19 มีนาคม 2550 21:10 น.

The Heaven Fantasy ตอน กำเนิดเทพบุตร #2

เจรนัย

บทที่ 2
                                            ช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง

 ความมืด...แสงสว่าง...สตรีชุดขาวมีปีก...มีวงแหวง...สวมมงกุฎ...คทารองเท้าจงอยมีปีก...คำพูด...การคุกเข่า...การสัมผัส 
ทิมโบนี่ตื่นขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขาพบตัวเองยังอยู่ ณ ที่เดิมที่เขายืนถ่ายภาพ นี่เขาเผลอหลับไปเมื่อไหร่กันนะ แล้วยังความฝันเดิมๆอีก เขาจำได้ว่ากำลังวิ่งลงไปยังที่พัก แต่แล้วทำไมเขายังคงอยู่ที่นี่   ทิมโบนี่ พยายามยันตัวลุกขึ้นจากพื้น เบิกตามองไปรอบๆอย่างช้าๆ ไม่ปรากฏสิ่งใดเลย ทุกอย่างมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงไฟดวงเล็กๆ...ดวงเล็กๆที่มาจากพวกที่ตั้งแคมป์ ใช่!...แคมป์...แคมป์ปิ้ง 
ทิมโบนี่ลุกพรวดยืนขึ้นแล้วรีบมองไปยังที่ตั้งแคมป์ ไม่มี..ไม่มีเลย...ไม่มีแคมป์...ไม่มีแม้แต่เงาคน...ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟ ที่แห่งนั้นที่เคยมีทุกอย่าง ตอนนี้ไม่มีอะไรอีกต่อไปแล้ว ปะหนึ่งเหมือนว่ามันไม่ เคยมีมนุษย์ผู้ใดเคยย่างกรายเขามาที่นี่มาก่อน เขาตกใจ ขาสั่นและอ่อนแรง จนต้องทรุดตัวลงไปกองกับพื้นทำอะไรไม่ถูก สิ่งบ้าบออะไรกำลังเกิดขึ้นกับเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ที่นี่ใช่อุทยานแห่งชาติทะเลสาบไวส์กริมแน่เหรอ เขาพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แล้วจึงรีบวิ่งลงไปยังที่ตั้งแคมป์นั้น แต่ไม่พบสิ่งใดเลยยกเว้นแต่ลานโล่งๆที่ตอนนี้เต็มไปด้วยวัชพืชมากมายจนแทบหาสภาพพื้นดินเดิมที่เขาเคยเห็นไม่ได้ เด็กหนุ่มวิ่งไปทางซ้ายทีทางขวาที วิ่งวนอยู่ตรงนั้นสองสามรอบ ก่อนที่จะทรุดตัวลงตรงกลางลานด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แต่มันก็ได้ไหลออกมาเสียแล้วตั้งแต่ที่เขาลงมายังที่นี่ ตอนนี้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ขณะที่น้ำตาอาบแก้มนี้ก็คือ...ตะโกน...ตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง...
 พ่อ...แม่...อยู่ไหน...ช่วยผมด้วย 
........................................................................
 โรงพยาบาลกริมทาวส์เหรอครับ...เรามีคนบาดเจ็บอาการโคม่าครับ...ครับๆ...เป็นเด็กผู้ชายพลัดตกจากเนินเขาครับ...ครับๆ...กำลังพยายามช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่...ช่วยเตรียมเครื่องมือฉุกเฉิกกับสถานที่ไว้ให้ด้วยครับ...อีกประมาณ ชั่วโมงนึงเ ราจะไปถึง 
เสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้น ขณะอาสาช่วยพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล โจกำลังขับรถด้วยความเร่งรีบอย่างที่สุดในชีวิต โดยมีชายพลเมืองดีนั่งอยู่ข้างๆ พยายามติดต่อกับโรงพยาบาล ลินดากับนั่งข้างเด็กหนุ่มตัวสะบักสะบอนที่กำลังนอนอยู่อย่างไม่มีสติ น้ำตาของเธอนองหน้าไหลอาบแก้ม จนแทบกลั่นออกมาเป็นเลือด
ทิมโบนี่...ทิมโบนี่ลูกแม่...ฟื้นสิลูก...ฟื้นสิ
ใจเย็นก่อนลินดา...ทิมโบนี่ต้องไม่เป็นอะไร
โจพลางปลอบภรรยาของเขา แต่เสียงนั่นกับสั่นเทานัก สิ่งที่เขาเห็นก่อนที่ทิมโบนี่ลูกชายของเขาจะมาเป็นเช่นนี้ ก็คือ ร่างของลูกชายที่ลื่นถลาตกลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง โดยล่วงหล่นทับกับต้นไม้ จนทำให้กิ่งไม้หักไปหลายสิบกิ่ง หล่นกระแทกกับเนินหินอีกกว่าหลายสิบครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงดัง ตุ๊บ พร้อมกับภาพลูกชายที่แน่นิ่งไปตรงพื้นล่างเบื้องหน้า
เวลานี้ฝนกำลังตกหนักและสำหรับที่นี่ก็ดูท่าว่าจะหนักกว่าทุกวันที่ผ่านมา มันทำให้การเดินทางอย่างเร่งด่วนไปโรงพยาบาลของครอบครัววิสสันเป็นอันต้องล้าช้าและทุลักทุเล รถวิ่งผ่านพื้นที่เป็นถนนดินธรรมดา ซึ่งบัดนี้กลับกลายเป็นโคลนเลนไปได้ด้วยความยากลำบาก โจกับเพื่อนพลเมืองดีจำต้องออกมาเข็นรถอยู่เป็นระยะ และกว่าพวกเขาจะถึงโรงพยาบาลกริมก็ผ่านไปเกือบจะสองชั่วโมงเต็ม 
โจและลินดาพยายามนำร่างไร้สติของทิมโบนี่มาที่ห้องฉุกเฉิน ขณะที่เพื่อนของพวกเขาไปติดต่อที่เคาส์เตอร์รับเรื่องที่อยู่ด้านหน้า ประตูห้องฉุกเฉิกเปิดอ้าออก มีบุรุษสองคนวิ่งออกมาพร้อมกับเตียงฉุกเฉินที่ดูเหมือนเบาะนุ่มๆวางอยู่บนโครงเหล็กสีเงิน พวกเขาใส่ชุดสีขาว คาดผ้าปิดปาก และสวมถุงมือ เดินเขามาแบกทิมโบนี่จากมือโจและลินดา ก่อนจะนำวางลงบนเตียงฉุกเฉิน แล้วเร่งเข็นเอาไปในห้องที่มีหมอและพยาบาล สามสี่คนค่อยอยู่ด้วยชุดสีเขียวโดยไว พวกเขาวิ่งตามสองคนนี้เข้าไปในห้อง ก็ที่จะถูกไล่ออกมาด้วยพยาบาลชุดสีเขียว ที่คาดผ้าปิดปากและใส่ถุงมือ ซึ่งดูท่าว่าจะยาวกว่าของชายที่เข็นเตียงเข้าไป
เข้าไปไม่ได้ค่ะ...กรุณารออยู่ด้านนอกนะคะ...เราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที
และแล้วประตูห้องนั้นก็ปิดลง พร้อมกับแสงสว่างที่ป้ายด้านบนหน้าห้องที่สว่างวาบ เห็นเป็นคำว่า ฉุกเฉินตัวสีแดงอย่างชัดเจน
........................................................................
หลังที่เสียน้ำตาร้องไห้ไปกว่าชั่วโมง ทิมโบนี่ก็รู้ว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับการกระทำเช่นนั้น เขานั่งทำใจนานหลายนาทีก่อนที่พยุงตัวลุกขึ้น พยายามมองไปรอบๆอีกครั้ง โดยหวังว่าจะพบอะไรพอจะให้คำตอบของเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาได้ ไม่นานนักหูของเขาก็สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่าง...
วิ้ว....ช่วยด้วย....วิ้ว....ช่วยด้วย เสียงนี้เองแล้ว เสียงนี้ดังผ่านหูเขาอีกครั้ง โดยท่วงทำนองที่ดังกว่าเดิม มันดังจากเขตหวงห้ามแห่งนั้นเอง เสียงนั้นคือเสียงที่เขาคัดค้านที่จะตามหาในครั้งแรก แต่ตอนนี้เขาคงต้องเริ่มต้นตามหามัน โดยหวังว่ามันจะเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่จะให้คำตอบอันพิศวงงงงวยที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา
จากลานโล่งๆที่ทิมโบนี่ยืนอยู่ไปยังเขตหวงห้ามแห่งทะเลสาบไวส์กริม จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เหมือนกับว่าเขาเดินมาถึงได้ในพริบตา ทิมโบนี่เหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเขา ...
 18.00 น. น่าแปลก เขามองขึ้นไปบนฟ้าที่ตอนนี้มืดสนิท แต่ยังคงสว่างนวลด้วยแสงจันทร์สลัว
 หกโมงเย็นเองเหรอ คงไม่ใช่มั้ง บ้าจริง ดูท่านาฬิกาคงจะเสียแล้ว  ทิมโบนี่สบถขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนที่จะก้าวเดินค้นหาต้นตอของเสียงต่อไป

เขตหวงห้าม
ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติทะเลสาบไวส์กริม
เข้าได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ชำนาญการของอุทยานเท่านั้น

	ป้ายผุๆ ขนาดใหญ่ เขียนข้อความไว้เช่นนี้ด้วยสีแดงสด ปักไว้ด้านหน้าของเขตหวงห้ามแห่งทะเลสาบไวส์กริม ที่ขวางกั้นด้วยกำแพงขดลวดหนามหนาๆ  มันเป็นป้ายไม้ผุๆเรียบๆ ที่ไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม นอกจากสีแดงสดอย่างกับเลือดนกที่หยดไหลเปื้อนลงมาเป็นสายยาวเนื่องจากการทาสีอย่างลวกๆ คราบราและมอสสีเขียวสลับขาวและดำกระจายอยู่ให้เห็นทั่วทั้งแผ่นไม้
	เขาก้าวข้ามลวดหนามเหล่านั้นด้วยความยากลำบาก รอยถลอกเลือดไหลซิบๆที่เกิดจากการขูดกับลวดปรากฎให้เห็นทั่วร่างของทิมโบนี แล้วหลังจากข้ามพ้นห่วงหนามนั้นมาได้ ความมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ก็ทำให้เขาเริ่มกลัวอีกครั้ง เบื้องหน้าเขาคือเขตป่าหวงห้ามในยามวิกาล ซึ่งแม้ขนาดเวลากลางวันก็ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาเช่นนี้ ข่าวคราวอันเป็นที่โจษจันของสถานที่แหล่งนี้ทำให้ทิมโบนี่ วิสสัน เริ่มก้าวขาไม่ออก เขาพยายามเพ็งสายตามองเข้าไปข้างใน แต่ก็เห็นเพียงความมืดที่ดูจะมืดมิดลงไปทุกที
	เฮ้...มีใครอยู่ไหม เขาตะโกนก้องเข้าไป... แต่ไม่มีเสียงอันใดเล็งลอดออกมาเลย ทิมโบนี่เดินแหวกพงหญ้าและสายเถาวัณย์มากมายที่ระเกะระกะตลอดทางเดินดินที่ถูกถางอย่างหยาบๆ 
	ฮู๊กๆ...ฮู๊กๆ เสียงนกฮูกตัวใหญ่ส่งเสียงกัมปนาท ก่อนที่จะเบิกตาสีเหลืองดวงใหญ่ และโผเข้าใส่เขาทันที มันบินเฉี่ยวหัวเขาไปนิดเดียว แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาถึงกับเซล้มลงไปบนพื้น
	ไอ้นกฮูกบ้า...เล่นเอาตกอกตกใจหมด เขาพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ต้องประหลาดใจกับบางสิ่งบางอย่างที่มือของเขาสัมผัสได้...
ลูกแก้ว...ลูกแก้วใสสีทองที่เปร่งแสงสีเหลืองทองอ่อนๆออกมาจนดูเหมือนเป็นรัศมีรอบลูกแก้วนั่น
มันคืออะไรนะ...สวยจังเลย ทิมโบนี่พูด เขาหยิบมันพลิกไปพลิกมาอยู่ สองสามที ก่อนที่จะตัดสินใจใส่มันไว้ในกระเป๋ากางเกง
คงมีใครสักคนที่ทำตกไว้ เขาคาดคะเนความเป็นไปได้ ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินต่อไป 
-----------------------------------------------------------------------------------
เวลาล่วงเลยมานาน แม้จะไม่มีนาฬิกาบอกเวลา แต่ความรู้สึกของทิมโบนี่ก็บอกได้เองว่า เขาเดินทางเข้ามานานพอดู เสียงนั่นยังคงดังอยู่แล้วดูท่าจะดังมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกกับเขาได้ว่าใกล้จะถึงต้นตอของเสียงนั่นแล้ว เขานั่งพักลงที่โขกหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ตอนนี้สายตาของเขาเริ่มที่จะชินกับความมืด แต่ก็ยังมองได้เป็นแค่เงาตะขุ่มๆ แยกไม่ออกหรอกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ตอนนี้ความกลัวของเขาได้จางหายไปแล้วคงเหลือก็แต่เพียงความหวาดหวั่นที่เกิดจากสถานที่ที่ดูแปลกตา เขาอยากคิดเสียว่าสิ่งที่กำลังเกิดกับเขานี่คือความฝันแล้วรอวันที่เมื่อไหร่เขาจะตื่นจากฝันร้ายนี่เสียที
ออกเดินทางต่อดีกว่า...คงใกล้แล้วล่ะ  ทิมโบนี่ดันตัวลุกขึ้น แล้วพยายามคลำหาทางเดินอีกครั้ง ตามเสียงร้องของสายลมนั่นต่อไป โดยไม่ทันสังเกตว่าลูกแก้วในกระเป๋ากางเกงของเขาตอนนี้ส่องแสงสว่างกว่าตอนที่เขาเจอครั้งแรกเสียอีก
ช่วงเวลาอันยาวนาน ไม่ช้าเขาก็มาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีเถาวัลย์พันระโยงรยางค์ไปทั่วทั้งต้น เขามองสูงขึ้นไปบนต้นไม้นั่น ด้วยสายตาที่ทึ่งในความใหญ่โตของมัน เงาดำที่ทาบทับทั่วต้นทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
 ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านั้นเหลือไม่มา  ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านี้จะหยุดนิ่ง
อ่ะ...เสียงนั่นอีกแล้ว มันดังก้องขึ้นในหูของเขา จนเขาต้องทรุดตัวลงด้วยความเจ็บแสบที่แก้วหู นี่มันอะไรกัน และเสียงนั่นมันเสียงใครกันแน่...
เมื่อตั้งสติได้ ทิมโบนี่ลุกขึ้นยืน และพยายามมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องมาสะดุดกับแสงสว่างเล็กๆเป็นบริเวณกว้างที่อยู่ห่างเขาไปไม่เท่าไหร่ ทั้งๆที่เมื่อกี้ที่ตอนนั้นยังคงเป็นความมืดอยู่เลย 
เขาเดินย่องเข้าไปอย่างช้าๆ เสียงเรียกขอความช่วยเหลือนั้นน่าจะมาจากตรงนี้แน่ เสียงนั่นชัดเจนจนแทบจะแยกแยะผู้พูดได้ว่า เป็นหญิงหรือชาย หนุ่มหรือว่าแก่ 
น่าจะเป็นเสียงเด็กผู้หญิงนะ... เขาคาดคะเน พยายามเดินย่องเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบที่สุด เพราะตอนนี้เสียงที่เขาได้ยินไม่ใช่เฉพาะเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังคงมีเสียง...เสียงแหบแก่ๆที่แทบจะฟังไม่ได้ศัพท์...เสียงที่ทิมโบนี่คิดว่าน่าขนลุกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาตลอดชีวิต
โอะโอ...แม่หนูท่าทางเจ้าจะไม่เข้าใจฐานะของเจ้าตอนนี้ซะเท่าไหร่เลยนะ เสียงแหบแก่นั่นดังขึ้นชัดเจน เมื่อทิมโบนี่เข้ามาใกล้ที่แห่งนั้น หลังม่านหญ้าสูงที่กั้นระหว่างเขากับพื้นที่สว่างนั่น เขาแหวกกองหญ้าออกช้าๆ และมองดูมันอย่างใคร่ครวญ... 
มีเด็กผู้หญิงใส่ชุดขาวเนื้อตัวสะบักสะบอมคนหนึ่งทรุดตัวนั่งหันหลังอยู่ด้านหน้าเขา เธอเหม่อมองไปเบื้องหน้าด้วยร่างกายที่สั่นเทา หล่อนมองไปยังสิ่งหนึ่งที่คล้ายมนุษย์แต่ก็น่าจะเป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาดที่สุด มันคลุมตัวเองด้วยผ้าสีดำ และมันดูผอมและสูงกว่าเขามาก มันกำลังมองมาที่หล่อน ทิมโบนี่เห็นส่วนที่เป็นใบหน้าของสิ่งนั้นมันไม่ชัด 
 เจ้าปิศาจร้าย...ปล่อยนะ...ช่วยด้วยๆ
วิญญาณหลงทางแห่งจิตใจอย่างเธอ มันก็อย่างนี้ล่ะนะ...ต่อต้าน...หวาดกลัว...สิ้นหวัง...ข้าเจอแบบนี้มาเยอะ...ฮ่าๆๆๆ...แล้วทุกดวงก็ตอบรับข้า...ตอบรับในความเป็นข้า...เพราะข้านี่ล่ะ...ที่สามารถมอบความสมปรารถนาให้แก่พวกมันได้...ใช่...รวมถึงเจ้าด้วยแม่หนู...เอาล่ะ...อย่าต่อต้านอีกเลย...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา...ข้าจะดลบันดาลให้มันเป็นจริง...เชื่อข้าสิ
 ไม่เอาหรอกไอ้ปิศาจร้าย...ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ
  ให้มันสุภาพหน่อยสิ...แม่หนู...ท่าทางอย่างเจ้านี่จะใช้ไม้อ่อนด้วยคงยากซะแล้วสิ...ฮ่าๆๆๆ...
และแล้วผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจนั่น ก็เริ่มหวีดร้องด้วยเสียงอันดังที่สุด... วี้ดๆ...แล้วทันใดนั้นกลุ่มก้อนเมฆสีดำทมิฬก็ปรากฏเหนือหัวของมัน  
ข้าแต่...เจ้าแห่งความหายนะที่สถิตอยู่บนโลก...ข้า...ลาวาติโย...บริวารผู้ซื่อสัตย์ของท่าน...ขอใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่และหาที่เปรียบมิได้ของท่าน...เพื่อปิดปากวิญญาณตัวดีที่ไม่มีแม้แต่สัมมาคารวะดวงนี้ด้วยเถิด ข้าแต่ซารัสผู้เป็นที่รักของข้า 
แล้วในทันทีทันใด เมฆทมิฬนั่น ก็พุ่งเข้าให้เด็กผู้หญิง พันผูกร่างหล่อนจนรัดแน่น เฉกเช่นเส้นเชือกที่เต็มไปด้วยบาดคม หล่อนกรีดร้องด้วยเสียงแสบแก้วหู ปะหนึ่งจะถูกประหารเสียให้ตายตั้งแต่ตรงนั้น เธอดิ้นทุรนทุราย แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ เท่าไหร่ เชือกหมอกบ้านั่นก็ดูจะยิ่งบีบรัดหล่อนแน่นมากขึ้นทุกที เธอพยายามอยู่สักพักแล้วก็แน่นิ่งไปพร้อมกับสติที่เลือนลาง
ใช่...ต้องอย่างนี้สิ...ไม่ต้องฝืนหรอก...ไร้ประโยชน์เปล่าๆ เจ้าก็มีแต่จะศูนย์พลังอันกะจ้อยร่อยของเจ้าเสียแค่นั้น...มอบมันให้ข้าเถอะ...ฮ่าๆๆ 
เสียงหัวเราะแหบแห้งดังสะท้านอย่างขนลุก ทิมโบนี่ตะลึงงันในภาพที่เห็น เขาไม่รู้จะอธิบายกับตัวเอง ถึงสิ่งที่เขากำลังพบเจอได้อย่างไร  เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ตายังคงเบิกกว้างจ้องมองเหตุการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า ตอนนี้ภายในใจของทิมโบนี่ได้แต่สวดภาวนา...ขอให้เรื่องนี้จบลงเสียที...ขอให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน...ใช่สิ...ความฝัน...แล้วดูท่าว่าเขาจะต้องตื่นเสียที				
19 มีนาคม 2550 20:58 น.

The Heaven Fantasy ตอน กำเนิดเทพบุตร #1

เจรนัย

บทที่ 1
                                        เสียงเรียกจากสายลม

	ณ ลานตั้งแคมป์ริมทะเลสาปไวส์กริม ครอบครัววิสสันกำลังสนุกอยู่กับการพักผ่อนสุปดาห์ ธรรมดาแล้วมันเป็นเวลาไม่บ่อยครั้งนักที่โจจะมีโอกาสได้พาภรรยาและลูกชายอันเป็นที่รักของเขาไปท่องเที่ยว ณ ที่ไหนสักแห่ง การที่เขาเป็นที่ปรึกษากฎหมายให้กับบริษัทใหญ่อย่าง ทำให้เขามีงานล้นมือจนแทบจะไม่ได้กระดิกตัวไปไหน และนี้คงเป็นโอกาสเดียวในรอบปีที่เขาจะพอมอบให้กับครอบครัวของเขาได้ แต่กระนั้น ลินดาภรรยาของเขา กลับไม่เห็นด้วยกับการมาแคมป์ปิ้งครั้งนี้ เธออ้างถึงความฝันเมื่อคืนที่เธอฝันเห็นบุรุษแปลกหน้าที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาวสะอาดทั้งชุด กำลังจูงมือทิมโบนี่ ลูกชายวัยสิบเอ็ดขวบของเธอไป เธอเกรงว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่ดูจะไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ
	เสียงของลินดาดูท่าจะไม่มีผลกับโจ เขายังคงยืนยันในการเดินทางไปในครั้งนี้ ซึ่งมันทำให้เธอดูไม่สบายใจเลย เธอภาวนาตลอดทางไม่ให้เกิดเหตุอันใดขึ้น พลางจ้องมองไปที่ทิมโบนี่ที่กำลังหลับสนิทอย่างอ่อนเพลียจากการนั่งรถเดินทางมากว่าหลายไมล์ พร้อมกับพึมพำว่า แม่รักลูกนะ...ทิมโบนี่ ปะหนึ่งเหมือนรู้ลางสังหรณ์อะไรบางอย่าง...ลางสังหรณ์แห่งการพรัดพรากจากกันชั่วชีวิต
	วันนี้ช่างน่าสดใส บรรยากาศริมทะเลสาปท่ามกลางมวลหมู่แมกไม้นานาพันธุ์ เสียงสายลมพัดผ่านทิวไม้ต้นต่างๆเคล้าคลอทำนองที่แตกต่างกันในแต่ละโน็ต เหล่านกและบรรดาสัตว์ป่ากู่ก้องร้องเพลงประชันกันทั่วทั้งป่า ป่าฝนในหุบเขาไวส์กริม ใครๆต่างก็เล่าลือถึงความงามของธรรมชาติที่นี่ ซึ่งแน่นอน...หนึ่งในนั้นก็คือ ครอบครัววิสสัน โจเริ่มต้นวันหยุดพักผ่อนของเขาด้วยการตกปลา ในขณะที่ลินดาง่วนอยู่กับการทำอาหารกลางวัน โจพร้อมด้วยลูกชายของเขาทิมโบนี่ เลือกมุมหนึ่งของทะเลสาปเพื่อใช้ในการหย่อนเบ็ด เขาบรรจงติดเบ็ดเข้ากับเหยื่ออย่างเรียบร้อย โดยมีทิมโบนี่ยืนมองอยู่ข้างๆ
	ถ้าเราโชคดี วันนี้เราคงได้กินปลาทะเลสาปตัวใหญ่ๆ
	ทิมโบนี่ได้แต่พยักหน้า แต่ดูเขาไม่ค่อยจะสนุกกับมันเท่าไหร่นัก เขาจ้องมองพ่อนั่งตกปลาอยู่พักนึง ก่อนที่จะลุกเดินเข้าไปในป่า
	นี่...ทิมโบนี่ อย่าไปไหนไกลนะลูก
	เสียงแม่ของเขาร้องเตือนไล่หลัง ทิมโบนี่หันไปรับคำ ก่อนที่จะออกเดินเข้าไปในป่า
	ครับแม่...เดี๋ยวมาครับ
----------------------------------------------
	 ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านั้นเหลือไม่มาก  ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านี้จะหยุดนิ่ง
	เสียงสตรีมีปีกสวมชุดขาว กล่าวคำนี้แก่เขา ในฝันคืนหนึ่งก่อนการมาแคมป์ปิ้ง มันแปลกมากที่เขาสามารถจดจำมันได้ทุกคำ แล้วยังจำได้ถึงเหตุการณ์ในฝันทั้งหมด...
	ในความมืด มีแสงสว่างลอยลงมาจากท้องฟ้า สิ่งนั้นลอยล่องลงมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ แล้วโดยรอบบริเวณนั้นก็สว่างเป็นสีนวลขึ้นมาถนัดตา แต่มันกลับว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งต่างๆสิ้น สิ่งนั้นเปร่งแสงเจิดจ้า ก่อนที่จะลดลงอย่างช้าๆ แล้วสิ่งที่ปรากฏให้เห็นคือ สตรีนางหนึ่งผู้ซึ่งมีผมยาวลากพื้น สวมมงกุฎที่ประดับด้วยเพชรมณีมากมาย มีปีกขาวดั่งปีกหงส์ ซึ่งคงจะเป็นหงส์ยักษ์เป็นแน่ ที่จะสามารถมีปีกได้สวยงามและกว้างยาวเท่าปีกของเธอ หล่อนสวมชุดขาวที่ท่าทางดูจะเป็นงานถักอย่างปราณีต และถือคฑาปีกนกสีทองอร่ามทั้งอัน และสิ่งที่ทำให้ทิมโบนี่คิดว่า เธอต้องเป็นนางฟ้า นั่นคือ เธอมีวงแหวนสีทองอยู่บนหัว แล้วสวมรองเท้าจงอยมีปีกที่มีสีทองเช่นกัน เธอมองมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มละไมอันแสนอบอุ่น ก่อนจะเอ่ยวาจาแก่เขา...
 ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านั้นเหลือไม่มา  ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านี้จะหยุดนิ่ง
	เมื่อกล่าวจบ เธอก็คุกเข่าตรงหน้า พลางเอื้อมมือลูบไล้บนใบหน้าของเขา แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลงพร้อมกับการตื่นขึ้นในเช้าวันนั้นของเขาพอดี 
	เขายังคงไม่เข้าใจความหมายของมันนักแต่นึกถึงทีไร ก็พาให้เขารู้สึกเหมือนกับต้องเสียอะไรไปสักอย่าง 
..........................................................

	ช่วงหน้านี้ของทะเลสาปไวส์กริมค่อนข้างที่จะเงียบสงบไม่ครึกครื้นเหมือนช่วงหน้าร้อนที่เป็นฤดูท่องเที่ยว นอกจากครอบครัวของทิมโบนี่แล้ว ก็มีเพียง สองสามครอบครัวเท่านั้นที่มาพักผ่อนกัน เขาเดินบุกป่าเลาะเข้าไปตามแนวหุบเขาที่อยู่ใกล้ๆที่พัก ก่อนที่จะปีนป่ายขึ้นไปยืนบนเนินเขาเตี้ยๆ จ้องมองลงมาที่ทะเลสาป มันช่างดูสวยงามเหลือเกิน 
	สวยจัง ก่อนพระอาทิตย์ตกน่าจะถ่ายภาพเก็บไว้นะ
	เขาคิด ก่อนที่จะกระดจนกลับลงไปยังที่พัก คว้ากล้องถ่ายรูปที่คุณป้าแกรมม่าซื้อให้ตอนงานวันเกิดที่พึ่งผ่านไม่ถึงเดือน วิ่งตรงกับขึ้นไปยัง ณ จุดนั้น จนเกือบจะชนโจผู้เป็นพ่อที่ยังคงนั่งตกปลาอย่างไร้วี่แววที่ได้ซักตัว
	เอ้า...ระวังหน่อยสิ...ไอ้ลูกชาย
	ทิมโบนี่...ระวังตัวนะลูกรัก
	ครับ...แม่
	ทิมโบนี่รับคำ ก็ที่จะรีบวิ่งขึ้นเนินไป แต่ทำไมกันนะ หัวใจของลินดาเต้นถี่ เธอรู้สึกเหมือนกันว่า นี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เจอเขาทั้งยังมีชีวิต...
........................................................................

	ทิมโบนี่ถ่ายภาพไปกี่ภาพแล้วเรามิอาจรู้ได้ จนเวลาล่วงมาใกล้พลบค่ำ แสงอาทิตย์เริ่มถอแสงจากสีเหลืองอร่ามกลายมาเป็นสีแดงส้ม ดูทีท่าว่าเขาควรจะต้องกลับที่พักซักที เสียงเรียกของโจและลินดา พ่อและแม่ของเขาดังมาจากด้านล่างเป้นทำนองบอกให้เขารีบลงมายังที่พักได้แล้ว แต่ก่อนที่เขาจะลงไปนั้น...
	วิ้ว....ช่วยด้วย....วิ้ว....ช่วยด้วย
	มีสิ่งหนึ่งพยายามขอความช่วยเหลือจากเขาผ่านสายลมที่โหมพัดมาอย่างแรง มันมาจากอีกด้านหนึ่งของทะเลสาป ทิมโบนี่จำได้ว่าด้านนั้นเป็นเขตหวงห้ามที่ทางเจ้าหน้าที่บอก มันเป็นเขตที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด พืชพันธุ์ทั้งที่พบเห็นและไม่เคยพบเห็นอีกกว่าหลายร้อยพรรณ มีสิ่งมหัศจรรย์จากธรรมชาติมากมาย แต่มันจะเหมาะไปเที่ยวชมไหม ถ้ารู้ว่า นอกจากว่ามี 3 อย่างนี้แล้ว ก็มีความน่ากลัวที่หาค่าไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ นั่นคือ ความตาย ไม่ว่าจากสิ่งใด สัตว์ดุร้ายหรือพืชพรรณที่อันตราย เคยมีข่าวว่า นายพรานท้องถิ่นคนหนึ่ง แอบลักลอบเข้าไปล่าสัตว์ในเขตหวงห้ามนี้ ผลสรุปก็คือสภาพร่างอันยับเยินไปด้วยรอยกงเล็บตะปบของเขาที่พบบนต้นไม้ห่างออกไปสามไมล์ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องที่ว่า เด็กชายและเด็กหญิงเดินหลงเข้าไปในป่า เผอิญไปโดนหนามต้นไม้มีพิษเข้า จนสุดท้ายก็สิ้นชีวิตลงตรงหน้าป้ายบอกเขตหวงห้ามนั้นเอง ทิมโบนี่คิดถึงเรื่องพวกนี้จนตัวเองสร้างจินตนาการเป็นตุเป็นตะ โดยมีตัวเขาเองนี่ล่ะ ที่เป็นตัวเอก 
                             ปล.ข่าวพาดหัว(ในจินตนาการของทิมโบนี่)  
                            เด็กน้อยทิมโบนี่โดนเสือตะปบดับอนาถ  
    	       เด็กชายโชคร้ายโดนพิษตายทรมาน
   	       เด็กหลงทางหายสาบสูญ 
จากจินตนาการอันน่าหวาดหวั่น ความกลัวของทิมโบนี่พรั่งพรู เขารีบหันกลับไปทางทะเลสาบ และรีบวิ่งกลับไปยังที่พัก แต่ทว่า... แล้วเหตุการณ์อันแสนแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น...
 เขาวิ่งลงไปเร็วกว่าตอนแรกที่ขึ้นมาพอควร แต่ทำไมไม่รู้ ระยะเพียงไม่กี่อึดใจทำไมมันถึงไกลนัก ราวกับว่าเขากำลังวิ่งอยู่กับที่ ดูเหมือนว่าเวลาและสรรพสิ่งรอบตัวเขามันหยุดนิ่ง เขาสังเกตเห็นฝูงนกที่กำลังบินหยุดกลางอากาศ คันเบ็ดของพ่อที่กำลังขึงตึงเพราะปลาตัวใหญ่ ดูแข็งเป็นหินไม่ขยับเขยือนเลยแม้แต่น้อย และเขาก็เห็นแม่ ที่กำลังร้องเรียกเขายืนนิ่งราวกับหุ่นขี้ผึ้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทิมโบนี่ที่ยังคงวิ่งอยู่เต็มไปด้วยความฉงนและงงงวยกับเหตุการณ์ประหลาดที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา เขาวิ่ง วิ่ง วิ่ง และก็วิ่ง แต่ก็ดูไม่มีทีท่าว่าระยะทางจะลดลงเลย เสียงขอความช่วยเหลือยังคงแว่วมาตามสายลมผ่านหูเขาอยู่ไม่ขาด นี่เขาเป็นอะไรไป มันเกิดอะไรขึ้น และก่อนที่เขาจะจมปักอยู่ในมนต์ตราแปลกประหลาดนั่นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็มืดลงอีกครั้ง...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจรนัย
Lovings  เจรนัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจรนัย
Lovings  เจรนัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจรนัย
Lovings  เจรนัย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเจรนัย