23 ธันวาคม 2555 22:33 น.

วิมานโกญจนาท บทนำ

เปลวเพลิง

บทนำ

ยามดึกสงัด  จันทร์เพ็ญดวงโตลอยเด่นสกาวอยู่บนท้องฟ้าอันมืดมิดหากแสงสีเงินยวงนวลตานั้นโลมไล้ไปทั่วอาณาบริเวณผืนป่ารกชัฏและพื้นที่รกร้างว่างเปล่าเบื้องล่าง ช่วยขับไล่ความมืดให้สามารถมองเห็นได้อย่างสลัวราง แมลงราตรีส่งเสียงร้องเพลงระงมราวกำลังปลอบขวัญค่ำคืนที่อ้างว้างหงอยเหงา  เงาดำจากแมกไม้มองดูคล้ายปีศาจร้ายกระหายเลือดที่กำลังซุ่มรอคอยเหยื่อที่อาจเดินหลงเข้ามาใกล้  สถานที่อันทุรกันดารและน่ากลัวแห่งนี้  ถูกขนานนามว่า  ป่าสมิงสาป  ป่าโบราณแห่งจังหวัดพนัสนคร  ชายแดนอันห่างไกลความเจริญที่นักท่องเที่ยวน้อยคนนักอยากจะมาเยือน  
	ถัดออกไปจากหมู่แมกไม้  สิ่งหนึ่งตั้งเด่นตระหง่านท้าทายความมืดมิดและความโดดเดี่ยวอยู่อย่างเห็นได้ชัด  มันเหมือนปราสาท  ไม่ใช่สิ  มันคือปราสาทอย่างแน่นอน  ปราสาทโบราณที่ทำด้วยหินสีดำสนิท  ใหญ่โตมโหฬารจนไม่น่าเชื่อว่าจะมาพบเห็นในสถานที่ทุรกันดารและห่างไกลเช่นนี้ได้  ยิ่งยามเมื่อจันทร์เพ็ญสาดแสงต้องตัวปราสาทอย่างในคืนนี้  กลับยิ่งทำให้มันเปี่ยมไปด้วยความลึกลับและมนตร์ขลังประหลาดอันชวนให้ขนหัวลุกราวกับกำลังมองดูปราสาทของผีดูดเลือดก็ไม่ปาน  
แสงเงินยวงที่อาบไล้เผยให้เห็นเงาร่างสองร่างกำลังก้าวเดินตามกันไปตามทางเดินจากด้านข้างปราสาทสู่บริเวณชายป่าด้านหลังตัวปราสาท  
	“เราจะไปไหนกันคะ?” ร่างที่เดินตามหลังถามอย่างมีแววหวาดหวั่น
	หากร่างที่เดินนำหน้านั้นมิได้ตอบในทันที  เพียงคลี่รอยยิ้มอันมีเลศนัยแปลกประหลาดนิดหนึ่ง  ก่อนตอบออกไปด้วยเสียงอันแผ่วเบา  
	“ไปหานายท่านไงคะ  ท่านให้ดิฉันไปเรียกคุณมาพบ”
	“กลางดึกอย่างนี้นี่นะคะ  ดิฉันเกรงว่ามันจะไม่เหมาะ”
	อีกครั้งที่รอยยิ้มประหลาดนั้นคลี่ออกจากริมฝีปากบางของผู้เดินนำหน้า
	“เหมาะสิคะ  เวลานี้เหมาะมากที่สุด”  น้ำเสียงนั้นเจือด้วยแววบางอย่างที่ผู้ฟังรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ
	“อ้อ...แล้วทำไมต้องตามไปพบที่ป่าด้านหลังปราสาทด้วยล่ะค่ะ?”
	“พอดีนายท่านกำลังเตรียมการณ์ทำอะไรบางอย่างที่สำคัญมากอยู่น่ะสิคะ  และมันจำเป็นที่จะต้องมีคุณอยู่ด้วยอย่างยิ่ง  คุณไม่ต้องกลัวไปหรอก  อีกเดี๋ยวก็จะได้เห็นแล้วว่านายท่านจะทำอะไร”  ในประโยคสุดท้ายนั้นสีหน้าของผู้พูดมีแววปรีดาปราโมทย์  สมเพชเวทนา  และเสียใจระคนเคล้ากัน  หากแต่ผู้ที่เดินตามหลังมิได้สังเกตเห็นมันเลยแม้แต่น้อย
	“อะ..เอ่อ..ระ...เหรอ...คะ”  เหมือนอับจนในคำพูด  แม้จะมีสังหรณ์ผุดพรายขึ้นในความรู้สึก  แต่ร่างผู้ที่เดินตามเบื้องหลังก็ยังคงสาวเท้าก้าวตามไปอย่างไม่หยุดหย่อน  เพราะคิดว่านายท่านคงต้องการพบเธอด้วยเหตุจำเป็นเร่งด่วนบางอย่างแน่นอน  อีกทั้งเมื่อมีเพื่อนเดินมาด้วยเช่นนี้  หากเกิดอันตรายขึ้นก็คงพอร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆภายในปราสาทได้
	“คุณเชื่อเรื่องตำนานปรัมปรามั้ยคะ?” เป็นครั้งแรกที่ร่างผู้ที่เดินนำหน้าเอ่ยถามขึ้นก่อน
	“ตำนานก็เป็นแค่ตำนานนั่นแหละค่ะ  มันก็เหมือนนิทานที่เกิดจากจินตนาการเท่านั้น”
	“คุณคิดอย่างนั้นเหรอคะ?  แต่ดิฉันเชื่อว่าตำนานปรัมปราบางเรื่องก็มีจริง”
	ด้วยความฉงนสนเท่ห์ในคำพูดเหล่านั้น  ร่างที่เดินตามหลังจึงได้แต่ปิดปากเงียบและตั้งหน้าตั้งตาเดินตามเพียงอย่างเดียว  จวบกระทั่งร่างทั้งสองเดินเลี้ยวตรงหัวมุมตึกที่ทอดไปสู่บริเวณชายป่าด้านหลังปราสาทและถูกเงามืด ณ ที่แห่งนั้นกลืนกินไปจนหมดสิ้น  ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้สักนิดเลยว่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนได้มีสิ่งมีชีวิตเดินผ่านเส้นทางแห่งนี้
	จันทร์เพ็ญยังคงลอยเด่นอยู่กลางผืนฟ้าสาดแสงสีเงินยวงลงมามิสุดสิ้น  สายลมดึกพัดผ่านยอดไม้จนสั่นไหวโยกคลอนไปตามๆกัน  ไม่มีสิ่งใดอื่นเลยนอกจากความหนาวและน่าหวาดหวั่น  เสียงแมลงราตรีก็ยังคงร้องเพลงกล่อมไพรอย่างมิหวั่นเกรง  หากแต่คราวนี้  เสียงอะไรบางอย่างได้ลอยแทรกมากับสายลมอันหนาวเย็นนั้น  เสียงที่ทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องหยุดนิ่งราวกับเลือดในกายกลายเป็นน้ำแข็งไปในทันทีทันใด  เพราะมันคือเสียงกรีดร้องอันโหยหวนและทรมานอย่างสุดแสนของสตรี และมันดังมาจากที่นั่น...ที่ด้านหลังปราสาทหินหลังใหญ่หลังนั้น...ปราสาทโกญจนาท!				
3 พฤศจิกายน 2555 06:06 น.

สัตว์โลกน่ารัก "นกแก้วคาคาโป"

เปลวเพลิง

เพื่อนพ้องตัวแรกที่นำมาให้รู้จักกันวันนี้ได้แก่...แทน แทน แท้น...นกแก้วคาคาโป  ขอร้าบ
            หลายคนคงจะไม่คุ้นกับชื่อนี้สักเท่าไหร่  ก็ อย่างว่าละน้า...นกแก้วคาคาโปเป็นสัตว์สายพันธุ์พื้นเมืองที่มีอยู่แห่ง เดียวในโลกที่ประเทศนิวซีแลนด์เท่านั้น (เรือนนราเองก็ได้รู้จักจากสารคดีในทีวีเหมือนกัน)  เนื่องด้วยนิวซีแลนด์นั้นเป็นเกาะที่โดดเดี่ยว  ทำให้วิวัฒนาการของสัตว์บนเกาะมีรูปลักษณ์พิเศษไม่เหมือนใคร  เจ้าคาคาโปของเราก็เช่นกันครับ  กล่าวคือ  เป็นนกแก้วชนิดเดียวในโลกที่บินไม่ได้  ทั้งยังครองสถิติอีกหลายอย่าง  คือ  เป็น นกแก้วที่มีน้ำหนักมากที่สุดในโลกและเชื่อว่าเป็นนกแก้วที่อายุยืนมากที่สุด ในโลกด้วย...อีกทั้งเป็นนกแก้วชนิดเดียวในโลกที่หากินตอนกลางคืน และมีระบบการผสมพันธุ์ที่ตัวผู้จะอยู่ในอาณาเขตหรือรังของตัวเองและส่งเสียง เรียกตัวเมีย ซึ่งมีเสียงร้องคล้ายเสียงกบและจะร้องติดต่อกันนานถึง 3 เดือน วันละ 8 ชั่วโมง และเสียงร้องจะได้ยินไปไกลถึง 5 กิโลเมตร (ว้าว!)
            นก แก้วคาคาโปตัวเต็มวัยมีลำตัวเป็นสีเขียวแต้มด้วยสีน้ำตาลและเหลือง ช่วยให้สามารถพรางตัวได้ดีบนผืนป่า แต่ในวัยอ่อนสีสันจะไม่สดใส และหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับนกฮูก มีสีออกน้ำตาล นกแก้วคาคาโปปีนต้นไม้ได้เก่ง และทำโพรงอยู่ใต้ดินเหมือนกระต่าย มันจึงมีอีกชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  “นกแก้วฮูก”  ซึ่งชื่อ  “คาคาโป”  มาจากภาษาเมารี  แปลว่า  “นกแก้วกลางคืน” นั่นเอง
            ครั้งหนึ่งในอดีตนกแก้วคาคาโปถูกล่าอย่างหนักโดยชาวพื้นเมืองเมารี  และ การอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรปได้นำมาซึ่งชนิดพันธุ์ต่างถิ่น เช่น สุนัข และตัวพอสซั่ม ซึ่งเป็นสัตว์นักล่าเกือบทำให้นกแก้วคาคาโปต้องสูญพันธุ์  แต่ก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ในปัจจุบันสำนักงานอนุรักษ์ของนิวซีแลนด์ได้จัดตั้งแหล่งอนุรักษ์นกแก้วคาคาโปขึ้นบนเกาะคอดฟิชและเกาะชอล์ก  ทำให้จำนวนประชากรของนกเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น  
            เรือนนราก็หวังว่านกแก้วที่น่ารักเหล่านี้จะมีอนาคตที่สดใส  ดำรงเผ่าพันธุ์ไปอีกนาน  ขออย่าเหลือไว้เพียงชื่อเหมือนเพื่อนร่วมโลกหลายๆชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วเลยครับ...เพี้ยง!				
ไม่มีข้อความส่งถึงเปลวเพลิง