12 กุมภาพันธ์ 2553 18:36 น.

สุขใจในจาตุมหาราชิกาภูมิ (The Endless Heaven)

ลำน้ำน่าน

สุขใจในจาตุมหาราชิกาภูมิ
ปฐมบทจาตุมหาราชิกา  (กาพย์ฉบัง ๑๖)

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการเป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่นำมาประดิษฐานไว้ ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการพูดเท็จ เว้นขาดจากคำส่อเสียด เว้นขาดจากคำหยาบ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ ไม่อยากได้ของผู้อื่น ไม่มีจิตคิดปองร้าย มีความเห็นชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล เป็นผู้ถูกเชิญมาประดิษฐานไว้ในสวรรค์ เหมือนสิ่งของที่เชิญมาประดิษฐานไว้ ฯ
  **ภูมิวิลาสินี** โดย พระธรรมธีรราชมหามุนี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙)


สี่พันหกร้อยโยชน์ยล
เทวะมณฑล
ยอดยุคนธรพิมาน
				
แสงสรวงสวรรค์บันดาล
เกล็ดดาวพราวลาน
ภพภูมิเทพยดา 

หอมมรรคผลอภิญญา
ไอทิพย์ทิพา
อัปสรว่อนฟ้ารื่นรมย์

รอเฝ้ามหาอินทร์พรหม		
รับพรนิยม
ประกอบแก้วเจ็ดประการ

อร่ามเหลืองเมืองโอฬาร
จาตุทวาร
กำแพงกั้นใสใยยอง

สี่เทพนครครอบครอง
เรือนแก้วเรือนทอง
เหลื่อมลอยลับสลับกัน

ประตูแก้ววิลาวัณย์
วิเศษทองพรรณ
ประเสริฐสุดในดินแดน

ซุ้มปราสาทวาดเมืองแมน
ม่านบานแผ่แพน
ใต้ร่มฉัตรแก้วแพรวพลอย

กลางนครไอเมฆลอย
ห่มคลอหอคอย
ยอดปราสาทแก้วอรุณ

คือวิมานกามคุณ
เสวยผลบุญ
ของเหล่าเทพยาดา

เบื้องต่ำเท้ามรคา
ทองทาบฉาบทา
ทอดอร่ามตามทางเดิน

เหล่าเทวดาเพลิดเพลิน
ทอดนำดำเนิน
นวลนุ่มเนื้อเจือแพรพรม

เท้าเทวาวางย่างจม
เจิมเต็มทิพย์ลม
ไร้ร่องรอยเทวดา

สระหนึ่งไม้ดอกดาษดา
สระน้ำแก้วตา
สระแก้วโบกขรณี

เหล่าปทุมชาติวารี	
ทิพย์กลิ่นอินทรีย์
ละอองสรวงปวงสุคันธ์

พฤกษชาติดาดาษพันธุ์
สลับสีสัน
พรรณรายพรายธารครอง

ผลไม้ใหญ่น้อยเนืองนอง
ดอกผลทิพย์ทอง
แท้รสเลิศล้ำโอชา

ไร้เขตกัปกัลป์เวลา	
สุขทุกเทวา
ทวยเทพมหาอภิรมย์


ปุญญกิริยาวัตถุสูตร
(อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๖ หน้า ๒๔๕ บาลีฉบับสยามรัฐ)
"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! บุคคลบางคน ในโลกนี้ ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานมีประมาณ ยิ่ง ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลมีประมาณยิ่ง ไม่เจริญบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนาเลย เมื่อตายไป แล้วเขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดา ชั้น จาตุมหาราช

"ดูกรเธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! ท้าวมหาราช ทั้ง ๔ นั้น ได้ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทานเป็น อดิเรก ทำบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยศีลเป็นอดิเรก ย่อมก้าวล่วงเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายุทิพย์ วรระณะทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐิพพทิพย์

จาตุโลกบาลทั้งสี่แห่งจาตุมหาราชิกา

สี่เมืองใหญ่วโรดม		
ยิ่งยศต่างพรหม
ปกครองผองเทพแต่บรรพ์

นครหนึ่งยลคนธรรพ์
ดนตรีสรวลสรรค์
ท้าวธตรัฏฐะบูรพา

ร่ายรำฟ้อนอ้อนลีลา
ชุมนุมเทวา 
กลอนกล่อมเพลงพิณรินใจ

หนึ่งเทพบุตรงามใน
พรเทพปางใด
ปัญจสิขรคนธรรพ์

กุศลก่อนเบื้องเนื่องบรรพ์
ศิลป์พิณจำนรรจ์
น้อมเกิดภูมิราชิกา

เทพบุตรสุดโสภา
จอมเทพเมตตา
เหนือธรรพ์ชั้นฟ้าถิ่นใด

ร่อนลงนิมิตบันได
ดื่มด่ำอำไพ
เพลงพิณเพราะโกกิลา

ร่ายเสียงเยี่ยงสกุณา
ลิ้นทิพย์มนตรา
เยื้องกรายนำหน้าพระอินทร์

เข้าเฝ้าองค์เอกภูมินทร์
ร่ายธรรมย้ำยิน
แต่องค์พุทธบิดา

นครทิศทักษิณา
กุมภัณฑ์พารา
ท้าววิรุฬหกาครอง

ไกรอิทธิฤทธิ์ช่ำชอง
คุมยักษ์กระบอง 
ยักษ์ทาสจงรักภักดี

อีกปวงเทพไท้ฤทธี
อุบัติมากมี 
ใต้แสนยามหาวิรุฬฯ

หนึ่งนครเทพการุณย์
สวรรค์สมดุล 
ด้วยปวงสมุนนาคา

ท้าววิรูปักษ์ราชา
องค์เจษฎา 
รักษาประจิมพิมาน

ฤทธิ์นาคีบริวาร
ทิพย์จิตวิญญาณ 
นฤมิตกายได้ไว

มนุษย์อมนุษย์ใน
รูปลักษณ์อำไพ 
เที่ยวท่องสมุทรธารา

เนรมิตเทวดา
เยี่ยมเยือนนภา 
เสพสุขกามาพจร

ยามนาคพ่นพิษขจร
เนื้อหนังขาดรอน 
ชีพม้วยมรณ์ในพริบตา

วรรณะสูงส่งนาคา
สั่งสมบุญญา 
เกิดภพภูมิใดไม่กลาย

หนึ่งนครสวรรค์ปลาย
ครองยักษ์เหล่าร้าย 
ท้ายแว่นแคว้นแดนอุดร

องค์เวสสุวรรณบวร
ฤทธาขจร 
คุ้มยักษ์ภักตะสันดาน

อานิสงส์บริบาล
ก่อนจุติกาล 
สั่งสมบุญบารมี

กายสุกปลั่งดั่งสุรีย์	
รุ่งรัศมี 
ระย้าระยับเมืองแมน

ทานสูตร
(อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต ข้อ ๔๙ หน้า ๖๐ บาลีฉบับสยามรัฐ)
"ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวัง ให้ทาน มีจิตผูกพันในผลแห่งทานแล้วให้ทาน มุ่งการ สั่งสมทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้ เสวยผลแห่งทานนี้ เขาผู้นั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง ความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมหาราช"

ปัจฉิมบทจาตุมหาราชิกา

ท้าวจตุมหาแถน
สี่ทิศชิดแดน
พ้นด่านทวีปมนุษย์

เหล่าเทวาบริสุทธิ์
อัปสรนงนุช
เริงสุขไพศาลถาวร

ปราสาทสถานอัมพร
กามาวจร
ใต้บวรจตุโลกบาล

ปาริชาตบานตระการ
ทิพย์ไต้วิมาน
มวลละอองล่องสะท้อน

รูปอินทรีย์มิอาวรณ์
อายุฤารอน
ใต้ร่มมหาราชิกา

ภุมมัฏฐเทวดา
กรรมดีมีมา
สถิตสถานแผ่นดิน

ปวงพฤกษ์ไม้พรายถิ่น
เทพองค์ทรงยิน
รุกขัฏฐะเทวดา

ทิพย์พิมานเมขลา	
ไอศูรย์เมฆา
อากาสัฏฐะเทพองค์

สุดยอดโยชน์โขดเขาดง
สิเนรุลง
ลาดจรดจดตอนกลาง

ทั่วพื้นภพจบสรรพางค์
เทวาอำพราง
ศานติสุขราชิกา


(อังคุตรนิกาย เอกนิบาต ข้อ ๒๐๕ หน้า ๔๖ บาลีฉบับสยามรัฐ)
      ดูกร เธอผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย! สัตว์ที่จุติจาก มนุษย์ ไปแล้ว จะกลับมา เกิดเป็นมนุษย์อีก มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจาก มนุษย์ ไปแล้ว ไปเกิดเป็นเทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากมนุษย์ไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจาก เทพยดา ไปแล้ว จักกลับไปเกิด เป็นเทพยดาอีก มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจาก เทพยดาไปแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิด เดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจาก เทพยดา แล้ว จักได้มาเกิดเป็น มนุษย์ มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากเทพยดาแล้ว ไปเกิดในนรก ไปเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

      สัตว์ที่จุติจากกำเนิดเดียรัจฉานแล้ว ไปเกิดเป็น เทพยดา มีเป็นส่วนน้อย สัตว์ที่จุติจากกำเนิด เดียรัจฉานแล้ว ไปเกิดในนรก กลับเกิดในกำเนิด เดียรัจฉาน ไปเกิดในเปรตวิสัย มีประมาณมากกว่า โดยแท้

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันศุกร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๑๔๔๒



				
12 กุมภาพันธ์ 2553 01:24 น.

เสียงครวญจากที่ราบสูง (Summer Hill Inspiration)

ลำน้ำน่าน

สิ้นฤดูคืนคราวหนาวจรผ่าน
แดงดอกจานตูมเต้ายามเช้าใหม่
ลมหนาวเอยโบกพลัดไปแหล่งใด
จึงทิ้งใจลอมฟางไว้กลางลาน

เหลืองระยับรวงทองต้องคมเคียว
หอมข้าวเหนียวนึ่งใหม่ไอหอมหวาน
จิตวิญญาณบ้านทุ่งจรุงบาน
ต่อตำนานมนต์เพลงบรรเลงแล้ว

ที่ราบสูงยูงยางสล้างใบ
แล้งลมแล้งโบกไกวบ่วงใบแผ่ว
หล่นลาร่วงถมกว้างเต็มทางแนว
รอพลัดแคล้วอัตคัตมิหยัดยืน

ร่วมรับขวัญท้องทุ่งข้าวหุงใหม่
ก่อฟืนไฟควันล่องท่องนาผืน
โห่ลมว่าวหนาวเอยเชยกลับคืน
มาพัดครืนเกลียวฟางอย่าร้างลับ

เก็บเกี่ยวฝันต้นฤดูสู่ทุ่งท้อง
ยามดุเหว่าเร่าร้องพร้องเดือนดับ
ปลุกวิถีนานเนิ่นเกินนึกนับ
อยู่คว้าจับมีดเคียวเกี่ยวลูกรวง

มนต์พนาคืนค่ำยังล้ำลึก
หว่านผลึกจรดแหล่งสะแบงหลวง
เกลี่ยเกลียวอาบโนนเนินดั่งเงินยวง
เขียวสุดท้ายรอร่วงอยู่ลิบทิศ

เพลงสงฟางลับลานซ่านหัวอก
นานเสียงนกร้องครวญรัญจวนจิต
รวงข้าวหักหลงยุ้งทุ่งชีวิต
ว่ายวิกฤตทนสู้อยู่เดียวดาย

ลมว่าวเอยอย่าช้าพามนต์ทุ่ง
ไปจรุงร่ำรินกลิ่นความหมาย
ผู้อกสั่นพรั่นพรึงถึงความตาย
จงโอบกายผ่อนหนักอย่าชักช้า

สิ้นฤดูอีกคราวเหน็บหนาวผ่าน
คูนตระการม่อนมอรอเรียกหา
สาวดอกเสี้ยวดอกจานจะบานมา
ประดับค่าครองคู่อยู่อาจิณ

แดดแสงสวยสะท้อนอ้อนซังข้าว
เถิดหนุ่มสาวที่ราบสูงมุ่งคืนถิ่น
ฝากเสียงครวญมนตราพนาดิน
ว่าหนาวสิ้นฤดูลับ...ให้กลับมา!

------------------------------
หยิบหนังสือเล่มงามของนักเขียนในดวงใจ 
นาม *ไพทูรย์  ธัญญา* เจ้าของรางวัลซีไรท์  
บรรยายฉากภาพแห่งท้องทุ่งนา
ในห้วงเวลาหลังฤดูเก็บเกี่ยวไว้ฉากหนึ่ง
งดงามจับหัวใจว่า...

ลมหนาวเริ่มจะจรจางแล้ว 
ฟ้าต้นเดือนสามผ่องแผ้วเขยิบสูงเป็นสีคราม 
ทุกสิ่งทุกอย่าง ช่างสวยงามและดูดีไปหมด 

ไม่ว่ายุคใด มนต์เสน่ห์ท้องทุ่งไม่เคยจรจางไปจากใจ
งามเสน่ห์ที่ใช้จิตวิญญาณเพ่งมองจึงจะเห็นงามนั้น
คราวได้นั่งรถไฟไปอุลบราชธานี 
ในยามที่เห็นตอซังดั่งคนรออยู่รายริมทาง

เมื่ออรุณแรกสาดส่องมา  
นำความบรรเจิดใจและแรงบันดาลใจกลับมาสู่
แม้นในบางงามนั้นมีกองฟืนและลอมฟางเดียวดาย
หากแต่ราวแฝงฝังความหมายอันยิ่งใหญ่ ในชีวิต
และจิตวิญญาณของผู้คนบนผืนแผ่นดิน ที่ราบสูง 

ด้วยศรัทธาและเห็นคุณค่าแห่งวิถีชีวิตอันงดงามนี้
รังสรรค์งานหวังเกิดแรงใจให้ผู้คนบนถิ่นที่ราบสูง
ไม่สละที่ทาง  หันมาพลิกผืนแผ่นดินให้งดงาม
ด้วยรวงทองอีกครั้งและอีกครั้ง

สะแบงหลวงต้นใหญ่ทิ้งใบหล่นลาแล้งอยู่กราวเกรียว 
ต้านลมต้านฝน บ่งถึงจิตวิญญาณเข้มแข็งของผู้คนที่นี้ 
รอเวลาผลิใบเขียวระยับ
ในยามที่เย็นฝนมาเยือนฤดูหน้า...

เสียงกระซิบจากริ้วลมหนาวสุดท้ายบอกข่าว...
คูนอีสานที่ใจดวงนี้รอคอยนั้นบานสะพรั่งพรึบแล้ว
ดอกจาน ดอกไม้ในอุดมคติก็พากันผลิบาน
ประดับทุ่งตามวิถี นาทีนี้จึงทำให้แสนจะคิดถึง ..... 

ตราบใดที่ดอกคูนยังตระการ  
และดอกจานพากันบานออนซอนรับทุกแล้งฤดู
ตราบนั้นจงเชื่อมั่นว่า *ทุกชีวิตจะไม่อับจนหนทาง*

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓
บ้านดอกฝ้าย  เชียงคาน เมืองเลย


				
7 ธันวาคม 2552 09:58 น.

ทุกข์ทาสบำราศแล้แต่อรุณ (Dawning in My Heart)

ลำน้ำน่าน

เพียงเดือนต่ำย่ำรุ่งฟุ้งสายหยุด	
ใบโพธิ์พุทธไกวกราวราวสวดเสียง
สกุณาผกผินยินสำเนียง
น้ำค้างเรียงรินหยดรดบัวใบ

ดาวจะเลื่อนเดือนจะลับกับเหลี่ยมโลก
กลีบดอกโศกแต้มหมอกดอกหม่นไหว
เพลงอรุณหมุนเวียนมาเปลี่ยนไพร	
ปลุกแรงใจควายเกวียนไปเปลี่ยนนา

สื่อสำเนียงเสียงไก่ใจรู้สึก
ซึ้งสำนึกลึกล้ำยังพร่ำหา
ระฆังขานปลุกตื่นฟื้นนิทรา	
ขานปลุกค่าชนะแพ้แต่ในกาย

ฝอยน้ำค้างพรมไพรใจบ่หนาว
เหงื่อยังพราวพรมแพรแต่ไร่ฝ้าย
ธาราธรรมเร่งหลั่งอยู่พรั่งพราย
พบธารสายสุขสงบพบนิพพาน

หอมยังหอมลำดวนมวลหมู่ไม้
ลมลูบไล้ลอยผสมลมผิวผ่าน
แตะดวงจิตปลุกฟื้นขึ้นจับงาน
มิช้านานหนทางสว่างวับ

ตะโพนน้อยคล้อยเสียงยินเพียงแว่ว
มิคลาดแคล้วค่ำแรมจันทร์แจ่มจับ
ห้วงพรรษาเปลี่ยนผันเหมันต์รับ
จิตรำงับงามสงบพบพุทธา

แสงสีทองรุ่งรางทางทิศนั่น
เหลืองอำพันเปรื่องปราชญ์ศาสนา
สาสน์อรุณอุ่นทอขึ้นคลอตา
ส่องมรรคาพบทางสว่างแพร้ว

ตื่นขึ้นจากภวังค์ขังดวงจิต
ไฟตื่นติดควันละลิ่วไล้ทิวแถว
โรยชีวิตฝั่งหวังเรือยังแจว
ข้าวสารแก้วบรรทุกซึ้งสุขนัก

เดินตามพระมาไกลรอยไถพุทธ
บริสุทธิ์ข้าวบาตรใส่ถาดตัก
กลีบบัวบานแย้มวิสุทธิ์พระพุทธพักตร์
แย้มความรักเตือนตนจนเข้าใจ

เกล็ดน้ำค้างฉาบช่อชื่นกอข้าว
แหละลมหนาวพัดฟ่อนจีวรไหว
ม่านหมอกหม่นนิวรณ์สะท้อนไป
เพรงพระธรรมวินัยนั้นฉายรับ

ชีวิตใหม่อุษาโยคโลกคืนค่า
มรณาวางวายเพื่อกลายกลับ
บัวชื่นช่อสะพรั่งแดนอยู่แสนนับ
ผลิวิญญาณซึ้งซับรสอรุณ

พบอารยะสายธารกาลเวลา
ธรรมดาสุขโศกทุกโลกหมุน
ผู้สดับรับค่าพุทธาคุณ
สุขสมดุล-ทุกข์ทาสบำราศแล้

------------------------------------
ครั้นได้มีโอกาสสนองงานตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯ
เช้าวันใหม่ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่ได้ไปเยือน
ความทรงจำสงบงามถูกจารึกไว้ในหัวใจดวงนี้ 
ณ ริมฝั่งน้ำโขงแม่น้ำของแผ่นดิน วิถีชาวลาวสงบนิ่งตามรอยพุทธ
หลังออกพรรษา ชาวบ้านต่างพากันไปวัด ..ในหมู่บ้าน
เส้นทางเดินทอดย่างไปกลางทุ่งนาเขียวขจี  ริมบึงบัวดอกงาม
ในเช้าวันใหม่ในต้นเหมันตฤดู พระออกบิณฑบาตแต่เช้าตรู่
จีวรเปียกพรมด้วยน้ำค้างริมใบข้าว  ..หอมกรุ่นกลิ่นข้าวหุงใหม่

ข้าพเจ้าสงบงันและสดับรับรู้ค่าในวิถีงามเช่นนี้
ดอกบัวงามวางนิ่งในถาด รอถวายเป็นพุทธบูชา
ณ ผืนแผ่นดินนี้ร้างไร้ในเทคโนโลยี แต่สูงส่งด้วยจิตวิญญาณ
มีวัฒนธรรมของแผ่นดินซ่อนเร้น เงียบงาม น่าหลงใหลในยิ่งนัก
ริมฝั่งแม่น้ำโขง ประหวัดจิตจิตนาการไปถึงริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา

ธรรมะไม่ได้สอนให้เราละวางอย่างโง่เขลา หากแต่สอนให้เราปรับตัว
และใช้ชีวิตสงบงามท่ามกลางสังคมและความเปลี่ยนแปลงเป็นเหตุ
แม้นไม่ถึงพระนิพพาน หากได้ขึ้นชื่อว่า เดินไปอย่างผู้เพียรพยายาม

เช้าวันใหม่ การกลับมาของอรุโณทัย และกฎสมดุลธรรมชาติ
หวังให้ทุกดวงใจน้อมนำความสงบรำงับเข้าเป็นจุดเริ่มต้น
มีสติและเข้าใจความเป็นไปแห่งสรรพสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า
ปล่อยวางและรู้เท่าทัน  สงบงามเงียบเฉกเช่นพุทธศาสนิกชน
ที่พระบรมศาสดาพึงให้เป็นแสงสว่างส่องทางให้ใจเราเอง
และส่องทางส่องใจให้ผู้อื่น


ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
คติชีวิตใดที่พึงได้จากบทกวี ขออุทิศแด่นักพัฒนา
ผู้อุทิตตนสนองงานในพระราชดำริฯ ทุกๆ พระองค์


				
15 กันยายน 2552 18:30 น.

เสรีภาพในสายฝน (Freedom in the Rain)

ลำน้ำน่าน

เม็ดฝน-หล่นรอแล้วพ่อจ๋า
อย่าช้าชาวนาจะหว่านไถ
ดินหอมกลิ่นฝนปนกลิ่นไอ
อบใจอบฝัน ณ วันนี้

เพลงกบ-อังกะลุงคืนลุ่มนา
ฝนฟ้าครืนครืนคืนวิถี
คืนเสียงคืนซึ้งบึงดนตรี
คืนพี่คืนน้องมาพร้อมพรัก

ผักบุ้ง-คุ้งน้ำยามฝนแรก
โตแตกยอดนวลร่วนฝนหนัก
ผลิซ้อนอ่อนซ้ำลำนำรัก
มิพักผ่อนช้าเพลาเช้า

ตำลึง-อวบงามตามรั้วนั่น
สวรรค์ผักนาคราฝนหนาว
ตากฝนฉ่ำชื่นทุกคืนคราว
ผักร้าวร่ำไห้ไม่ได้ยิน

สายบัว-บานรับกับสายน้ำ
ย่ำยามเช้าใหม่นกไพรผิน
สายธารความหลังยังไหลริน
ฟางดินรอยหวังยังประทับ

ดุเหว่า-แว่วหวานกังวานขึ้น
ฝนครืนเย็นฉ่ำใต้รังหลับ
ครวญเสียงกล่อมคนฝนดิ่งรับ
หนักนับเท่าไรไม่เกรงกลัว

นอนฟัง-เสียงฝนหล่นกระทบ
นิ่งสงบฝนมาฟ้าสลัว
ใจก้าวออกไปใต้ฝนรัว
ตื่นทั่วเม็ดฝนหล่นบนใจ

ฝนแรก-แทรกผ่านวิญญาณลูก
เพาะปลูกพ่อจ๋าช้าอยู่ไหน
กระเซ็นมินานฝนผ่านไป
ฝากไว้ดินอุดมบ่มละออง

ตองตึง-เขียวอวดรวดรัดแล้ว
ไก่แก้วขันใสไม่หม่นหมอง
ฝนฉ่ำธรรมชาติวาดครรลอง
น้ำนองบรรเลงเพลงเยียวยา

หอมดิน-เคล้ากลิ่นเสรีภาพ
อิ่มอาบชาติชนต่างค้นหา
พรฝนโอยแทนแร้นแค้นลา
สมานค่าศักดิ์สิทธิ์ชีวิตล้วน!


---------------------------------
เสียงฟ้าร้องครืนๆ อยู่ข้างนอก 
บรรยากาศเย็นๆ ย่ำรุ่งเมื่อตื่นขึ้นมาเช่นทุกวัน
เปิดวิทยุทรานซิสเตอร์ฟังเพลงลูกทุ่ง ฝนพรำๆ 
ที่บรรเลงได้กลมกลืนกับสายฝนพรมพรำวันนี้ 
สายฝนสายฟ้าหนักหน่วงราวฟ้าพิโรธ 
แต่กระนั่นหัวใจก็ถูกปลุกตื่นชื่นไหว
สายฝนฉ่ำใจในวันธรรมดาเหมือนทุกๆ วัน 
แต่ให้รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างพิเศษ
ที่มาพร้อมกับสายฝนเสมอมา... 

วัฒน์ วรรลยางกูร นักเขียในดวงใจนิยามฝนไว้ว่า
**เวลาฝนตกพ่อค้าแม่ขายมักจะไม่ค่อยพอใจ 
แต่เกษตรและชาวชนบทกลับดีใจและเริงร่า**
สายฝนให้หญ้าเขียวขจี ผักบุ้งในคลองทอดยอด
และสายบัวในสระได้เบ่งบานอย่างไม่เคย 
สายฝนให้ใบตำลึงริมรั้วอวบงามทอดยอด
อีกเห็ดฟางในลอมฟางจะได้แตกหน่อต่อดอก
มะเขือพวงได้ออกตุ่มเต้าเขียวเล็กๆ  
และเป็นสัญญาณให้ชาวนาได้เริ่มงานแผ่นดิน

อีกยอดกระถินริมรั้วได้แต่งยอดสวยอวดงาม
ให้สาวบ้านนาเก็บไปจิ้มน้ำพริก 
สายฝนทำให้ชาวนาตื่นเต้น ที่จะได้ทำนา
สายฝนโปรยทำให้ผืนแผ่นดินชุ่มฉ่ำ 
หอมดินเคล้ากลิ่นไอฝนทำให้วิญญาณบรรเจิด  
ปลากระดี่จะได้ดิ้นไปมาตรงคันนาเมื่อน้ำเจิ่งนอง

**สายฝนมีประโยชน์ตรงที่เวลาร้องไห้ 
จะไม่ทำให้ใครเห็นน้ำตาของเรา**  
เสียงฝนหล่นเป็นดนตรีธรรมชาติที่กลบกลืน
เวลาที่เราร่ำร้าวตะโกน ไม่ต้องกลัวใครได้ยิน
ทั้งหมดที่ว่านี้เป็น **เสรีภาพในสายฝน**
เสรีภาพที่ทุกสรรพชีวิตนั้นมีเสรีที่จะ **งอกงาม**
มีสิทธิ์เสรีที่จะ **เติบงาม** หาใช่ **ทำลาย**

ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันอังคารที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒



				
21 สิงหาคม 2552 17:55 น.

อรุณสมัยรุ่งในใจอยู่นิรันดร์ (The Everlasting Morning Life)

ลำน้ำน่าน

เส้นทางเดินทอดย่างกลางฤดู
ยังหนาวอยู่ยามเช้าหนาวหมอกหนา
อุ่นอรุณหลับใหลใกล้จันทรา
ช้าอย่าช้ามาส่องห้องหัวใจ

ดุเหว่าเอยหวานแว่วมิแผ่วเสียง
ร้อยจำเรียงความรักพิทักษ์ไว้
รินน้ำคำรบเร้าเหน็บหนาวใน
อโณทัยรุ่งรางจึ่งร้างลา

หอมเอยหอมดอกไม้สายไพรพฤกษ์
ยิ่งยามดึกตรลบล้อมมาหอมหา
หอมอบอวลชวนดมบ่มนิทรา
ฝันกี่คราฝันถึงซึ่งสุนทรีย์

รอน้ำค้างรินร่วงรดบ่วงใจ
รอลมไล้แสงสาวเคล้าซิ่นสี
รอหริ่งรักกังสดาลขานสตรี
รอเดือนปีเพลาแต่งอาภรณ์

ทิวโสนท้องทุ่งจักรุ่งแก้ว
นกเจื้อยแจ้วป่าปกเสียงนกสอน
เสียงเดิมเดิมร้องสั่งจากรังนอน
เสียงอาทรเคล้าคู่อยู่นานนา

ภาพราวป่าเบื้องหน้าราวฟ้าแคบ
รักอิงแอบจากจบกลับพบหา
รินลำธารซ่านกระเซ็นอยู่เต็มตา
ปางฝนฟ้าซ่าซ่านสนานไพร

ความรักเอยอยู่ไหนใยเพรียกหา
ให้คืนมาหวานหวั่นเมื่อวันใหม่
จากยอดภูสู่ทุ่งลิบรุ่งไป
พบดวงใจคนคอยอยู่ดอยแดน

นกเอี้ยงหนุ่มเคล้าคลอล้อวัวควาย
ดั่งเพื่อนตายเคล้าคู่ดูหวงแหงน
คุ้งค่าวน้ำไผ่แผ่วแว่วเสียงแคน
สวยเหลือแสนสาวไพรในคำนึง

เช้าวันใหม่ใกล้รุ่งมุ่งออกนา
ห่อข้าวปลาแบกไถเพียรไปถึง
ฝ่าน้ำค้างย่างไปใจตราตรึง
เพราะพันธะฉุดดึงถึงต้องไป

ใยเสียงขลุ่ยกำสรวลครวญคร่ำนัก
แอกยังหนักหมายมั่นมิหวั่นไหว
ใจดวงแกร่งแตกเต้นเป็นยาใจ
แกร่งอยู่ในวิญญาณเนิ่นนานมา

ครั้นยามเช้าหมุนเวียนมาเปลี่ยนโลก
ประหนึ่งโศกเศร้าใดใจเพรียกหา
จักสลายลอยผ่านธารน้ำตา
เพื่อวันหวังล้ำค่าจะผลิใบ

ยามเช้าเอยรุ่งมากี่คราแล้ว
มิเคยแคล้วเคยพรากจากไปไหน
ซาบซึ้งนักครรลองของภายใน
ยามแดดเช้าส่องใจให้รุ่งราง

------------------------------------------
โกกิลาขับกล่อมกระท่อมทับ
เพลงไก่แก้วแซร่ศัพท์รับรุ่งสาง
สื่อสำเนียงเสียงซึ้งจากบึงบาง
ปลุกรอยทางจ่างรับจับเพลา

หยาดน้ำค้างสร่างโศกโลกริมรั้ว
แสงสลัวจ่างจางหว่างเวหา
คีตกะกล่อมคุ้งทิวทุ่งนา
พร่ำภาษาประเลงเพลงจนจน

หนาวยังหนาวน้ำค้างวางดอกร่วง
จับคอรวงเมล็ดข้าวหนาวอีกหน
แม้นหนักหน่วงโน้มคอลงคลอตน
ใบแซมปนบรรจถรณ์โอนอ่อนนัก

ช่อดอกข้าวเกล็ดหมอกแต้มดอกนั่น
ราวสีสันสะท้อนใจให้รู้จัก
ความเรียบง่ายถักทอกลางกอรัก
โอบรวงหนักไหวชื่นทุกคืนคราว

ตื่นเถิดหนอผละกอดยอดดวงใจ
มาสุมฟืนก่อไฟไล่ลมหนาว
ตื่นจากฝันภวังค์ของค่ำยาว
มาหุ่งข้าวกลิ่นหอมพร้อมสู่นา

เสียงกระดึงวัวส่ายควายตื่นแล้ว
ระฆังแก้วกรุ่งกริ่งกระดิ่งหนา
ระงมเสียงโนรีสาลิกา
เสียงสัญญาสัญญาณงานและคน

รองน้ำข้าวซาวเกลือเพื่อรองท้อง
เจียนใบตองรมไฟไล่เกล็ดฝน
ห่อก่องข้าวพริกปลาปิ้งมาปน
น้ำตาหล่นฟืนควันรุมรันตา

เจิมครรลองรุ่งเช้าเมื่อดาวเลื่อน
แบกไถเคลื่อนมุ่งไปในอุษา
ประกายพรึกพริบพรางกลางมรรคา
เกิดฝั่งฟ้าตะวันทอนั่นแล้ว

กระจาบจ้อยบินพรูสู่ดงดอน
ทิ้งคบคอนเดียวดายปลายตาลแถว
หนาวดอกจานร่วงลาห่มนาแนว
กลางเจื้อยแจ้วทำนองของอรุณ

นกกระยางบินลู่สู่หนองหน้า
บินข้ามป่าสุขโศกทุกโลกหมุน
ตะวันเช้าฉายรอพอเจือจุน
ธรรมชาติสมดุลเกื้อหนุนนั่น

สิ่งสามัญทอดทางกลางทุ่งทอง
ทอครรลองให้เห็นเป็นทุ่งฝัน
เมื่อยามเช้าปลุกตื่นทุกคืนวัน
สรรค์สวรรค์ท้องทุ่งจรุงมิตร

เช้าชื้นแล้วดวงใจใครรู้เห็น
ตรวนลำเค็ญโน้มหน่วงมัดดวงจิต
สาปสืบสายเทือกท้าวข้าวชีวิต
สู้ผลิตดอกเหงื่อเพื่อสิ่งใด!

-----------------------------------------
ยามเช้าคือเสรีภาพแห่งมวลชีวิตของมนุษย์
เหล่านกกาผกามาศต่างไหวชีวิตฟื้นตื่น
สาส์นแสงอรุณนำพาความหวังมาสู่ท้องทุ่ง
ผู้คนพากันตื่นจากหลับใหล  ตื่นจากฝัน
ตื่นจากภวังค์แห่งค่ำยาว  เป็นมาอย่างนี้
และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตราบนานเท่านาน

ทุกครั้งที่ได้ท่องเที่ยวไปในถนนสายชนบท
ภาพงดงามของยามเช้ายังคงตราตรึงใจ
ฉากภาพท้องทุ่งรวงทองผ่องอำไพ
มองไปสุดลูกหูลูกตา มีแต่ทุ่งและทุ่ง
แหละในยามที่รถไฟพาใจไปรุ่งรางอยู่ที่ 
**อุทุมพรพิสัย**  

วิถีครอบครัวชาวนาตั้งแต่บรรพบุรุษรากเหง้า
ของชาวไทยและผู้คนชนบทที่เรียบง่าย
ทำให้มียามเช้าที่งดงามในมโนคติของเรา
แหละยังคงงดงามอยู่นิรันดร์..อยู่อย่างนั้น
ศิลปินในดวงใจ  คุณจำรัส เศวตาภรณ์ 
ให้นิยาม **ยามเช้า** ไว้งามอย่างจับจิตว่า

**ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน
ดั่งอาทิตย์ฉายฉานทุกอรุณ 
วันคืนที่เลวร้ายได้ผ่านพ้น 
ยังมีวันที่สดใสรออยู่ข้างหน้า 
เป็นกำลังใจและศรัทธาของชีวิตอันมีค่า 
เราจะดำรงอยู่เพื่อสรรสร้าง 
และค้นหาความหมาย 
ชีวิตไม่อาจตายได้ 
ตราบที่ใจเป็นของเรา...**


ลำน้ำน่าน บุรุษแห่งสายน้ำนิรันดร์
วันศุกร์ที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒


				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลำน้ำน่าน
Lovings  ลำน้ำน่าน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลำน้ำน่าน