23 เมษายน 2549 14:34 น.

...เพราะเราอยู่คนเดียวไม่ได้บนโลกนี้(#1 เรื่องราวของความว่างที่แตกต่าง)

เจรนัย

เรื่องราวของความว่างที่แตกต่าง

     คุณเคยรู้สึกบ้างไหม เวลาที่คุณคิดว่าจะไปไหนต่อไหนกับไอ้เพื่อนเกลอคู่ทุกข์คู่ยาก แต่เพื่อนทูนหัวของคุณทุกคนกลับบอกปัดคุณด้วยคำว่า ฉันไม่ว่าง หรือไม่เวลาที่คุณคิดจะโทรศัพท์ไปหาซี้คู่ใจ โดยที่ซี้คุณปล่อยให้เสียงรอสายดังอยู่สองสามครั้ง แล้วสุดท้ายก็ตัดให้ผู้หญิงแปลกหน้ามารับแล้วพูดใส่คุณว่า ขอโทษค่ะ...ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้ ทั้งๆ ที่คุณยังไม่ทันถามอะไรสักคำ หรือเวลาที่คุณนั่งแชตอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างสบายอารมณ์ แล้วจู่ๆเกลอเก่าคุณก็ออนเข้ามาโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเอาคุณประหลาดใจปนดีใจเล็กๆที่มีโอกาสคุยกับเพื่อนเก่าทั้งๆที่ไม่ได้คุยกันมานานหลายปี คุณไม่รอช้าแอดไปหาเขาทันที ด้วยคำว่าไง...เป็นไงบ้าง เพื่อนเจ้ากรรมก็ตอบกลับมาว่า ดี แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีคำตอบจากมันอีกเลย แม้คุณจะถามมันไปเท่าไหร่ จนในที่สุดมันก็ตอบคุณก่อนที่มันจะออฟไลน์ออกไปว่า ดีใจที่ได้คุยกับแก...เอาไว้คุยกันใหม่นะ...บาย
     หลายคนคงเจอสภาพแบบนี้หรือคล้ายคลึงอย่างนี้ หรือไม่ก็ไม่เคยเจอแบบนี้เลย แต่ก็คงเจอสภาพอื่นที่พอจะเปรียบได้เท่ากับอย่างนี้ล่ะ มันเป็นเรื่องที่พื้นๆมากในชีวิตมนุษย์ปุถุชนธรรมด๊าธรรมดา ที่มีชีวิตจิตใจต่างกันไปตามพื้นฐานของแต่ละคน ไม่ว่าคนที่มีเพื่อนเยอะเพื่อนแยะเพื่อนเพียบ หรือคนที่เพื่อนน้อยถึงระดับที่เรียกได้ว่าไม่มีเลย (ซึ่งมัน อาจจะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย ถ้ามีคนประเภทไม่เคยมีเพื่อนเลย แต่ขอบอกว่า มีคนประเภทนี้จริงๆนะเอา) ทุกคนต่างก็มีช่วงแย่ๆเกี่ยวกับเพื่อนซี้อย่างนี้ทั้งนั้น(เออ...อาจยกเว้นพวกชาวไร้เพื่อนไว้สักพวกหนึ่งนะ) แต่นั่นก็คงไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้คุณเลิกคบเพื่อนคนนั้นหรอกจริงไหม การที่เขาไม่ว่างไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รักคุณ เกลียดคุณ หรือไม่ชอบคุณ แต่เพราะคุณดันไปอยู่ในช่วงแน่นเอี๊ยดของพวกเขาต่างหาก มันไม่ใช่ความผิดคุณเลย และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเพื่อนคุณด้วย แน่นอนงานนี้ไม่มีใครมีความผิดเลย...แม้แต่คนเดียว (ดังนั้นคดีตกไป)
     คุณบางคนอาจจะเซ็งมาก จนต้องประกาศกับตัวเองเลยว่า ต่อให้ชาตินี้ ชาติหน้า ชาติไหน ก็ขออย่าได้พบเจอกับพวกมันอีกเลย แต่ผมก็ขออธิษฐานว่า ขออย่าให้มันเป็นจริงแม้แต่ในชาตินี้ เพราะไม่อย่างนั้นคุณจะสูญเสียสิ่งสำคัญของคุณไปอย่างน่าเสียดาย ในเมื่อพื้นฐานชีวิตคนเราไม่เหมือนกัน การดำเนินชีวิตก็จะไปเหมือนกันได้อย่างไร ชีวิตคนขับรถบรรทุก กับชีวิตพนักงานแบงก์(เปรียบเกินไปหรือเปล่านะ) มันก็ยังต่างกันแล้วและภาษาอะไรกับชีวิตคุณกับเพื่อนคุณ เพื่อนผมทำงานเจ็ดโมงเช้าเลิกหกโมงเย็น ในขณะที่อีกคน เริ่มงานเที่ยงวันจนไปเลิกงานอีกทีก็เกือบจะเที่ยงคืน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนนี้จะเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากกันมาหลายสิบปี แต่สิ่งนี้ก็คือชีวิตของเขาทั้งสองที่จะต้องดำเนินต่อไปให้ไปถึงจุดหมายของแต่ละคน แต่ถึงอย่างไร เพื่อนก็ยังถึงเป็นสิ่งที่ทั้งสองนึกถึงเสมออยู่ดี คุณก็คงเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ที่คุณชวนพวกเขา คุณโทรหาพวกเขา คุณทักพวกเขา ก็เพราะว่าคุณคิดถึงพวกเขา และจะไปเสียอกเสียใจทำไมล่ะครับ กลับความไม่เป็นใจของเวลา คุณน่าจะดีใจที่เพื่อนของคุณยังมีความไม่ว่างอยู่ในชีวิต ซึ่งมันหาไม่ง่ายนักกับคนตกงาน หรือถูกไล่ออกจากงาน ไม่ก็อาจโชคร้ายหน่อย กะจะคุยกับเพื่อนดันกลายเป็นแม่เพื่อนมารับ พร้อมกับร้องห่มร้องไห้ ก่อนที่จะเฉลยให้เราฟังว่ามันลาไปเที่ยวโลกหน้าก่อนเราเสียแล้ว  หรือที่เด็ดกว่า ก็อาจเป็นตอนเปิดโทรทัศน์เจอหน้าเพื่อนซี้เราเป็นผู้ต้องหาคดีค้ายาบ้า คิดแล้วคงน่าเสียวสันหลังปนความพิกลพิลึก
   เอาน่า...ไหนๆ ในเมื่อเวลามันก็ไม่ได้เป็นใจอะไรเท่าไหร่นัก มันก็เหมือนกับเวลาที่จะรีบขึ้นรถเมล์น่ะล่ะ คุณจะรีบขนาดไหนก็ตาม แต่เจ้ากรรมรถเมล์สายที่เราจะไปมันดันไม่มาสักที แล้วจะเอายังไงล่ะ จะหันไปพึ่งรถไฟฟ้าก็ไม่มี รถไฟใต้ดินก็มีโครงการอยู่แต่ก็ยังไม่สร้าง หรือว่าคุณจะไปขึ้นสายอื่นเหรอ ไม่เอาน่า ดีไม่ดีคุณก็อาจจะเป็นแบบผมที่ขึ้นรถผิดสายแทนที่จะไปดอนเมือง ดันไปโผล่ประชาอุทิศนนทบุรีซะงั้น(นี่รู้เฉพาะคนอ่านกับผมนะ...ที่บ้านยังไม่กล้าเล่าให้ฟังเลย...อาย)  ยังไงมันก็ต้องรอล่ะ ก็เหมือนกับที่คุณต้องรอเพื่อนคุณเหมือนกัน ให้เวลากับเพื่อนคุณอย่างที่คุณให้เวลากับตัวเอง พวกเขาไม่ว่างก็นัดกันวันหลัง ยังไงซะมันก็ต้องมีวันว่างกันบ้างล่ะ โทรหาไม่ได้ก็ส่งsms ไปหาสิ ไม่แน่อาจถูกกว่าคุยก็ได้นะ หรือถ้ามันไม่คุยแชตกับคุณ คุณก็อีเมลล์ไปหามันซะเลย ไหนๆมันจะต้องอ่านเมลล์มันอยู่แล้วนี่ เชื่อเถอะว่าช่วงเวลาแย่ๆกับเพื่อนของคุณ มันต้องมีทางออกในรูปแบบของมันเอง คุณต้องรู้จักยอมรับและเปิดใจกับความต่างกันของวงจรชีวิตระหว่างคุณกับเพื่อนของคุณ แล้วในไม่ช้ามันก็จะมีจุดที่คุณและเพื่อนเกลอได้พบกันเอง เพราะในเมื่อโลกนี้มันกลมไม่ได้เป็นเส้นขนานสักหน่อย  ยังไงซะ มันก็หมุนมาเจอกันจนได้ล่ะ...คุณว่าจริงไหม.				
21 พฤษภาคม 2548 05:00 น.

เรื่องเล่าจากเก้าโยกสีดำ...

เจรนัย

ในห้องนั่งเล่นที่ฉาบด้วยสีขาวจนส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งห้อง ยังมีโต๊ะเขียนหนังสือสีขาวตัวหนึ่ง เก้าอี้พนังสีขาวอีกตัวหนึ่ง หนังสือปกขาวเล่มหนึ่ง และปากกาสีขาวอีกหนึ่งด้าม นอกจากนั้น ก็ยังมีเก้าอี้โยกสีดำตัวเก่าๆอีกตัวหนึ่งวางอยู่ตรงกลางห้อง
     ทุกๆวันเวลาเย็นก็จะมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เขาจะนั่งลงที่เก้าอี้พนังสีขาว แล้วใช้ปากกาสีขาวด้ามนั้นเขียนอะไรต่อมิอะไรมากมายลงในหนังสือปกสีขาว อยู่บนโต๊ะหนังสือสีขาวตัวนั้น เขาทำอย่างนี้เป็นประจำทุกวันทุกวัน 
     จนชายหนุ่มเริ่มย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่กิจวัตรของเขาก็ยังคงเป็นอยู่เช่นเดิม นั่นคือ "นั่งลงที่เก้าอี้พนังสีขาว แล้วใช้ปากกาสีขาวเขียนอะไรต่อมิอะไรมากมายลงในหนังสือปกสีขาว อยู่บนโต๊ะหนังสือสีขาว " เขาทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยโดยไม่มีเว้นแม้แต่วันเดียว 
     จนในที่สุดเขาก็ได้แต่งงาน การแต่งงานนั้นเองทำให้เขาต้องย้ายไปอยู่กับครอบครัวในที่ห่างไกล จึงทำให้เขาต้องปิดบ้านของตัวเองลง ซึ่งแน่นอนก็รวมถึงห้องนั่งเล่นนั้นด้วย ทำให้ห้องนั้นกลับดูเงียบเหงาลงไปทันที
"นี่พวกนายรู้ไหม เจ้านายน่ะ ชอบใช้ฉันมากที่สุด" เสียงอวดอ้างของเก้าอี้ผนังสีขาวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบในวันหนึ่ง
"บ้าหรือ ข้าต่างหากที่เจ้านายชอบใช้มากที่สุด"เสียงข่มของโต๊ะเขียนหนังสือสีขาวดังขึ้นบ้าง
"ไม่จริงเลย ข้าต่างหาก เจ้านายชอบบันทึกเรื่องราวต่างๆในตัวข้าทุกวัน" หนังสือปกสีขาวเริ่มอวด
"พวกนายไม่รู้อะไร เจ้านายน่ะ ชอบใช้ฉันต่างหาก" เสียงปากกาด้ามขาวอวดอ้างเอาบ้าง
ทั้ง 4 ทกเถียงกันในเรื่องนี้ทุกวัน แล้วก็ยังไม่วายที่จะมาทับถมเก้าอี้โยกสีดำ ที่ยังคงนั่งอมทุกข์อยู่กลางห้อง
"เจ้านายเคยเขียนในตัวฉันนะว่า เขาน่ะไม่ชอบสีดำ รู้ไหมแกน่ะรกตาเจ้านายจริงๆ" เสียงเจ้าหนังสือจอมกวน เริ่มเปิดฉาก
"..." เก้าอี้โยกไม่พูดอะไร
"เออ...ใช่ เจ้านายเคยเปรยๆ ให้ฉันฟังนะว่าน่าจะเอาแกไปเผาซะที" เสียงเก้าอี้พนังก็เริ่มขึ้นตามมา
"..." เก้าอี้โยกไม่พูดอะไร
"ใช่เหรอ ฉันว่าฉันได้ยินว่าเจ้านายจะเอาไปขายไม่ใช่เหรอ" คราวนี้เป็นเสียงของโต๊ะหนังสือพี่ใหญ่
"..." เก้าอี้โยกไม่พูดอะไร
"ใช่พี่ เขากะจะเอามันไปประมูลขายน่ะ เขาว่าได้เงินเยอะดี" เสียงปากกาเจ้าตัวเล็กเอาบ้าง ขยายความทันที
"..." แต่เก้าอี้โยกก็ยังคงไม่พูดอะไร
จนเวลาล่วงเลยไป เป็นสิบปี ยี่สิบปี สามสิบปี 
     ในที่สุดชายหนุ่มก็กลับมา แต่ตอนนี้ชายหนุ่มคนนั้นไม่ใช่ชายหนุ่มอีกต่อไปแล้ว เขาชราภาพลงไปมาก มีเคราสีขาวรุกรัง ผิวหนังที่เหี่ยวย่น และกำลังที่มีอยู่อย่างน้อยนิด เขามาพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือลูกของเขาเอง
     ชายชราคนนั้นเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นตามปกติ เหมือนเช่นที่เขากระทำอยู่เป็นประจำยามที่อยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ไปนั่งที่เก้าอี้พนังสีขาวและใช้ปากกาสีขาวเขียนหนังสือปกสีขาวอยู่บนโต๊ะสีขาวอีกแล้ว 
     เขานั่งลงบนเก้าอี้โยกสีดำ มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็โยกเก้าอี้ไปมา พร้อมกับรำพึงว่า "ชีวิตเราตอนนี้คงนั่งเก้าอี้พนังไม่ได้แล้ว จับปากกาเขียนลงในหนังสือบนโต๊ะก็ทำได้ยากยิ่ง ตอนนี้คงมีแตเจ้าล่ะ เจ้าเก้าอี้โยกที่จะให้ความสุขแก่ฉันได้นะ ไอ้เพื่อนยาก"
     ชายชรารำพึงรำพัน ก่อนที่จะเผลอหลับไปบนเก้าอี้โยกสีดำเก่าๆ ตัวนั้นเอง...				
9 สิงหาคม 2545 19:48 น.

ยากจะลืม

เจรนัย

เธอลืมหรือยัง.....เมื่อตอนเธอเป็นเด็ก
เราเคยได้คุยกัน
เธอชอบเล่นในลำธาร ผมก็ร้องเพลงอยู่ข้างๆ
ผมรู้ว่าตัวเองร้องไม่ค่อยดี 
แต่เธอก็ไม่บ่น
แถมยังบอกว่ารู้สึกเย็นดี
ผมรู้สึกดีกับเธอนะ 
รู้สึกดีมากด้วย
เวลาเธอมา ผมก็ชอบพาเธอ
เที่ยวไปเรื่อยๆ
ไปเรื่อยๆ
เรื่อยๆ.....ไม่จุดหมาย
เราสนุกด้วยกันมากมาย
แต่แล้วเวลาก็ให้เราจำต้องจากกัน
แต่ตอนนี้.....ตอนที่เราโตขึ้น
เราได้กลับมาพบกันอีกครั้งแล้วนะ
เธอไม่เปลี่ยนไปเลย
ยังชอบอยู่กับเพื่อนมากมายของเธอ
แต่ตัวผม
มันเปลี่ยนมาเลยนะ
แต่ยังชอบอยู่คนเดียวเหมือนเดิม
...
เอ๋!    มีใครทักผม
...
ใครกัน!
เอ้า!   นั่นเธอ  เธอจริงๆด้วย
เธอจำผมได้!
เธอจำความทรงจำที่ดีนั้นได้!
เธอบอกว่าอยากร่วมทางกับผมอีก
เธอบอกว่าชอบผม
ชอบเกินกว่าจะลืมเลือนได้
ไม่น่าเชื่อเลย! หยดน้ำอย่างเธอจะมาชอบมรสุมอย่างผม
ช่างมหัศจรรย์จริงๆ
**************************************************
คืนนั้นทั่วประเทศไทยมีฝนตกฟ้าคะนองไปทั่ว!				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจรนัย
Lovings  เจรนัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจรนัย
Lovings  เจรนัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจรนัย
Lovings  เจรนัย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเจรนัย