16 กรกฎาคม 2550 02:58 น.

ความหวังและกำลังใจ: สำหรับทุกคนที่กำลังสิ้นหวัง และไร้กำลังใจ

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก

22381.jpg

คืนวันผ่านพ้นไป
มีเรื่องใหม่ผ่านเข้ามา
ให้เราได้ศึกษา
พัฒนาตัวเราต่อ 

ชีวิตยังก้าวไป
ตามวิสัยแม้ใจท้อ
ลุกขึ้นมาพะนอ
อย่าย่นย้อต่อสู้นะ 

สำหรับ เพื่อนผู้อ่าน หรือผ่านมาพบ

หวังใจว่า  ณ วันนี้ คงจะสุขสบายกันดีอยู่นะ  สำหรับผู้เขียน  ก็สุขบ้างทุกข์บ้างตามอัตภาพ  ยุ่งบ้างกับสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่  มีอะไรให้สู้ต่อไปเรื่อย ๆ  บ้างก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ  จิตวนคิดถึงเรื่องความหลัง  ซึ่งเป็นธรรมดาของคนเราเมื่อกาลเวลาผ่านไป  วัยย่อมล่วงเลยไปตามเวลา  

นึกถึงสมัยเรียนวิชาปรัชญาในระดับ ปริญญาตรีเมื่อหลายปีก่อน  อาจารย์ท่านหนึ่ง  เป็นนักเขียนในเครือสยามรัฐ  มาสอนวิชาปรัชญาจีน  พอถึงเวลาพัก  ก็เลยถามเรื่องแนวคิดในการทำงานหนังสือ พิมพ์สักหน่อย  จำได้คำถามหนึ่งว่า  ถ้าอยากเป็นนักเขียนอย่างอาจารย์  จะ ต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองยังไงบ้าง?  ได้รับคำตอบที่น่าสนใจและเป็น ประโยชน์  จึงจดจำมาจนถึงทุกวันนี้  แม้จะทำไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้ครั้งแรก หลังจากได้ฟังคำตอบนั้นก็ตาม  แต่ก็ยังพยายามนะ  เก็บเล็กผสมน้อย  และนำมา เรียงร้อยถ้อยคำต่อ ๆ  กันไป  

คำตอบนั้น  กลับกลายเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาหาคนถามอีกทีว่า  "คุณเคยจดบันทึกประจำวันไหมล่ะ  ประเภทไดอารี่ส่วนตัวน่ะ"  นักเรียนตัวเล็ก ๆ  หนุ่มไม่หล่อแต่น่ารักที่สุดในห้อง  รีบพยักหน้ารับทันที  พร้อมเอ่ยวจีต้านต่อไปว่า  "ก็เขียนนะอาจารย์  แต่ไม่ต่อเนื่องหรอก  ประเภทเป็นไปตาม อารมณ์น่ะ  มีอารมณ์ก็เขียน  ไม่มีอารมณ์ก็ไม่เขียน"  

อาจารย์ สาธยายต่อไปว่า  "ก็ลองเขียนให้ต่อเนื่องดูสิ  ไม่ต้องมากหรอก  ได้วัน ละ  ๑  หน้ากระดาษ  เล็กหรือใหญ่  ตามแต่สะดวก  เมื่อเวลาผ่านไป  สัปดาห์หนึ่ง  เดือนหนึ่ง  หรือปีหนึ่ง  เราลองเก็บมาอ่านดูสิ  เราจะแปลกและ อัศจรรย์ใจว่า  เราคิดอย่างนั้นได้ยังไงนะ  ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน  อาจทำ ให้คนเรามีมุมมองที่แตกต่างออกไป  เป็นประเด็นให้เราได้พินิจพิจารณา  หรือ ขยายประเด็นต่อไปได้นะ"

อื้อ...มาคิดตาม  ก็จริงอย่างที่อาจารย์ว่านะ  ถ้าไอดารี่ของเราจะเป็น  "ไดอารี่ที่รัก  (รักตนเองน่ะ  แบบว่ามองหา ใครมารักไม่ได้...ซะงั้น)"  ก็น่าจะดีนะ  แต่ละวัน  กลับจากเรียน  จบงาน อันเฮงซวย  (คิดเองว่า)  ห่วยแตก  แยกไม่ออก  ระหว่างเจ้านายกับสัตว์ ประหลาดอัศจรรย์อะไรสักอย่าง  ที่ชอบชี้นกเป็นงาน  ชี้ไม้เป็นงาน  จับปากกา  คว้ากระดาษ  ก็อาจมีงาน  สั่งเราอีก  แถมซ้ำเห็นเรานั่งหน้าคอมฯ  ก็ ทำหน้าที่พิพากษาโทษเราไปเสร็จสรรพ

แทนที่จะท้อแท้  อ่อนแอ  และจ่อมจม  กับความคิดอดอู้ในใจ  ก็ลองมาเขียนระบายออกมาบ้างสิ  ในวินาทีที่ไม่มีใครเข้าใจเรา  เราเองนี่ก็คน  จะไปดิ้นรนหาใครที่ไหน  ก็หันมาใส่ใจ  ทำความเข้าใจ  ให้กำลังใจตนเองสิ  จะมัวมาตีโพยตีพาย  (สมัยนี้  โพยหวย เห็นเดินกันเกลื่อนตั้งแต่บ่าย ๆ  ของวันหวยออก  ส่วน  "พายหรือไม้พาย"  เขาไม่ใช้กันแล้ว  เขาติดเครื่อง ชนไว้ชดน้ำมันปั่นกระเป๋าตังค์จนขาดรุ่งริ่งกันแล้ว)  หรือฟูมฟายปาดน้ำตา อยู่คนเดียวได้ไงล่ะ  

สุขก็เรา  ทุกข์ก็เรา  ร้อนก็เรา  หนาวก็เรา  เซ็งสุดก็มีเรานี่ล่ะ  ที่ยังประคับประคองลมหายใจเราเอง  ชีวิตก็มีขึ้นลงเป็นเรื่องธรรมดานะ  ไม่มีที่ไหนสุขสบายเสมอไปหรอก  แม้แต่พระราชามหา กษัตริย์  ดูอย่างพ่อหลวงของเราสิ  พระองค์ได้อยู่สุขสบายที่ไหนล่ะ  เหนื่อยและหนักมากกว่าเราหลายร้อย พัน หมื่น  แสน  ล้านเท่า  ยิ่งมีตำแหน่งสูง  ศักดิ์ใหญ่  และยศมาก  ก็ยิ่งต้องทำงานหนัก  ไม่เช่นนั้น  ก็จะเสียโอกาสนั้น ๆ  ไป  

งานไหนก็หนักเหนื่อย
หากปวดเมื่อยก็หยุดพัก
ตัวเราควรรู้จัก
รับน้ำหนักได้เท่าใด

หนักกายยังพอทน
หนักกมลจนเจียนไข้
เรื่องราวเก่าผ่านไป
มีเรื่องใหม่ผ่านเข้ามา

ตราบใดชีพยังอยู่
ต้องต่อสู้ดูสิว่า
อุปสรรคหลากนานา
มีปัญญาแก้ให้ทัน

ไม่มีใครเก่งหรอก
แม้คนบอกก็อย่างนั้น
ยามเมื่อใจจาบัลย์
สารพันเรื่องวุ่นวาย


ในทางตรงกันข้าม  ถ้าสามารถนำตำแหน่ง  ยศฐาบรรดาศักดิ์  และอำนาจวาสนานั้น ๆ  มาสร้างสิ่งดีงามให้ตนและสังคม  ก็จะกลายเป็นบารมี  คือ  ความเต็มรอบ แห่งคุณความดี  อำนาจวาสนาและบารมีนี้ล่ะ  ทางศาสนาเรียกว่า  "บุญ"  อย่างหนึ่ง  การแข่งขันกันยาก  เพราะกำลังสติปัญญาที่สั่งสมอบรมบุญบารมีมาไม่เท่ากัน  สำคัญที่ความคิด  นำไปสู่คำพูด  และการกระทำ  บ่อยครั้งที่เราพูดและทำ  โดยขาดการยั้งคิด  เมื่อติดขัดสารพัดปัญหา  แล้วค่อยย้อนกลับมาแก้  บางทีแก้ไม่ทันแล้ว  เพราะวันเวลามันล่วงเลยผ่านไป  ยากเกินกว่าจะกลับมาแก้ไขใหม่ได้  

ดังนั้น  การฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้รู้จัก  "คิดก่อนทำ"  จึงน่าจะดีกว่า  สมัยเรียนวิชาปรัชญา  ชอบอ่านหนังสือจิปาถะมากมาย  เลยได้แนวความคิดส่วนตัว  ที่เก็บตกมาจากที่ต่าง ๆ  สรุปเป็นแนวปรัชญาของ  "ปรัชญาเก็บตก"  สมัยนั้นยังคิดเองไม่เป็น  จึงต้องอาศัยการอ่านและจดจำ  เขียนข้อคิดเห็นไว้หลายอย่าง  ใช้ชื่อผู้เขียนว่า  "ปรัชญาเก็บตก"  มีรวมไว้  ๒  เล่มนะ  "ค่ำคืนวันกาล เวลา"  และ  "นิยามรักนักปรัชญา"  วันก่อนหยิบมาอ่านทบทวน  ก็ชวนให้ได้หัวเราะหลายเรื่อง  หลายประเด็นก็น่าเห็นใจ  (คนเขียน)  อะไรจะเศร้าเอาปานนั้น  

ณ วันนี้เริ่มคิดเองได้บ้างแล้ว  จึงสรุปเป็นปรัชญาฉบับ  " ความหวังและกำลังใจ"  เริ่มต้นตรงนี้ว่า  "คิดทุกอย่างที่ทำ  แต่อย่าทำทุกอย่างที่คิด"

ความ คิดคนเรานี่สำคัญนะ  ความคิด  บางทีที่ดูอาจหาญเกินไป  ก็ดูเหมือนบ้าบิ่น  แต่บางทีที่รู้สึกสิ้นหวัง  หมดกำลังใจ  ก็แทบจะบิ่นบ้า  สรุปว่า  คนเรานี่  ไม่บ้าก็ดีแล้วล่ะนะ  มีมืด  มีสว่าง ผสมผสานปะปนกันไป  อาหารที่เรารับประทานทุกวัน  ยังมีหลากรสหลายสไตล์  สุด แต่ใครจะเลือกสรร  บางคนชอบเปรี้ยว  คนชอบหวานก็บอกว่า  ทานลงไปได้ไง  พอคนบางคนชอบเค็ม  มาเห็นคนชอบทานของจืด ๆ  ก็บอกว่า  ทานลงไปได้ไง  ไม่มีรส  ไม่มีชาติเอาซะเลย  เจอคนชอบของขม  (ชมเด็กสาวด้วยหรือเปล่าไม่รู้  ไปถามดูกันเอาเอง)  อาจจะบอกว่า  ทานลงไปได้ไง  ทั้งลำไส้ไม่ขมหมดแล้วรึ  ความเปรี้ยว  หวาน  มัน  เค็ม  หรือรสชาติผสมกันจนเรียกไม่ถูก  เช่น  คน ฝรั่ง  สั่งข้าวเหนียวมากินกับผัดไทย  เราเห็นก็คงแปลก  วันหนึ่งข้างหน้า  เราอาจจะทานแฮมเบอร์เก้อกับข้าวเหนียว  ราดหน้าไข่เจียว  ก็เป็นได้  ขอให้ทานได้  ไม่เป็นโทษล่ะกัน

ตอนเด็ก ๆ  เป็นเด็กขี้แงติดพ่อ  (เพราะนาน ๆ  ทีจะได้อยู่ใกล้พ่อ  ท่านคงรำคาญความขี้อ้อนและงอแงนั่นล่ะมั้ง)  ยังจด จำคำของพ่อได้  ท่านมักจะพูดเสมอ ๆ  ว่า  
"ของแซบอยู่กับผู้มักเด้อลูกหล่า"  แปลความว่า  ของอร่อยอยู่ที่คนชอบ  นะลูก  (ชายผู้น่ารักที่สุดที่พ่อเคยมี)

"เวลาหิว  อันได๋ ๆ  กะแซบดอกหล่าเอ๊ย  ว่าแต่บ่แหม่นยาเบื่อยาเมา"
แปลเป็นไทยกลาง ๆ  ว่า  เวลาหิว  อะไร ๆ  ก็อร่อยทั้งนั้นล่ะ  ลูกเอ๋ย  ขอให้สิ่งนั้นไม่ใช่ยาเบื่อยาเมา"

คนเราจะสุขหรือทุกข์  ก็อยู่ที่ความคิดนี่ล่ะนะ  ผู้เขียนจึงมักบอกตนเองเสมอ ว่า  

ยามใดที่ใจผ่องแผ้ว  
ดุจได้แก้วเจียรไน  
ยามใดที่ใจหมองหม่น  
ก็เหมือนคนทำแก้วเจียรไนนั้นหายไป

ดังนั้น  ถ้าได้แก้วเจียรไนมาครอบครองแล้ว  พยายามรักษาแก้วเจียรไนนั้นไว้คู่ใจเราเสมอ  คิดพิจารณาให้ดีแล้ว กำลังใจจะเกิดมีขั้นแก่เราด้วยตัวเราเอง  แบบไม่ต้องไปเกรงใจใคร  หรือไม่ต้องยืน  เดิน  นั่ง  และนอน  แบบหน้าละห้อย  รอเคยแรงหวัง  และกำลังใจจาก ใคร ๆ  

เพราะในปัจจุบัน  แต่ละคนก็แข่งขันกับตนเอง  แข่งขันกับเวลา  แข่งขันกับ เพื่อนร่วมงาน  แม้กระทั่งเวลานอนหลับ  ยังแข่งขันกันกรน  คิดดูดี ๆ ล่ะกันว่า  จะมีใคร  มาคอยห่วงใย  ให้กำลังใจเราได้ตลอดเวลาล่ะ  แม้แต่ตนเอง  บางทียังลืมให้กำลังใจตนเองเลย

เมื่อรู้ความจริงข้อนี้แล้ว  ก็เลิกน้อยใจใฝ่เฝ้าคอยกำลังใจจากใคร ๆ  เขาซะนะ  แม้จะเป็นคนรักก็ตามเถอะ  ถ้าเราเป็นฝ่ายให้เขาได้  เพราะเรามีกำลังใจที่เข้มแข็งกว่า  เขาไม่หนีไปไหนหรอก  แต่ถ้าเขาจะหนี  ก็ช่วยไม่ได้  ถือซะว่า  เราไม่เคยมีปุพเพสันนิวาส (เคยอยู่ร่วมมาก่อน)  แม้จะมี  ก็มีโอกาสมาพบเจอ  และเอื้ออาทรกันได้เท่านี้  ก็ยังดีกว่าไม่ได้มีโอกาสเลย  ควรฝึกพอใจในสิ่งที่เรามีนะ  
พ่อหลวงของเราชาวไทย  มักตรัสย้ำเสมอถึง  "ความพอดี  ความพอ เพียง"  แบบธรรมดา  ธรรมชาติ  เป็นธรรมะใกล้ตัวเราอย่างแท้จริง  ที่ไม่ควรทอดทิ้ง  ไม่ควรมองข้าม  เพราะถ้าเรามองข้ามธรรมะ  เราจะขวานขวายหาความเป็นธรรมไม่ได้เลยในชีวิตนี้  เบื้องต้นเราต้องมีธรรมะ คือ  หลักการธรรมดา ๆ  ง่าย ๆ  บอกใจเราได้ในยามที่ท้อแท้  อ่อนแอ  ให้มีกำลังแรงใจลุกขึ้นมาต่อสู้ให้ได้  เท่านี้ก็เพียงพอแต่การใช้ชีวิต  ลิขิตเส้นทางฝันนั้น ๆ  ได้ด้วยตนเอง  ไม่ต้องรอพรหมลิขิตใด ๆ  มาคอยลิขิต  เพราะพระพรหมก็มีหน้าที่ของพระพรหม  พ่อแม่ก็มีหน้าที่ของพ่อแม่  ลูกที่อยากจะโต  ต้องฝึกคิด  และสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ  ได้ด้วยตนเอง  การวิงวอนขอให้พรหมมาลิขิต  ก็เหมือนการงอมืองอเท้าขอพ่อแม่  ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันตายนั่นล่ะ  แล้วจะเกิดมาทำไมล่ะเนี่ย...เฮ้อ!

ความคิดคนเราก็เหมือนกันนะ  จะต้องรู้จักจัดวางอย่างเหมาะสมและลงตัว  ไม่รู้ก็ควรจะฝึกฝนไว้  ไม่เช่นนั้นแล้วจะยุ่งยาก  และวุ่นวาย  แต่ละคนมีเวลาเท่ากัน  หนึ่งวันมี  ๒๔  ชั่วโมงเท่ากัน  สุขบ้าง  ทุกข์บ้าง  ถือเป็นประสบการณ์ไป  เรื่องทุกข์ทรมานใจ  ต้องมีบ้าง  จะได้รู้กำลังใจของตนเอง  ความคิดของคนเราก็เหมือนกันนั่นล่ะ  ไม่มีใครสามารถช่วยเราจัดวางความคิดได้ดีเท่ากับตัวเราหรอก  ขอเพียงเราใส่ใจที่จะจัดวางมันให้เป็น  แยกประเด็นออกและวางลง  เหมือนวางกระเป๋า ส่วนตัวของเรา  ถ้าไม่ฝึก  ก็วางมั่วไปหมด  ดีไม่ดีอาจจะหายด้วย  หรือไม่ก็ ไปวางทับที่ใครเขาเข้า  ก็กลายเป็นปัญหาอีกล่ะ

ชีวิตคนเราก็มีขึ้นลงอย่างนี้ล่ะนะ  บางทีสิ่งเราคิดว่าหนัก ๆ  พอเจอเข้าจริง ๆ  ก็ไม่ได้หนักอย่างนั้นเสมอไปหรอก  การคิดก่อนทำเป็นเรื่องที่ดี  ควรฝึกไว้  แต่ถ้าคิดแล้วยังไม่มีข้อสรุป  บางทีก็ต้องวางไว้ก่อนนะ  ถือไว้ตลอดคง  ไม่ไหวหรอก  

หากคิดเป็นเห็นคุณค่ามิประมาท
หากฉลาดพินิจจิตสร้างสรรค์
หากไม่คิดติดขัดอาจไม่ทัน
ก่อนชีวันติดขัดต้องหัดคิด

ยังมีลมหายใจให้ฝึกบ้าง
ในระหว่างก้าวเดินอย่าเพลินจิต
หลงสนุกทุกข์มาค่อยพินิจ
อาจจะติดขัดได้เพราะสายเกิน

คิดก่อนทำคำปราชญ์ประกาศก้อง
เป็นทำนองชีวาน่าสรรเสริญ
เพียงแค่มองผ่านไปไม่ประเมิน
อาจจะเดินหลงทางอย่างเคยเป็น

ขอเป็นแรงกำลังใจให้ทุกท่านนะ  จะคิด  จะพูด  หรือทำอะไร ชั่งใจก่อนสักนิดก็ดีเหมือนกัน  จะได้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด  จะไม่ให้ผิดพลาดเลย  คงเป็นไปไม่ได้หรอก  ในโลกนี้  ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด  แม้แต่พระพุทธเจ้า  ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาทรมานตนอย่างแสนสาหัส  นั่นก็คือความผิดพลาดอย่างหนึ่ง  เพราะความไม่รู้  แต่เมื่อรู้แล้ว  พระพุทธองค์ก็ทรงเลือกทางสายกลาง  ไม่ตึง  และไม่หย่อนจนเกินไป  เรียนรู้ดู  อยู่ให้เย็น ทำให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา  ถ้าศึกษาอะไรก็ศึกษาให้จริง  ผู้เขียนศึกษาหลักพระพุทธศาสนา  วันนี้กล่าวได้สนิทใจว่า  เคารพกราบไว้พระรัตนตรัยได้อย่างสนิทใจ  ถ้าเราศึกษาพุทธประวัติดี ๆ  นั่นล่ะคือ  วิชาภาวะผู้นำ  อย่างแท้จริง  เพราะทรงนำจิตวิญญาณของมนุษย์ และสรรพสัตว์ผู้ปฏิบัติตาม  ไปสู่ความสะอาด  สงบ  และสว่าง  จากเครื่อง เศร้าหมองวุ่นวายใจ

ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนทุกคน  ควรฝึกฝนและสร้างขึ้นให้เกิดมีในตนเองไว้เสมอ  จะเป็นการดีกว่ารอคอยจากใคร ๆ  ที่เขาก็ยังขาดความหวังและกำลังใจเช่นกันกับเรา  ดีไม่ดี  เขาอาจจะกำลังรอความหวังและกำลังใจจากเราอยู่ก็ได้  ต่างคนต่างรอ  จึงยากจะมีใครหยิบยื่น ความหวังและกำลังนี้ให้กัน  จึงมีแต่วันน้อยใจกันไป  ไม่มีที่สิ้นสุด  เริ่มสร้างความหวังและกำลังใจให้เกิดขึ้นกับตัวเราเองวันนี้  เมื่อเรามีพร้อมแล้ว  เราจะสามารถแบ่งปันใคร ๆ  ที่เราอยากจะยื่นมอบให้ด้วยความรู้สึกดีจริง ๆ  แม้จะไม่ได้สิ่งใดตอบแทนเลย  ก็ยินดีที่ได้ให้  ดีใจดีได้เห็น  เขาหรือ เธออย่างที่เคยเห็นและเป็นมาอย่างนั้น

หวังใจว่า  ทุกท่านจะรักษากายและใจ  รวมทั้งความใฝ่ฝันที่ดีงามไว้เป็นกำลังใจให้ตนเองต่อไป

รู้สึกดี ๆ
ตัวเล็ก
๑๕  กรกฎาคม  ๒๕๕๐

223812.jpg				
7 กรกฎาคม 2550 15:12 น.

เอ่ยรักมาทักทาย

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก

y1p_paQi4yc1AIf-NiPrp2smBcqotCTvHWMId_hVจะหักอื่นขืนหักก็จักได้
หักอาลัยนี้ไม่หลุดสุดจะหัก
สารพัดตัดขาดประหลาดนัก
แต่ตัดรักนี้ไม่ขาดประหลาดใจ
 
"สุนทรภู่" กวีสี่แผ่นดิน  นามระบิลว่า  "พระสุนทรโวหาร"  
เคยกล่าวไว้ในเรื่อง  "พระอภัยมณี"  ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์  
แต่คำนี้ยังคงได้ยินคนกล่าวขานถึงอยู่เสมอ  และเป็นบทกลอนหนึ่งที่ทำให้คนตัวเล็กในใจกาพย์กลอน
ใครจะรู้เล่าว่า  วันเวลาผ่านพ้นไป  วันหนึ่งเราจะได้มาเจอเรื่องความรักกับตนเอง
ถ้ารักสมหวังก็ดีนะ  แต่ถ้าไม่สมหวังก็ยากจะห้ามหักใจได้
 
อันความรักมักมีทั้งดีร้าย
คนมากมายเสาะหาอยากจะได้
ทั้งที่รู้ว่าร้อนจริงยิ่งกว่าไฟ
ยังฝักใฝ่รักกันฉันล่ะงง
 
หากสมหวังก็ดีโลกนี้สวย
คิดการค้าก็รวยรักช่วยส่ง
คิดการเรียนเพียรภักดิ์รักดำรง
จิตมั่นคงต่อกันนั่นน่ารัก
 
หากไม่สมดังคาดปรารถนา
เหมือนชีวาจะดับคับข้องหนัก
หายใจก็ติดขัดอึดอัดนัก
ยังฟูมฟักเก็บซ้ำระกำทรวง
 
เรื่องความรักนี้ไม่เข้าใครออกใครหรอกนะ  สมัยก่อนเคยได้ยินบทกลอนกึ่งเล่นกึ่งจริง
เป็นบทกลอนที่ฟังแล้วยิ่งพาใจให้ฉงน  สนเท่ห์นัก  เจ้าความรักนี่ประหลาดแท้
บทกลอนดังกล่าวเขากล่าวกันต่อสืบมาว่า
 
อันความรักไม่เลือกชั้นวรรณะ
ไม่ว่าพระหรือเณรที่เป็นสงฆ์

ความรักก็ยากจะหักห้ามนะ  ถ้าไม่ระมัดระวังใจตนเอง  แม้จะบอกใจตนเองอยู่บ่อยครั้ง  
บางทีก็ยังวกวน  สับสน
เคยได้ยินคำพระสงฆ์ผู้ทรงคุณธรรมเคยสอนพร่ำย้ำแนะนำไว้ว่า  
 
หากเกิดก่อนมองเป็นเช่นดังพี่
หากคนดีเกิดหลังตั้งเป็นน้อง
หากเกิดพร้อมเป็นเพื่อนตักเตือนประคอง
จะไม่ต้องหวงห่วงดั่งดวงใจ


เมื่อก่อนเคยดูหนังเรื่อง  "พี่ชาย"  ความย่อคือ  ฝ่ายชายรักหญิงเหมือนคนรัก  แต่ฝ่ายหญิงมองชายเป็นพี่
บทโศกจึงเกิดขึ้น  เมื่อฝ่ายชายต้องมาดูแลฝ่ายหญิง  ในฐานะของพี่ชาย 
 
โอ้น้องสาวคนดีที่พี่รัก 
แม้ประจักษ์แก่ใจไม่อาจเร่ง 
ด้วยศรัทธาแน่นย้ำน่ายำเกรง 
จะบรรเลงเช่นใดหนอใจเรา 

ยินถ้อยคำน้ำเสียงสำเนียงใส 
เรียกแต่ไกลใจฝืนกลืนยิ้มเศร้า 
ว่า "พี่ชาย" หลายครั้งฟังวิ่งเหงา 
ยังใฝ่เฝ้าพะนอรอคนดี 

ใครระกำช้ำหนักเท่ารักซึ้ง 
จากก้นบึ้งหัวใจมิหน่ายหนี 
ปรารถนารักเธอเท่าชีวี 
แต่น้องพี่มองเห็นเป็น "พี่ชาย" 

เห็นเธอยิ้มน่ารักแต่หักอก 
ยากสาธกถ้อยคำพร่ำขยาย 
เจ็บจุกแน่นแผ่นหินทับเจียนตาย 
รักสลายกล้ำกลืนยืนรับเธอ  

 
เหตุเพราะว่าความรักนั้นเกิดจากใจ  จะเป็นมนุษย์หน้าไหน  ก็ล้วนมีจิตใจด้วยกันทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้กระมัง  พระพุทธเจ้าจึงให้มองความรักอย่างกว้าง ๆ  เป็นความรักที่ประเสริฐ  
เรียกว่า  
"รักอย่างพรหม"
คือ
 
รักแบบเมตตา  ปรารถนาให้คนรักามีความสุข
รักแบบกรุณา  ปรารถนาให้คนรักพ้นจากทุกข์
รักแบบมุทิตา  ปรารถนายินดีเมื่อคนรักได้ดี
รักแบบอุเบกขา  ปรารถนาความเป็นกลาง  วางใจได้  
แม้ไม่สมปรารถนา  ก็ไม่นำรักนั้นมาบีบคั้นบังคับตนและคนรัก  
 
ความจริงเป็นสิ่งที่ยากนะ  รักอย่างพรหมตามหลักพรหมวิหาร  ถือเป็นรักในอุดมคติในพระพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้เป็นแนวทางสำหรับพ่อแม่  จึงเรียกว่า  พ่อแม่เป็นพรหมของลูก
เราจึงเห็นรูปปั้นพรหมมี  ๔  หน้า  ก็คือ  เมตตา  กรุณา  มุทิตา  และอุเบกขา
จะใช่  หน้ายักษ์  หน้ามาร  หน้าดุ  หน้าด่า  ก็หาไม่
 
หวังใจว่าจะเป็นเฉกเช่นนั้น 
แต่ว่ามันยากนะจะหลีกเลี่ยง 
พยายามห้ามหักรักเอนเอียง 
ยังยินเสี้ยงสะอื้นกลืนน้ำตา 
 
แปลกแต่จริงหญิงชายในโลกกว้าง
ชอบเป็นห่วงหวงนี่สิเนหา
เมื่อได้รักอยากเห็นทุกเวลา
เมื่อรักลาแค้นเคียดเกลียดขังกัน
 
แต่ก็ยังมีนะ  ประเภทยอมรับความจริง  เมื่อรักกันเพื่อครอบครองกันและกันไม่ได้
ก็วางใจ  พบกันครึ่งทาง  เรามาเป็นเพื่อนกันนะ  หรือเป็นพี่น้องกันดีกว่า  คบกันได้นานกว่า
ถ้าบอกกันตั้งแต่ต้น  ก็คงดีนะ  ไม่ต้องห้ามหักใจให้ลำบากมากนัก  
แต่ถ้ารักสุกงอมแล้ว  ค่อยมาเอ่ย  โอ้อกเอ๋ยสุดจะทน
อาจต้องบ่นพร่ำรำพันว่า
 
ความผูกพันมั่นหมายในวันก่อน 
ถูกริดรอนเหลือเพียงเพื่อนห่างหาย 
พยายามติดต่อเธอแทบตาย 
ไร้ความหมายต่อจิตคิดคำนึง 

ก่อนเคยบอกผูกพันและมั่นจิต 
จะเริ่มต้นชีวิตอีกก้าวหนึ่ง 
ร่วมเผชิญเดินไปใฝ่ตราตรึง 
ความลึกซึ้งสองเราเฝ้าประคอง 

วันนี้แม้สุ้มเสียงสำเนียงใส 
ก็มิได้ยลยินถวิลหมอง 
คล้ายแค้นเคียดเกลียดชังคนหวังปอง 
วันนี้ต้องจำห่างเธอร้างลา 

คิดถึงฉันบ้างไหมในวันนี้ 
โอ้คนดีเฉยเย็นมิเห็นค่า 
วันก่อนนั้นใครเล่าเฝ้านำพา 
อนิจจาเธอไม่สนใจจำ 

 
นี่ล่ะคือความรักล่ะ
หากใครทำใจให้เป็นกลางได้  ไม่เกี่ยวข้องได้  
แม้จะรัก  ก็ให้เป็นไปตามหลักพรหมวิหาร ๔  ข้างต้นได้
จิตใจของผู้นั้นจะอาจหาญและชาญชัย  เหมาะจะเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจของเพื่อนผู้ร่วมทุกข์ในโลกนี้
คนตัวเล็กจึงน้อมกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์
พระเถระทั้งหลาย  ที่ท่านวางใจห่างจากรัก  โลภ  โกรธ  และหลง
ยังคงทำหน้าที่ของพุทธสาวกที่ดีต่อไป  แม้จะไม่มีใครไปเสนอข่าวการทำความดี
บางท่านก็มีวจีที่น่าฟังและไพเราะจับใจ  เช่นว่า

ทำดีไม่ต้องรอฤกษ์ยาม  ตรงกันข้าม  ถ้าทำความชั่วแม้ฤกษ์จะดีแค่ไหน  ทำไปแล้วก็มีแต่เสีย
ทำดีไม่ต้องมีใครป่าวประกาศ  ทำตามโอกาสและความสามารถของเรา
ทำดีทันทีที่คิดได้  จิตใจจะคุ้นเคยกับความดี

Pindabat%2009.jpg
 
การที่เรารักใครสักคนแล้วทำดีในช่วงที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน  เป็นสิ่งดีงามนะ
แต่การทำดีแล้วไม่หวังผลใด ๆ  จิตใจของผู้กระทำต้องฝึกมาเป็นอย่างดี

เพราะความดีสามารถเอาชนะจิตใจคนเราได้
ถ้าทำถูกที่  ถูกเวลา  ถูกบุคคล  และไม่จนใจตนเอง
 
การที่รักใครสักคนแล้วทำดีให้  หากดีเสมอต้นเสมอปลายได้  ใครได้รับรักนั้น  ก็ถือว่าโชคดีในชีวิตนะ
ธรรมดาคนเราเมื่อเริ่มรัก  ก็มักจะมอบสิ่งดี ๆ  ให้กัน  ถ้าสิ่งนั้นก่อเกิดจากใจจริง ๆ  แม้มีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น
ก็ย้งพร้อมจะหยัดยืนเป็นกำลังใจกันและกัน  ให้ความมั่นใจแก่กันและกัน  แต่ยากนะ
 
เพราะจิตใจบอบบางยิ่งกว่าแก้ว
เคยใสแจ๋วกลับหมองและข้องขัด
คิดสับสนวนเวียนสารพัด
เมื่อเริ่มชัดว่ารักมาปักใจ
 
จิตใจจะบางเบาและห้าวหาญ
เมื่อพ้นผ่านเรื่องรักจิตฝักใฝ่
ปล่อยวางรักหักกรรมมิร่ำไร
หากทำได้แกร่งกล้าศิลามิปาน
 
ทำอย่างไรใจตนจะพ้นรัก
สุดห้ามหักเคล้ามิห้าวหาญ
จิตอ่อนแอแท้ท้อทรมาน
สุดฟุ้งซ่านกลับกลอกหลอกหลอนตน
 
มิเคยร่ำร้องไห้มีให้เห็น
มิเคยเป็นเฉื่อยชาก้มหน้าหม่น
มิเคยคิดน้อยใจกลับเวียนวน
มิเคยด้นดั้นไปก็ไกลจร
 
48524852.jpg

หากความรักเป็นรักที่ยินดีมอบให้  จะไม่รู้สึกสูญเสียรัก
หากรักเป็นรักที่เรียกร้อง  จะหม่นหมองเพราะอาจต้องสูญเสียรัก
 
รักใดเป็นไปโดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด  รักนั้นค่ายิ่งใหญ่ชนะใจคนทั้งปวง
รักใดเป็นไปด้วยความหึงหวงและปรารถนา  รักนั้นจะนำพาไปสู่ความปวดร้าวแสนสาหัส
 
หากคิดจะหัดรัก  ถึงตระหนักจิต  สะกิดเตือนใจตนให้มาก
อยากเห็นทุกคนสุขสมหวังในรักนะ
จากใจชายตัวเล็ก				
2 กรกฎาคม 2550 14:03 น.

ความเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัตน์

บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก


สรรพสิ่งในโลกล้วนแปรเปลี่ยน
ปรับหมุนเวียนเรื่อยไปไม่หยุดนิ่ง
คือสัจธรรมแท้แน่นอนจริง
แม้แต่สิ่งเรียกว่าคนมิทนนาน
 
กาลเวลาผ่านไปใจอาจเปลี่ยน
ด้วยมีเหตุใหม่เวียนมาผันผ่าน
ตามเงื่อนไขใดหนักจักบันดาล
ให้เปิดม่านความจริงสิ่งที่ทำ
 
สิ่งหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงแสดงต่อ
มิใช่ข้อบังเอิญประเมินต่ำ
มีเหตุจึงดึงผลดลมาย้ำ
ควรจดจำให้ดีนี้แน่นอน
 
การจะจากบ้านไปไกลสุดกู่
มีเหตุอยู่เหมือนนกันครั้นอนุสรณ์
ด้วยความอยากพัฒนาจากป่าดอน
จึงเร่รอนจากถิ่นพรากดินแดน
 
ในชีวิตของคนเรา  มีสิ่งต่าง ๆ  เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา  ถ้าเราสังเกตดี ๆ
ตามหลักวิทยาศาสตร์บอกให้เรารู้ว่า  เซลล์ในร่างกายเกิดขึ้นใหม่และตายไปทุกวัน  นั่นคือความเปลี่ยนแปลง
 
เมื่อหลายปีก่อน  คนตัวเล็ก ๆ  ยังเป็นเด็กน่ารัก ๆ
วันนี้แม้จะโตก็ยังเป็นเหมือนคนหน้าหัก  แต่ก็ยังคงความน่ารักแบบลงตัว
 
อะไร ๆ  ก็เปลี่ยนแปลงไป  ไม่มีอะไรมั่นคงถาวรแน่นอนตายตัวหรอก
เมื่อก่อนเคยได้ยินบทเพลงแนวเพื่อชีวิต  ที่ลิขิตไว้อย่างลงตัว  ทำให้คิดถึงตนเองนะ
เนื้อเพลงนั้นตอนหนึ่งมีว่า
 
ชีวิตที่ผ่านพบ
มีลบย่อมมีเพิ่ม
ขอเพียงให้เหมือนเดิม
"กำลังใจ"
 
แต่ถ้าใครที่ไม่มีใครมาตั้งแต่ต้น  ก็ต้องอดทนและทนอดกันต่อไป
จริง ๆ  การอยู่ลำพังตัวคนเดียว  ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนะ
บางทีอาจจะดีซะอีก  มีอิสระ  เสรี  มีโลกส่วนตัวดีออก
อยากจะเรียนหนังสือ  (อายุปูนนี้แล้วนะ)  ก็ยังสามารถเรียนได้  
ขอเพียงมีปัญญาให้หาเงินเรียนเองได้ล่ะกัน  เพราะทุกวันนี้ค่าเล่าเรียนแพงขึ้นยังกว่าค่าน้ำมันรถหลายเท่าตัว
อีกอย่างก็สอบเข้าเรียนต่อให้ได้  เรื่องนี้ไม่เท่าไหร่  เพราะหลาย ๆ  สถาบันวิ่งหานักศึกษาแทบจะชนกัน
มีโฆษณาประชาสัมพันธ์  แต่ก็อีกนั่นล่ะ  ค่าเล่าเรียนก็แย่งกันขึ้นตามไปด้วย
 
ตั้งแต่เกิดมา  ผู้ชายตัวเล็ก ๆ  คนนี้ไม่เคยคิดว่า  ตนเองจะต้องแก่ขนาดนี้เลยนะ
ถึงกลับต้องมานั่งทบทวนความเก่า  เล่าความหลัง  ฟังเสียง  (เพลง)  ของสาว ๆ  รุ่นใหม่ ๆ  ที่ผุดขึ้นยังกะดอกเบี้ย
จะว่าดอกเห็ด  นั่นก็ยังเกิดเป็นฤดูกาล  แม้จะมีการเพาะเห็ดฟางขายหลายฤดูก็ตาม  แต่ก็ยังไม่ทันดอกเบี้ย
 
ในชีวิตของคนเรามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากมาหลายอย่างนะ
ถ้าเราไม่ใส่ใจดูเหตุผล  ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง  บางทีเราก็จะบอกว่า
"บังเอิญ"
จริง ๆ  แล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรบังเอิญหรอก  ถ้าบังอร  น่ะยังพอมี  หาได้เยอะแยะ
แต่รู้สึกช่วงหลัง ๆ  ชื่อนี้จะเชยไปแล้วล่ะ  ตั้งแต่มีบทเพลงเหมื่อหลายปีก่อน
"บังอรเอาแต่นอน"
พ่อแม่รุ่นใหม่กลัวลูกสาวกลายเป็นคนขี้เกียจ  ก็เลยไม่ตั้งชื่อ  "บังอร"  อีก
แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครชื่อ  "บังเอิญ"  เลยนะ
 
จริง ๆ  ถ้าเรามองตามความจริง  เมื่อครู่นี้เราไปทานข้าวกลางวันมา  เราจึงอิ่มตอนนี้
ไม่ใช่ว่า  อยู่ ๆ  แล้วจะอิ่มได้โดยบังเอิญซะที่ไหนล่ะ
 
ความเปลี่ยนแปลงแกล้งเป็นเห็นที่ไหน
มีเงื่อนไขเกิดก่อนสะท้อนค่า
พรหมลิขิตใดเล่าจะนำพา
หากมัวมาหลับนอนตอนกลางวัน
 
มิขยันหมั่นเพียรพากเพียรสู้
จะไปดูหมอแม่นกี่แคว้นนั่น
ชื่อ "โชคชัย"  ไม่ช่วยอำนวยทัน
การกระทำสำคัญจงหมั่นตรอง
 
เพราะทำดีวันก่อนสะท้อนสู่
วันนี้อยู่สบายขวนขวายคล่อง
หากไม่เรียนแต่น้อยโตค่อยปอง
อาจจะหมองมัวได้ไม่รู้ตัว
 
เด็กควรเรียนเพียรพากยากก็ใฝ่
เมื่อเติบใหญ่มีการทำงานทั่ว
หากวัยเยาว์เจ้าเล่นเป็นหมองมัว
ดูน่ากลัวขายแรงงานจนวันตาย

program_t_90.jpg169_0.jpg
 
ชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลง  ย่อมแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการรับผิดชอบตนเองของบุคคล
สมัยก่อนจบ ปกศ., พ.ม., ก็เป็นครูอาจารย์ได้แล้ว
ปัจจุบันต้องจบปริญญา  ถ้าจะสอนระดับปริญญา  ก็ต้องจบปริญญาชั้นสูงขึ้นไป
เห็นเยาวชนรุ่นใหม่  ใจเร็ว  เร่งหาเพื่อนต่างเพศ  จนเกินขอบเขตไป
สุดท้ายก็เรียนไม่จบกัน  แม้แต่มัธยม  แล้วต่อไปชีวิตจะขื่นขมแค่ไหนก็ไม่รู้
 
แต่ที่รู้ ๆ
วันนี้พ่อและแม่ของเยาวชนไทยรุ่นใหม่  
ต้องร่ำร้องไห้  ทำงานลำบาก  ตากแดด  ตากลม  เพื่อหาเงินมาสะสมไว้ให้ลูก ๆ  เรียนหนังสือ
แต่ลูกกับถือเอาความสุขสบายไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนต่างเพศ/ต่างวัย
 
หรือว่า
จะเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบใหม่ของสังคม
สมัยก่อน
ลูกอยากจะเรียน  ร้องไห้ขอพ่อแม่เรียนหนังสือ
แต่วันนี้
พ่อแม่อยากให้ลูกเรียน  ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ลูกกลับมาเรียน
 
อะไรหรือ?
คือความเปลี่ยนแปลงที่ควรจะเป็นไป
ในสังคมยุคโลกาภิวัตน์นี้

coverm.jpg				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
Lovings  บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
Lovings  บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก
Lovings  บ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงบ้านวรรณกรรมคนตัวเล็ก