รักเพื่อน-เพื่อนรัก (ตอนรออะไรอยู่)

ราตรีน้ำแข็ง

รออะไรอยู่...!!!
	ช่วงหนึ่งฉันเคยไปเที่ยวที่นนทบุรี พอดีว่าช่วงนั้นสนิทกับเพื่อนที่อยู่ย่านบางกรวย รายนี้ชื่อ เอก เขาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดีนะคะ หน้าคมคิ้วเข้มตาโตผิวสีแทน (ระยะสุดท้ายนิดๆ) และจัดได้ว่าเป็นคนสูงหุ่นดีเลยทีเดียว อายุก็พึ่งจะยี่สิบต้นๆ แต่สัพสิ่งบนโลกไม่มีอะไรที่สมบรูณ์แบบคะดิฉันของบอก
	เอกหน้าดีก็จริงแต่ว่าเป็นนางอาย และรายนี้เขาอายในสิ่งที่ไม่ควรอาย...
	เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ที่ห้างดังย่านสีลมมีอีเวนของงานสตาร์วอลและทรานฟอร์มเมอร์ ภายในงานมีการแสดงละครเวทีสั้นๆของสตาร์วอล ซึ่งนายเอกคนนี้และเพื่อนๆของเขาเป็นทีมงานภาคให้เสียงตัวละคร ส่วนเรื่องการแสดงนั้นมีอีกทีมหนึ่งจัดการให้แล้ว
	แต่ทว่า...เจ้าพระเอกละครเวทีที่เขาหามาได้นั้น...ฉันของพูดคำนิยามสั้นๆให้กับเขาผู้นั้นได้แค่ว่า “แห้งไร้อารมณ์” คือว่าเป็นการเล่นคิวบู้ที่เรียบร้อยที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเห็นมาเลยในชีวิต ใครรู้จักกับสุดยอดภาพยนตร์เรื่องนี้ย่อมรู้ดีว่าผู้ที่ได้รับบท “เจได” นั้นมันต้องใช้ลีลาขนาดไหน แต่พี่แห้งเรายืนตรงฟังดาบ...
	“เอก สงสัยต้องเป็นเอ็งแล้ววะ เรื่องน่าดานๆแบบนี้ต้องเอ็งคนเดียวเลย” รุ่นพี่คนนึงที่สนิทกับเขากล่าวขึ้นช่วงที่ชมการแสดงรอบปฐมฤทธิ์ของนายแห้ง
	“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นแหละพี่มด” เอกกล่าวตอบด้วยสีหน้าแห่งความชั่ว ไม่ใช่นิสัยนะคะฉันหมายถึงเรื่องอะไรแบบนี้เจ้าหมอนี่จะกล้ามากๆ จัดว่าหน้าดานมือพระกาฬเลย (ยังดีนะที่หนวดพอจะทิ่มแทงขึ้นมาได้)
	ฉันเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวของเขามีเหรอที่พลาดไปชมตอนที่นายเอกเขาฝึกคิวบูของการแดงและความได้เปรียบที่เอกเป็นหนึ่งในคนภาคเสียงเขาจึงรู้ว่าตอนไหนบทอะไร ว่าแล้วนายนี้กัดการลำดาบซะ...ทำเอาพี่อาร์ม (คนรับบทเป็นดาทเวเดอร์) มันส์ได้ด้วยเลย
	เนี่ยะ...ไอ้เรื่องแบบนี้เอกกล้ามาก จบการแสงดพี่แกเล่นเดินซะทั่วงานเลยและบอกก่นนะคะว่าตัวละครเจได เป็นตัวเดียวที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก พี่เล่นเดินซะ...ฉันนี่อายแทนเพื่อนคนนี้เลยคะ
	หลังจากนั้นประมาณสามอาทิตย์เพื่อฉันคนนี้มาเที่ยวที่บ้านของฉันอยู่ย่านลาดพร้าว นานๆเพื่อนคนนี้จะมาสักครั้ง และทุกครั้งที่มากก็มักจะหนีไม่พ้นเรื่องเซ็งๆของหัวใจ ที่ต้องการคำปรึกษาจากคนที่ยังไม่มีแฟนย่างฉัน
	เป็นวันที่ท้องฟ้าดูแจ่มใสมากที่ลาดพร้าว แต่เป็นความแจ่มใส่ช่วงน่าร้อนมันเลยออกแนวทรมานนิดหน่อย นี่ถ้าไม่กลัวคนด่าว่าเป็นหมาฉันก็นั่งแลบลิ้นอยู่บ้านไปแล้ว เหอะๆ
	แต่ก็ยังนับเป็นโชคดีนะคะที่บ้านของฉันเป็นบ้านไม้สองชั้นรอบๆรายล้อมด้วยธรรมชาติ ฉันหมายถึงทุ่งหญ้ารกร้างที่อยู่หลังรั้วหลังบ้าน ทางซ้ายมือก็เป็นสวนของเสด็จแม่ ท่านมักจะชอบปลูกพืชป่าดงดิบเป็นประจำ (ก็ผักต้อนไม้ธรรมดาๆนี่แหละ แต่บรรยากาศสวนของแม่เหมือนป่าดงดิบไม่มีผิด) ทางขวามือเป็นช่องทางเดินลัดไปหลังบ้านซึ่งอยู่ติดกับรั้วบ้านของตาอ้อม ปกติไม่ค่อยจะได้สนทนากันสักเท่าไรนัก หน้าบ้านของฉันเป็นลานกว้างซึ่งเทปูนเอาไว้ซีกนึงเพื่อเป็นทางเดินเข้าออก ส่วนที่เหลือนั้นเป็นที่ของเสด็จพ่อ...ท่านชอบปลูกต้นใฝ่เดี่ยวและพืชตระกูลเฟริน
	บ้านเลยยังมีความร่มเย็นอยู่บ้าง แถววันดีคืนดีก็มีสิ่งมีชีวิตเข้ามาอาศัยอยู่ในชายคาบ้าน...ก่อนหน้านี้มีกระรอกเข้ามาทำรังอยู่บนต้นไม้หลังบ้าน คางค้าวเขามาเกาะอาศัยนอนบนต้นชมพู่ม่าเหมี่ยวยามกลางวัน วันนี้มีนกพิราบมาทำรังอยู่ที่ชายคาบ้าน สักวันฉันว่ามันต้องทะลุเป้ามีเสือเข้ามาอยู่ด้วยแน่ๆ
	นายเอกเข็นรถมอเตอร์ไซด์ของเขาเข้ามาจอดภายในบ้าน ก่อนจะเดินเข้ามาไหว้พ่อแม่ของฉันและนั่งเล่นอยู่ที่ชั้นล่าง
	พ่อแม่รู้จักอีตาคนนี้ดีเพราะมาบ่อย แถมเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมอปลายด้วยกันด้วย แรกๆพวกท่านคิดว่าเป็นแฟนกัน แต่หลังๆนี่...ก็ยังคิดว่าเป็นแฟนกันอยู่นั้นแหละ บอกเท่าไรก็ไม่เชื่อ...เวรกรรมของฉันจริงๆ
	ฉันเดินลงมาจากชั้นสองด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆ กางเกงขาสั้นเสื้อยืดสีขาวและด้วยผมที่ค่อนข้างยาวมันทำให้ร้อนดังนั้นจึงรวบมัดเอาไว้ข้างหลัง ลงมาก็เห็นนายเอกนั่งหน้าสลอนดูทีวีกับพ่อและแม่อยู่ข้างล่างนั้น
	“ดีหวาน” แกกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มที่น่าเบื่อของเขา
	“แกเป็นใครวะ...เข้ามาทำอะไร”
	“เดี๋ยวจะโดนไอ้หวาน...เอกมีเรื่องคุยด้วยหน่อยวะ” นั้นเอกหมายถึงอยากจะออกไปนั่งคุยกันที่หน้าบ้าน ซึ่งปกติทุกครั้งที่หมอนี่มาก็จะไปนั่งคุยกันที่หน้าบ้านอยู่แล้ว
	ฉันหยิบเสื่อที่เหน็บอยู่ใต้บันไดออกมาด้วยก่อนจะไปปูลงบนพื้นฝั่งที่เป็นดินหน้าบ้านเพราะว่ามันมีร่มเงาของต้นชมพู่บังแดดได้ดีกว่า ส่วนเอกเขาเดินไปเปิดตูเย็นหยิบเอาขวดน้ำเย็นและแก้วตามฉันออกมาติดๆ
	“มีอะไร อย่าบอกเรื่องสาวอีกนะเอก”
	“ก็ไม่เชิงวะ เมื่อกี้เราไปเข้าเซเว่นที่หน้าปอกซอยบ้านหวานมาวะ...โดนเลย!” เอกหมายถึงว่าเจอสาวที่โนใจนะคะ นี่เป็นศัพท์ประจำของหมอนี่
	เขายังเล่าต่อไปอีก “เอกเห็นเขามองมาด้วยนะ มองเอกไม่หยุดเลยสงสัยตงจะมีใจให้เหมือนกัน เดี๋ยวหวานไปช่วยดูให้เราหน่อยสิ”
	“นี่...จะไปจีบสาวแต่เอาผู้หญิงไปเป็นเพื่อนนี่นะ มีหวังเขาคงคิดว่าเราเป็นแฟนนะสิไม่ว่า...ถ้ามั่นใจนักทำไมไม่ไปขอเบอร์ซะเลยล่ะ” ฉันพูดขึ้นพร้อมลงบนเสื่อและหยิบแก้วน้ำขึ้นมาก่อนจะเทน้ำเย็นจากขวด
	“เออวะจริงของหวาน...แล้วจะทำไงดีว้า รอจังหวะก่อนก็แล้วกัน”
	“เอางี้ เดี๋ยวเอกขับรถออกไปหน้าปากซอยก่อนและเดี๋ยวหวานขับรถอีกคันตามออกไป และเดี๋ยวจะดูให้ OK ป่ะ” ฉันเสนอแผนขึ้นมาให้ซึ่งนายเอกก็พยักหน้าเห็นด้วยและก็ไม่รีรอ เขาลุกขึ้นตรงไปที่รถเตรียมจะขับออกไปทันที
	ฉันต้องฝืนสังขารวัยยี่สิบหกขับรถตามหมอนั้นออกไปที่หน้าปากซอยด้วยความขี้เกียจอย่างสุดซึ้ง
	...ครั้นเมื่อถึงหน้าปากซอย เอกจอดรถและเดินเข้าไปหาเป้าหมายก่อน ส่วนฉันค่อยเดินตามเข้าไปทำเป็นว่าไม่รู้จักกัน
	ที่เคาน์เตอร์ชำระเงินมีสาวพนักงานอยู่สองคน คนแรกหน้าเรียวขาวสวยหมวยเอ็กผมยาวด้วย ส่วนอีกคนรูปร่างอวบผมยาวถึงบ่าตากลมโตบนใบหน้ารูปไข่ความสูงของหล่อนก็ไม่จัดว่าเตี้ย...แต่ปัญหาก็คือไอ้เพื่อนฉันมันชอบคนไหนล่ะเนี่ยะ
	เอกแกล้งเดินดูของอยู่ที่มุมนิยตสาร เขาพยายามมองสะท้อนกระจกร้านเพื่อสังเกตดูสาวคนที่หมายปอง ส่วนฉันค่อยเดินเข้าไปที่มุมเดียวกันก่อนจะเดินผ่านข้างหลังของเขาพร้อมเอ่ยถามเบาๆ
	“คนไหน”
	“อวบๆ” เอกตอบสั้นๆแต่ได้ใจความ หมอนี่รสนิยมไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ
	จากนั้นฉันเฝ้าสังเกตดูอยู่ห่างๆ ผู้หญิงอวบคนนั้นจ้องมองเพื่อนฉันจริงๆเสียด้วย ฉันเดินเข้าไปหาเพื่อนอีกครั้งพร้อมบอกให้เขาซื้ออะไรก็ได้สักอย่างไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ นายเอกทำตามที่บอก
	เมื่อตอนที่เอกไปชำระเงินนั้นฉันสังเกตเห็นหล่อนมองหน้าเขาด้วยอาการเขินอายและยิ้มไม่หุบเลย แต่ก็ยังรักในหน้าที่ หล่อนไม่ลืมที่จะพูดว่า
	“รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ”
	เราสองคนเดินออกมาไม่พร้อมกัน เอกออกมาก่อนและฉันเดินตามออกมาที่หลัง ช่วงที่เอกเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ฉันมองเข้าไปในร้าน เห็นใบหน้าของสาวน้อยคนนั้นกำลังมองดูชายหนุ่มไม่คาดสายตา ก่อนที่ฉันจะเดินไปที่รถและขับกลับมาที่บ้าน
	การนั่งดูอาการบ้าผู้ของเพื่อนเริ่มทำลายEQในสมองของฉันทีละน้อย เอกเอาแต่พูดเพ้อหาสาวร่างอวบคนนั้นไม่หยุดปาก
	“เขาต้องชอบเอกแน่ๆเลย ทำไงดีวะหวาน เสป็กด้วยนะนั้น”
	“นี่ถ้าหวานเป็นผู้ชายนะ ขอเบอร์ตั้งแต่เมื่อกี้ไปแล้ว เขาแสดงออกตั้งขนาดนั้น”
	“คนมันเยอะ เอาไว้ก่อนก็ได้...รอโอกาสดีๆก่อน” ข้อแก้ตัวของเอกเขา
	“เออระวังเถอะ...ใช่ว่านายจะมาบ้านเราบ่อยๆ”
	เอกยังคงวางใจที่จะยังไม่บุกเข้าโจมตีขอเบอร์สาวคนนั้น ผลที่ตามมาก็คือเขามาบ้านฉันทุกอาทิตย์เลยและทุกครั้งที่มาจะต้องแวะเข้าเซเว่นที่หน้าปากซอยเป็นประจำ วันไหนที่น้องคนนั้นไม่เข้ากะในวันนั้นเอกจะออกไปหน้าปากซอยบ่อยมากเพื่อดูว่าน้องคนนั้นมารึยัง
	ผ่านไปสามอาทิตย์ พวกเขาทั้งสองคนยังคงได้คุยกันแค่ “รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยคะ” กับคำตอบของเพื่อนฉัน “ไม่ครับ” ส่วนเรื่องเบอร์ของสาวคนนั้นยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย
	“ตกลงหวานกับเอกนี่คบกันยังไง พ่อเห็นมาบ่อยจังเลย” และนี่ก็เป็นผลกระทบของฉันกับพ่อและแม่...เซ็งเป็ดเลยคะพี่น้อง T^T
	อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เอกมาที่บ้านของฉันอีกเช่นเคยตอนนั้นฉันกำลังอ่านหนังสือนิยายรักอยู่ข่างล่าง (ฮาทคอร์ = ไม่ชอบนิยายที่มันหวานๆเกินไปหรือที่พวกพระเอกโง่ๆ) เขาเดินเข้ามาในบ้านพร้อมสีหน้าคิ้วขมวดเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
	“มีอะไรหรอเอก...สาวไม่ให้เบอร์หรอ” ฉันเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นแอกเดินเข้ามาไหว้พ่อแม่
	“เปล่า...นี่ยังไม่ได้แวะเข้าไปเลย วันนี่แหละจะรวบรวมความกล้าขอเบอร์น้องเขาแล้ว” ดูน้ำเสียงของหมอนี่จะเอาจริงเสียด้วย
	“เออก็ดี เอาใจช่วย...งั้นก็รีบไปเลยสิจะรออะไรอยู่ล่ะ”
	หลังจากนั้นเอกก็หายไปประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนจะคอตกเดินกลับเข้ามาในบ้าน ทีแรกฉันคิดว่าสาวคนนั้นอาจจะบอกว่ามีแฟนอยู่แล้ว แต่เมื่อถาม เอกตอบมาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆว่า
	“ข้าเข้าไปแล้วไม่เห็นน้องเขาวะ เลยลองถามพนักงานคนอื่นดูว่าน้องเขาไปไหน...แม่งย้ายสาขาไปแล้วว่ะ โคตรเศร้าเลย”
	พนักงานที่ไม่ประจำจะต้องย้ายสาขาไปเรื่อยๆเมื่อถึงกำหนดหรือที่เรียกว่าเวียนสาขานั้นเอง และน้องคนนั้นก็ไม่ใช่พนักงานประจำเสียด้วย ซวยไปเพื่อนฉัน
	“หวาน...อย่างน้อยเอกก็รู้ว่าน้องเขาชื่อ นุช นะเว้ย...”
	“ภูมิใจตายห่าเลยละสิ ของดีๆมาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว มัวแต่รออยู่ได้ สม...”
	...นี่แหละคะ เรื่องของเรื่องก็คือความอายนั้นเอง มันเป็นป้อมปราการด่านแรกๆของความรักความชอบ เพราะส่วนมากคนที่ตกอยู่ภายใต้ของคำว่าชอบแล้วจะไม่ค่อยคิดอะไรออกเลยเวลาจะเข้าไปขอเบอร์สาวที่หมายปอง
	...จะเข้าไปบอกชอบเลย...ก็คงโดนขอหาเป็นคนเจ้าชู้แน่ๆ ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงถ้าจู่ๆมีคนมาบอกว่าชอบโดยที่เรายังไม่รู้จักคนๆนั้นเลย ก็ต้องคิดก่อนเลยว่า “เขาก็ทำแบบนี้กับสาวทุกคนนั้นแหละ”
	การเริ่มต้อนที่ดีที่สุดคงจะหนี “รอยยิ้ม” ไปเสียไม่ได้ การที่เรายิ้มให้คนที่ยังไม่รู้จัก (สาวๆ หรือจะหนุ่มๆก็ได้) มันการผูกมิติรที่ดีที่สุด จะให้ดีก็เริ่มจากการแซวอะไรเล็กๆน้อยๆแต่พองามให้ส่อไปในทางบอกว่าชอบเป็นนัยๆ
	อย่างเช่น “วันนี้ดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายรึเปล่า” มันหมายความว่าเราสังเกตดูเขามาเป็นเวลานานแล้วจนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อย แต่แนะนำว่าไม่ต้องรอให้เขาป่วยจริงๆแล้วค่อยไปทักนะคะ ทักมั่วๆไปเลยเดี๋ยวหล่อนหรือเขาก็เออออไปตามเราเอง ข้อควรระวัง...อย่างลมยิ้มนำร่องเข้าไปก่อนเด้อคะ
	ถ้าตัวอย่างแรกคนที่หมายปองได้แค่ยิ้มตอบไม่พูดอะไรกลับ นั้นก็อย่าให้ละความพยายามเสียนะคะ ทักทายหล่อนทุกครั้งที่เจอะเจอให้พอคุ้นหน้าคุ้นตาจากนั้นก็ถามชื่อและขอเบอร์ตามระเบียบ (ถึงจะแอบรู้ชื่ออยู่แล้วก็แกล้งโง่ถามๆไปเถอะคะ)
	การใช้น้ำเสียงช่วงที่ขอเบอร์มิควรใช้น้ำเสียงแบบขุนโจร...ควรใช่แบบขุนแผน คือนิ่มๆดูสุขุมและมาพร้อมรอยยิ้ม แสดงสีหน้าที่เป็นมิตรเหมือนอยากจะรู้จักเป็นเพื่อน (การเริ่มต้น) มิควรแสดงอาการ...หื่น...ตั้งแต่เริ่มเรื่องเพราะไม่มีสาวคนไหนอยากจะดูต่อ คำตอบที่ได้ก็คือ “ไม่มีเบอร์คะ” พร้อมรอยยิ้มแหยงๆ
	“เอาไปทำอะไรคะ” เป็นคำถามที่80%แล้วสาวๆมักจะถามกลับมา ถ้าสาวคนนั้นมีพื้นฐานชอบเราอยู่แล้วก็ถามตามประเพณี แต่มือน่ะจดเบอร์ให้แล้ว แต่ถ้าพื้นฐานไม่ได้คิดอะไรกับเรามากนี่สิ จงตอบคำถามนี้ดีๆ
	“เอ่อ...เอาไว้คุยเล่นครับ” ตอบแบบนี้ตายพระยาคะ หล่อนมิใช่ของเล่น
	“ขอเอาไว้เฉยๆครับ” อันนี้ก็ตายตามไอ้ข้อแรกไปติดๆ จะขอทำซากอะไรเอาไปเฉยๆ
	“...” นี่คือยิ้มอย่างเดียวไม่ตอบอะไรเลย ก็ตายอีกเช่นกัน มันดูเหมือนคนขอเป็นโรคจิต
	ตอบไปเลยอย่างมั่นใจแต่นุ่มนวล “อยากรู้จักครับ เป็นเพื่อนกันก็ได้” ดูดีมากเลย...เพราะคำว่าเพื่อนมักเป็นข้ออ้างในการทำความรู้จักแรกเริ่มที่ดีที่สุด จากนั้นก็ต้องดูกันต่อไปว่าสามารถเอาชนะใจสาวๆได้รึเปล่า นั้นเป็นด่านต่อไป
	ข้อควรระวัง...
1.	ดูก่อนว่านิ้วนางข้างซ้ายของหล่อนมีแหวนอะไรสวมอยู่รึเปล่า
2.	ถ้าข้อ 1. ตอบว่ามี อย่าจีบเลยเถอะ อาจซวยได้				
comments powered by Disqus
  • ราตรีน้ำแข็ง

    23 พฤษภาคม 2553 13:38 น. - comment id 117078

    นี่เป็นแค่บทแรก บทเริ่มต้นของความรักแบบ...
    มึนๆ ติดตามผลงานกันต่อได้ในอีกไม่ช้า...

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน