18 เมษายน 2552 15:59 น.

18 มีนาคม วันนนี้ในอดีต

ลุงแทน

18 มีนาคม วันนนี้ในอดีต

เปิด สวนสัตว์ดุสิต หรือ เขาดินวนา ให้ประชาชนเข้าชม (18 มีนาคม พ.ศ. 2481)

#  เปิดสำนักงานองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ ถ. ศรีอยุธยา (18 มีนาคม พ.ศ. 2503)

วันมวยไทย
มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ การป้องกันตัวประจำชาติของไทยที่มีมาช้านาน เป็นการต่อสู้ที่ใช้อวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายเป็นอาวุธในการต่อสู้ มวยไทยจัดได้ว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนื่งซึ่งในอดีตจนถึงปัจจุบันมวย ไทยได้เป็น
ที่นิยมมากทำให้มีการจัดให้มวยไทยนั้นเป็นกีฬาประเภทหนึ่งอีกด้วย
วัน มวยไทยหรือวันนักมวย ตรงกับวันที่ 17 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งในวันนี้ถือเป็นวันระลึกเหตุการณ์ในอดีตสมัยกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงครั้ง ที่ 2 ที่นายขนมต้ม นักสู้ของไทยได้ถูกจับเป็นเชลยที่พม่า และ ในวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2317 ได้ขึ้นชกมวยต่อหน้าพระที่นั่งพระเจ้ามังระ โดยนายขนมต้มได้ขึ้นชกกับนักมวยพม่าถึง 10คน ทำให้ศิลปะการต่อสู้ การป้องกันตัวของไทยได้เป็นที่รู้จัก และมีชื่อเสียงตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพร้อมกันนี้นายขนมต้มยังได้รับการยก ย่องให้เป
็นเสมือน "บิดามวยไทย" อีกด้วย				
16 เมษายน 2552 16:25 น.

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ลุงแทน

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ศาสตราจารย์ พลเอกหญิง พลเรือเอกหญิง พลอากาศเอกหญิง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นพระราชธิดา ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (พระราชอุปัชฌาย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว) เป็นผู้ถวายพระนามว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์"

เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2520 ในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ เฉลิมพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี" นับเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพระองค์แรก ที่ทรงดำรงฐานันดรศักดิ์ที่ “สยามบรมราชกุมารี” แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์

พระองค์มีพระปรีชาสามารถในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านอักษรศาสตร์และดนตรีไทย ซึ่งพระองค์ได้นำมาใช้ในการอนุรักษ์ ส่งเสริม และให้การอุปถัมภ์ในด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศ จากพระราชกรณียกิจในด้านศิลปวัฒนธรรมนี้ พระองค์จึงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระสมัญญาว่า “เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย” และ “วิศิษฏศิลปิน” นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ เช่น ด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม โดยทรงมีโครงการในพระราชดำริส่วนพระองค์หลายหลากโครงการ ซึ่งโครงการในระยะเริ่มต้นนั้น มุ่งเน้นทางด้านการแก้ปัญหาการขาดสารอาหารของเด็กในทองถิ่นถุรกันดาร และพัฒนามาสู่การให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาเพื่อการพัฒนาบุคคลอย่าง สมบูรณ์				
15 เมษายน 2552 21:45 น.

เชื่อใครดี?

ลุงแทน

เชื่อใครดี?
	

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พูดว่า
 
...ผม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เชิญชวนพี่น้องออกมาสู้เพื่อตัวเอง ตลอดเวลาที่ทำงาน ผมทำงานเพื่อชาติ เพื่ออนาคตของลูกหลาน วันนี้ผมกล้าเปิดเผยความจริง ทั้งที่ ผมให้ความเคารพองคมนตรีทั้งหลาย แต่ว่า ท่านที่ชอบแทรกแซงการเมืองมาเป็นเวลาช้านาน จนผมรับไม่ได้เลยต้องพูด...
 
...ข้อเท็จจริงนั้น ผมกำลังร่วมกับประชาชนเพื่ออนาคตของไทยและลูกหลานไทย และ เพื่อการแก้ปัญหาครั้งนี้เป็นไปอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จะได้ไม่มีปัญหาอย่างนี้อีก...
 
...วันที่ 8 เมษายน คนไทยจะร่วมกันรวมกายรวมใจร่วมกำลัง ร่วมทรัพย์เล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ให้ชาวโลกได้ดูเป็นตัวอย่างว่า ประเทศไทยเปลี่ยนโดยสันติ ได้อย่างไร โดยประชาชนแท้ ๆ...
 
และ พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดมาตลอดว่าตนนั้น มีความเคารพและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ มาโดยตลอดและไม่เสื่อมคลาย
 
พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรีตอบผู้สื่อข่าว เมื่อถูกถามว่า การต่อสู้ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการจ้องล้มสถาบันกษัตริย์ใช่หรือไม่ ด้วยเสียงหนักแน่นว่า “แน่นอน” โดย พล.อ.พิจิตร ถามต่อว่า ทำไมคนมีหน้าที่รับผิดชอบไม่ไปดำเนินการ พร้อมทั้งวิจารณ์   ว่า การทำงานของรัฐบาลในการดำเนินการเรื่อง    นี้ช้าไป
 
และ พล.อ.พิจิตร ตอบว่า ไม่อยากพูด เมื่อถูกถามตรง ๆ ว่า ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นเพราะตัวอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวใช่หรือไม่
 
คำว่า “ไม่อยากพูด” จะตีความเป็นอื่นไม่ได้เลยนอกเสียจากว่า “ใช่”
 
นอกจากนี้ พล.อ.พิจิตร ยังพูดถึงนายราล์ฟแอล. บอยซ์ จูเนียร์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยเล่าให้ พล.อ.พิจิตร ฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปยุ่งเกี่ยวกับ เกาะเคย์แมน ซึ่งเป็นเกาะที่ฟอกเงินไม่ถูกต้องตามกฎหมายอีกด้วย
 
นาน ๆ ที่จะได้ยินได้ฟัง พล.อ.พิจิตร   ออกมาพูดแต่ การพูดครั้งนี้ ของพล.อ.พิจิตร บอกได้ว่า แรงและน่ากลัว
 
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มเสื้อแดงถูกผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรีออกมาพูดว่า ใครที่ทำไม่ดีต่อสถาบันนั้น จะมีอันเป็นไป เห็นเป็นเช่นไร โดยนายณัฐวุฒิ ตอบว่า เห็นด้วยและ กลุ่มบุคคลที่ควรนำไปคิดคือองคมนตรีด้วยกัน โดยเฉพาะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ควรตระหนักในเรื่องนี้ ควรคิดทบทวนเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่ก่อนที่ตัวเองจะทำอะไรหลาย ๆ อย่างไม่เคยมีองคมนตรีคนไหนที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยประเด็นความขัดแย้ง ทางการเมืองเหมือน พล.อ.เปรม และพล.อ.สุรยุทธ์ ที่พูดเช่นนี้ เพราะว่าเราเชื่อมั่นและศรัทธาในสถาบันองคมมนตรี
 
ณ เวลานี้ คนไทยที่ มีใจเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ทั้งเสื้อแดงและเสื้อเหลืองจึงสับสนพอสมควร เพราะไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี
 
คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ ไม่ต้องเชื่อใครทั้งหมด แต่เชื่อในเรื่องของ “กรรม” เป็นใช้ได้
 
“กรรม” มีลักษณะสำคัญอยู่สามประการ
 
ประการแรก “กรรม” มีที่มาที่ไป มีสาเหตุแห่งการเกิดและผลเกิดจากสาเหตุนั่นเอง คนที่กระทำการใดที่เต็มไปด้วย “โลภะ โมหะ และโทสะ” ย่อมได้รับกรรมแห่งการกระทำอย่างสาสมเป็นที่สุด
 
คนที่วุ่นวายมาก จุ้นจ้านมาก จนเกินขอบเขตหน้าที่ของตน ย่อมต้องรับกรรมอันเนื่อง มาจากความวุ่นวาย และความจุ้นจ้านที่ได้ก่อเอาไว้ คนที่สร้างแต่บุญกุศล ย่อมได้รับผลกรรมที่ดีพระต้องคุ้มครองอย่างไม่ต้องสงสัย
 
ประการที่สอง “กรรม” มี เจตนา เป็นที่ตั้ง มนุษย์ทำอะไรย่อมมีเจตนาเป็น จุดเริ่ม ใครบอกว่า ทำอะไรไปโดยปราศจากจิตสำนึกย่อมเชื่อไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่า คน ๆ นั้นเป็นพวกวิกลจริตหรือไร้มันสมอง
 
และ ประการสุดท้าย “กรรม” มีผล เป็นจุดจบ ใครทำกรรมดีย่อมได้ผลกรรม ที่ดี ใครทำกรรมชั่วย่อมได้ผลกรรมที่ไม่ดี ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้
 
ขณะนี้ ผู้ที่ได้สร้าง “กรรม” เอาไว้ในอดีตกำลังถูกเล่นงานไปทีละคนสองคน จริงหรือไม่จริง เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ.

อนุภพ/เดลินิวส์				
15 เมษายน 2552 21:39 น.

มาดูแลผู้สูงอายุกันเถอะ

ลุงแทน

มาดูแลผู้สูงอายุกันเถอะ

เทศกาลสงกรานต์ อย่างน้อยคนไทยก็พอจะมีความสุขได้ พักสมองจากการเมืองและเศรษฐกิจชั่วคราว ผู้คนแห่ไปเที่ยวต่างจังหวัดไม่น้อย ทำให้เงินหมุนไป เศรษฐกิจช่วงสั้น ๆ เงินสะพัดเป็นพันล้าน
 
สงกรานต์ทุกปี มีวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 13 เม.ย. ปีนี้รัฐบาลมาร์ค ใจดี ให้ค่าครองชีพผู้สูงอายุ 60 ปี ได้ 500 บาทไม่เลือกหน้า เถ้าแก่เนี้ยร้านทองก็ได้ด้วย เพราะเข้าเกณฑ์ ก็ไม่เป็นไร ทุกคนก็มี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เป็นผู้สูงอายุทั้งสิ้น ทำบุญกับคนแก่ ไม่เสียหลาย
 
ก็เหมือนทำบุญกับญาติผู้ใหญ่ตัวเองนั่นล่ะ ชีวิตมีแต่จะเจริญมากขึ้นเรื่อย ๆ
 
พูดถึงผู้สูงอายุ มีข้อมูลว่า สังคมไทยนั้น เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว เนื่องจากพัฒนาทางการแพทย์และการผดุงครรภ์ที่ดี รวมทั้งการที่ผู้คนมีความรู้มากขึ้น ทำให้ดูแลตัวเองแข็งแรง มีอายุยืนขึ้น เห็นได้เลย คนอายุ 60 ตอนนี้ หน้ายังใสปิ๊ง หนุ่มฟ้อ สาวเฟี้ยว
 
ไม่ใช่ภาพคุณตา คุณยาย แบบภาพ เก่า ๆ อีก 
 
โดยสถิติที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดว่าสังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คือ ประชากรไทย 100 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุถึง 16 คน  ซึ่งถือเป็นภาระหนักพอดู  ระดับผู้สูงอายุก็แบ่งเป็นช่วง ๆ
 
ช่วงอายุ 60-70 ปี เรียกว่า วัยสูงอายุเริ่มต้น ยังแข็งแรง สมองก็ยังดี  หลายคนจึงยังทำงานต่อไปได้ เรียกว่า ไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน ยังช่วยตัวเองได้ ว่างั้นเถอะ
 
ช่วงอายุ 71-80 ปี เป็นผู้สูงอายุที่  เริ่มมีปัญหา ทั้งเรื่องสุขภาพ เรื่องการทำงาน สมองเริ่มจำอะไรไม่ดีเหมือนก่อน บางคนเป็น อัลไซเมอร์ สมองฝ่อ ต้องพึ่งลูกหลานเป็น ส่วนใหญ่
 
ช่วงอายุ 80 ปีขึ้นไป ถือเป็นวัยชราโดยสมบูรณ์แบบ ต้องพึ่งลูกหลาน ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
 
แต่นั่นล่ะ เพราะสังคมที่เจริญขึ้น คนชราก็เลยถูกทอดทิ้งมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งเป็นเรื่องน่าสลดใจมาก ใครมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ขอให้ช่วยกันดูแลให้ดี แม้บางท่านจะจู้จี้ ขี้บ่น เอาแต่ใจตัวเอง ก็ขอให้อดทน ถือว่าได้ทำบุญกับพระอรหันต์ที่บ้าน
 
ไม่อย่างนั้น อาจต้องมานั่งเสียใจ ตอนท่านเหล่านี้เสียไปแล้ว ทำไมตอนนั้นเราไม่ดูแลท่านให้ดีกว่านี้นะ ส่วนคนแก่ทั้งหลาย ก็ต้องปรับตัว อย่าทำตัวให้น่าเบื่อหน่าย เอาแต่ใจตัวเองจนเกินกำลัง อะไรที่ช่วยตัวเองได้ ก็ช่วยตัวเองไปก่อน ไปเข้ากลุ่มทำประโยชน์อะไรได้ก็ดี จะได้สนุกด้วย
 
เท่านี้แหละ ทั้งคนแก่ คนหนุ่ม คนสาว ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
 
ก่อนจบ อยากฝากไว้ซักนิดว่า หากเห็นพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย เดินไม่ได้ อย่าเหมารวมว่า ท่านเป็นโรคคนแก่ หรือกระดูกผุอย่างเดียว เพราะอาจเป็นโรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาทที่ควบคุมการทรงตัวด้วย โดยเฉพาะคนวัยนี้เป็นโรคสมองฝ่อ หกล้มก็บ่อย ยิ่งจะทำให้เกิดโรคซ้ำซ้อน
 
เป็นอัมพาตและสมองฝ่อในเวลาเดียวกัน การรักษาจะซับซ้อนและยากเป็นเท่าตัว
 
ทางที่ดีที่สุด คือ หากเห็นท่านเดินไม่ดี เดินกะโผลกกะเผลก หรือปวดเข่า ก็อย่านิ่งนอนใจ พาไปหาหมอจะดีที่สุด อย่าลืมให้เช็กสมองด้วย จะได้รีบตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ ท่านจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในบั้นปลาย
ที่เขียนเพราะมีประสบการณ์ตรง เลยอยากฝากเป็นข้อเตือนใจไว้ สำหรับการดูแลผู้สูงอายุในบ้าน ซึ่งเป็นที่รักของเราทุกคน
     
และสำหรับสงกรานต์ปีนี้ ก็ขอให้คนไทยสุขสันต์สงกรานต์ ขออย่าให้มี “สงกรานต์เลือด” เลย.				
13 เมษายน 2552 15:18 น.

เหตุการณ์สังหารหมู่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 (ตุลามหาวิปโยค)

ลุงแทน

ม่ให้มีรัฐธรรมนูญ  	ไม่ให้มีเลือกตั้ง
ห้ามชุมนุมทางการเมือง 	ควบคุมสื่อทุกชนิดห้ามวิจารณ์รัฐบาล

    การก่อการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ก่อเกิดการสืบอำนาจเผด็จการทหารมายาวนาน

    จอมพลถนอม กิตติขจร ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลายครั้งหลายสมัยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่1มกราคม พ.ศ.2501ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งที่สองสืบทอดอำนาจเผด็จการจากจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ 8 ธันวาคม พ.ศ.2506

    จอมพลถนอมเดินรอยเผด็จการตามจอมพลสฤษดิ์ใช้อำนาจเผด็จการเรื่อยมาปฏิวัติตนเองก็ทำสืบทอดอำนาจในวงศาคณาญาติอย่างเป็นปึกแผ่นมายาวนานเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 5 ครั้ง

   ปกครองด้วยอำนาจคำสั่งปฏิวัติหน่วงการร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ให้มีเลือกตั้ง ห้ามชุมนุมทางการเมือง ควบคุมสื่อทุกชนิดห้ามวิจารณ์รัฐบาล ประชาชนถูกกดขี่ไม่มีสิทธิ์มีเสียง

    คลื่นมหาชนนับแสนคนเรียกร้องให้รัฐบาลเผด็จการทหารของจอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียรและพลเอกณรงค์ กิตติขจรปล่อยตัวผู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ถูกรัฐบาลจับกุมทั้งหมด เสียงเรียกร้องให้มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยดังกระหึ่มไปทั่วทุกสถาบันการศึกษาและทุกองค์กรประชาชนที่ต้องการให้นำประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย

   จนกระทั่งรัฐบาลเผด็จการถูกนักศึกษาและประชาชนขับออกจากตำแหน่งเมื่อ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 ซึ่งนิสิต นักศึกษาจากหลายสถาบันและประชาชนต้องสังเวยชีวิตล้มตายเป็นจำนวนมาก บ้างก็บาดเจ็บพิการ บ้างก็เสียสติด้วยความหวาดกลัวสุดขีดกับภาพการฆ่าแกงที่กระทำเพียงฝ่ายเดียวของผู้ถืออาวุธ ในเหตุการณ์เรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยครั้งนี้

   การใช้กำลังและอาวุธสงครามเข้าปราบปรามประชาชน นิสิตนักศึกษาอย่างโหดเหี้ยมทารุณในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตย นับเป็นประวัติศาสตร์การเมืองหน้าสำคัญของประเทศไทย

   ต่อมาวันที่ 14 ตุลาคมได้รับการสถาปนาจาก รัฐบาลให้เป็นวันประชาธิปไตยเพื่อรำลึกถึงคุณูปการของวีรชนที่สละชีพจนได้มา ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยจนถึงทุกวันนี้

     หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ผ่านไปได้เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่อีกครั้งคือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
 


เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519  "ตุลามหาโหด"
 

             
         เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าให้นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายกฯสัญญาว่าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่แห่งราชอาณาจักรไทยคาดว่าไม่เกิน 6 เดือนให้ชาวไทยได้ใช้กันมีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรโดยเร็ว

ต่อมา ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี

        ประเทศไทยก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อจอมพลถนอมเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2519 นักศึกษาประชาชนและญาติผู้เสียชีวิตมากมายจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 เรียกร้องให้รัฐบาลสมัยนั้นแก้ปัญหาโดยการให้จอมพลถนอมออกจากประเทศไทยหรือ จัดการกับจอมพลถนอมตามกฎหมายเกี่ยวกับการฆาตกรรมหมู่บนถนนราชดำเนิน ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และบนท้องถนนสนามหลวง

          ประชาชนและญาติผู้เสียชีวิตได้มีการประชุมกันเป็นครั้งคราวจนกระทั่งวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2519 นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปิดประกาศต่อต้านจอมพลถนอมถูกทำร้ายบางคนถึงสาหัส

          ส่วนที่นครปฐม พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 2 คน ปิดประกาศต้านจอมพลถนอมกลับมาได้ถูกคนร้ายฆ่าตายและนำไปแขวนคอในที่สาธารณะต่อมารัฐบาลยอมรับว่าคนร้ายนั้นก็คือตำรวจนครปฐมนั่นเอง

             นักศึกษาและประชาชนนำผู้พิการซึ่งได้รับบาดแผลจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 มาประท้วงจอมพลถนอมและรัฐบาลให้จัดการกับฆาตกรที่ฆ่าพนักงานการไฟฟ้า นักศึกษาบ้างอดอาหาร จนกระทั่งเกิดการแสดงการแขวนคอพนักงานไฟฟ้าภูมิภาคขึ้น สื่อมวลชนกลุ่มขวาจัดเช่น กลุ่มนวพล ฯลฯได้บิดเบือนว่าเป็นการแสดงที่นักศึกษาต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ มีการยั่วยุให้ทำร้ายนักศึกษาโดย น.ส.พ.ขวาจัดดาวสยามประโคมข่าวทุกวันและวิทยุเครือข่ายยานเกราะของทหารบกปลุกระดมอยู่ตลอดเวลาว่า นักศึกษาประชาชนผู้ประท้วงเป็นพวกคอมมิวนิสต์ ให้จับตัวมาลงโทษ

          วันพุทธที่ 16  ตุลาคม พ.ศ. 2519 ขณะที่ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาประชาชนประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เวลา 7.30 น. ตำรวจไทยโดยคำสั่งของรัฐบาลเสนีย์ ปราโมช ได้ใช้อาวุธสงครามบุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการยิงไม่เลือกหน้า คำสั่งของนายกรัฐมนตรี เป็นการกระทำของรัฐบาลโดยเอกเทศมิได้หารือกับอธิการบดีเลย ซึ่งในช่วงวันดึกของคืนวันที่ 5 ตุลาคม อธิการบดีได้พูดโทรศัพท์กับ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม

   หากรัฐบาลต้องการเรียกตัวหัวหน้านิสิตนักศึกษามาสอบสวน ก็มีวิธีการที่จะเรียกตัวมาได้ ไม่ต้องใช้กำลังรุนแรงจนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ มีกำลังของนวพล ของกลุ่มนายทุน นายทหารขวาจัด กระทิงแดง ลูกเสือชาวบ้านเข้ามาเสริม จากแรงยั่วยุของสถานีวิทยุทหารบกขวาจัดกระตุ้นให้มือที่ 3 ทำลายซ้ำเติมผู้ประท้วงอย่างโหดร้ายทารุณ

 


เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รสช. ฆาตกรโหด "พฤษภาทมิฬ"
 

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยมีศูนย์รวมอำนาจไว้ที่คนเพียงกลุ่มเดียวหรือไม่กี่กลุ่มกับระบบราชการขนาดมหึมา ต่างร่วมกันเป็นตัวแทนแห่งการครอบงำสังคมอันกว้างใหญ่ไพศาลตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของ "คณะราษฎร์" เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จากระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย

    เหตุการณ์นองเลือดเมื่อ 6 ตุลาคม 2516 และ 14 ตุลาคม 2519 ก็เป็นอีกหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์การต่อสู้ของนิสิตนักศึกษาและประชาชนที่ ต้องการให้พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมายหลุดพ้นจากการปกครองแบบกดขี่ของ เผด็จการทรราช

    เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เกิดจากการหลงอำนาจผิดยุคผิดสมัยของ นายทหารกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งประกอบด้วย

พล.อ.สุจินดา คราประยูร
พล.อ.สุนทร์ คงสมพงษ์
พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล
พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี
ฯลฯ

ได้ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2534โค่นอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งแล้วตรารัฐธรรมนูญการปกครอง(ชั่วคราว)ขึ้นโดยเสนอตั้ง นาย อนันท์ ปันยารชุน เป็นนายรัฐมนตรี ขัดตาทัพ รสช.ตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติขึ้นมาด้วยอำนาจเผด็จการ ทำการคลอดรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2534 "ฉบับหมกเม็ด" เตรียมสืบทอดอำนาจให้ตนเอง เพาะเชื้อเผด็จการขึ้นมาเต็มรูปแบบอีกครั้ง โดยกำหนดว่า
 
# โดยกำหนดว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องมาจากการเลือกตั้ง (ไม่ต้องเป็น ส.ส.)
# ให้ข้าราชการดำรงตำแหน่งได้ (ควบตำแหน่งได้)
# แต่งตั้งนายทหารในกลุ่มเครือญาติคนสนิทขึ้นมาคุมกองทัพ
# การผนึกอำนาจทางการเมืองและการทหารเป็นศูนย์อำนาจ

เมื่อกระแสประชาชนคัดค้าน "สุจินดา" ก็ยอมรับปากจะไม่รับตำแหน่งผู้นำ แต่ในที่สุด "สุจินดา" ก็ยอมเสียสัตย์แก่ตนเองและสาธารณะชนยอม "เสียสัตย์" เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 19 โดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง จนนำไปสู่การประท้วงคัดค้านของประชาชนนับแสนคนบนถนนราชดำเนิน และหัวเมืองใหญ่ๆทั่วประเทศและถูก 3 หัวโจ๊กเผด็จการดังกล่าว ใช้กำลังปราบปรามประชาชนและนิสิตนักศึกษาอย่างนองเลือดโหดร้ายทารุณ สร้างรอยด่างพร้อยให้กับประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยอีกตำนานหนึ่ง


"พฤษภาทมิฬ" มีการยิง สังหาร ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เรียกร้องประชาธิปไตยดั่งใบไม้ร่วง ระหว่างวันที่ 17,18 พฤษภาคม  2535 ดั่งโฮมเพจนี้ได้นำ "ภาพเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ" ดังกล่าวมาเสนอ ให้รำลึกถึง "วีรชน" และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทุพลภาพและผู้สูญหายไปเป็นจำนวนมาก ที่ได้ต่อสู้บนแนวหน้ากับเผด็จการนำประชาธิปไตยสู่ปวงชนอีกครั้งหนึ่ง.				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟลุงแทน
Lovings  ลุงแทน เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงลุงแทน