สวนของคุณยาย

กระบี่ใบไม้

ณ สวนหย่อมเล็ก ๆ ของเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีผู้คนมากมายคราคล่ำในวันหยุดสุดสัปดาห์ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุประมาณ 7  8 ขวบคนหนึ่ง กำลังนั่งกินขนมอยู่บนตักของคุณแม่ ผมเปียน้อย ๆ ของเธอแกว่งไกวไปตามจังหวะทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหว
คุณแม่ขา ทำไมสวนหย่อมแห่งนี้ถึงเรียกว่าสวนของคุณยายล่ะจ๊ะเด็กน้อยเอียงคอถาม ดวงตาคู่น้อยเป็นประกายใสแจ๋วด้วยความใคร่รู้
หนูเห็นต้นไม้ที่อยู่บนเนินนั่นมั้ยจ๊ะ นั่นแหละเคยเป็นที่อยู่ของคุณยายคุณแม่ชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพร้อมโอบกระชับร่างเล็ก ๆ นั้นไว้
เอ๋ ทำไมคุณยายต้องไปอยู่ตรงต้นไม้นั้นด้วยล่ะคะเด็กน้อยเอียงคอถาม
เรื่องนี้มันมีตำนานจ้ะ ถ้าหนูอยากรู้แม่จะเล่าให้ฟังนะจ๊ะ
 
.........................................................................................................................
		
ครั้งหนึ่งที่สวนแห่งนี้เคยกว้างใหญ่กว่านี้มาก ดอกไม้เล็ก ๆ ระบายบางสลับกับท้องทุ่งหญ้าที่เขียวขจี หมู่ดาวยังคงพราวพร่างเปล่งประกายหยอกล้อไปกับแสงจันทร์กระจ่างฟ้า เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จอมซนคนหนึ่งหนีคุณแม่ออกมาหาจับหิ่งห้อยในยามค่ำคืน 
ขณะที่คนตัวเล็กกำลังค้นหาหิ่งห้อยอยู่นั้นเอง ก็สังเกตเห็นเงาตะคุ่ม ๆ ร่างหนึ่งกำลังปีนอยู่บนต้นไม้ ด้วยความอยากรู้เจ้าตัวเล็กจึงค่อย ๆ คลานไปยังโคนต้น หวังจะสังเกตดูให้รู้แจ้งว่าสิ่งนั้นคืออะไร?
ขณะที่กำลังค่อย ๆ ย่องไปอยู่นั้นเอง ร่างเล็ก ๆ ที่สูงกว่าหน่อยร่างหนึ่งก็กระโดดมายังโคนต้น 
โอ้ย...กระโดดลงมาไม่ดู เกือบจะทับเค้าแล้วนะเด็กหญิงร้องโวยวาย
ชู่วววว์ อย่าเสียงดังไปสิ ประเดี๋ยวมันก็ไม่มาหรอกเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุไม่เกินสิบขวบ ส่งเสียงกระซิบแผ่วเบา
เอ๋ คุณพี่มาแอบหาอะไรหรือจ๊ะเด็กผู้หญิงตัวน้อยกระซิบถามด้วยความอยากรู้
นกการะเวก น่ะ มันอาจจะบินมาเล่นน้ำแถวนี้เด็กชายร้องตอบ
นกการะเวกมันเป็นอย่างไงหรือจ๊ะคนตัวเล็กกว่าเอียงคอถาม
มันเป็นนกสวรรค์น่ะ พี่เคยอ่านในหนังสือเค้าเขียนไว้ว่านกการะเวกเป็นสัตว์หิมพานต์ บินสูงเหนือเมฆ ไม่ค่อยมีใครเห็นตัว กินลมเป็นอาหาร เสียงของมันไพเราะมากเลยนะ ใครก็ตามได้ยินเสียงร้องของมันจะต้องหยุดชะงักฟังด้วยความจับใจเลยทีเดียวเชียวล่ะคนตัวโตกว่ายืดอกตอบด้วยความภาคภูมิ
โอ้โห มันคงสวยมากเลยใช่มั้ยคะคุณพี่เด็กผู้หญิงส่งเสียงร้องด้วยความทึ่ง
ใช่แล้ว ขนของมันเป็นของวิเศษด้วยนะ พี่กำลังมารอเก็บขนของมันอยู่
เก็บขน พี่จะไปเก็บมันยังไงเหรอคะเด็กผู้หญิงร้องถามด้วยความกระตือรือร้น
เก็บได้สิ พี่เอาขันใส่น้ำไปขัดไว้บนยอดไม้ ประเดี๋ยวตอนดึก ๆ เจ้านกการะเวกก็จะมาเล่นน้ำในขัน แล้วมันจะทิ้งขนเอาไว้หนึ่งเส้นเสมอ ขนของมันถ้าเก็บไว้นาน ๆ จะกลายเป็นทองด้วยนะจ๊ะเด็กผู้ชายตอบ
ว้าวววว จริงหรือคะ คุณพี่ต้องแบ่งให้หนูเส้นหนึ่งนะคะ
ได้สิ แต่พี่ต้องได้สองเส้นก่อนนะจ๊ะคนตัวโตกว่าตอบขึ้นด้วยความเอ็นดู
แต่ตอนนี้เราต้องกลับกันก่อนล่ะ ถ้านกการะเวกรู้ว่ามีคนอยู่มันจะไม่มา
พรุ่งนี้เช้าพี่จะมาเก็บขนนกการะเวกใช่มั้ยจ๊ะ
ใช่สิจ๊ะ
คุณพี่ต้องรอหนูด้วยล่ะ หนูขอมาดูด้วยคนนะ นะ นะ.......
 
.........................................................................................................................
 
คืนวันผันผ่านแม้ไม่มีวี่แววของขนเจ้านกการะเวก แต่ความสัมพันธ์ของเด็กน้อยทั้งคู่กลับมีความผูกพันสืบเนื่องเรื่อยมา เด็กผู้หญิงร่างกายอ่อนแอ บอบบางและเป็นโรคหัวใจ กับเด็กผู้ชายที่รู้ตัวเองมาโดยตลอดว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือด ทั้งคู่มีเวลาให้แก่กันและกันอย่างเต็มที่เพราะไม่ต้องไปเรียนหนังสือให้มากมายเหมือนเด็กคนอื่น ๆ
คุณพี่ขา คุณพี่ว่าเจ้านกการะเวกจะมีจริงไหมคะ?เด็กสาววัยรุ่นเอ่ยปากถาม
มีสิจ๊ะ เพียงแต่เรายังไม่มีโอกาสเจอมันเท่านั้นเอง
เสียงมันไพเราะมากไหมคะร่างบอบบางแต่นัยน์ตาเพ้อฝันนั้นนอนหนุนตักพี่ชาย
ไพเราะมากเลยล่ะ แต่มันต้องมีเป็นคู่นะ ถ้าลำพังมันตัวเดียวจะไม่ส่งเสียงร้องเด็กผู้ชายร่างสูงโปร่งรุ่นราวคราวเดียวกันส่งเสียงตอบด้วยความเอ็นดู
คุณพี่คะ นกการะเวกนี่เป็นอมตะมั้ยคะ
นกการะเวกเป็นนกสวรรค์ก็ต้องเป็นอมตะสิจ๊ะเด็กชายวัยรุ่นคนเดิมตอบ
หนูอยากให้หนูกับพี่ชายเป็นนกการะเวกค่ะ หนูกับพี่จะได้อยู่คู่กันตลอดไป
เด็กผู้ชายเบือนหน้าหนี ซ่อนน้ำตาของตนไว้ให้พ้นจากแววตาที่ช่างเพ้อฝันคู่นั้น เนื่องด้วยเวลาที่ยังเหลืออยู่ของเขาเหลือน้อยลงทุกวัน
เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เด็กหนุ่มทะเลาะกับคนที่บ้านเพียงเพราะเขาปฏิเสธที่จะเข้าทำการรักษาตัว ที่โรงพยาบาล เพราะเขาอยากใช้เวลาทุก ๆ นาที ที่เหลืออยู่ใกล้ชิดกับน้องสาวตัวน้อย ๆ ของเขาคนนี้ให้มากที่สุด โรคมะเร็งเม็ดเลือดที่ไม่มีวันรักษาหาย  และทุกลมหายใจของเขาก็ไม่มีวันลืมน้องสาวของเขาคนนี้ได้ด้วย ตลอดกาล!!!
		
.........................................................................................................................
		
ในวันที่สายฝนเพิ่งหยุดตก ริบบิ้นเจ็ดสีทอประกายอยู่ที่บนฟากฟ้า หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งมองสายรุ้งเส้นนั้นจากที่โคนต้นไม้ต้นเดิม ชายหนุ่มพยายามข่มมือที่สั่นระริกเพื่อกุมมือน้อย ๆ ข้างนั้นเอาไว้
พี่คะ นกการะเวกกับนกฟีนิกซ์ใช่นกตัวเดียวกันมั้ยคะ
น่าจะเป็นตัวเดียวกันมั้งจ๊ะ ก็มันเป็นนกสวรรค์เหมือนกันนี่ชายหนุ่มพยายามข่มเสียงตอบ 
ดีจังนะคะคุณพี่ นกฟีนิกซ์นะเวลามันรู้ว่ามันกำลังจะตาย มันจะบินเข้าไปในกองไฟแล้วเกิดใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง
เจ้าของเสียงที่เพ้อฝันนั้นพยายามเบียดร่างตัวเองเข้าซบกับอ้อมอกของพี่ชาย จึงไม่ทันเห็นเลือดที่เริ่มไหลซึมจากการกัดริมฝีปากของตัวเขาเอง ใบหน้าที่ขาวอันซีดเกิดจากการข่มความรู้สึกให้พ้นจากความเจ็บปวดที่กำลังท่วมท้น เวลาสุดท้ายใกล้จะหมดลงทุกที เขาจะแสดงความเจ็บปวดให้คนที่อยู่ข้าง ๆ นี้เห็นไม่ได้เลย เขาจะยอมให้คนที่เขารักที่สุดเจ็บปวดไม่ได้ เป็นอันขาด
นกฟีนิกซ์ตัวนี้บินสู่ไฟแห่งความเจ็บปวดแล้วจะเกิดใหม่ได้อีกฉันใด?
น้องน้อยของพี่...ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์เอ่ยขึ้นอย่างยากเย็น
ขา...คนในร่างน้อยนั้นตอบรับอย่างแผ่วเบา
พรุ่งนี้...พี่จะต้องเดินทางไกลแล้ว...พี่จะไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ
แล้วพี่จะหายมั้ยคะคนน้องหัวใจหายวูบ
หายสิ ก็พี่เป็นนกฟีนิกซ์นี่จ๊ะคนเป็นพี่ชายตอบอย่างร่าเริง
พี่จะไปนานแค่ไหนคะหญิงสาวถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา 
ไม่นานหรอกจ้ะชายหนุ่มพยายามพูดขึ้นพร้อม ๆ กับน้ำเสียงที่กลั้วหัวเราะ
ต่อให้เหลือเพียงวิญญาณ พี่ก็จะกลับมาหาน้องให้ได้อย่างแน่นอน
 
.........................................................................................................................
 
คืนวันหมุนเวียนเปลี่ยนไป  ใบไม้จากต้นไม้ต้นเดิมร่วงหล่นใบแล้วใบเล่า ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายก็ยังคงหายลับไปไม่หวนคืนมา พ่อแม่และคนรอบข้างของหญิงสาวทุกคนต่างรับรู้โดยทั่วกันว่า ชายหนุ่มตายแล้ว 
แต่คนเดียวที่ไม่เคยรับรู้และยอมให้รับรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ก็คือหญิงสาวคนนั้น  เป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะให้หญิงสาวคนหนึ่งที่ร่างกายอ่อนแอและเป็นโรคหัวใจต้องมารับรู้ความจริงว่า คนที่เธอรักสุดจิตสุดใจคนนั้นตายแล้ว
วันแล้ววันเล่าที่หญิงสาวยังคงเฝ้ารอคอยอย่างโดดเดี่ยว มือน้อย ๆ คู่นั้นมีเอาไว้เพื่อโอบกอดและลูบไล้ต้นไม้ เสมือนพี่ชายของเธอยังคงอยู่ตรงหน้า หูของเธอคู่นั้นมีเอาไว้เพื่อคอยเงี่ยฟังเสียงนกการะเวกที่สุดแสนไพเราะและหวานซึ้ง อีกทั้งแววตาคู่นั้นก็มีเอาไว้เพื่อรอคอยจ้องมองเผื่อคนผู้เป็นที่รักจะหวนกลับมา
		
กว่าสิบปีมาแล้วที่หญิงสาวคนเดิมแวะเวียนมาที่สวนหย่อมแห่งนี้ เฝ้ารอคอยอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นนี้ วันเวลาที่เหลืออยู่ ภาพที่ทุกคนเห็นชินตาคือหญิงสาวที่โดดเดี่ยวและรอคอย ผมของเธอค่อย ๆ ซีดขาวและสูงวัยอย่างรวดเร็ว
กว่าสิบปีมานี้เองที่คนทั่วไปพากันเรียกขานสวนหย่อมแห่งนี้ว่าสวนของคุณยาย
 
.........................................................................................................................
 
คุณแม่ขา แล้วตอนนี้คุณยายคนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะจ๊ะเด็กหญิงเอียงคอถาม
คุณยายไปอยู่ตรงนั้นแล้วล่ะจ้ะคุณแม่ชี้นิ้วไปบนท้องฟ้าพร้อมบรรจงหอมแก้มของแม่หนูตัวน้อย
 
.........................................................................................................................
 
ในค่ำคืนหนึ่งที่แสงจันทร์เต็มดวงทอประกายสดใส คุณยายผู้อ่อนวัยค่อย ๆ ทรุดตัวลงนอนใต้ต้นไม้ต้นเดิมอย่างอ่อนล้า ในภาพตระการแห่งความฝัน เส้นผมที่เคยขาวโพลนเปลี่ยนมาเป็นสีดำสนิท ร่างน้อยที่บอบบางเข้าสู่อ้อมแขนของคนที่คุ้นเคย
และที่คืนเดียวกันนั้น มีผู้เห็นนกสวรรค์สองตัวพากันบินว่อนเวียนวนมาล้อเล่นกับแสงจันทร์ ขนหางของมันเปล่งประกายสายรุ้งทอดยาวไกล สดใสระยิบระยับ เสียงร้องของมันไพเราะและหวานซึ้งกว่านกตัวใดในแหล่งหล้า
ผู้คนมากมายต่างก็พากันเล่าขานถึงตำนานสวนของคุณยาย ตราบจนเท่าทุกวันนี้				
comments powered by Disqus
  • cicada

    28 กันยายน 2553 11:16 น. - comment id 119034

    พี่ใบไม้ทำไมเขียนเรื่ิองเศร้าอย่างนี้...
    66.gif66.gif66.gif
    ทำแซมเศร้านะเนี่ยะ...
    แล้วถ้าเวลาของแซมมาถึง..แล้วแซมจะไปเป็นนกการะเวก....อยู่ตัวเดียวก็เหงาแย่ซิคะ...10.gif10.gif10.gif
    
    ขอบคุณที่แบ่งปันนะคะ...31.gif
    ขอให้พี่ใบไม้มีความสุขวันนี้ค่ะ...
    
    มะขิ่น

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน