30 เมษายน 2546 17:37 น.

+++ ดอกหญ้า +++

วฤก

.

๑
๏ กลีบบางบานตาบพื้น..........ไพรสณฑ์
เพียงเก็จแก้วระคน..............คละไว้
วาดลายกนกวน...................วางระหว่าง......ทางฤๅ
ธารดอกหญ้าโย้ไขว้..............ขวัดคล้ายลายศิลป์ ฯ
๒
๏ ภุมรินบินล่อล้อ.................โลมผกา
ลงเกลือกเกสรถลา..............ร่อนเคล้า
โฉบเชยชื่นโอชา.................ชิมอิ่ม
เอมอร่อยลิ้นลิ้มเย้า..............ยั่วแม้นโภชย์สวรรค์ ฯ
๓
๏ ผายสุคันธ์สุหร่ายฟุ้ง..........ฟ่องไกล
หอมกลิ่นจรุงใจ...................จรดจ้วง
จักหวงหับเสพใน..................นาสิก
แนบสูดไว้แล้วล้วง...............เลปน์ซ้ำเสพดม ฯ
๔
๏ เสียงระงมลมพัดพลิ้ว........ผ่านพาน
เพลงแผ่วดังแว่วขาน...........ขับร้อง
ดังกระดึงสรรพกังสดาล........สะดุดโสต......สดับเอย
ไพเราะเพียงพาทย์พ้อง........พากย์ซ้องเกษมเสียง ฯ
๕
๏ เพียงเฉียดละเลียดเนื้อ.....เนียนพรรณ
เหมือนม่านไหมม้วนควัน......คลี่คุ้ม
แพรผกาผกกลีบกัน..............กั้นเกี่ยว
กางนุ่มเนื้อซ้อนซุ้ม...............ซ่อนไว้เกสร ฯ
๖
๏ จรจรัลแลดอกหญ้า...........ยามอรุณ
เลอรูปลิ้มรสคุณ- .................ค่าล้น
สูดสุคนธ์สดับเสียงสุน-.........ทรีย์โสต
พร้อมโผฏฐัพพะพ้น.............พบห้วงสรวงไฉน ๚

๓๐ เมษายน ๒๕๔๖				
27 เมษายน 2546 20:48 น.

+++ ชาตินักกลอน ๒ +++

วฤก


๏ เสียงสังคีตดีดสีดนตรีขับ
กำซาบซับโสตซ่านกังวานเสียง
ยินอักษรกลอนพร่ำถ้อยคำเพียง
ศัพท์สำเนียงสังคีตประณีตยิน
ศิลปะปรากฎจากรสถ้อย
ที่สอดสอยสร้างสารชำนาญศิลป์
มาเคล้าคละประพนธ์เพียงชลริน
ให้ดื่มกินกาพย์กลอนดังก่อนมา
สาธยายระบายพจน์เป็นบทบาท
กวีวาดวางลึกชวนศึกษา
จารจับอรรถจัดสรรพรรณนา
ก็เลอค่าเลิศคำที่นำจาร
สานอักษรกลอนกลฤๅพ้นยุค
ยินปู่ปลุกเปล่งเสียงจำเรียงสาร
ควรศึกษาวิชาเก่าแต่เบาราณ
เป็นลูกหลานลืมหลังหรือบังควร ๚ะ

๒๗ เมษายน ๒๕๔๕				
27 เมษายน 2546 20:44 น.

+++ ชาตินักกลอน ๑ +++

วฤก

๏ เสียงสังคีตดีดสีดนตรีขับ
ไพเราะศัพท์เสนาะเพลงบรรเลงขาน
คล้ายวจีกวีวัจน์สันทัดกานท์
เอื้อนอรรถอ่านเอ่ยเสียงจำเรียงรมย์
ศิลปะปรากฏจากรสถ้อย
ที่เรียงร้อยสลับวางอย่างเหมาะสม
ต้องตามหลักอักขระอนุกรม
น่านิยมยกสดับประดับกรรณ
กรองอักษรกลอนกลประพนธ์พากย์
มีหลายหลากลีลาหาเสกสรร
ตามกระสวนกระบวนถ้อยนับร้อยพัน
ร่วมบทบรรณเบิกกานท์สืบสานทรง
ชาติกวีนี่ไฉนจะไร้ท่า
ไม่ศึกษาทรัพย์เก่ามัวเมาหลง
ไม่สืบสานงานครูให้อยู่ยง
แล้วทะนงว่าเป็นกลอนไม่ร้อนฤๅ ๚ะ

๒๓ เมษายน ๒๕๔๖				
27 เมษายน 2546 16:14 น.

+++ มะลิซ้อน +++

วฤก

.

๏ พี่สอดมะลิซ้อน..............แซมผม
เสยเกศสูดกลิ่นดม...........ดอกไม้
หอมมะลิพี่ภิรมย์...............รสรื่น
แสนชื่นเชยชิดใกล้...........กอดเคล้าเคียงเขนย ฯ

๏ เคยถนอมนวลนิ่มเนื้อ...แนบตระกอง
กรกอดกระหวัดสอง...........สู่ห้อง
ยามหายห่างนางหมอง.......หมดกลิ่น
เหมือนกลีบมะลิหม่นต้อง...แตะแล้วลาญไฉน ฯ

๏ ใคร่แสวงสวาทน้อง.......สนิทนอน
เนื้อแนบเนื้อสมร.............สมาสเนื้อ
ใคร่ถนอมใคร่กุมกร.........กอดเกี่ยว
เพียงก่ายกายชิดเอื้อ........อุ่นให้หายถวิล ฯ

๏ กลิ่นเกศแก้มแม่ร้าง....มลายสูญ
สาปอกเรียมอาดูร............ดึกสะอื้น
หอมมะลิกลิ่นเกื้อกูล........แก้กลัด-.....กลุ้มนอ
โชยประทิ่นประทังฟื้น......ฟอกช้ำระกำหาย ๚ะ

๒๗ เมษายน ๒๕๔๖				
22 เมษายน 2546 10:38 น.

+++ นางแย้ม +++

วฤก

.

๏ นางแย้มแย้มกลีบเย้ย...........หยันใคร
เขาขื่นขื่นขมใจ........................เจ็บช้ำ
เฉาเปลี่ยวเปลี่ยวเหงาไฉน.......นางยิ่ง.....แย้มนอ
ยามโศกโศกเศร้าย้ำ................เยาะเย้ยยิ้มหยัน ฯ

๏ ครุ่นคะนึงคราแม่แย้ม...........ยามกระสัน
ยามกระเส่าสวาทพัน...............พี่เคล้า
พี่ครวญพร่ำคืนวัน...................หวังสู่
หวังเสพสมสุขเจ้า...................จิตเฝ้าใฝ่ถวิล ฯ

๏ แสวงนวลเนื้อนิ่มน้อง..........นางสนิท.......แนบพี่
พี่แนบพนิตนวลปิด.................ปกป้อง
ป้องปกปิดนวลพนิต...............แนบพี่
พี่แนบสนิทนางน้อง................นิ่มเนื้อนวลแสวง ฯ

๏ นางแย้มแย้มกลีบเย้ย.........หยันไย
เรียมขื่นขื่นขมใจ....................เจ็บร้อน
ยามเปลี่ยวเปลี่ยวเหงาไฉน....นางยิ่ง.....แย้มนอ
ฤๅเยาะเยาะเย้ยย้อน.............หยอกเย้ายามหมอง ๚ะ

๒๒ เมษายน ๒๕๔๖				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวฤก
Lovings  วฤก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวฤก
Lovings  วฤก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟวฤก
Lovings  วฤก เลิฟ 1 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงวฤก