The Heaven Fantasy ตอน กำเนิดเทพบุตร #2

เจรนัย

บทที่ 2
                                            ช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง
 ความมืด...แสงสว่าง...สตรีชุดขาวมีปีก...มีวงแหวง...สวมมงกุฎ...คทารองเท้าจงอยมีปีก...คำพูด...การคุกเข่า...การสัมผัส 
ทิมโบนี่ตื่นขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด เขาพบตัวเองยังอยู่ ณ ที่เดิมที่เขายืนถ่ายภาพ นี่เขาเผลอหลับไปเมื่อไหร่กันนะ แล้วยังความฝันเดิมๆอีก เขาจำได้ว่ากำลังวิ่งลงไปยังที่พัก แต่แล้วทำไมเขายังคงอยู่ที่นี่   ทิมโบนี่ พยายามยันตัวลุกขึ้นจากพื้น เบิกตามองไปรอบๆอย่างช้าๆ ไม่ปรากฏสิ่งใดเลย ทุกอย่างมืดสนิท ไม่มีแม้แต่แสงไฟดวงเล็กๆ...ดวงเล็กๆที่มาจากพวกที่ตั้งแคมป์ ใช่!...แคมป์...แคมป์ปิ้ง 
ทิมโบนี่ลุกพรวดยืนขึ้นแล้วรีบมองไปยังที่ตั้งแคมป์ ไม่มี..ไม่มีเลย...ไม่มีแคมป์...ไม่มีแม้แต่เงาคน...ไม่มีแม้กระทั่งแสงไฟ ที่แห่งนั้นที่เคยมีทุกอย่าง ตอนนี้ไม่มีอะไรอีกต่อไปแล้ว ปะหนึ่งเหมือนว่ามันไม่ เคยมีมนุษย์ผู้ใดเคยย่างกรายเขามาที่นี่มาก่อน เขาตกใจ ขาสั่นและอ่อนแรง จนต้องทรุดตัวลงไปกองกับพื้นทำอะไรไม่ถูก สิ่งบ้าบออะไรกำลังเกิดขึ้นกับเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ที่นี่ใช่อุทยานแห่งชาติทะเลสาบไวส์กริมแน่เหรอ เขาพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แล้วจึงรีบวิ่งลงไปยังที่ตั้งแคมป์นั้น แต่ไม่พบสิ่งใดเลยยกเว้นแต่ลานโล่งๆที่ตอนนี้เต็มไปด้วยวัชพืชมากมายจนแทบหาสภาพพื้นดินเดิมที่เขาเคยเห็นไม่ได้ เด็กหนุ่มวิ่งไปทางซ้ายทีทางขวาที วิ่งวนอยู่ตรงนั้นสองสามรอบ ก่อนที่จะทรุดตัวลงตรงกลางลานด้วยความเหนื่อยอ่อน เขาพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา แต่มันก็ได้ไหลออกมาเสียแล้วตั้งแต่ที่เขาลงมายังที่นี่ ตอนนี้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ขณะที่น้ำตาอาบแก้มนี้ก็คือ...ตะโกน...ตะโกนออกไปอย่างสุดเสียง...
 พ่อ...แม่...อยู่ไหน...ช่วยผมด้วย 
........................................................................
 โรงพยาบาลกริมทาวส์เหรอครับ...เรามีคนบาดเจ็บอาการโคม่าครับ...ครับๆ...เป็นเด็กผู้ชายพลัดตกจากเนินเขาครับ...ครับๆ...กำลังพยายามช่วยกันปฐมพยาบาลอยู่...ช่วยเตรียมเครื่องมือฉุกเฉิกกับสถานที่ไว้ให้ด้วยครับ...อีกประมาณ ชั่วโมงนึงเ ราจะไปถึง 
เสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้น ขณะอาสาช่วยพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล โจกำลังขับรถด้วยความเร่งรีบอย่างที่สุดในชีวิต โดยมีชายพลเมืองดีนั่งอยู่ข้างๆ พยายามติดต่อกับโรงพยาบาล ลินดากับนั่งข้างเด็กหนุ่มตัวสะบักสะบอนที่กำลังนอนอยู่อย่างไม่มีสติ น้ำตาของเธอนองหน้าไหลอาบแก้ม จนแทบกลั่นออกมาเป็นเลือด
ทิมโบนี่...ทิมโบนี่ลูกแม่...ฟื้นสิลูก...ฟื้นสิ
ใจเย็นก่อนลินดา...ทิมโบนี่ต้องไม่เป็นอะไร
โจพลางปลอบภรรยาของเขา แต่เสียงนั่นกับสั่นเทานัก สิ่งที่เขาเห็นก่อนที่ทิมโบนี่ลูกชายของเขาจะมาเป็นเช่นนี้ ก็คือ ร่างของลูกชายที่ลื่นถลาตกลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง โดยล่วงหล่นทับกับต้นไม้ จนทำให้กิ่งไม้หักไปหลายสิบกิ่ง หล่นกระแทกกับเนินหินอีกกว่าหลายสิบครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงดัง ตุ๊บ พร้อมกับภาพลูกชายที่แน่นิ่งไปตรงพื้นล่างเบื้องหน้า
เวลานี้ฝนกำลังตกหนักและสำหรับที่นี่ก็ดูท่าว่าจะหนักกว่าทุกวันที่ผ่านมา มันทำให้การเดินทางอย่างเร่งด่วนไปโรงพยาบาลของครอบครัววิสสันเป็นอันต้องล้าช้าและทุลักทุเล รถวิ่งผ่านพื้นที่เป็นถนนดินธรรมดา ซึ่งบัดนี้กลับกลายเป็นโคลนเลนไปได้ด้วยความยากลำบาก โจกับเพื่อนพลเมืองดีจำต้องออกมาเข็นรถอยู่เป็นระยะ และกว่าพวกเขาจะถึงโรงพยาบาลกริมก็ผ่านไปเกือบจะสองชั่วโมงเต็ม 
โจและลินดาพยายามนำร่างไร้สติของทิมโบนี่มาที่ห้องฉุกเฉิน ขณะที่เพื่อนของพวกเขาไปติดต่อที่เคาส์เตอร์รับเรื่องที่อยู่ด้านหน้า ประตูห้องฉุกเฉิกเปิดอ้าออก มีบุรุษสองคนวิ่งออกมาพร้อมกับเตียงฉุกเฉินที่ดูเหมือนเบาะนุ่มๆวางอยู่บนโครงเหล็กสีเงิน พวกเขาใส่ชุดสีขาว คาดผ้าปิดปาก และสวมถุงมือ เดินเขามาแบกทิมโบนี่จากมือโจและลินดา ก่อนจะนำวางลงบนเตียงฉุกเฉิน แล้วเร่งเข็นเอาไปในห้องที่มีหมอและพยาบาล สามสี่คนค่อยอยู่ด้วยชุดสีเขียวโดยไว พวกเขาวิ่งตามสองคนนี้เข้าไปในห้อง ก็ที่จะถูกไล่ออกมาด้วยพยาบาลชุดสีเขียว ที่คาดผ้าปิดปากและใส่ถุงมือ ซึ่งดูท่าว่าจะยาวกว่าของชายที่เข็นเตียงเข้าไป
เข้าไปไม่ได้ค่ะ...กรุณารออยู่ด้านนอกนะคะ...เราจะช่วยเหลืออย่างเต็มที
และแล้วประตูห้องนั้นก็ปิดลง พร้อมกับแสงสว่างที่ป้ายด้านบนหน้าห้องที่สว่างวาบ เห็นเป็นคำว่า ฉุกเฉินตัวสีแดงอย่างชัดเจน
........................................................................
หลังที่เสียน้ำตาร้องไห้ไปกว่าชั่วโมง ทิมโบนี่ก็รู้ว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับการกระทำเช่นนั้น เขานั่งทำใจนานหลายนาทีก่อนที่พยุงตัวลุกขึ้น พยายามมองไปรอบๆอีกครั้ง โดยหวังว่าจะพบอะไรพอจะให้คำตอบของเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขาได้ ไม่นานนักหูของเขาก็สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่าง...
วิ้ว....ช่วยด้วย....วิ้ว....ช่วยด้วย เสียงนี้เองแล้ว เสียงนี้ดังผ่านหูเขาอีกครั้ง โดยท่วงทำนองที่ดังกว่าเดิม มันดังจากเขตหวงห้ามแห่งนั้นเอง เสียงนั้นคือเสียงที่เขาคัดค้านที่จะตามหาในครั้งแรก แต่ตอนนี้เขาคงต้องเริ่มต้นตามหามัน โดยหวังว่ามันจะเป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ที่จะให้คำตอบอันพิศวงงงงวยที่กำลังเกิดขึ้นกับเขา
จากลานโล่งๆที่ทิมโบนี่ยืนอยู่ไปยังเขตหวงห้ามแห่งทะเลสาบไวส์กริม จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร แต่เหมือนกับว่าเขาเดินมาถึงได้ในพริบตา ทิมโบนี่เหลือบมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือของเขา ...
 18.00 น. น่าแปลก เขามองขึ้นไปบนฟ้าที่ตอนนี้มืดสนิท แต่ยังคงสว่างนวลด้วยแสงจันทร์สลัว
 หกโมงเย็นเองเหรอ คงไม่ใช่มั้ง บ้าจริง ดูท่านาฬิกาคงจะเสียแล้ว  ทิมโบนี่สบถขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง ก่อนที่จะก้าวเดินค้นหาต้นตอของเสียงต่อไป
เขตหวงห้าม
ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติทะเลสาบไวส์กริม
เข้าได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ชำนาญการของอุทยานเท่านั้น
	ป้ายผุๆ ขนาดใหญ่ เขียนข้อความไว้เช่นนี้ด้วยสีแดงสด ปักไว้ด้านหน้าของเขตหวงห้ามแห่งทะเลสาบไวส์กริม ที่ขวางกั้นด้วยกำแพงขดลวดหนามหนาๆ  มันเป็นป้ายไม้ผุๆเรียบๆ ที่ไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเพิ่มเติม นอกจากสีแดงสดอย่างกับเลือดนกที่หยดไหลเปื้อนลงมาเป็นสายยาวเนื่องจากการทาสีอย่างลวกๆ คราบราและมอสสีเขียวสลับขาวและดำกระจายอยู่ให้เห็นทั่วทั้งแผ่นไม้
	เขาก้าวข้ามลวดหนามเหล่านั้นด้วยความยากลำบาก รอยถลอกเลือดไหลซิบๆที่เกิดจากการขูดกับลวดปรากฎให้เห็นทั่วร่างของทิมโบนี แล้วหลังจากข้ามพ้นห่วงหนามนั้นมาได้ ความมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ก็ทำให้เขาเริ่มกลัวอีกครั้ง เบื้องหน้าเขาคือเขตป่าหวงห้ามในยามวิกาล ซึ่งแม้ขนาดเวลากลางวันก็ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาเช่นนี้ ข่าวคราวอันเป็นที่โจษจันของสถานที่แหล่งนี้ทำให้ทิมโบนี่ วิสสัน เริ่มก้าวขาไม่ออก เขาพยายามเพ็งสายตามองเข้าไปข้างใน แต่ก็เห็นเพียงความมืดที่ดูจะมืดมิดลงไปทุกที
	เฮ้...มีใครอยู่ไหม เขาตะโกนก้องเข้าไป... แต่ไม่มีเสียงอันใดเล็งลอดออกมาเลย ทิมโบนี่เดินแหวกพงหญ้าและสายเถาวัณย์มากมายที่ระเกะระกะตลอดทางเดินดินที่ถูกถางอย่างหยาบๆ 
	ฮู๊กๆ...ฮู๊กๆ เสียงนกฮูกตัวใหญ่ส่งเสียงกัมปนาท ก่อนที่จะเบิกตาสีเหลืองดวงใหญ่ และโผเข้าใส่เขาทันที มันบินเฉี่ยวหัวเขาไปนิดเดียว แต่แค่นั้นก็ทำให้เขาถึงกับเซล้มลงไปบนพื้น
	ไอ้นกฮูกบ้า...เล่นเอาตกอกตกใจหมด เขาพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ก็ต้องประหลาดใจกับบางสิ่งบางอย่างที่มือของเขาสัมผัสได้...
ลูกแก้ว...ลูกแก้วใสสีทองที่เปร่งแสงสีเหลืองทองอ่อนๆออกมาจนดูเหมือนเป็นรัศมีรอบลูกแก้วนั่น
มันคืออะไรนะ...สวยจังเลย ทิมโบนี่พูด เขาหยิบมันพลิกไปพลิกมาอยู่ สองสามที ก่อนที่จะตัดสินใจใส่มันไว้ในกระเป๋ากางเกง
คงมีใครสักคนที่ทำตกไว้ เขาคาดคะเนความเป็นไปได้ ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินต่อไป 
-----------------------------------------------------------------------------------
เวลาล่วงเลยมานาน แม้จะไม่มีนาฬิกาบอกเวลา แต่ความรู้สึกของทิมโบนี่ก็บอกได้เองว่า เขาเดินทางเข้ามานานพอดู เสียงนั่นยังคงดังอยู่แล้วดูท่าจะดังมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกกับเขาได้ว่าใกล้จะถึงต้นตอของเสียงนั่นแล้ว เขานั่งพักลงที่โขกหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ตอนนี้สายตาของเขาเริ่มที่จะชินกับความมืด แต่ก็ยังมองได้เป็นแค่เงาตะขุ่มๆ แยกไม่ออกหรอกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ตอนนี้ความกลัวของเขาได้จางหายไปแล้วคงเหลือก็แต่เพียงความหวาดหวั่นที่เกิดจากสถานที่ที่ดูแปลกตา เขาอยากคิดเสียว่าสิ่งที่กำลังเกิดกับเขานี่คือความฝันแล้วรอวันที่เมื่อไหร่เขาจะตื่นจากฝันร้ายนี่เสียที
ออกเดินทางต่อดีกว่า...คงใกล้แล้วล่ะ  ทิมโบนี่ดันตัวลุกขึ้น แล้วพยายามคลำหาทางเดินอีกครั้ง ตามเสียงร้องของสายลมนั่นต่อไป โดยไม่ทันสังเกตว่าลูกแก้วในกระเป๋ากางเกงของเขาตอนนี้ส่องแสงสว่างกว่าตอนที่เขาเจอครั้งแรกเสียอีก
ช่วงเวลาอันยาวนาน ไม่ช้าเขาก็มาถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่มีเถาวัลย์พันระโยงรยางค์ไปทั่วทั้งต้น เขามองสูงขึ้นไปบนต้นไม้นั่น ด้วยสายตาที่ทึ่งในความใหญ่โตของมัน เงาดำที่ทาบทับทั่วต้นทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
 ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านั้นเหลือไม่มา  ทิมโบนี่...ทิมโบนี่...เวลาเจ้านี้จะหยุดนิ่ง
อ่ะ...เสียงนั่นอีกแล้ว มันดังก้องขึ้นในหูของเขา จนเขาต้องทรุดตัวลงด้วยความเจ็บแสบที่แก้วหู นี่มันอะไรกัน และเสียงนั่นมันเสียงใครกันแน่...
เมื่อตั้งสติได้ ทิมโบนี่ลุกขึ้นยืน และพยายามมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องมาสะดุดกับแสงสว่างเล็กๆเป็นบริเวณกว้างที่อยู่ห่างเขาไปไม่เท่าไหร่ ทั้งๆที่เมื่อกี้ที่ตอนนั้นยังคงเป็นความมืดอยู่เลย 
เขาเดินย่องเข้าไปอย่างช้าๆ เสียงเรียกขอความช่วยเหลือนั้นน่าจะมาจากตรงนี้แน่ เสียงนั่นชัดเจนจนแทบจะแยกแยะผู้พูดได้ว่า เป็นหญิงหรือชาย หนุ่มหรือว่าแก่ 
น่าจะเป็นเสียงเด็กผู้หญิงนะ... เขาคาดคะเน พยายามเดินย่องเข้าไปใกล้อย่างเงียบเชียบที่สุด เพราะตอนนี้เสียงที่เขาได้ยินไม่ใช่เฉพาะเสียงร้องขอความช่วยเหลือนี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังคงมีเสียง...เสียงแหบแก่ๆที่แทบจะฟังไม่ได้ศัพท์...เสียงที่ทิมโบนี่คิดว่าน่าขนลุกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาตลอดชีวิต
โอะโอ...แม่หนูท่าทางเจ้าจะไม่เข้าใจฐานะของเจ้าตอนนี้ซะเท่าไหร่เลยนะ เสียงแหบแก่นั่นดังขึ้นชัดเจน เมื่อทิมโบนี่เข้ามาใกล้ที่แห่งนั้น หลังม่านหญ้าสูงที่กั้นระหว่างเขากับพื้นที่สว่างนั่น เขาแหวกกองหญ้าออกช้าๆ และมองดูมันอย่างใคร่ครวญ... 
มีเด็กผู้หญิงใส่ชุดขาวเนื้อตัวสะบักสะบอมคนหนึ่งทรุดตัวนั่งหันหลังอยู่ด้านหน้าเขา เธอเหม่อมองไปเบื้องหน้าด้วยร่างกายที่สั่นเทา หล่อนมองไปยังสิ่งหนึ่งที่คล้ายมนุษย์แต่ก็น่าจะเป็นมนุษย์ที่แปลกประหลาดที่สุด มันคลุมตัวเองด้วยผ้าสีดำ และมันดูผอมและสูงกว่าเขามาก มันกำลังมองมาที่หล่อน ทิมโบนี่เห็นส่วนที่เป็นใบหน้าของสิ่งนั้นมันไม่ชัด 
 เจ้าปิศาจร้าย...ปล่อยนะ...ช่วยด้วยๆ
วิญญาณหลงทางแห่งจิตใจอย่างเธอ มันก็อย่างนี้ล่ะนะ...ต่อต้าน...หวาดกลัว...สิ้นหวัง...ข้าเจอแบบนี้มาเยอะ...ฮ่าๆๆๆ...แล้วทุกดวงก็ตอบรับข้า...ตอบรับในความเป็นข้า...เพราะข้านี่ล่ะ...ที่สามารถมอบความสมปรารถนาให้แก่พวกมันได้...ใช่...รวมถึงเจ้าด้วยแม่หนู...เอาล่ะ...อย่าต่อต้านอีกเลย...สิ่งใดที่เจ้าปรารถนา...ข้าจะดลบันดาลให้มันเป็นจริง...เชื่อข้าสิ
 ไม่เอาหรอกไอ้ปิศาจร้าย...ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ
  ให้มันสุภาพหน่อยสิ...แม่หนู...ท่าทางอย่างเจ้านี่จะใช้ไม้อ่อนด้วยคงยากซะแล้วสิ...ฮ่าๆๆๆ...
และแล้วผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นปีศาจนั่น ก็เริ่มหวีดร้องด้วยเสียงอันดังที่สุด... วี้ดๆ...แล้วทันใดนั้นกลุ่มก้อนเมฆสีดำทมิฬก็ปรากฏเหนือหัวของมัน  
ข้าแต่...เจ้าแห่งความหายนะที่สถิตอยู่บนโลก...ข้า...ลาวาติโย...บริวารผู้ซื่อสัตย์ของท่าน...ขอใช้อำนาจอันยิ่งใหญ่และหาที่เปรียบมิได้ของท่าน...เพื่อปิดปากวิญญาณตัวดีที่ไม่มีแม้แต่สัมมาคารวะดวงนี้ด้วยเถิด ข้าแต่ซารัสผู้เป็นที่รักของข้า 
แล้วในทันทีทันใด เมฆทมิฬนั่น ก็พุ่งเข้าให้เด็กผู้หญิง พันผูกร่างหล่อนจนรัดแน่น เฉกเช่นเส้นเชือกที่เต็มไปด้วยบาดคม หล่อนกรีดร้องด้วยเสียงแสบแก้วหู ปะหนึ่งจะถูกประหารเสียให้ตายตั้งแต่ตรงนั้น เธอดิ้นทุรนทุราย แต่ยิ่งดิ้นเท่าไหร่ เท่าไหร่ เชือกหมอกบ้านั่นก็ดูจะยิ่งบีบรัดหล่อนแน่นมากขึ้นทุกที เธอพยายามอยู่สักพักแล้วก็แน่นิ่งไปพร้อมกับสติที่เลือนลาง
ใช่...ต้องอย่างนี้สิ...ไม่ต้องฝืนหรอก...ไร้ประโยชน์เปล่าๆ เจ้าก็มีแต่จะศูนย์พลังอันกะจ้อยร่อยของเจ้าเสียแค่นั้น...มอบมันให้ข้าเถอะ...ฮ่าๆๆ 
เสียงหัวเราะแหบแห้งดังสะท้านอย่างขนลุก ทิมโบนี่ตะลึงงันในภาพที่เห็น เขาไม่รู้จะอธิบายกับตัวเอง ถึงสิ่งที่เขากำลังพบเจอได้อย่างไร  เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ตายังคงเบิกกว้างจ้องมองเหตุการณ์แปลกประหลาดตรงหน้า ตอนนี้ภายในใจของทิมโบนี่ได้แต่สวดภาวนา...ขอให้เรื่องนี้จบลงเสียที...ขอให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน...ใช่สิ...ความฝัน...แล้วดูท่าว่าเขาจะต้องตื่นเสียที				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน