและบริสุทธิ์เท่านั้นที่ใบบัวจะยอมให้ค้างเกาะติดอยู่กลางใบ... :]
  • รารา

    11 กุมภาพันธ์ 2550 19:36 น. - comment id 655658

    ความลับมาบอก เป็นเรื่องจิงที่เกิดขึ้น 
    >>เคยมีเด็กถูกฆ่าตายที่ห้องน้ำของภารโรง 
    >>แต่ไม่สามารถหาต้นเหตุของคดีนี้ได้ 
    >>จึงได้ปล่อยร่างไร้วิญญาณของเด็กน้อยทิ้งไว้ ณ ที่แห่งเดิม 
    >>ไม่มีการทำพิธีอะไรทั้งสิ้น วิญญาณของเด็กจึงล่องลอยวนเวียนอยู่ที่รร. 
    >>เป็นเวลาหลาย 10 ปี 
    >>จนวันหนึ่งได้มีกลุ่มนร.หญิงเข้าไปในห้องน้ำนั้นเพื่อหวังจะแกล้งภารโรง 
    >>จึงได้พบกับวิญญาณของเด็กน้อย กำลังไต่ไปตามเพดาน พร้อมแสยะยิ้มให้ 
    >>พวกเทอกลัวมากรีบวิ่งออกจากห้องน้ำ 
    >>แต่เพื่อนคนหนึ่งพลันไปเหยียบแอ่งน้ำที่พื่นเข้า 
    >>จึงได้ล้มและไปสะดุดขาของเพื่อนอีกคนหนึ่งเข้า 
    >>เพื่อนคนนั้นได้จับแขนของอีกคนไว้จึงล้มกันมาเป็นทอดๆและหัวฟาดพื้นตายหมด 
    >>วิญญาณของพวกเขาจึงวนเวียน ณ ที่แห่งนั้นตลอดไป 
    >>จงส่งต่อไปอีก 20 กระทู้ ภายใน 7 ชม.
    >>ต่อแรกเราก็ไม่เชื่อหรอกแต่เพื่อนเราประสบอุบัติเหตุไปแล้ว 5คนตั้งแต่เราอ่าน

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน