รักนิรันดร์..เจ้าขวัญ....ดวง..!

พุด

6.jpg
ฟ้าใกล้ค่ำแล้ว
แสงสนธยา กำลังพรายพร่างจากรัศมีดวงสุริยา
ที่กำลังค่อยๆทิ้งตัวให้สายธาราโอบกอดอย่างอ้อยอิ่ง
พาให้นวลนภาระเรื่อด้วยแสงสีส้มอมชมพูพริ้งพราว
ราวภาพวาดของจิตรกรชื่อ*ธรรมชาติ*
ในความพิไลพิลาสแห่งความงามนั้น
จักเห็นร่าง ร่างหนึ่ง
นั่งเอนอิงในเก้าอี้ สี..น้ำทะเลสด
บนระเบียงตึกสูง ชั้นที่ยี่สิบ
ของที่พักหรู..เคียงทะเล...


ในท่านั่ง...
 ที่ตกอยู่ในภวังค์ฝันอันแสนดื่มด่ำนั้น
พลัน...ราวกับมี..อีกใครอีกคน
ค่อยๆก้าวเข้ามานั่งชิดเคียงใกล้
แล้ว..
ใช้มืออบอุ่นแข็งแรง
ประคองไหล่บอบบางของเธอเอาไว้
อย่างทะนุถนอม แสนรักใคร่
แล้วค่อยไล้รอยจูบแผ่วเบาไปตามริมหูเรียวแก้ม..
อย่างอ่อนโยน..ละมุน..


เธอ..เบือนหน้ากลับมา..
ใช้สองมือ..ตระกองแก้ม
แล้ว..
ดอมดม..พรม..จูบตอบ
ที่คางแก้มสากไล้ 
อย่างแสนรักใคร่อ่อนหวาน..เฉกเช่นกัน..


โลก..ตรงหน้าที่แสนสงบ
จึงเงียบงาม....นิ่งงัน
ราวสวรรค์เบื้องบนเฝ้ารับรู้ เป็นพยาน
ให้กับคู่..*รักแท้นิรันดร์ทั้งสอง..!*


ตาสบตา และล้านถ้อยคำเจรจา
ก็คงมิอาจเทียบ..เทียมเท่า ถึงความรักมากมาย
ที่...
ต้องใช้ใจ..สัตย์ซื่อถือตรงคงมั่นหนักแน่น..เท่านั้น..
แลกมา..ถึงได้มา.....
และ..
หากว่า..นาทีนั้น...
มิใช่..*เป็นเพียง..แค่ความฝันฝันฝัน.*..ของเธอ
เพียงลำพัง...อย่างดายเดียว..!!!!

ฟังสิฟังเสียงทะเลเห่จูบหิน
ในสายถวิลแห่งรักภักดิ์เพียงขวัญ
คลื่นรักเอ๋ยมิเคยเลยทิ้งหาดให้เงียบงัน
คือคงมั่นเฉกรักเรา...ในรอยกาล...หวานเช่นนั้น..!!!!
				
comments powered by Disqus
  • เพียงพลิ้ว

    10 กุมภาพันธ์ 2550 10:36 น. - comment id 655267

    กานต์เป็นนิลค่ะพี่พุด มิอาจเป็นนวลได้ค่ะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • บินเดี่ยวหมื่นลี้

    10 กุมภาพันธ์ 2550 10:36 น. - comment id 655268

    1.gif1.gif1.gif31.gif
  • เฌอมาลย์

    10 กุมภาพันธ์ 2550 12:06 น. - comment id 655288

    คงมั่นเฉกรักเราในรอยกาล
    
    36.gif
  • จ.จันทร์สุวรรณ

    10 กุมภาพันธ์ 2550 13:04 น. - comment id 655295

    ใจจะละลาย...
    
    36.gif36.gif
  • เปเป้ซังแม่มู๋ผู้เดียวดาย

    10 กุมภาพันธ์ 2550 17:09 น. - comment id 655352

    4.gif4.gif4.gif 
    ไม่อยากเป็นนวลอ่ะ เดี๋ยวโดนตีอีก
  • พุด

    10 กุมภาพันธ์ 2550 23:51 น. - comment id 655461

    36.gif
    เพิ่งกลับจากไปดูหนังพระนเรศวรมาค่ะ
    เลยขอพลีกำนัลเรื่องแสนรักนี้แด่ทุกดวงใจ
    ที่เป็นกำลังใจให้พี่พุดแสนซาบซึ้ง
    เสมอมานะคะ
    
    สไบนวลสไบนาง!
    
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song480.html
    บทเพลงคำมั่นสัญญา
    
    
    ตะวันดวงรอนรอน
    ทอแสงทองทอดสวย...ส้มอมชมพูประปราย
    คล้ายสาดสีด้วยฝีมือจิตรกรเอกของโลกชื่อธรรมชาติ
    กระจายฉายฉานรัศมีสีรุ้ง
    เหนือเจดีย์วัดไชยวัฒนาราม
    ในยามตะวันชิงพลบ
    
    
    ที่งามสงบเก่าคร่ำงามล้ำค่ามลังเมลือง
    งามราวเมืองสวรรค์ลอยมาเยือนหล้า
    ราวปวงเทพยดาเนรมิตรเป็นทิพยวิมานสถานสถิต
    ผ่านเงางามแห่งอดีตอันวิจิตรศิลป์
    หากทว่าฝากเรื่องราวแสนเศร้ารานร้าวใจ
    
    
    ถึงมาตรแม้นจะเป็นวัดไร้ร้าง 
    สิ่งก่อสร้างที่เหลืออยู่มีก็เพียง 
    พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ
    และเจดีย์รายตามพระระเบียงคดรอบ พระปรางค์ 
    
    
    ให้ดวงใจ..*สไบนวล* เหว่ว้าดายเดียว
    ราวไร้เสียงสังคีตดีดสีตีเป่าเหงาเงียบ
    ช่างสะเทือนสะท้านสะท้อนใจ
    วะแว่วแผ่วเพียงเสียงขับเสภางาม
    สุดกำสรวลเศร้ามาจากเวียงวังในครั้งบุราณกาล
    
    ....................
    
    
    รอนรอนสุริยคล้อย              สายัณห์ 
    เรื่อยเรื่อยเรื่อแสงจันทร์     ส่องฟ้า 
    รอนรอนจิตกระสัน              เสียวสวาท แม่เอย 
    เรื่อยเรี่อยเรียมคอยถ้า       ที่นั้นห่อนเห็น ฯ 
    
    เรื่อยเรื่อยมารอนรอน         สุริยาจรเข้าสายัณห์ 
    เรื่อรองส่องสีจันทร์              ส่งแสงกล้าน่าพิศวง 
    
    ลิ่วลิ่วจันทร์แจ่มฟ้า               เหมือนพักตราหน้านวลผจง 
    สูงสวยรวยรูปทรง                ส่งสีเจ้าเท่าสีจันทร์ 
    
    เอวอ่อนชอ้อนองค์                โฉมอนงค์ทรงสาวสวรรค์ 
    หาไหนไม่เทียมทัน              ขวัญเนตรพี่นี้น่ารัก 
    
    ขาวสุดพุดจีบจีน                    เจ้ามีสีนพี่มีศักดิ์ 
    ทั้งวังเขาชังนัก                      แต่พี่รักเจ้าคนเดียว 
    
    นอนนั่งตั้งอาลัย                    สายสุดใจไม่แลเหลียว 
    หวังชมสมกลมเกลียว            ควรฤาน้องข้องใจเคือง 
    
    ขาวสุดพุดซ้อนแซม               เนื้อแอร่มอร่ามเหลือง 
    โฉมอ่ากว่าทั้งเมือง                หนแห่งใดไม่เหมือนเลย 
    
    ได้น้องทองนพมาศ                มาสังวาสพาดชมเชย 
    ร่วมเรือนเพื่อนพิงเขนย        เคยวิงวอนอ่อนหวานคำ 
    
    ฝนตกยกปีกป้อง                   ฟ้าร้องต้องเอาตนงำ 
    ชิดเชื้อเนื้อนวลขำ                 อ่อนลมุนอุ่นอกเรียม 
    
    รักนุชสุดสายใจ                     ต้องฤทัยไม่เท่าเทียม 
    ขอต้องน้องอายเหนียม           เกรียมจิตเจ้าเฝ้าทุกข์ทน 
    
    ฝนตกฝนหากตก                   แก้วกับอกอย่าโกรธฝน 
    ลมพัดรับขวัญบน                   แก้วโกมลมานอนเนา 
    
    ฝนตกไม่ทั่วฟ้า                      เยนแหล่งหล้าในภูเขา 
    ไม่เยนในอกเรา                   เพราะเพื่อนเคล้าเจ้าอยู่ไกล 
    
    เรียมร่ำน้ำตาตก                    อกร้อนรุ่มดังสุมไฟ 
    แสนคนึงถึงสายใจ                 เจ้าไกลสวาทนิราศเรียม ฯ 
    
    
    เสียงสรวลระรี่นี้                   เสียงใด 
    เสียงนุชพี่ฤาใคร                 ใคร่รู้ 
    เสียงสรวลเสียงทรามวัย       นุชพี่ มาแม่ 
    เสียงบังอรสมรผู้                   อื่นนั้นฤามี ฯ 
    
    
    เสียงสรวลระรี่นี้                   เสียงแก้วพี่ฤาเสียงใคร 
    เสียงสรวลเสียงทรามวัย       สุดสายใจพี่ตามมา 
    
    ลมชวยรวยกลิ่นน้อง             หอมเรื่อยต้องคลองนาสา 
    เคลือบเคล้นเหนคล้ายมา      เหลียวหาเจ้าเปล่าวังเวง 
    
    ยามสองฆ้องยามย่ำ                ทุกคืนค่ำย่ำอกเอง 
    เสียงปี่มีครวญเครง               เหมือนเรียมคร่ำร่ำครวญนาน 
    
    ล่วงสามยามปลายแล้ว            จนไก่แก้วแว่วขับขาน 
    ม่อยหลับกลับบันดาล              ฝันเห็นน้องต้องติดตา 
    
    เพรางายวายเสพย์รส              แสนกำสรดอดโอชา 
    อิ่มทุกข์อิ่มชลนา                      อิ่มโศกาหน้านองชล 
    
    เวรามาทันแล้ว                        จึ่งจำแคล้วแก้วโกมล 
    ให้แค้นแสนสุดทน                  ทุกข์ถึงเจ้าเศร้าเสียดาย 
    
    งามทรงวงดังวาด                      งามมารยาทนาดกรกราย 
    งามพริ้มยิ้มแย้มพราย              งามคำหวานลานใจถวิล 
    
    แต่เช้าเท่าถึงเยน                     กล้ำกลืนเขญเปนอาจิณ 
    ชายใดในแผ่นดิน                    ไม่เหมือนพี่ที่ตรอมใจ ฯ 
    
    เรียมทนทุกข์แต่เช้า        ถึงเยน 
    มาสู่สมคืนเขญ                 หม่นไหม้ 
    ชายใดจากสมรเปน          ทุกข์เท่า เรียมเลย 
    จากคู่วันเดียวได้              ทุกข์ปิ้มปานปี ฯ
    *******************
    
    
    และพลันพาทำให้สไบนวล
    หวนรำลึกนึกคะนึงถึง
    บทกวีเอกของเจ้าฟ้ากุ้ง**นิราศธารทองแดง*
    ที่ชมไม้ดอกและธรรมชาติอันแสนงดงาม
    
    **********
    ชาตบุษ์ปพุทธชาตซาบ    กุหลาบกนาบทั้งสองทาง 
    เบงระมาดยี่สุ่นกาง          กลีบบานเพราเหล่าดาวเรือง ฯ 
    
    ชาตบุษ์ปพุทธชาตขึ้น      เคียงกลาง 
    กุหลาบกนาบสองทาง       กลิ่นฟุ้ง 
    เบงระมาดยี่สุ่นกาง          ตรงกลีบ 
    สาวสาวฉวยชิงหยุ้ง          เก็บร้อยรอยกรอง ฯ 
    
    ๖๒ เพกาสาเกกุ่ม            ไม้ตาตุ่มทุมราชา 
    สุกรมมะยมพวา               ไม้หมากข้าขานางเปล้า ฯ 
    
    เพกาฟักย้อมกุ่ม              ผลหนา 
    ตาตุ่มทุมราชา                  เนื่องหน้า 
    สุกรมมะยมพวา                ชมพู่ 
    สาเกไม้หมากข้า                อิกเปล้าขานาง ฯ 
    
    ๖๓ กะจายสยายซร้องนาง  ผ้าสไบบางนางสีดา 
    ห่อห้อยย้อยลงมา               แต่ค่าไม้ใหญ่สูงงาม ฯ 
    
    กะจายสยายคลี่ซร้อง          นงพะงา 
    สไบบางนางสีดา                 ห่อห้อย 
    ยื่นเลื้อยเฟื้อยลงมา            โบยโบก 
    แต่ค่าไม้ใหญ่น้อย              แกว่งเยื้องไปมา ฯ 
    
    ๖๔ กระเช้าเจ้าบรรจง         ปากแฉกตรงทรงหาบหาม 
    แล่งปืนของพระราม             รูปงามดีมีสืบมา ฯ 
    
    กะเช้านางแต่งเจ้า               ผจงงาม 
    ปากแฉกทรงหาบหาม          ห่วงห้อย 
    แล่งปืนของพระราม              ยังอยู่ 
    รูปร่างงามน้อยน้อย              งอนขึ้นสืบมา ฯ 
    
    ๖๕ เล็บนางงามแสล้ม           ต้นนางแย้มแกมดองดึง 
    สุพรรณิกากากระทึง              ดอกราชพฤกษ์ซึกไทรไตร ฯ 
    
    เล็บนางนวยแน่งน้อย          พอพึง 
    นางแย้มแกมดองดึง             อีกอ้อย 
    สุพรรณิกากากระทึง              บานแบ่ง 
    ราชพฤกษ์ซึกดวงย้อย          พู่เพี้ยงไทรไตร ฯ 
    
    ๖๖ ชงโคตะโกตะขบหว้า        ต้นตุมกากาฝากลง 
    ชอบกลต้นมหาหงส์               มะเดื่อดูกลูกนมแมว ฯ 
    
    ชงโคตะโกขบหว้า          ดาดดง 
    ตุมกากาฝากลง              ติดไม้ 
    นมแมวมหาหงส์            เห็นอยู่ 
    มะเดื่อดูกลูกงอกได้       แส่ทึ้งสอยกิน ฯ 
    *********
    
    
    สไบนวล..สนใจเมืองเก่านี้
    และหลายครา
    ที่เธอจะเห็นในภาพฝัน
    คืนที่พระจันทร์ผ่องเพ็ญเต็มดวง
    
    
    ในฝัน....
    เธอจะห่มสไบแพรสไบขวัญสีโศกสีเศร้า
    และทัดดวงดอกลั่นทมสีขาวพราวริมแก้มแซมผมหอม..ให้หอม
    
    
    ในฝัน..
    จะมีบุรุษหนึ่งร่างล่ำสันผิวสีทองแดง
    ราวบุรุษอาชาไนยจะคอยเคียงใกล้
    
    
    และน่าแปลกนัก
    ที่เธอและเขากำลังค่อยๆ
    ช่วยกันประคอง*โคมลอย*
    
    แล้วค่อยๆปล่อยขึ้นไปเหนือฟ้าทิศบูรพา
    ราวจะช่วยกันพลีบูชาพระอิศวร พระนารายณ์ พระอินทร์
    พระบรมสาริริกธาตุเกศแก้วจุฬามณีในดาวดึงส์พิภพ
    ที่บรรจุมวยผม.*.เจ้าชายสิทธัตถะ*ที่เชือดด้วยพระขรรค์
    ก่อนการดำรงเพศนักบวช
    จนได้บรรลุเป็นพระบรมศาสดาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    
    
    และ
    บูชาพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่
     ณ หาดทรายที่เรียกว่านะมะทานที 
    เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่..
    
    
    และ
    ในทุกราตรีมิเว้นว่าง
    ตั้งแต่เธอย่างเข้าเป็นกุลสตรีสาวสะพรั่ง
    เธอจะฝันบ่อยขึ้นบ่อยเข้า
    เกี่ยวกับเมืองเก่าของเราแต่ก่อน
    จิตใจอาวรณ์อย่างยากที่จะเล่าให้ใครฟัง
    
    
    อย่างที่อยากจะรู้จักสัมผัสให้ล้ำลึก
    เธอ..จึงรู้สึกยิ่งรักผูกพัน
    ราวกับว่าชาติปางก่อนมาบันดาลบุญหนุนนำ
    และ
    ด้วยดวงจิตวิญญาณอันแสนละเอียดอ่อน
    ยิ่งทำให้เธอหวนไห้อาวรณ์
    อยู่กับสิ่งที่เธอยังมองไม่เห็น
    ที่มิอาจจะบอกใครได้
    
    
    สไบนวล  จึงทำได้เพียงราวรอเวลา
    ให้ดวงตาสวรรค์ฟ้าดินเมตตา
    เปิดม่านบังตาให้เธอได้รับรู้
    สิ่งที่แสนลึ้ลับพิสูจน์ไม่ได้
    ราวปาฏิหารย์รักมหัศจรรย์รอ
    
    
    สไบนวล..คนดี
    จึงต้องวนเวียนกลับมา
    สัมผัสเหว่ว้าดายเดียวแทบทุกอณูนะที่นี่..
    ที่อยุธยา
    *ราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำคนดีศรีอยุธยา*
    เมืองที่มี แม่น้ำเจ้าพระยาแม่น้ำป่าสักแม่น้ำลพบุรี แม่น้ำน้อย 
    ไหลผ่านให้จิตวิญญาณผู้คนพันผูกกับสายน้ำอย่างมิรู้สิ้นรู้จบ
    
    
    พบสงบงามเจดีย์เก่าระดะยอด..
    พระปรางค์โบราณที่วัดมหาธาตุ
    ที่มีผอบศิลา ภายในมีสถูป 7 ชั้น 
    มี ชิน เงิน นาก ไม้ดำ ไม้จันทร์แดง
     แก้วโกเมนและทองคำ และชั้นในบรรจุ
    พระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอันมีค่า
    
    
    ไหน..จะยังมีโบราณสถานสถิตใจวังหลัง
    เป็นอุทยาน สวนหลวง 
    ปรากฏสิ่งสำคัญหลงเหลือคือเจดีย์พระศรีสุริโยทัย 
    อนุสรณ์สถานของวีรสตรีไทยพระองค์แรก  
    เกียรติแห่งวีรสตรีไทย 
    ที่คนไทยมิมีวันลืมยังจำตราตรึง
    ถึงความเสียสละอันแสนงดงามยิ่งใหญ่
    อย่างยากหาผู้ใดมาเสมอเหมือน
    
    
    และ
    ณ..ที่แห่งนี้ทำให้สไบนวล
    ได้รู้จักราชธานีเก่า มากขึ้นว่า
    นามว่า กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์
    ที่มีคำขวัญว่า
    
     ราชธานีเก่าอู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวีคนดีศรีอยุธยา*
    
    ที่มีเมืองอยู่ในที่ราบเป็นดั่งอู่ข้าวอู่น้ำ
    
    
    เลิศล้ำกานท์กวีคนดีศรีอยุธยา
    ก็เพราะ
    ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มียุคทองของ วรรณคดี
    คือ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
    และสมัยพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ 
    กอรปด้วยกวีเอกที่มีความสามารถล้ำเลิศ 
    เช่นสมเด็จพระนารายณ์
     พระมหาราชครูศรีปราชญ์ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) 
    พระโหราธิบดี เป็นต้น
     
    
    วรรณคดีที่สำคัญ เช่น สมุทรโฆษคำฉันท์ 
    โครงกำศรวลศรีปราชญ์ 
    กาพย์ห่อโคลง ประพาสธารทองแดง 
    จินดามณี มหาชาติคำหลวง เป็นต้น  
    
    
    คนดีศรีอยุธยา 
    หมายถึง จังหวัดพระนครศรีอยุธยากอรปด้วยคนดี 
    มีความสามารถทุกยุคทุกสมัยตลอดมา
    แม้เมื่อกรุงศรีอยุธยาต้อง เสียกรุง ให้แก่พม่าถึง 2 ครั้ง 
    แต่ก็ยังสามารถกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้  
    ก็ด้วย เหตุเพราะมีคนดีที่มีความสามารถนั่นเอง ...
    
    
    แล้ว
    ไหนจะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย
    วัดวาอารามอันงามคร่ำ
    วัดพุทไธศวรรย์ 
    วัดไชยวัฒนาราม วัดกษัตราธิราช
    และเจดีย์พระศรีสุริโยทัยอันสง่างามอีกด้วย 
    
    
    และที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร 
    พระประธานในพระวิหาร
    ชื่อพระเจ้าพนัญเชิง (หลวงพ่อโต)
    สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1867 นับเป็น 
    พระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย
    ฝีมือปั้นงดงาม เป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัด 
    
    
    และตามตำนานกล่าวว่า 
    เมื่อคราวพระนครศรี อยุธยาจะเสียแก่ข้าศึกนั้น 
    พระพุทธรูปองค์นี้ มีน้ำพระเนตรไหลออกมาทั้งสองข้าง
    ราวกับว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่นะภายใน
    
    นอกจากนั้น
    ยังมากมีมากมายโบราณสถานที่น่าสนใจ
    
    
    และ
    ด้วยเหตุ
    เพราะมีใครบางคน..ในฝัน
    ที่แสนย์รักเอยแสนรักในกมล
    ราวหมุนวน
    อดีตลาลอย เลือนเลยลับให้รอเวลาหวนคืนกลับมา..
    
    
    ให้ผู้หญิงเรียวหน้าละมุนงามเศร้า
    รอคอยราวกับมีบางสิ่งคอยร่ำร้องเพรียกหา
    มายาวนาน
    ในทุกทิวาหวามราตรีขวัญ
    ทุกคืนจันทร์เพ็ญเด่นดวง
    ด้วยแรงจิตอธิษฐานบนบานกล่าว
    และ
    ดั่งคำมั่นสัญญา
    
    
    http://www.thaipoem.com/web/songshow.php?id=480
    
    คำมั่นสัญญา   
    
    ถึง ม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
    ไม่ สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
    แม้ อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
    ขอ พบพาน พิศวาส ไม่คลาดครา
    แม้น เนื้อเย็น เป็นห้วง
    มหรรณพ
    พี่ ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
    แม้ เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
    เชย ผกา โกสุม ปทุมทอง
    แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
    ใคร่เป็นหงษ์
    จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
    ขอ ติดตาม ทรามสงวน
    นวลละออง
    เป็น คู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป
    
    แม้ เป็นถ้ำ อำไพ
    ใคร่เป็นหงษ์
    จะ ร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
    ขอ ติดตาม ทรามสงวน
    นวลละออง
    เป็น คู่ครอง พิศวาส
    ทุกชาติไป...
    
    **************
     
    
    
    
    สไบนวล..ค่อยๆพาตัวเอง
    มาทรุดตัวลงนั่งใต้กิ่งลั่นทมหวานสะพรั่ง
    ดวงดอกดก...สถานที่ดั่งคำมั่นสัญญา
    ไห้โหยหาอดีตรักอันงามงด
    ราวปรากฎในกระแสจิตวิญญาณผ่านภพ
    
    
    เธอหลับตาช้าๆ...
    วงหน้านวลละออ
    ริมเรียวแก้มขวัญนั้น
    มีดวงดอกลั่นทมแซมริมไรผมหอมเศร้า
    
    
    แล้วไยเล่า..ในความว่างนั้น
    พลันราวมีภาพพร้อมพลังเสียง..
    จากฟากฟ้าแสนไกลค่อยๆลอยล่องเข้ามา
    ราวกับว่าทุกเรื่องราว
    กำลังเกิดตรงหน้าเธอนะบัดนี้..
    
    ที่ราวภาพในนิมิตฝัน
    
    
    ผู้ชายคนเดิมคนดีผิวสีทองแดง..กำลังเอนอิงในอ้อมตัก
    ในห้องหับเรือนไทย
    ที่ได้กลิ่นเกสรดอกไม้หอมเศร้า
    เคล้าอวลมากับสายลมบางเบา..
    
    
    เขาช้อนสายตาแห่งรัก
    ราวพิมพ์พักตร์ผุดผ่องนวลเนื้อทอง
    ที่ค่อยๆประคองหน้าลูบไล้อย่างแผ่วเบาอ่อนหวาน
    น้ำตานัยน์เรียวตาเศร้าราน
    ค่อยๆระรินหยดบนอกอุ่นแข็งแรง
    
    
    เขาใช้มือสากไล้โลมเรียวแก้มหอมน้อมโน้มหน้านวล
    ประคองจูบประทับรับขวัญซับหยาดน้ำตา
    
    
    เสียงเขาราวลอยมาจากฟ้าแสนไกล
    ปลอบประโลมใจหนักแน่น
    นุ่มนวลอ่อนหวานอ่อนโยน..
    
    *คนดีอย่าร้องไห้..
    ข้าจำพรากไปพลีหยาดเลือดรัก
    ทำหน้าที่ยิ่งใหญ่เพื่อผืนดิน
    ให้เลือดละหลั่งรินจนหยาดสุดท้ายฝากไว้ทาแผ่นดิน*
    
    
    
    ให้ลูกหลานไทยและโลกรู้ว่า
    *กรุงศรีอยุธยาจะมิมีวันสิ้นคนดี*
    ข้าขอพลีคำมั่นสัญญา
    เอาหยาดเลือดชะโลมหล้าชะโลมดิน*ไม่รักตัวกลัวตาย*
    
    *ให้รู้ว่า
    ลูกผู้ชายชาติไทยหัวใจไท
    หัวใจนั้นดั่งเหล็กกล้า
    ให้ไอ้พวกข้าศึก..ได้สำนึกว่า..มันอย่าได้มาหยาม..
    และ
    ให้มันหลั่งน้ำตารดเท้าสังเวยข้า..ที่มันบังอาจ..นัก!*
    
    
    *นวล..เจ้าเอย..
    เจ้าผู้พิสุทธิ์ผ่องแผ้ว
    จงถนอมแก้วถนอมขวัญถนอมใจ
    รอวันที่ข้ากลับมา
    
    กลักทองที่เจ้ามอบให้ข้านั้น..*
    
    
    
    *ให้เจ้าจงรู้ว่า
    คือที่รวมขวัญพลี
    ที่รวมจิตวิญญาณข้ามิให้พรากไกล
    
    ถึงร่างเราจำไกล 
    แต่หัวใจเราสองดวงนั้น..
    ได้พลีคำมั่นสัญญา
    ยอมร่วงลงสู่ปวงพื้นพสุธาพร้อมกันแล้วมิใช่ดอกละหรือ.*
    
    
    *และจะยึดถือคำสัตย์มั่นมิปันแยก
    จะกี่ภพกี่ชาติ
    ให้พิสวาสดั่งคู่บุญญา 
    
    จะตามติดเป็นพุทธมามกะ
    ขออธิษฐานจิต
    สถิตทอดคู่กันตลอดไปชั่วกัลปาวสานต์นะนวล*
    
    
    *เจ้า..ชวนข้าไปจุดเทียนมงคลบนบานในโบสถ์คร่ำ*
    
    เจ้ารู้ไหมยามนั้น
    ข้าเห็นเจ้างามตามแสงเทียนทองทอ
    
    งามใดไหนเล่าเจ้าเอย
    จะงามเท่าจิตไสว
    ที่พร่างสว่างสงบอยู่ภายในกายเจ้านะแม่สไบนวล*
    
    
    และ
    *ข้าแสนรัญจวนใจ
    เมื่อยามคิดว่าร่างเจ้านั้นงามเสียยิ่งกว่านางใดในปฐพีนี้*
    
    ที่ข้าจะขอพลีเสน่หามิเสื่อมคลาย
    
    
    *ใกล้สว่างแล้ว..ดุเหว่าแว่วเรไรร้อง
    ไหนเจ้าบอก
    จะเก็บดอกไม้หอมหอมมาให้ข้าห่อไว้ชายสไบ
    ให้ข้านำติดตัวไปอย่างไรเล่า*
    
    
    แต่
    *ถึงไม่มีไม้หอม
    กลิ่นนวลก็ราวพยอมหอมอวลในอกในใจข้าเสมอมา*
    
    
    *จำเอาไว้นะนวล..
    กลักทอง
    คือกล่องเก็บนิรันดร์รักแห่งเรานะเจ้ายอดดวงใจ*
    และ
    *ยามสุดท้ายแห่งลมหายใจข้า
    สไบนางของเจ้าผืนนี้
    จะคู่ร่างคู่ชีวีคู่จิตวิญญาณข้าไปในทุกหน*
    
    
    *ข้าจะใช้มันซับหยาดเลือดและน้ำตา.
    ที่ข้าจะพลีจนหยาดสุดท้ายเพื่อปกบ้านป้องเมือง
    .ที่ข้าจะไม่มีวันเสียดายเสียใจ*
    
    
    หากทุกหยดเลือดนั้นจะหยาดรินแม้สิ้นสาย
    เพื่อเกียรติภูมิแห่งผืนดิน
    พื้นพสุธานี้ที่ข้าแสนรักเสียยิ่งนักแล้ว*
    
    
    *ข้าขอสัญญานะนวล
    
    เจ้าจงอย่าได้กำสรวลหวนไห้หาข้า
    อย่าเหว่ว้าดายเดียว
    หากดวงชีวิตข้าถูกปลิดปลงลงสังเวยมาตุภูมิแม่*
    
    
    *ข้าผู้ไม่แพ้
    จะรอเจ้า.บนฟากฟ้า
    รอเวลาเราสองได้ครองคู่กัน
    จะนานสักกี่กัป์ปกัลป์ข้าก็จะรอเจ้านะนวล*
    
    
    
    ให้เจ้า..นวลละออจงไปวัดเพียรภาวนา
    และอธิษฐานจิตทุกเวลา
    
    
    *และเจ้ารู้..
    ข้าจะสถิตทอดทุกที่
    ในผืนดินนี้เพื่อปกป้องคุ้มครองเจ้า
    และยามเหงา..เจ้าจงไปนั่งใต้ลั่นทมงาม..*
    
    
    ที่*เจ้ารู้ดีว่า
    ข้านี้ชอบเด็ดดอกหอมๆมาทัดแก้มแซมผมให้เจ้า*
    และนะที่แห่งนั้น..
    สวรรค์จะเปิดดวงวิญญาญ์เจ้า
    ให้รับรู้เรื่องราวแห่งรักอมตะของสองเรา
    ดั่งคำอธิษฐานดั่งคำมั่นสัญญา*
    
    
    *จงจำไว้นะที่แห่งนั้นคือ
    สวรรค์ลอยคอยรอรักแห่งภักดีของสองเรา
    ที่จะไม่มีวันพรากจากกัน
    
    จะตามมาเตือนเจ้านั้นให้หันมอง..ลูกผู้ชายคนดี
    
    ที่มาหมายปองเจ้าราวแสนรักเอยแสนรักในกมล
    มิผิดคนผิดคำ.*.
    
    ********
    หญิงสาว..สะดุ้งจากภวังค์ราวฝันไป
    ที่ทุกเรื่องราวราวได้สัมผัสมิติยิ่งใหญ่ที่ยากอธิบาย
    ราวฉากในเรื่องทวิภพ..
    
    
    เธอค่อยๆหันไป
    แล้ว...
    หัวใจเธอก็แทบหยุดเต้น..!
    
    นั่นไง..
    ผู้ชายคนนั้นคนในฝัน
    ที่เธอเห็นในนิมิตประจำ
    และกับนาทีที่เพิ่งผ่านไป
    ที่เธอเผลอตกในภวังค์ฝัน
    ราวกับไปพบเห็นภาพจริง
    
    
    ที่นะบัดนี้ 
    เขาคนดี...
    ผิวสีทองแดงดูงามสุกปลั่งรับดวงตะวันสีทอง
    กำลังค่อยๆหันหลังไปชื่นชมภาพตะวันลา
    
    
    หากทว่า...
    เมื่อนวลเห็นหน้า
    ยิ่งพาให้ใจเต้นสั่นระริกราวจะเป็นลม..
    พอกับดวงดอกลั่นทม
    ที่นะบัดนี้กำลังปลิดปลิว...ปลิดปลิว.....
    ลิ่วลอยควะคว้าง.....
    ลงพร่างพรมห่มพื้นพสุธา
    และหอมห้วงหัวใจ..สไบนวล  ราวดวงตาสวรรค์พลันรับรู้....!!
    
    ***********************
    
    
    
    http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_60930.php
    สไบนาง    แสนย์  
    
    เจียนหมากพลูสู่พี่ชายรออ้ายกลับ
    ตั้งตำรับเตรียมข้าวปลากระยาหาร
    มะลิน้อยลอยบนขันไว้ประทาน
    หลังเสร็จงานออกศึกอ้ายจักคืน
    
    ***************************************************************
    
    ..ท้องฟ้าเหนือกรุงศรีอยุธยา..ยามนี้ดูมืดมิด ราวกับพายุลูกใหญ่กำลังจะพัดผ่านมาเยือน
    เสียงกลองศึก ดังกระหึ่ม...สัญญาณ...เตรียมออกศึกเริ่มขึ้นแล้ว
    อีกไม่นาน..เลือดจักหลั่งไหลนองอาบพื้นธราดล..สองเผ่าชนจักห้ำหั่น
    ฝ่ายหนึ่ง...เพื่อครอบครองผืนแผ่นดิน
    ฝ่ายหนึ่ง....ปกป้องแผ่นดินเกิดแลแผ่นดินตาย
    
    สดับเสียงพละพลแล..กลองศึก
    คะนองคึกตีฝ่าข้ามไพรศรี
    หมายห้ำหั่นดัสกรหมู่ไพรี
    ป้องกรุงศรี..แผ่นดิน..ถิ่นเรือนตาย
    
    กำดาบสู้ใจหวนอยู่คู่นุชนาฏ
    อ้ายนิราศใครจักป้องจากเหตุร้าย
    แต่ดนัยมีศักดิ์แห่งชาติชาย
    มิอาจหมายหนีทัพกลับมาแล
    
    พลันยินเสียงอัสนีฟาดกึกก้อง
    สะเทือนร้อง ดวงหทัย ใฝ่หาแม่
    สังหรณ์เหตุอาเพศร้ายในดวงแด
    เกรงนวลแขถูกลอบกล้ำช้ำเรือนกาย
    
    ยามพะวงดาบหนึ่งถึงอุระ
    ใจเจ็บแปลบคล้ายจะแหลกสลาย
    สิ้นเรี่ยวแรงแห่งกำลังประคองกาย
    เฮือกสุดท้ายน้ำเนตรหลั่งพลั่งสู่ดิน
    
    ผะแผ่วปราณ..มานชิดเจ้าจอมใจ
    เพียงสไบแนบทรวงก่อนลมสิ้น
    ยกขึ้นดอมยังหอมหวนอวลระริน
    ซับน้ำตาจิตโบยบินไปซบนวล
    
    ร่ายโศลกโศกแจ้งแถลงเอื้อน
    ชะตาเฟือนเลือนลบภพกำสรวล
    สิ้นแล้วหรือวาสนากับเนื้อนวล
    ไม่ทันหวน..ก็เลยลับ...ไป่กลับเรือน
    
    ฤา...จุดจบของนักรบ..มิแผกกัน...  
    
    
    
    http://www.thaipoem.com/web/poemdata/poemdata_60693.php
    กลักทอง แสนย์ 
    
    ยามรุ่ง..ก่อนเสียกรุงศรีอโยธยา
    
    เปิดกลักทองรอง ผ้าตาด นาฏมอบให้
    กรุ่นละไมกรรณิการ์ มณฑาหอม
    อ้าย..ยังจำวันรับกลักจากหัตถ์พะยอม
    สร้อยถนอมบรรจงวางตรงกลางกร
    
    ..ให้โหยหวนครวญหา..คราอดีต
    
    แว่วจำเรียงเสียงไพเราะเสนาะกรรณ
    ถ้อยจำนวรรจ์ฝากความจากสมร
    สื่อลำนำเสน่หาก่อนอ้ายจร
    ให้ภาดรเก็บไว้แทนใจนาง
    
    สอดกลักน้อยกลอยใจไว้ใต้เกศ
    ข่มเทวษโทมนัสก่อนสะสาง
    ทวงหนี้เลือดเชือดพม่าแด่นวลนาง
    อ้ายจักใช้เลือดมันล้างปฐพี
    
    ก้มกำดาบอาบมนต์ไพรีพินาศ
    ยามแกว่งวาดอริราชจุ่งถอยหนี
    คม แกร่ง แข็งดั่ง วิเชียรมณี
    ใช้สับร่างไพรีให้แหลกราญ
    
    ท่ามพสุธ..อยุธยาธราภพ
    เลือดนักรบจักหลั่งลงอย่างกล้าหาญ
    จวบร่างแหลกกายดับลับวิญญาณ
    อยู่บำราบอริมารผลาญแผ่นดิน
    
    ..สิ้นแสงอรุโณทัย...เพลิงเผ่าไหม้ศรีเทพนคร..บัดนั้นอโยธเยศก็สิ้นลง...
    
    กลักทองต้องพื้นพสุธา
    พร้อมวิญญาชาตินักรบก็จบสิ้น
    ชลนาหยาดสุดท้ายต้องแผ่นดิน
    ไฟชีวินมอดมลาย..สลายลง......
    
    ..............
    
    
    
    
    36.gif
  • พุด

    11 กุมภาพันธ์ 2550 00:07 น. - comment id 655465

    36.gif
    แนะนำเวบย้อนรอยดูการถ่ายทำตำนานพระนเรศวรนะคะ
    http://www.moohin.com/trips/kanchanaburi/narasoun/
    imghistory_003.jpgimghistory_003.jpg36.gif16.gif
  • พุด

    11 กุมภาพันธ์ 2550 00:30 น. - comment id 655472

    36.gif16.gif
    คัดจากเสี้ยวนึงในที่เกี่ยวกับพระนเรศวรค่ะ
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem73894.html
    *รุ่งอรุณแห่งความสุข*
    
    รุ่งอรุณแห่งความสุข!
    .............................
    ......................
    
    และ...
    พระอจนะที่วัดศรีชุม
    มีประวัติที่มาตามพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา
    
    ว่า...ในรัชกาล...
    พระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
    เมื่อทรงนำกองทัพ
    ไปทำสงครามปราบปรามกบฎเมืองสวรรคโลกและเมืองพิชัย
    ได้ทรงพักกองทัพ ณ ที่วัดแห่งนี้..
    
    
    
    และ...
    นำไพร่พลทำพิธีบวงสรวง*พระอจนะ*ก่อนเสด็จยกทัพต่อ
    
    ครั้งนั้นกล่าวกันว่า
    *มีเสียงพูดออกมา*
    จากองค์พระอจนะ สร้างความอัศจรรย์
    และสร้างขวัญและกำลังใจ
    ให้กับกองทัพกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างยิ่ง
    
    
    
    และ
    นี่คือสิ่งที่เป็นแรงฝันพลังศรัทธาของผม
    ที่ทำให้ดั้นด้นมาถึงนี่
    
    ให้ผม..มานั่งนิ่งงันกับพลังแห่งความสงบงาม
    ที่ช่างแผ่ไพศาลไปรายรอบ
    ราวกับจะโอบประคองผมไว้
    
    
    ด้วยน้ำพระทัยมากล้นพระเมตตาบารมี
    พลีให้หัวใจดวงดีดวงทองของผม
    กำลังถูกคลี่ห่มด้วยพลังแห่งความขลังศักดิสิทธิ์
    
    
    
    ใจดวงนิรมิตของผม...ราวได้ยินเสียงไพร่พล
    โห่ร้องก้องกังวานมากับสายลมเย็น
    ให้
    ผมได้ตระหนักซึ้งค่าว่า ...
    ความกล้าหาญ 
    ความรักชาติ และความเป็นชายชาตินักรบ
    ของลูกผู้ชายชาวไทยหัวใจแกร่งขวัญนั้น 
    
    ได้ถูกปลูกฝังหล่อหลอม
    ให้น้อมจิตคารวะ
    สร้างพลังศรัทธาจากศาสนามาอย่างยาวนาน
    
    ให้มีจิตวิญญาณถึงพร้อมยอมพลีชีพนี้  
    หากจำเป็นเพื่อปกบ้านป้องเมืองจากอริราชศัตรู
    ที่จำต้องเสียสละด้วยความจงรักภักดีอย่างสูงสุด!
    
    
    
    
    ผมนั่งนิ่ง..งันเงียบ
    ราวโลก...มีเพียงผมลำพังผู้เดียว...
    
    ในท่ามกลางรำไรรำไรแห่งแสงเทียนทอทาบ
    ที่อาบไล้ฉาบไปตามผนังโบสถ์คร่ำ
    
    
    
    น้ำตาผมกำลังพร่างสายราวสายฝนริน
    เต็มสองข้างแก้มลูกผู้ชาย
    ที่ร้องไห้เป็น  ในรอบหลายสิบปี
    
    ให้หัวใจดวงนี้ ที่รู้สึกราวมีพลังลึกลับ
    คอยเฝ้าเตือนให้กลับมารำลึกรู้ยังสัญญาเดิม
    
    
    ผม...เริ่มจับสมาธิภาวนา
    ไปกับฟ้าใกล้ค่ำ
    กับเสียงเรไรร่ำจิ้งหรีดจักจั่น
    ร้องแว่วแผ่วมากับสายลมรำเพย...
    
    จิตภายใน..ดวงวางเฉย..เริ่มนิ่งเฉย..
    วางว่างราวไร้ร่างไร้ตัวตน....
    
    เริ่มลอยพลัน...
    พาผมไปสู่สวรรค์แห่งอดีตแสนงาม...
    
    กับม่านน้ำตาแห่งปิติ
    ที่พร่างรินพร่างรินมิสิ้นสาย.....
    
    พร้อมกับได้ยินได้เห็นบางสิ่ง....
    
    ที่กำลังลอยเลื่อนลงมาราวภาพเกิดตรงหน้านะบัดนี้...!!!!!!!
    
    ..................
    
    
    36.gif16.gif
  • พุด

    11 กุมภาพันธ์ 2550 00:40 น. - comment id 655473

    36.gif16.gif
    และจากอีกเรื่องรักเกี่ยวกับอยุธยา
    เมืองเก่าของเราแต่ก่อนที่พุดพลีจิตวิญญาณ
    รจนาไว้ค่ะ
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/poem76049.html
    
    แผ่นดินของเรา
    
    
    ตลับเพชร.....
    ตัดสินใจมาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ..
    
    และ...
    ที่นี่..ที่..วัดสลักหรือวัดมหาธาตุ
    ในยามตะวันชิงพลบ...
    
    
    
    เธอคนดี
    กำลังนั่งทอดตาเหว่ว้า
    ใต้ลีลาวดีใบเขียวไพลดอกพราวใกล้ๆลานโล่งกว้าง
    และ..
    นัยน์เรียวตาอันแสนอ้างว้าง...
    ราวเพิ่งผ่านพ้นเรื่องรานโศกสะเทือนใจมา..มิช้านาน
    ราวกับมีหยาดเพชรละออคลอซึมค้าง
    ดั่งหยาดน้ำค้างใสพร่างรอร่วงพรู
    
    
    
    เธอ....
    ตัดสินใจ มาที่นี่ มาตามหารอย..*วีรบุรุษในดวงใจ*
    และ..คงเป็นของคนไทยทั้งชาติ..หากมิพลาดอ่าน
    
    
    
    หนังสือนวนิยายแสนดีอิงประวัติศาสตร์
    ชื่อว่า*รัตนโกสินทร์ กำเนิดกรุงเทพ
    โดยคุณปองพล  อดิเรกสาร 
    ให้จบลง.........
    
    
    
    และ...
    นาทีนี้เธอ..
    อยากแนะนำให้ทุกดวงใจ
    * กระวีกระวาด**นักอยากจะเขียน*ในร่มรัก
    ได้ซื้อหามาอ่านผ่านตา
     เพราะจะมีคุณค่าทางด้านจิตวิญาณบ้านภายใน
    
    
    
    
    ให้เราทุกดวงใจ
    ได้รำลึกรู้ถึงความยิ่งใหญ่
    ในความเสียสละของบรรพบุรุษไทย...บรรพชนของเรา
    ผู้พลีเลือดทุกหยดรินรดลงหลั่งชะโลมหล้า
    เพื่อปกบ้านป้องเมืองไว้ให้เราลูกหลานไทย
    
    
    ได้มีแผ่นดินไท มิใช่ทาส ..
    ได้หยัดยืนอย่างองอาจภาคภูมิในแผ่นดินทองของเรา
    
    ให้รู้กตเวทิคุณและภูมิใจในสายเลือดนักรบไทย ผู้ทรนงและหาญกล้า
     สอนให้เรารู้ซึ้ง...ถึงค่าคำว่ากตัญญูรู้คุณต่อผืนแผ่นดิน
    
    
    และ...
    รู้จักจดจำมิสร้างประวัติศาสตร์ชาติให้ชอกช้ำย้ำรอยเดิม
    
    ให้รู้จำคำว่าสงครามนั้น..
    หากตราบใดที่กระโจนลงมาในสนามภูมิรบกัน
    ก็จะมีทั้งวันพ่ายแพ้แลชนะ
    
    ใครพลาดท่าก็จะตกเป็นฝ่ายย่อยยับอัปราชัย..!!
    
    ให้เกิดความโศกเศร้าสะเทือนใจ..ที่สุดแสนเทวษถวิล..!!!
    อย่างในยามที่เราสิ้นกรุงศรีอยุธยา ..!
    
    
    ในคืนที่ฟ้าไทในกรุงศรีอยุธยาแดงโชติช่วงฉายฉาน
    ปานประหนึ่งอาบท่วมไปด้วยเลือด เลือด..และเลือด..!!!!!
    
    มีเพียงม่านควันไฟลุกโพลงโหมไหม้
    ทำลายบ้านเรือนวัดวาอาราม
    ที่แสนมลังเมลืองอลังการปานทิพยวิมานสวรรค์สรวงมาเยือนหล้า...อย่างย่อยยับ..!!!!!
    เหลือ...เพียงทรากปรักหักพังในชั่วพริบตา.....!!!!
    
    
    ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง
    อันโหยหวน เสียงอาวุธ กระทบกัน ทั้ง  หอก ดาบ ปีนคาบศิลา
    
    และ..
    ที่ตามมา...คือ...กลิ่นคาวเลือด...และซากศพนับหมื่นพัน
    ทั้งไทยพม่าที่ฟาดฟันกันอย่างไร้ปรานี..ปล่อยให้ชีวีหลุดลอยปลิดปลิว
    ตายไปในสมรภูมิรบ..ราวใบไม้ร่วง
    ถมซ้อนทับกัน..จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร..!!!!! 
    
    
    ไหนจะเสียงร้องระงม...ตามหากันจ้าละหวั่น
    เพื่อให้หนีภยันตรายอันหมายถึงชีวิตให้พ้นผองภัย
    
    ทั้งเด็กผู้หญิงที่จักถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ความปรานี 
    อย่างที่มิสามารถจะปกป้องตนเองได้
    
    ความโหดร้ายเหี้ยมเกรียม  ทารุณในสนามรบ .!
    ไฟที่กำลังคุโพลง..!สว่างจ้า  ราวกลางวัน
    
     หากทว่าในดวงใจไททุกดวงราววัน*แห่งอาทิตย์อับแสง..!!! *
    แฝงด้วยความโศกาอาดูรพูนเทวษ 
    
    จนน้ำตาก็ไร้ค่ามิพอที่จะหลั่งรินสังเวย..ทั่วทั้งปฐพี!!!!
    
    
    มีเพียงใจดวงหนาวร้าวระกำช้ำลึกอย่างยากที่จะเยียวยา..!!!!
    
    ราวกับสิ้นทั้งโลกหล้า 
    ฟ้า แล ดิน..สิ้นอินทร์พรหม ยมพญา
    พลอยพากันวิปโยคโศกสะเทือน...โหยไห้..ร่ำหา..ครางครวญ
    อวลกลบกลืนไปทั้งผืนฟ้า........อยุธยาธานี 
    
    ที่ ณ..บัดนี้..ร้างไร้...
    คล้ายเหลือเพียงจิตวิญญาณ
    
    ที่ลอยล่อง อย่าง...เจ็บช้ำ เจ็บแปลบ แสบแสน ในโศกนาฎกรรมนี้
    
    ที่มิอาจพลี จิตร่างรักษาเมืองไว้ให้ลูกหลานได้.....!!!!!
    ....................
    ..............................
    
    
    
    ตลับเพชร ....
    ราวได้ยินเสียงบทรำพันอันอาดูรสูญสิ้นแล้ว..... จากนิราศนรินทร์
    
    ที่รำพึงถวิลถึงอดีตอันแสนงามตราตรึง..
    ในคะนึงใน ลอยแว่วแผ่วโหยเศร้า...เคล้าสายหนาวลมหลังฝนมาณ..นาทีนี้
    .............
    
    
    
    ศรีสิทธิ์พิศาลภพ เลอหล้าลบล่มสวรรค์ จรรโลงโลกกว่ากว้าง เผยแผ่นผ้างเมืองเมรุ ศรีอยุธเยนทร์แย้มฟ้า แจกแจงจ้าเจิดจันทร์ เพียงพิพรรณผ่องด้าว ขุนหาญห้าวแหนบาท สระทุกข์ราษฎร์รอนเสี้ยน สายเศิกเหลี้ยนล่งหล้า ราญราบหน้าเภริน เข็ญข่าวยินยอบตัว ควบค้อมหัวไหว้ละล้าว ทุกไทน้าวมาลย์น้อม ขอออกออมมาอ่อน ผ่อนแผ่นดินให้ผาย ขยายแผ่นฟ้าให้แผ้ว เลี้ยงทแกล้วให้กล้า พระยศไท้เทิดฟ้า เฟื่องฟุ้งทศธรรม ท่านแฮ
    
    
    
    
    อยุธยายศล่มแล้ว                           ลอยสวรรค์ ลงฤา
    สิงหาสน์ปรางค์รัตน์บรร                  เจิดหล้า 
    บุญเพรงพระหากสรรค์                   ศาสน์รุ่ง เรืองแฮ 
    บังอบายเบิกฟ้า                               ฝึกฟื้นใจเมือง
    
    เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น                     พันแสง 
    รินรสพระธรรมแสดง                       ค่ำเช้า 
    เจดีย์ระดะแซง                                เสียดยอด 
    ยลยิ่งแสงแก้วเก้า                            แก่นหล้าหลากสวรรค์ 
    
    โบสถ์ระเบียงมรฑปพื้น                    ไพหาร 
    ธรรมาสน์ศาลาลาน                          พระแผ้ว 
    หอไตรระฆังขาน                              ภายค่ำ 
    ไขประทีปโคมแก้ว                            ก่ำฟ้าเฟือนจันทร์ 
    
    เสร็จสารพระยศซ้อง                         สรรเสริญ 
    ไป่แจ่มใจจำเริญ                              ร่ำอ้าง 
    ตราตรอมตระโมจเหิน                       หวนสวาท 
    อกวะหวิวหวั่นร้าง                              รีบร้อนการณรงค์ 
    
    แถลงปางบำราศห้อง                          โหยครวญ 
    เสนาะเสน่ห์กำศรวล                          สั่งแก้ว 
    โอบองค์ผอูนอวล                                ออกโอษฐ์ อรเอย 
    ยามหนึ่งฤาแคล้วแคล้ว                      คลาดคล้ายขวบปี 
    
    รอยบุญเราร่วมพร้อง                          พบกัน 
    บาปแบ่งสองทำทัน                              เท่าสร้าง 
    เพรงพรากสัตว์จำฝัน                          พลัดคู่ เขาฤา 
    บุญร่วมบาปจำร้าง                               นุชร้างเรียมไกล 
    
    จำใจจากแม่เปลื้อง                             ปลิดอก อรเอย 
    เยียวว่าแดเดียวยก                            แยกได้ 
    สองซีกแล่งทรวงตก                             แตกภาค ออกแม่ 
    ภาคพี่ไปหนึ่งไว้                                   แนบเนื้อนวลถนอม 
    
    โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ                             แลโลม โลกเอย 
    แม้ว่ามีกิ่งโพยม                                  ยื่นหล้า
    แขวนขวัญนุชชูโฉม                            แบกเมฆ ไว้แม่ 
    กีดบ่มีกิ่งฟ้า                                         ฝากน้องนางเดียว 
    
    โฉมควรจักฝากฟ้า                               ฤาดิน ดีฤา 
    เกรงเทพไท้ธรณินทร์                           ลอบกล้ำ 
    ฝากลมเลื่อนโฉมบิน                             บนเล่า นะแม่ 
    ลมจะชายชักช้ำ                                     ชอกเนื้อเรียมสงวน 
     
    ฝากอุมาสมรแม่แล้                               ลักษมี เล่านา 
    ทรามสวยมภูวจักรี                                เกลือกใกล้  
    เรียมคิดจบจนตรี โลกล่วง                     แล้วแม่ 
    โฉมฝากใจแม่ได้                                 ยิ่งด้วยใครครอง 
    
    บรรจถรณ์หมอนม่านมุ้ง                       เตียงสมร 
    เตียงช่วยเตือนนุชนอน                       แท่นน้อง 
    ฉุกโฉมแม่จักจร                                  จากม่าน มาแฮ 
    ม่านอย่าเบิกบังห้อง                              หับให้คอยหน 
    
    สงสารเป็นห่วงให้                                 แหนขวัญ แม่ฮา 
    ขวัญแม่สมบูรณ์จันทร์                           แจ่มหน้า 
    เกศีนีนิลพรร                                       โณภาส 
     งามเงื่อนหางยูงฟ้า                               ฝากเจ้าจงดี 
    
    เรียมจากจักเนิ่นน้อง                           จงเนา นะแม่ 
    ศรีสวัสดิ์เทอญเยาว์                              อย่าอ้อน
    อำนาจสัตย์สองเรา                                คืนร่วม กันแม่ 
    การณรงค์ราชการร้อน                          เร่งแล้วเรียมลา
                             ....................................
    
    
    
    
    ตลับเพชร...ตะลุยอ่านนวนิยายแสนงามนั้น
    ที่มีทั้งหมด638หน้า...ภายในไม่กี่ชั่วคืน
    
    และ..ทุกนาทีที่สายตาพาสายใจ
    และจิตวิญญาณผ่านเข้าไปราวกับอยู่ในเหตุการณ์นั้น
    ดวงใจ..ก็ไหว  ก็หวั่น...ราวขวัญหาย
    
    
    
    ยามได้อ่านพบ...
    บทที่*บุญมา*(กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท)
    หลบหนีภัยออกมากับสามสหาย จากอยุธยา 
    ก่อนที่กรุงจะแตก....
    
    
    
    ภาพจากการรจนาบรรยายความไห้โหยที่แสนโศกสะเทือนใจ
    ภาพที่*บุญมา* ผจญภัยสร้างวีรกรรม 
    ภาพที่ได้ถวายตัวรับใช้พระเจ้าตาก
    และ....
    ได้เคียงบ่าเคียงไหล่
    กับสมเด็จพระเชษฐาธิราช*นายทองด้วง(สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก)
    ออกสู้รบนับไม่ถ้วน...
    
    
    
    อย่างหาญกล้า 
    อย่างยอมพลีสิ้นทั้งจิตวิญญาณ...จนเลือดหยาดสุดท้าย
    และ...
    แม้นในยามบั้นปลาย
    ที่ยังมิยอมพ่าย...สังขาร..ดั่งชายชาติเสือ(พระนามท่านอีกนาม)
    
    
    
    ท่านก็ยัง..ได้เสด็จ..ไปทำสงครามอีก
    ทั้งๆที่ร่างกายเริ่มป่วยด้วยโรคนิ่วที่แสนทรมาน
    จน...กระทั่ง...ทนไม่ไหว..
    
    
    
    และ
    ถึงภาพนี้...
    ที่*ตลับเพชร*ยังตราจำมาในคะนึง
    ด้วยรานร้าวเศร้าใจอย่างใหญ่หลวง..
    *****
    
    
    
    ในเดือนกรกฏาคม 
    กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
    ทรงรู้สึกว่าพระอาการดีขึ้นและความเจ็บปวดทุเลาลงบ้างแล้ว
    
    
    จึงมีพระราชประสงค์
    ที่จะเสด็จไปนมัสการ...พระประธาน...ที่วัดพระศรีสรรเพชญ
    หรือวัดสลัก...
    ที่พระองค์ได้ถวายคำปฎิญาณต่อพระประธานในอุโบสถ
    เมื่อครั้งที่เสด็จหนีพม่าออกมาจากกรุงศรีอยุธยา...
    
    
    
    พระองค์รู้สึกผูกพันกับวัดนี้มาก...
    และเมื่อทรงรับราชการ...เป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ในรัชกาลของพระเจ้าตาก
    ก็ได้ทรงสร้างบ้านอยู่ใกล้กับวัดสลัก
    และ...
    ได้เป็นองค์อุปัฎฐากทำนุบำรุงวัดนี้มาตลอด
    
    
    
    ในวันนั้น....
    จึงทรงสั่งให้เตรียมพระแคร่หาม
    และ...
    เมื่อเสด็จมาถึงหน้าพระอุโบสถของวัดพระศรีสรรเพชญ
    เสด็จลงจากพระแคร่และเสด็จพระดำเนินอย่างช้าช้า
    ขนาบข้างด้วยพระองค์เจ้าชายลำดวนและพระองค์เจ้าชายอินทปัต
    เข้าไปในพระอุโบสถ โดยมีเจ้าอาวาสและพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่คอยรับเสด็จ
    
    
    
    กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท...
    ทรงคุกพระชานุลงบนพื้นพระอุโบสถ และกราบนมัสการพระประธาน
    
    ทรงรำลึกถึงพระบารมี...ที่ได้หลบหนีพม่าเข้ามา
    กราบพระประธานองค์นี้...เป็นครั้งแรก..เมื่อสามสิบปีที่แล้ว
    
    
    
    เมื่อ ทรงกราบแล้ว
    ก็ทรงประทับพับเพียบพนมหัตถ์สวดนมัสการพระรัตนตรัย
    และ
    ทรงอธิษฐานอยู่ต่อหน้าพระประธานอยู่นานพอควร..
    
    
    
    
    *ไปเอาดาบของข้ามา *พระมหาอุปราชทรงลืมพระเนตรขึ้น
    แล้วหันมาตรัสกับนายทหารราชวัลลภ
    
    
    *ดาบคู่บุญบารมีมาช้านาน...ที่ข้าได้ปกป้องแผ่นดินนี้จากอริราชศัตรู 
    ต่อแต่นี้ไป ข้าจะไม่มีวาสนาจะได้ใช้มันอีก
    ข้าจะขอถวายดาบเล่มนี้เป็นพุทธบูชา...
    ให้ประดิษฐานเป็นราวเทียนหน้าพระประธานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าเคารพนับถือองค์นี้*
    
    
    
    นายทหารราชวัลลภคลานเข้ามาในพระอุโบสถ 
    อัญเชิญดาบซึ่งปลายด้ามมีรูปหัวสิงห์ทำด้วยทองอยู่ในฝักไม้คร่ำทอง
    มาถวายต่อพระหัตถ์สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
    
    
    
    กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
    ทรงรับพระแสงดาบมาถือไว้ตามยาวในพระหัตถ์ทั้งสองข้าง
    แล้วกระโหย่งพระองค์ลงบนพระชานุ และประทับลงบนสันพระบาท
    ยกพระหัตถ์พร้อมพระแสงดาบสูงขึ้นจนจรดพระอุระ
    และ
    ตรัสต่อหน้าพระประธานด้วยพระสุรเสียงอันดังและหนักแน่น
    
    
    
    *ข้าพระพุทธเจ้าบุญมา กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท 
    พระมหาอุปราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    ขอถวายดาบคู่ใจองค์นี้เป็นพุทธบูชารับใช้ปรนนิบัติองค์พระประธาน
    และพระพุทธศาสนาแทนกายข้าสืบไป
    โดยตั้งไว้เป็นราวเทียนหน้าองค์พระประธานนี้*
    
    
    
    ทรงเว้นระยะและตรัสต่อ...
    *บาปกรรมใดใดที่ข้าพระพุทธเจ้าได้ก่อขึ้นแล้ว...ด้วยการฆ่าฟันอริราชศัตรู
    ผู้เป็นเสี้ยนหนามต่อแผ่นดินนี้ 
    
    ขอโปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้า 
    ขอให้ชำระล้างหมดสิ้นไปด้วยน้ำตาจากเทียนทุกหยด
    ที่ปักบูชาพระประธานและไหลลงบนดาบที่พาดถวายเป็นราวเทียนองค์นี้
    
    เมื่อถึงคราวที่ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องละสังขารจากโลกนี้ 
    ขอให้จากไปอย่างสงบ ขอให้พบพระนิพพาน ในกาลข้างหน้าเทอญ..*
    
    
    กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงจับพระแสงดาบคู่ชีพไว้แน่น
    ทรงรู้สึกน้อยพระทัยที่ได้ทรงลำบากยากเข็ญเอาเลือดและเนื้อพลีเพื่อพิทักษ์แผ่นดิน
    หมายใจว่า....
    ในยามที่ทรงพระชราจะได้เสวยสุขสราญและเป็นที่พึ่งแก่พระราชวงศ์
    และพระบวรวงศ์น้อยใหญ่ได้
    
    
    ทันใดนั้นพระอาการนิ่วและพิษไข้ก็กำเริบรุนแรงหนัก 
    จนต้องใช้ปลายฝักดาบยันกับพื้นพระอุโบสถ
    เพื่อพยุงพระองค์ไว้มิให้ทรงล้มคว่ำพระพักตร์ลง
    
    
    ทรงขบพระทนต์แน่นเพื่อสู้กับความเจ็บปวด
    พระเสโทไหลท่วมพระองค์และพระพักตร์อันซีดเซียว
    
    *ข้าทนความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหวแล้ว!*
    กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงร้องลั่นออกมา
    *ข้าขอถวายชีวิตต่อหน้าองค์พระประธานเดี๋ยวนี้!*
    
    
    
    กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงกระชากพระแสงดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็ว
    แล้วทรงเงื้อขึ้นหมายจะเชือดพระศอของพระองค์เองให้ตักษัย
    
    
    พระองค์เจ้าชายลำดวน
    ซึ่งประทับอยู่เบื้องพระปฤษฏางค์พระบิดา
    และเฝ้าสังเกตพระอากัปกิริยาอยู่อย่างห่วงใยเห็นท่ามิดี
     จึงเข้ายึดพระหัตถ์ที่ถือพระแสงดาบไว้ได้อย่างฉับพลัน
    
    
    
    พระองค์เจ้าชายอินทปัต
    และนายทหารราชวัลลภก็เข้ามาช่วยกันรุมล้อมพระองค์
    กันพระแสงดาบออกไปได้สำเร็จ
    
    
    สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงกันแสง
    และก่นด่าพระโอรสและองครักษ์...
    ที่ขัดขวางและทรงรำพันถึงความเจ็บปวดทรมานพระวรกายไม่สิ้นสุด
    
    
    
    พระโอรสทั้งสองทรงกอดพระราชบิดาแน่น
    พร้อมกับทรงพระกันแสงร่ำไห้
    ด้วยความสงสารและเศร้าพระทัยในพระราชบิดา
    
    
    
    เจ้าอาวาสวัดพระศรีสรรเพชญเห็นดังนั้น
    จึงเข้ามานั่งเบื้องพระพักตร์พระมหาอุปราชและเจริญพุทธมนต์
    พร้อมเทศน์ถวายเกี่ยวกับบาปบุยคุณโทษของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    โดยเฉพาะการกะรทำอัตวินิบาตอันถือว่าเป็นบาปอันมหันต์
    
    
    
    เป็นการอกตัญญูต่อบิดามารดาและครูบาอาจารย์ที่ได้ให้กำเนิด เลี้ยงดู 
    และอบรมสั่งสอนมาจนเติบโต...และ..ได้พบพระพุทธศาสนา
    สมควรจะปฎิบัติธรรม ในบั้นปลายชีวิต..ถวายรับใช้พระคุณท่าน
    และเป็นบุญกุศลแก่ตนเองสืบไปในภายหน้า
    
    
    
    
    สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
    ประทับฟังด้วยพระอาการสงบนิ่งเฉย
    
    ภายในพระนาภีของพระองค์ยังเจ็บปวดอย่างรุนแรง
    ทรงข่มพระทัยให้ชุ่มชื่นในรสพระธรรม
    จนลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะหนึ่ง
    
    
    เมื่อเจ้าอาวาสเทศน์จบลง ...
    จึงทรงถวายนมัสการกราบลง
    แล้ว..
    ทรงหยิบพระแสงดาบ ขึ้นมา
    ด้วยพระหัตถ์ทั้งสองยื่นถวายต่อพระคุณเจ้า
    ...............
    ........................
    
    
    
    
    และ...
    ในที่สุดพระองค์ก็จำทรงพรากลาจากหล้าโลกนี้ไป
    ทิ้งไว้เพียงคุณงามความดี...
    ความกล้าหาญ..ที่แสนเกริกไกร
    
    พร้อมกับแสงเทียนเล่มใหญ่
    ที่สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าทรงจุดบูชาไว้เบื้องหน้าพระพุทธสิหิงค์
    ที่วูบลงและมอดดับลับลาไปพร้อมกัน...!!!!!!
    ...................
    ...............
    
    
    
    ตลับเพชร..หนาวเยือกในดวงใจ...เป็นยิ่งนัก
    
    พร้อมดวงดอกลั่นทมที่ปลิดปลิวลิ่วลอยควะคว้าง
    โปรยปรายลงมาในท่ามกลางสายลมหนาว
    ที่ฝากความหอมเศร้า
    
    ราวให้รำลึกว่า...
    
    ทุกสรรพชีวิตและสรรพสิ่งบนผืนโลกนี้ 
    ไม่ว่า...จะยิ่งใหญ่ ยากดีมีจนแค่ไหน...
    
    ในที่สุดทุกคนทุกดวงใจทุกร่าง...ก็จำต้องชดใช้วิบากกรรม
    ต่างก็ต้องฝากฝังคืนร่างไร้...ไว้กับผืนพสุธา..
    
    
    
    หากจะเหลือ
    ก็คงเพียงเรื่องราวตำนานแห่งความเป็นจริง
    ของ..วีรบุรุษคนกล้าแห่งแผ่นดินไทยที่แสนยิ่งใหญ่...ก่อนจะลาลับดับพลี
    
    ที่ได้เพียรสร้างคุณงามความดีไว้ให้ผู้คนรุ่นหลังได้กล่าวขวัญ
    รำพันรำพึงด้วยความศรัทธาชื่นชมโสมนัส
    และ..
    แสนภาคภูมิ...ปิติใจ พอที่จะนำไปเป็นแบบอย่าง 
    
    
    
    ก่อนที่...
    จะทิ้งร่าง..แลจิตวิญญาณดวงงาม
    พรากลาตามไป...อย่างมิอาจหลีกลี้หนีพ้น.....!!!!!!
    
    
    ******************
    
    
    รจนาพลีเทิดพระเกียรติ
    ถวายแด่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
    และ
    แด่ทุกดวงวิญญาญบรรพชนผู้หาญกล้า
    และ
    อีกหนึ่งวีรบุรุษนักรจนา ในดวงใจพุดพัดชา
     คุณปองพล อดิเรกสาร
    ท่านผู้ที่ฝากผลงานอันแสนงามจิตวิญญาณยิ่งใหญ่
    แห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยไว้ให้อนุชนและลูกหลาน
    ได้ภาคภูมิปิติใจในแผ่นดินของเราค่ะ
    
    ...........
    
    
    http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
    แผ่นดินของเรา 
    สันติ ลุนเผ่ 
    แผ่นดิน ของเรา
    ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
    ใกล้ไกล
    ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
    เลือดไทยไหลโลม ลงดิน
    ใครหมิ่น ศักดิ์ศรี คนไทย
    ย่อมมีวัน สักวัน ให้ไทย
    ล้างใจ อัปรีย์
    แผ่นดิน ของเรา
    ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
    ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
    หากเชือดเฉือนไป คราใด
    ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
    ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
    คุ้มครองป้องกัน
    
    แผ่นดิน ของเรา
    ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
    ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
    หากเชือดเฉือนไป คราใด
    ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
    ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
    คุ้มครองป้องกัน
    สัก วันต้องคืนกลับมา
    มั่นใจ เถิดหนา
    ขอพลี ชีวารักษาชาติไทย
    ชาติไทยคู่ฟ้า
    เลือดทา แผ่นดิน... 
     
    
    
    
  • ทะเลสาบแห่งรัก

    11 กุมภาพันธ์ 2550 00:41 น. - comment id 655474

    12.gif16.gif36.gif
    ท้องฟ้ายามอาทิตย์อัสดง ช่างงามงดจรดขอบโลก ทาบทาด้วยแสงสีเทาสลับแดงระเรื่อ ช่างดูอ่อนโยน ลึกล้ำสมดั่งรักนิรันดร์ สงบนุ่มนวล สัมผัสใจโดยไร้คำเจรจาใดๆ เวลานิ่งอยู่เช่นนั้นตลอดกาล
  • a

    11 กุมภาพันธ์ 2550 19:33 น. - comment id 655644

    มีของที่บ้าน เบื่อแล้ว เก็บไว้น่าเสียดายนะคะ เอามาโพสแลกกันดีกว่า เพิ่มมูลค่าให้สินค้า เผื่อได้แลกกับของที่ชอบด้วยนะคะ.................. ของไม่ใช้--เอาไปแลก >> W_W_W.Lakkan. c-o-m* ...........................ไม่มีเงินมีแต่ของเอาไปแลกเงิน >> W_W_W.Lakkan. c-o-m* ............อยากได้ของสวยๆแปลกๆเอาเงินไปแลก ....................................>> W_W_W.Lakkan. c-o-m* ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ , ..เยี่ยมชมและใช้บริการแล้วกรุณาติชมด้วยค่ะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน