28 กุมภาพันธ์ 2551 12:01 น.

เรื่องขำขำของในหลวง

ถนปายี

เรื่องเล่าจากในวัง....แล้วคุณจะรัก "ในหลวง"
ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่ เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริง เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ ได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลาซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ" แม่ค้าตอบว่า "ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาทและที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ" เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์ นางสนองพระโอฐก็งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ... ขนลุกเลย (ทรงตัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง)

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่า
ฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า " มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัวพระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็กตรัสอ้อแอ้อยู่เลยและทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว" เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาต นำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวงและไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอ
องธุลีพระบาทถวายรายงานครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายง
านว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ" เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน..." ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัยเพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตร ให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า" ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก" 

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า "ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์" ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"

วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"

ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ ก็กราบบังคมทูลว่า "เอ้อ ทรง...อ้า ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ" พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง" แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จ พระราชทานปริญญาบัตรอธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า "เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว" และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ... ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึกตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม> >> ********> >> ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

				
3 กุมภาพันธ์ 2551 13:37 น.

ค่าวหงส์หิน ๒

ถนปายี

หกนางขวัญ พากันนั่งล้อม พร้อมที่เฝ้า วิเวสเวสน 
ได้ยินวาทะ สำเนียงหมอโหร หารคูณคน ทวักทวายบอกแจ้ง 
พากันเสียใจ พระทัยเหิ่ยวแห้ง กลัวหกชายแพง ลูกรัก 

ต่ำวาสนา บ่มีบุญนัก เหมือนหน่อเหน้า โพธรรม์ 
นั่งพินิจ คิดเปิก็ษากัน ถ้าบุตรในครรภ์ ปรากฏเกิดได้ 
ลูกของเรา เที่ยงตกต่ำใต้ ทังหกชายชุม พี่น้อง 

คันวิมาลา จักประสูติท้อง พระเจื่องเจ้า โพธา 
หื้อนางนึ่งนั้น เอาสุนักขา อันบ่พรากคลา พลัดนมแม่ได้ 
ใส่ภูษา พามาที่ใกล้ เมื่อจอมนงวัยปวดท้อง 

เราหกคน พากันนั่งล้อม อย่าหื้ออื่นผู้ ใครมา 
คันประสูติพ้น เอาสุนักขา เข้าเกลือกทา โลหิตแม่เจ้า 
แล้วเอาปุตตา พระองค์จอมเหง้า ทิ้งทอดลง ทวาระ 

กันทราบไปเถิง ปิตุราชะ หวังประสูติได้ ราชา 
กลายเปนสุนัข สัตว์เดียรัจฉา ก็กราบปาทา ฝ่าละอองเจ้า 
คงจักไล่หนี ทังนางหน่อเหน้า จอมมาดา แม่ไท้ 

เราควรแสวง สอดแนมมาไว้ สุนัขหน้อย ลายดำ 
ลวดบังเกิดร้อน หินบัณฑุกัมม์ แท่นเตียงคำ อินทาอยู่ห้อง 
หกสวรรค์ ที่บนโขงต้อง ทราบรู้แห่ง อุบาย 

คันเถิงกาละ สิบเดือนเทิงหมาย จอมองค์ชาย หน่อพระแก้วเจ้า 
จักประสูติตน ออกมาผ้ายเต้า จากในครรภ์ แม่ไท้ 

ส่วนวิมาลา เจ้าสร้อยดอกไม้ ก็เจ็บปวดต้อง กายา 
หกนางนั่งล้อม อยู่เฝ้ารักษา คันวิมาลา ประสูติองค์เจ้า 
ลืมสติตน บ่หันลูกเต้า กลัวลมเมา ปั่นซบ 

หลับตาหนิม บ่หื้อกระทบ กลัวลมถั่งขึ้น อุรา 
หกนางเหล่านั้น อุ้มเอาลูกหมา โลหิตทา เปลี่ยนตัวลูกหน้อย 
คว้าเอากุมาร ลอดปราสาทสร้อย ป่องรูทวาร เงียบมิด 

วิสุกัมม์ จักขุญาณทิพย์ เสด็จรีบได้ลาลง 
รับเอาไปเลี้ยง ที่ในหอโขง วิมานองค์ เทวะโลกห้อง 
นางนาฏสนม หกคนอยู่ป้อง รีบมาทูล บอกครัก 

ว่าวิมาลา เกิดเปนสุนัข ตัวหนุ่มน้อยลายดำ 
พระบพิตร เจื่องเจ้าบุญหนำ มีพระทัยดำ สงสัยสะหลั้ง 
บ่คิดเห็นกล ฟังเบาแม่นหมั้น นึกว่าสำคัญ บ่เท็จ 

ว่าวิมาลา เจ้าพลอยสว่างเม็ด บ่สัตย์ซื่อดั้น ใจองค์ 
ไปเที่ยวคบชู้ สุนัขหลายหน จิ่งมาบันดล ปรากฏเกิดได้ 
เป็นสุนักขา เลือดหมาเข้าใส้ สัตว์จังไร ถ่อยช้า 

คันจักประหาร ด้วยคมมีดพร้า ก็ผิดแบบเบื้อง เทวี 
การเช่นนี้ ดีแต่ขับหนี พระภูมี บัญชาสั่งให้ 
ไล่ออกบุรี อย่าหื้ออยู่ใกล้ โขงพารา เขตค้าย 

วิมาลา ลวดคลาพรากย้าย อุ้มลูกหน้อย หมาดำ 
นางไห้ร่ำร้อง ว่ากรรมเหยกรรม สังมาแกล้งทำ เยียะกรรมหื้อข้า 
อยู่มาทึงวัน แม่คองหันหน้า ตามพฤฒา กล่าวชี้ 

ว่าลูกในครรภ์ บุตตาลูกนี้ เป็นหน่อเจ้า โพธา 
อาหารเผ็ดร้อน แม่ค่อยรักษา บ่แหนมภูญชา กลัวเจ้าลูกหน้อย 
ลำบากกาย ภายในห่มห้อย หมายเพิงบุญพลอย เมื่อพ้น 

วิบากสังชา มาทันล้ำล้น เปนสัตว์ส่องหื้อ อายคน 
หมายมาโปรดค้ำ บำรุงตัวตน พระมาดล ไพร่ฟ้าข้าเจ้า 
ตามหมอโหรทวาย ทูลถวายเจื่องเหง้า ปิตุรงค์ แน่ครัก 

แม่ก็อุ่นใจ เพิ่งบุญลูกรัก มากลายเกิดหื้อ เปนภัย 
โอยตัวแม่นี้ จักไพเถิงไหน แต่จักบรรลัย ต้องลมแดดกล้า 
แม่จักเพิ่งใผ เมื่อวันพายหน้า พระปิตุรา ไล่ทิ้ง 

เหมือนตกหาดเหว พูดอยหลิ่งชิ้ง เหมือนจักขาดขว้ำ อินทรีย์ 
อุ้มสุนัขน้อย ร่ำไรโสกี เข้าสู่คีรี คนเดียวไต่เต้า 
ไปรอดเถิงสวน อุญานสองเถ้า ขอจอดนอนเซา ยั้งพัก 

นางไขอาการ หื้อแจ้งถี่ซัด บอกปู่ย่าเจ้า สวนฟัง 
ขอเปนบุตรเลี้ยง เมื่อต้องทุกขัง จักอยู่ระวัง ใช้สอยใฝ่เฝ้า 
พอขอฝากกาย กับยายปู่เจ้า หื้อพ้นทุกข์สว่าง สะเบย 

ขอเก็บเขี่ยไว้ เทอะป้าเจ้าเหย ข้ายังบ่เคย รู้หนแห่งเต้า 
ฝ่ายนายสวน ปู่ย่าสองเถ้า ก็รับรองเอา บ่เพี้ยน 

ว่าอยู่กับลุง เอาเปนลูกเลี้ยง กับหลานสัตว์หน้อย สุโน 
ผลไม้ เรามีอักโข ช่วยกันทำโท จอบเสียมถากหย้า 
วิมาลา เจ้าไวแว่นหน้า ได้จอดยั้งอยู่กับยาย 

ปริยาย บ่เนาจักเสี้ยง เท่านี้วางเปนคราว ก่อนแหล่

				
3 กุมภาพันธ์ 2551 13:33 น.

ค่าวหงส์หิน

ถนปายี

จักส่ำแดงคุณ ตระกูลหน่อเนื้อ ชาติเชื้อเจ้า โพธิสัตตา 
ตามเทศน์ไว้ เดิมมีไขจา แห่งนัยยา สืบมาก่อนอั้น 
ตาบ่หัน หูฟังแม่นหมั้น หลอนผิดดวงธรรม พระพุทธ 

วะจีกรรม บ่เผี้ยนพิรุธ ขอลดโทษสเสี้ยง ภัยยา 
มีเมืองนึ่งนั้น บุรีรัฏฐา ชื่อพารา ณสีเอกอ้าง 
มีป้อมประการ เชิงเทินใหญ่กว้าง ก่อหินธาร เขื่อนคับ 

นานาทิศา อยู่ในบังคับ ถวายส่วยขึ้น เมืองมูล 
ทั่วพิภพ กราบนบจอมขุน ย่อมบริบูรณ์ เรืองฤทธิ์เข้มกล้า 
พระชนนี จอมองค์หน่อหล้า เมืองพารา ท่านไท้ 

ยักข์ผีดิบ อยู่ดงป่าไม้ มาลักแม่เจ้า มาดา 
เอาไปซ่อนไว้ ที่ไพรพฤกษา อาตมา หายเสียกว่าจ้อย 
บ่รู้แห่งหน ต่ำบลสักหน้อย หายเย็นวอย เงียบมิด 

จตุทิศา นานาชุทิศ เกณฑ์ไพร่ฟ้า ทวยไป 
บ่ปะจวบพบ ต่ำบลหนไหน พระภูวนัย โศกาโศกเศร้า 
เท่ามีแต่จอม เทวีอยู่เฝ้า เจ็ดนางงาม แวดล้อม 

บุตรในครรภ์ หากมีชุท้อง อยู่ปราสาทห้อง มณเฑียร 
หกนางหม่อมน้อย อยู่สุขเสถียร ผลัดเปลี่ยนวัน อยู่กันน้อมเฝ้า 
กำหนดเถิง ประสูติองค์เจ้า หกนางเลา คลอดท้อง 

เปนบุรุษ ทังหกพี่น้อง สมสากหน้า เลางาม 
มีพระนางเค้า เจ้าบัวจีหลาม จอมนางงาม บ่ประสูติได้ 
พระปิตตา จิ่งบังคับให้ พฤษาทวาย บอกทวัก 

ว่าโอรสา บุตตาลูกรัก ที่ทรงคัภภ์หั้น ในครรภ์ 
จักเปนมนุษย์ บุรุษสีสัน จุ่งหารคูณคอย ใคร่ทรงทราบถ้อย 
ฤๅเปนสัตตา-มิคาใหญ่หน้อย ผีโพรงพราย ต่างเชื้อ 

เหตุสันใด จิ่งได้รั้งเรื้อ สิบเบี่ยงข้อน เดือนมา 
นักปราชญ์รับ คำนับหรรษา เอาเกณฑ์เดือนมา นามนางออกตั้ง 
บวกคูณหาร จับยามแม่นหมั้น ตามคัมภีร์เดิม แม่นทัด 

มหาราชา บ่ผิดแผกพลัด ตามเศษได้ โหรา 
แล้วทูลกราบนบ ตามคัมพีร์ตรา ว่าบุตรราชา ทรงครรภ์อยู่หั้น 
เปนโพธิสัตว์ ตนบุญแม่นหมั้น ใช่คนโยยา มานพ 

คันประสูติมา จักผ่านพิภพ เปนปิ่นเกล้า ครองเมือง 
พระบพิตร เจ้าแท่นคำเหลือง มีมะโนเนือง ปีติบ่เศร้า 
จิ่งประทานปัน รางวัลโหรเถ้า ตามเพิงควร บ่ค้อย 

แล้วบรรหาร ให้นางหนุ่มน้อย ผลัดเปลี่ยนเฝ้า เทวี 
จอมนารี ค่อยฟังบทหน้า ยามหน่อฟ้า ประสูติทีลูน.... ก่อนแล
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟถนปายี
Lovings  ถนปายี เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงถนปายี