10 กุมภาพันธ์ 2550 13:09 น.

The dream of Galaxy -----" The Preta "------

นิลจันทรา

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา นี่ก็เลยเวลาเข้าไป 6 เดือนแล้ว ผมยังฝันแปลก ๆ ซ้ำ ๆ กันทุกคืนไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ว่าสิ่งที่ผมเห็นในความฝันเป็นเรื่องราวที่แปลกมาก มันดูเหมือนความจริงที่เกิดขึ้น แรก ๆ มา ผมก็ไม่ใส่ใจ เพราะอาจจะเป็นการที่ผมคิดมากไปก็ได้ แต่หลังจากที่ฝันซ้ำ ๆ กันถึง 2 อาทิตย์ ถึงได้เริ่มสงสัย และเอะใจถึงความผิดปกติ เพราะว่า ยิ่งฝัน ยิ่งชัดขึ้น ๆ และนานขึ้น เรื่องราวเริ่มประติดประต่อ ให้ผมได้เข้าใจมากขึ้น

	แต่ด้วยความกลัวที่เพิ่มพูน ผมจึงไปหาที่พักทางจิตใจที่วัดแห่งหนึ่ง พระอาจารย์ที่ผมเคยบวชด้วยท่านบอกว่า ให้สงบจิตสงบใจ เพราะอาจเกิดจากความว้าวุ่น หลังจากวันนั้น ผมก็นั่งสมาธิทุกคืน แต่ก็ไม่เป็นผล และมันจะทำให้ผมยิ่งฝันถี่ขึ้นทุก ๆ วัน

	ต่อมาจึงตัดสินใจไปถามญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านก็แนะนำว่าอาจเป็นเพราะเรื่องฮวงจุ้ย จึงได้ติดต่ออาจารย์ท่านหนึ่งให้มาช่วยเปลี่ยนแปลงตำแหน่งห้อง และจัดวางของให้ถูกตามหลักฮวงจุ้ย รวมทั้งซื้อของมาค่อนข้างมาก เพื่อแก้เคล็ดในจุดต่าง ๆ ของห้องนอนของผม ในที่สุด ในคืนแรก ผมก็นอนหลับสบาย อย่างไม่ฝันถึงอะไรเลย เหมือนเมื่อก่อน แต่แล้ว ในอาทิตย์ต่อมา มันก็เริ่มอีกแล้ว ฝันแปลก ๆ นั่น เริ่มกลับมาอีกครั้ง และชัดขึ้น

	ผมเครียดและหงุดหงิดมาก เพราะความฝันบ้า ๆ นั่นทำให้ผมเริ่มนอนไม่พอ และกระสับกระส่าย สุดท้ายจึงไปที่คลินิกจิตแพทย์ เพื่อตรวจดูให้รู้แล้วรู้รอดว่า ผมเป็นโรคจิตรึเปล่า แล้วหมอ ก็ถามผมในหลาย ๆ เรื่อง ผมก็ตอบไปตามความจริงทุกอย่าง จนสุดท้าย เขาถามคำถามว่า 

	คุณชอบดูหนังแนววิทยาศาสตร์บ่อย ๆ รึเปล่าครับ เพราะความฝันอาจมาจากจินตนาการของคุณก็ได้นะครับ หรือคุณสนใจในสิ่งนี้เป็นพิเศษก่อนหน้านี้บ้างไหมครับ

	ผมฟังแล้วอยากบอกหมอไปมาก ๆ ว่า ตั้งแต่ประถม ผมสอบตกวิชาวิทย์มาตลอด เพราะไม่ยอมอ่านหนังสือ จนมาเรียนชั้นมัธยมปลาย ก็ยังได้เกรด 1 อยู่ดี แล้วประสาอะไรกับหนัง ยิ่งดูยิ่งปวดหัว ที่แน่ ๆ ผมรู้ว่า โลกเรามีพระจันทร์ 1 ดวง และเราจะมองเห็นดาวเหนือยามค่ำคืน แค่นั้น และผมก็ตอบไปสั้น ๆ 
 
	ไม่ครับ ผมไม่ค่อยชอบหนังประเภทนี้ซักเท่าไหร่

	เอาอย่างนี้นะครับ เดี๋ยวผมสั่งยาให้คุณ เป็นยาระงับประสาท และยานอนหลับ ถ้าคุณมีอาการฝันเช่นเดิมอีก คุณสามารถกลับมาที่คลินิกได้ทุกเมื่อเลยนะครับ

	วันนั้น ผมกลับคอนโดมาพร้อมกับยา 5 ชุด ที่หมอเตรียมให้ ไม่รอช้า ผมรับประทานยาเข้าไปตามใบกำกับยา แล้วจึงเข้านอนทันที ยาชนิดนั้นทำให้ผมนอนหลับสนิทไปถึงตี 2 แล้วผมก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ผมดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียง มันเหมือนกับมีคลื่นอะไรซักอย่างตีกลับไปกลับมาในหัวของผม จนหัวจะระเบิด มันทรมานมาก จนทนไม่ไหว ผมร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ดวงตาเริ่มพร่ามัว เม็ดเหงื่อเย็น ๆ ไหลซึมชื้น 

	ไม่ไหว สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ แล้วสุดท้าย ทุกอย่างก็สงบลง ผมหมดสติไปในทันที และแล้ว ผมก็ฝันอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่เหมือนทุกครั้ง ผมรู้สึกว่า ตนเองอยู่กลางอวกาศอันว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย และร่างทั้งร่าง กำลังล่องลอย

	ทันใดนั้น ผมก็ได้ยินเสียงเรียก เรียกชื่อของผม ก้องขึ้น ๆ แล้วผมจึงได้ยิน มันไม่ใช่การได้ยินด้วยหู หรือทางจิต มันเป็นการสื่อความเข้าใจ ทำให้ผมได้รู้

	ข้อความนั้นบอกได้ประมาณว่า อยากให้ผมนำเรื่องที่ฝันนั้นไปเผยแพร่ให้ผู้คนได้รับรู้ เพื่อการรักษาความลับจะได้จบสิ้นลง เพราะมีผู้อื่นสืบทอดต่อ หากผมนำสิ่งที่ได้เห็นในความฝัน ไปเขียนเป็นบทความ หรือประกาศ ให้ผู้อื่นได้รู้ ความฝันของผมก็จะจบลง

	เสียงสุดท้าย ที่ได้ยินด้วยหูทั้ง 2 ข้าง เป็นภาษามนุษย์ ที่เปล่งเสียงออกมาอย่างแหบแห้งและแหลมแสบแก้วหูว่า

	ขอโทษ ขอบคุณ และขอลา

	ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้า พบว่า ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อ ผมจึงเร่งรีบไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด เมื่อออกมาห้องน้ำ ผมชำเลืองดูนาฬิกา ปรากฏว่าเป็นเวลา 9 โมงเช้าแล้ว จึงรีบโทรไปบริษัท ว่าวันนี้ขอลาป่วย

	ผมลำดับเรื่องราวทั้งหมดในสมองอย่างรวดเร็ว กลับไปกลับมาผมก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเพื่อนของผมคนนี้พยายามจะบอกอะไรกับผม แล้วต้องการให้ผมทำอะไร สมองจึงสั่งการให้ได้เห็นภาพต่าง ๆ ที่พบในความฝัน แล้วเรียบเรียงออกมาเป็นเรื่องราวคร่าว ๆ ที่ผมพอจะเข้าใจแล้วในตอนนั้น

	ไม่รอช้า ผมเดินรี่ไปที่โต๊ะทำงาน นำโน๊ตบุ๊คเครื่องประจำมาวางไว้ แล้วเปิดเครื่องขึ้นมาเพื่อไล่พิมพ์สิ่งที่ผมคิดว่าตนเข้าใจทั้งหมดลงไป แล้วจึงค่อย ๆ สรุปใจความสำคัญที่คน ๆ นั้นต้องการสื่อถึงผม โดยพยายามมาเป็นเวลาครึ่งปี

	ยิ่งคิดลึก ๆ เข้าไป ยิ่งเห็นถึงความจริง ความประหลาดใจ ความตื่นเต้น และตื่นกลัว ถึงสิ่งที่ผมได้พบเห็นมาแล้วซ้ำ ๆ กัน ในเวลาค่ำคืน ทุกท่านที่ได้อ่านบทความของผมนี้ คงคิดกันไปต่าง ๆ นานา ใช่ไหมครับ แต่ใช่แล้ว ส่วนหนึ่งคุณบางคนคงคิดถูก ว่าสิ่งที่ผมเห็นคือ อาณาจักรที่เคยเจริญถึงขั้นสุดขีด ยิ่งกว่ามนุษย์โลกหลายล้านเท่า แต่ในตอนนี้ ได้ล่มสลายลงจากสิ่งที่ตนสร้างขึ้น ถูกแล้วครับ ผมได้เห็นอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตบนกาแลกซี่อื่น ที่พัฒนาตนเองขึ้นมาเรื่อย ๆ และอยู่อาศัยได้โดยไม่ใช้น้ำ อากาศ 

	แต่ก่อนที่ผมจะอธิบายอะไรไปไกลกว่านี้ ก็ขอให้ผมได้ยกตัวอย่างเรื่องบางเรื่องให้ทุกท่านได้เข้าใจกันก่อน ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณเพื่อนของผมมากที่ทำให้คนไม่เก่งวิทย์อย่างผมได้เข้าใจอะไรมากขึ้น และได้ช่วยเรียบเรียงข้อความในหน้าต่อไปนี้ ให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจถึงเรื่องของอวกาศกันพอสมควรก่อน แล้วผมจะเล่าให้ฟังครับ ว่าผมเห็นอะไร

	หากย้อนเวลากลับไปเมื่อสองหมื่นล้านปีที่แล้ว หลังจากได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นการถือกำเนิดของเอกภพอันกว้างใหญ่ หรือจักรวาล (Universe) นั่นเอง การระเบิดครั้งนี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ตั้งชื่อทฤษฎีไว้ว่า Big Bang  สรรพสิ่งทั้งหลายได้บังเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า และสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นมาคือ ดาราจักร (Galaxies) อันไม่อาจประมาณจำนวนได้

	ในเอกภพอันไร้ซึ่งขอบเขต เราไม่อาจรู้ได้ว่าภายใน จะมีสิ่งใดอยู่ และสิ่งใดได้ถือกำเนิดขึ้นหลังจาก Big Bang แต่อย่างน้อยเราก็ยังรู้ว่า บนดาราจักรหนึ่ง อันมีนามว่า ทางช้างเผือก มีระบบวงโคจรของดาวเคราะห์ 8 ดวง ซึ่งกำลังหมุนวนรอบดาวฤกษ์ผู้ให้แสงสว่าง ซึ่งไม่มีใครคาดคะเนได้ว่าดาวดวงนี้จะดับมอดลงเมื่อใด หรือดวงสุริยะนั่นเอง มนุษย์เรียกวงโคจรนี้ว่า ระบบสุริยะ ซึ่ง โลก ดาวเคราะห์ที่ มนุษย์ อาศัยอยู่ด้วยความทุกข์และความสุข เป็นดาวดวงที่ 3 หากนับจากดวงดาวที่อยู่ไกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด 

	โลก  ดาวที่สวยงามดุจคริสตัล จากสิ่ง ๆ หนึ่งที่มนุษย์คิดเสมอว่า ภายในระบบสุริยะ คงไม่มีดาวดวงใดจะมีอีกแล้ว ก็คือ น้ำ วัตถุเหลวใส ที่ส่องประกายสะท้อนกับแสงอาทิตย์ เป็นสิ่งที่สวยงามหาผลึกใด ๆ มาเปรียบได้ ซึ่งมนุษย์ก็พอใจกับมันยิ่งนัก ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะช่วยกันเผาผลาญสิ่งสวยงามนี้ก็ตาม

	ถึงแม้ว่ามนุษย์บนโลกจะค้นพบอะไรมากมายเกี่ยวกับเอกภพที่กว้างใหญ่ ทั้งที่พิสูจน์ได้ และทฤษฎี เพราะอย่างน้อยหากมองจากโลก ก็คงเหมือนกับมดตัวเล็ก ๆ ที่กำลังมองดูโลกอันกว้างใหญ่ และมนุษย์ได้คาดคิดว่า ภายในระบบสุริยะ อาจไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่เลย นอกจากพวกเขา แต่นี่ก็เป็นเพียงแค่การสันนิฐานเท่านั้น

	การค้นพบดาราจักรไกล้เคียงถือว่าเป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างหนึ่ง เป็นดาราจักรที่มีลักษณะคล้ายกับดาราจักรทางช้างเผือก คือมีรูปแบบเป็นลักษณะก้นหอย โดยที่มันถูกตั้งชื่อว่า ดาราจักรแอนโดรเมดา (Andromeda Galaxy)  มนุษย์คิดถูก ที่เห็นว่ามันคือดาราจักรหนึ่ง แต่ไม่อาจรู้ได้ว่า ที่แห่งนี้ จะมีสิ่งมีชิวิตอาศัยอยู่รึเปล่า ก็ยังเป็นคำถามต่อไป

	ผมขอกล่าวถึงเรื่องของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ อย่างคร่าว ๆ ก่อนนะครับ เพราะบางท่านอาจจะงงว่า ผมกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ เชิญอ่านคำอธิบายสั้น ๆ แล้วอ่านเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ได้เลยครับ

	ดาวเคราะห์  (Planets) หมายถึง  ดาวที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง  แต่สะท้อนแสงอาทิตย์ส่องเข้าตาเรา  ดาวเคราะห์แต่ละดวงอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นระยะทางต่างกัน  แต่ทุกดวงต่างอยู่ในระบบสุริยะโดยหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วที่ต่างกัน

	ดาวฤกษ์ ( Stars) เป็นดาวที่มีแสงสว่าง  และพลังงานในตัวเอง

	เนบิวล่า  (Nebula) เป็นกลุ่มก๊าซและฝุ่น ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง รวมกันอยู่อย่างหนาแน่นเป็นปริมาณมหาศาล  บริเวณที่กลุ่มฝุ่นและก๊าซรวมตัวกันและยึดด้วยแรงโน้มถ่วงของเนบิวล่า  จะทำให้บริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งกำเนิดดาวฤกษ์ต่างๆ

	บนดาราจักรแอนโดรเมดานั้น ยังเคยมีอารยธรรมที่สมบูรณ์แบบอยู่ เนื่องจากว่าบนดาราจักรนี้ไม่มีดาวเคราะห์ใดที่มีขนาดใหญ่เพียงพอและสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เพราะดาวเคราะห์ส่วนมากจะเกิดเป็นหลุมเป็นบ่อ จากการที่ไม่มีชั้นบรรยากาศ เช่นเดียวกับดาวพุธ จึงมีอุกกาบาตพุ่งชนเป็นจำนวนมาก จึงเป็นการกร่อนดาวที่มีเนื้อสารไม่แน่นหนา และทำให้สิ่งมีชีวิตไม่อาจอยู่อาศัยได้

	สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย มักเลือกอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆแต่มีชั้นบรรยากาศ ซึ่งมีพื้นผิวเรียบและแห้งแข็ง ที่จำเป็นต้องมีชั้นบรรยากาศก็เพราะว่า สิ่งมีชีวิตประเภทนี้ต้องการความร้อนจากดาวฤกษ์ดวงเล็ก ๆ นับหมื่นดวงที่กระจายตัวอยู่รอบดาราจักร ดาวฤกษ์ทั้งหลายนี้ มีความร้อนพอเหมาะกับความต้องการของโครงสร้างร่างกายสำหรับสิ่งมีชีวิตที่เราไม่รู้จักนี้

	เพราะว่า พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งอาศัยอาหารจากธาตุ ๆ หนึ่งบนผิวดาว จึงไม่ต้องการปัจจัยสำคัญเฉกเช่นมนุษย์

	อีกทั้งบนดาราจักรนี้ไม่มีดาวฤกษ์ที่มีขนาดใหญ่เท่าดวงสุริยะของ ระบบสุริยะของโลก และมีเพียงแค่ดาวฤกษ์ดวงเล็กดวงน้อยเท่านั้น ที่ให้ความอบอุ่นกับสิ่งมีชีวิต ที่ว่า ถ้าผมฟังไม่ผิด มันมีชื่อว่า พรีตา (Preta)

	พวกเขาก่อสร้างอารยธรรมขึ้นมาเป็นเวลานานกว่ามนุษย์หลายพันเท่า พวกพรีตา หลังจากที่วิวัฒนาการตนเองให้มีความสามารถด้านร่างกาย และด้านสมองแล้ว จึงตระหนักถึงความสำคัญของปัจจัยในการดำรงชีวิต ซึ่งก็คือ ความอบอุ่นนั่นเอง

	การล้มตายของบรรพบุรุษ ทำให้พวกพรีตาคิดได้ว่า ตนต้องทำอย่างไรให้มีชีวิตอยู่รอด และสืบเชื้อสายเผ่าพันธุ์ต่อไป เนื่องจากดาวฤกษ์ดวงเล็ก ๆ นั้นไม่อาจให้ความอบอุ่นแก่พวกเขาได้อย่างเพียงพอตลอดไป พรีตากลุ่มหนึ่งที่มีวิวัฒนาการทางสมองเต็มตัว จึงได้ออกสังเกตุการ เกี่ยวกับดาวฤกษ์ที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่

	พรีตากลุ่มนั้นพบว่า พวกเขาสามารถสังเกตุอายุ และอุณหภูมิของดาวฤกษ์ได้จาก สีของดาว เขาเห็นว่า สีของดาวฤกษ์ สามารถบอกได้ว่า ดาวดวงนี้มีอุณหภูมิสูงเท่าใด และไกล้จะระเบิดตัวกลายเป็นเนบิวลาเมื่อใด โดยจำแนกสีออกมาได้ดังตารางในหน้าต่อไปนี้ (พร้อมการเปรียบเทียบกับดวงอาทิตย์เพื่อป้องกันความสับสนของผู้อ่าน และเพื่อการทำความเข้าใจที่ง่ายขึ้นครับ)



ตารางแสดงความสัมพันธ์ของ สี อุณหภูมิ และขนาดของดาวฤกษ์
สี	อุณหภูมิ (   K°)	ขนาด (มวลเมื่อเทียบกับดวงสุริยะ)
น้ำเงิน	80,000		สว่างมากกว่าร้อนจัด มีน้อยมาก
น้ำเงินขาว	50,000  30,000	มีมวลมากกว่าดวงสุริยะประมาณ 20- 50 เท่า
ขาว  น้ำเงิน	28,000  10,500	มีมวลมากกว่าดวงสุริยะประมาณ  3  17 เท่า
ขาว	9,900  7,500	มีมวลมากกว่าดวงสุริยะประมาณ 1.4  2 เท่า
เหลือง  ขาว	7,500  6,000	มีมวลมากกว่าดวงสุริยะประมาณ 1.2  1.8 เท่า
เหลือง	6,000   5,000	ดวงสุริยะ
ส้ม	5,000  4,000	มีมวลน้อยกว่าดวงสุริยะประมาณ 0.8 เท่า
ส้ม  แดง	3,500  2,500	มีมวลมากกว่าดวงสุริยะประมาณ 0.8  0.5 เท่า
แดง	2,000  2,600	มีขนาดเล็กมาก

K = องศาเคลวิน ถ้าจะเปลี่ยนให้เป็น องศาเซลเซียส ให้ตั้งลบด้วย 273 จะได้ค่าองศาเซลเซียส

	ซึ่งผลของการตรวจสอบ พวกพรีตาบนดาวหนึ่งจึงพบว่าดาวฤกษ์ส่วนมากที่ล้อมรอบตัวพวกเขาอยู่ มีสีส้ม และบางดวงก็เป็นสีแดง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าอุณหภูมิที่พวกเขาต้องการนั้นสูงกว่านี้ จึงคิดว่าที่บรรพบุรุษของพวกเขาสบนดาวบางดวงล้มตายนั้น คงเป็นเพราะว่า มีดาวฤกษ์ที่อุณหภูมิต่ำล้อมรอบ จนพรีตาได้รับความอบอุ่นน้อยลง ๆ จนตายไป

	เป็นที่น่าแปลก ซึ่งจนทุกวันนี้ ผมและเพื่อนก็ไม่อาจทราบถึงเหตุผลได้ว่า ก่อนที่ดาวฤกษ์แต่ละดวงจะเป็นสีแดง มันต้องผ่านช่วงที่ให้ความร้อนสูงมาก่อนมิใช่หรือ แล้วนั่นก็ไม่ใช่ระยะเวลาสั้น ๆ ที่ดาวฤกษ์แต่ละดวงจะเปลี่ยนสีได้ง่าย ๆ พวกผมจึงลงความเห็นว่า พรีตา คงจะเริ่มวิวัฒนาการตนเองมาตั้งแต่ได้รับความร้อนเต็มที่จากดาวฤกษ์รอบ ๆ แล้วเกิดความล่าช้าในการวิวัฒนาการ จึงไม่สามารถปรับตนให้ทันต่อเวลาอันจำกัดของดาวฤกษ์จนตายไป แล้วจึงมีพรีตารุ่นใหม่ ที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ ๆ มีแสงน้อย ๆ ได้ แต่แล้วพวกเขาก็ไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีแสง ผลจึงเป็นเช่นเดิม
	
	พรีตากลุ่มเดิมจึงคิดว่า ตนควรจะอพยพออกจากดาวดวงเดิม หากต้องการมีชีวิตรอดต่อไป เพราะร่างกายของพวกเขาไม่อาจปรับตัวได้ทัน จากความบกพร่องทางโครงสร้างร่างกายของพวกเขา หลังจากนั้นกลุ่มพรีตาสังเกตุการณ์จึงได้ส่งข่าวที่พวกตนค้นพบไปยังดาวแม่ แล้วจึงให้ดาวแม่กระจายข่าวส่งไปยังดาวทุก ๆ ดวงที่มีพรีตาอาศัยอยู่ สุดท้าย บนสถานที่เล็ก ๆ บนดาวทุดดวง เหล่าพรีตา กำลังสร้างยานอวกาศเพื่อเตรียมอพยมยามจำเป็น เมื่อวันนั้นมาถึง

	แต่แล้วความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของพวกเขาได้เกิดขึ้น ทุกท่านอาจคิดว่า เชื้อเพลิงที่พวกเขาใช้นั้นมาจากน้ำมัน เหมือนโลกมนุษย์ ใช่ไหมครับ ผิดแล้วครับ เชื้อเพลิงของพวกเขามาจากธาตุพิเศษชนิดหนึ่ง  ที่ให้พลังงานการเผาผลาญได้สูงกว่าเชื้อเพลิงปิโตรเลียมถึง 50 เท่า แต่ว่า สิ่งที่มีข้อดี ก็ต้องมีข้อเสียในตัวเป็นเรื่องธรรมดีครับ เพราะว่าสิ่งที่พรีตาคำนวณผิดพลาดคือ ผลของการใช้เชื้อเพลิงจนหมดสิ้น

	ธาตุโพรโทเนียม อันเป็นเชื้อเพลิง เกิดจากธาตุไฮโทเนียม 2 ธาตุรวมกัน ซึ่งธาตุไฮเทียมเป็นธาตุที่สามารถเผาผลาญตัวเองได้เมื่ออยู่อย่างเดี่ยว ๆ แต่หากมีธาตุไฮเทียมมาประกบคู่ มสันจะกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีทีเดียว ดังนั้นเมื่อใช้เชื้อเพลิงไป 1 ตัว จำนวนธาตุไฮเทียมก็จะเป็นเลขคี่ ทำให้ เหลือ 1 ตัวที่จับคู่ไม่ได้ มันก็จะเริ่มกระบวนการเผาผลาญธาตุตัวข้าง ๆ ทำให้จำนวนธาตุเป็นเลขคู่อีกครั้ง  แต่ทว่าหากเกิดการเผาผลาญต่อไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่เติมเชื้อเพลิง ก็จะเหลือไฮโทเนียมเพียงตัวเดียว และเมื่อไม่มีไฮโทเนียมอีกตัวมาประกบคู่ มันก็จะเผาผลาญสรรพสิ่งรอบข้างไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ว่าหากไม่มีสิ่งใดให้เผาผลาญก็จะเกิดปฏิกิริยาสลายตัว กลายเป็นอนุภาคเล็ก ๆ กระจายไป

	สิ่งที่พวกเขาเกิดการผิดพลาดเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาค้นพบดาวขนาดใหญ่ ที่มีขนาดและมวลสารมากกว่าดวงสุริยะถึง 10 เท่า และมีทรัพยากรต่าง ๆ เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ชาวพรีตาจึงลงความเห็นให้ประชากรทั้งหมดขอพวกเขารวมกันอาศัยอยู่บนดาวดวงเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการพัฒนาดาว และง่ายต่อการเตรียมพร้อมในการอพยพครั้งต่อไป

	แต่แล้ว นั่นก็เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง เพราะว่า ในขณะที่จะอพยพย้ายประชาการทั้งดาวไปหาดาวดวงใหม่ ก็เกิดเรื่องขึ้น เพราะพวกเขาไม่สามารถค้นหาดาวที่มีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับประชากรทั้งหมดบนยานอวกาศได้ พรีตากลุ่มหนึ่งจึงถูกทิ้งอยู่บนดาวดวงเล็ก ๆ ไกล้เคียง เพื่อที่จะช่วยเสาะหาดาวเคราะห์ที่ต้องการได้ โดยที่ใช้วิธีสังเกตุจาก ลักษณะของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ เหมือนกับทุกครั้ง ด้วยหลักการว่า ดาวฤกษ์ จะมีแสงสว่างในตนเอง และอยู่นิ่ง ส่วนดาวเคราะห์จะเคลื่อนที่ และมีแสงนวล

	การค้นหายังดำเนินต่อไป โดยที่ประชากรชาวพรีตา ยังใช้ชีวิตอยู่บนยานอวกาศอย่างไม่ทุกข์ร้อน แต่หารู้ไม่ว่า เชื้อเพลิงโพรโทเนียมไกล้หมดลง จนท้ายที่สุด ได้มีข้อความชินสุดท้ายส่งมาจากยานแม่ สู่ฐานสังเกตุการณ์ชั่วคราว โดยมีเนื้อความแจ้งมาว่า

	 อีกไม่นานดาวแม่จะระเบิด เนื่องจากไม่สามารถค้นหาดาวเคราะห์ใดที่มีธาตุโพรโทเนียมเติมเชื้อเพลิงได้เลย อารยธรรมหนึ่งของดาราจักรแอนโดรเมดากำลังจะล่มสลาย ชาวพรีตาที่ยังเหลืออยู่ ทางเรามีข่าวชิ้นสุดท้ายที่ต้องการจะแจ้ง ขณะนี้เราอยู่ที่ขอบกาแลคซี่ ซึ่งการใช้กล้องไมโครอัลตร้าเวฟ ทำให้เราค้นพบกาแลคซี่กลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ เรา และหลังจากการตรวจสอบ เราได้พบ ดาวเคราะห์ดวงเล็ก ๆ ดวงหนึ่ง ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ อย่างน้อย เราก็สมควรให้มีสิ่งมีชีวิตสักสิ่งหนึ่งได้จารึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งบนกาแลคซี่แอนโดรเมดา ยังมีกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีอารยธรรมสูงส่งเช่นพวกเราอยู่ ขอให้พวกท่านจงพยายามให้ถึงที่สุด วีรชน กลุ่มสุดท้ายแห่งพรีตา ....ซ่า ๆ ..... 

	สิ่งที่เกิดต่อมา ผมก็ไม่ทราบแน่ชัดซักเท่าใด เพราะความฝันในช่วงนี้มันขาด ๆ หาย ๆ นะครับ แต่ผมก็พอจับใจความได้ประมาณว่า หลังจากนั้น กลุ่มพรีตากลุ่มเล็ก ๆ ได้ศึกษาโครงสร้างและเรื่องราวต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตอันมีนามว่า มนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ โลก ของพวกเรานั่นเอง และในที่สุด พวกเขาจึงได้พยายามประดิษฐ์เครื่องส่งคลื่นสัญญาณมายังโลกมนุษย์ ในรูปของกระแสคลื่นไฟฟ้า เพื่อแทรกเข้ามาในสมองของเราในเวลาหลับ แล้วมันจะปรากฏเป็นภาพความฝันนั่นเอง

	แล้วก็เป็นความโชคดี และ โชคร้ายของผม ที่กลุ่มชาวพรีตาส่งคลื่นสัญญาณมามั่ว ๆ แล้วดันมาถูกเข้าใส่ผมอย่างจัง ทำให้ผมต้องฝันถึงเรื่องราวของพวกเขาเป็นเวลากว่าครึ่งปี เกือบทุกคืน

	ส่วนในตอนนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรผมก็ไม่ทราบได้ แต่พวกพรีตาก็คงใช้เชื้อเพลิงโพรโทเนียมก้อนสุดท้ายเพื่อเป็นพลังงานในการส่งสัญญาณมาหาผม แล้วสุดท้าย ตั้งแต่วันนั้นที่ผมไม่ได้ฝันเห็นพวกเขาอีกเลย ก็คงเป็นเพราะว่าโพรโทเนียมได้หมดลงแล้ว พวกเขาก็คงตายหมดแล้วเช่นกัน

	ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็กลับเป็นปกติ เช่นเคยอีกครั้ง แต่มันทำให้ผมรู้สึกติดค้าง ในใจอย่างไรชอบกล ผมดีใจนะครับที่ผมไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับฝันนั้นอีกแล้ว จะได้นอนหลับให้สบาย แต่ว่ามันก็เหมือนกับมันขาดอะไรไปบางอย่าง ที่อยู่กับผมมาทุกคืน (ไม่ใช่แฟนนะครับ) แล้วมันก็เหมือนกับ การดูหนังเรื่องหนึ่งที่จบลงอย่างไม่น่าจบ เพราะเรายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมก็คงได้แต่คิดกลับไปกลับมาถึงพวกเขา และวันเวลาที่ผมได้ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนในการสืบทอดเรื่องราวของพวกเขาให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายได้รับรู้ต่อไป

	ส่วนเรื่องที่ผมบอกไปในตอนต้นนะครับ ว่า ผมทำอย่างไรมันก็ทำให้ผมเลิกฝันไม่ได้ซักที มันมาจากหลาย ๆ เรื่องครับ เช่นการที่ผมนั่งสมาธิ มันก็เป็นการทำให้สมองว่างมากขึ้น คลื่นถึงแทรกเข้ามาได้ง่ายขึ้น ส่วนเรื่องที่ผมแก้ฮวงจุ้ย มันทำให้ผมต้องย้ายจุดต่าง ๆ ของห้อง ทำให้การส่งสัญญาณคลาดเคลื่อนชั่วคราวครับ และการที่ผมกินยาระงับประสาทและยานอนหลับ ทำให้คลื่นสมองของผมทำงานน้อยลง ซึ่งทำให้ขาดการติดต่อทางสัญญาณ พวกพรีตาจึงต้องเพิ่มความเข้มข้นของกระแสสัญญาณครับ ผมจึงรู้สึกปวดหัวมาก เนื่องจากคลื่นไฟฟ้ามันกดดันเส้นประสาท และจนสุดท้าย พวกพรีตาจึงตัดสินใจให้ผมฝันถึงพวกเขา เพราะเชื้อเพลิงไกล้หมดเต็มที เพื่อที่จะกล่าวคำว่า ขอบคุณ และขอโทษ กับตัวของผมเอง

	เอาล่ะครับ ความฝันของผมก็จบลงแล้ว เหมือนกับอาณาจักรพรีตา ที่ได้จบลงแล้วเช่นกัน อารยธรรมอันยิ่งใหญ่ มักสิ้นสุดด้วยความก้าวหน้าของตน มนุษย์เราก็คงต้องรอ วันนั้นที่จะมาถึง ไม่ว่าจะมันจะเป็นอนาคตที่ไกลแค่ไหน หรือว่ามันจะเป็นความจริงที่ไกล้เพียงใด ก็ขอให้ทุกท่านเตรียมใจให้พร้อมนะครับ กับวันสิ้นโลก.... สิ้นสุดอารยธรรมกันยาวนานหลายล้านปี




ขออภัยนะเจ้าคะ หากว่ามีคำบางคำสะกดผิดไปบ้าง
นี่เป็น Sci-fi เรื่องแรกที่เขียน
ก็ขอให้ทุกท่านรับไว้พิจารณาด้วยนะเจ้าคะ
หากว่ามันน่าเบื่อหรือไม่สนุกอย่างไรก็ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ
อย่าลืมเม้น ๆ น่อ จะได้รู้ว่ามันบกพร่องตรงไหนบ้าง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนิลจันทรา
Lovings  นิลจันทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนิลจันทรา
Lovings  นิลจันทรา เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟนิลจันทรา
Lovings  นิลจันทรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงนิลจันทรา