อทิสมานกาย ๑๔

แก้วประเสริฐ

76.gif
                อทิสมานกาย  ๑๔
     เสียงลมดังหวีดๆหวิวๆแว่วมา พร้อมทั้งมีสายลมพุ่งเข้ามาทางหน้าต่างที่เขาเปิดทิ้งไว้.....
สายลมผ่านเข้ามายังห้องนอน  ม่านบังหน้าต่างไหวพลิ้ว  ชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งสมาธิพร้อมด้วยสาวอ้อย
ที่กำลังนั่งสมาธิฝึกฝนวิชาที่เขาสอนหล่อนไว้อย่างมุมานะ       เขาหันไปมองทางด้านหญิงสาวก็ยิ้ม
  ด้วยทราบทางจิตแล้วว่า เจ้าหุ่นทั้งสองคงจะประสบความสำเร็จในงานที่เขาใช้ไปทำเรียบร้อยแล้ว 
 จึงออกจากสมาธิลืมตาขึ้นภาวนาคาถาที่ร่ำเรียนมา  เพื่อคอยการกลับมาของหุ่นทั้งสอง  
     เขาคิดว่าจะสร้างหุ่นทั้งสองนี้เสียใหม่ด้วยดินที่เขามาต่อร่างมันยังเหลืออีกมากนักพอที่จะพอกทำเป็นรูปปั้นที่
น่ารักกว่ารูปเดิมที่รู้สึกว่าช่างน่ากลัว   แล้วเขาก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหยิบกระดานชนวนพร้อมทั้งแป้งกะแจะที่เขาเอามา
ปั้นเป็นแท่งๆพร้อมปลุกเสกอาคมไว้เรียบร้อยแล้วรวมกับผ้าผืนขาวที่เขาได้เขียนยันต์กำกับไว้ด้วยออกมา   
      พลางชำเลืองตาไปยังร่างสาวอ้อย  ซึ่งบัดนี้ร่างของสาวอ้อยได้เปลี่ยนไปมากมีประกายสดใสเปล่งปลั่งออกมา
เขารู้ด้วยอำนาจจิตว่า   บัดนี้สาวอ้อยได้เปลี่ยนร่างจากสัมภเวสีเป็นอทิสมานกายไปแล้วด้วยอำนาจแห่งสมาธิที่ใช้
เขาตรวจสอบด้วยอำนาจกสิณจึงทราบเหตุว่า  หล่อนคงจะได้ฌานสมาบัติสูงขึ้นมากทีเดียวร่างจึงมีรัศมีดังที่เห็นมา
     เมื่อเขานำกระดานชะนวนของพ่อที่มอบให้เขาไว้พร้อมสิ่งของต่างๆมาวางใกล้ๆตัวแล้ว  ว่าจะเขียนยันต์ด้วย
อักขระแล้วลบเสียเพื่อจะเอาผงมาผสมกับดินสร้างร่างใหม่ให้แก่หุ่นนั้น    เสียงสายลมพัดมาทางด้านหน้าของเขา
ก็ปรากฏร่างดำทะมึนสองร่างยืนอยู่เบื้องหน้าเขา พลางทรุดตัวลงนั่งพลางก้มลงกราบเขา
     ชายหนุ่มพลางแบฝ่ามือออกทั้งสองข้าง  ทันใดนั้นร่างหุ่นพยนต์ก็พุ่งเข้ามายืนลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างเขา  เขาก็นำ
มาร่ายเวทย์มนต์กำกับอีกครั้งหนึ่ง  พลันร่างหุ่นทั้งสองนั้นลงจากฝ่ามือเขาปรากฏร่างอีกครั้งหนึ่ง เจ้าแสงสีก็รายงาน
ผลงานที่เขาไปทำแล้วก้มลงกราบพร้อมเจ้าสินชัยนามที่เขาตั้งขึ้นใหม่   ก็รายงานผลงานที่เขาใช้ให้ไปทำ 
ทั้งสองก็กล่าวว่า  หากไม่ได้อาจารย์ช่วยเหลือเพิ่มพลังงานแก่เขา  เขาคงจะทำอะไรอาจารย์ดำไม่ได้หรอก  
     ชายหนุ่มพลันกล่าวขึ้นว่า    เจ้ามิได้สร้างความผิดหวังให้แก่ข้าขอขอบใจมากนะแต่ไม่เป็นเวรเป็นกรรมของเจ้า
หรอกด้วยข้าตรวจสอบแล้วว่ามันจะต้องถึงฆาต  ตามที่หัวหน้าผีในป่าช้าวัดโคกอีแร้งกล่าวไว้ไม่ผิด  ป่านฉะนี้คงจะ
ถูกนำตัวลงไปรับโทษทันฑ์ในดินแดนนรกเสียแล้วล่ะ  อ้อๆ!!!!...นี่ข้าก็เตรียมจะสร้างรูปกายให้เจ้าใหม่อีก เจ้าไป
พักผ่อนที่ยังพานที่ข้าจัดไว้ให้เป็นที่อยู่ของเจ้าก่อน  พลางชี้ไปยังพานที่วางเรียงไว้บนโต๊ะหมู่บูชาซึ่งต่ำกว่า
พระพุทธรูป         
 พวกเจ้าทำสิ่งที่ต้องการสำเร็จข้าคิดจะสร้างรูปลักษณ์ใหม่ให้แก่เจ้า
จงไปพักผ่อนที่ข้าจัดไว้ให้แก่พวกเจ้าเสียก่อน หากข้าทำธุระที่เกี่ยว
กับเจ้าเสร็จเมื่อไหร่ ก็จะไปนำเจ้ามาสร้างรูปกายขึ้นใหม่ไปพักผ่อน
เถอะนะ   
พลางเขาชี้ไปยังพานที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะหมู่บูชาที่เขาทำขึ้นใหม่ด้วยไม้มาประกอบขึ้นเป็น โต๊ะหมู่เล็กๆและมีพระพุทธรูป
องค์หนึ่งวางอยู่บนสุดพร้อมด้วยแจกันดอกไม้ทั้งสองข้าง ส่วนด้านล่างก็มีพานสามพานตั้งเรียง โต๊ะหมู่นี้อยู่ภายในห้องที่เขากั้นฉากไว้ด้วยผ้าบังเป็นฉากกั้นโต๊ะหมู่ที่วางอยู่มุมห้องให้เป็นสัดส่วน  ผ้านั้นสามารถรูดเปิดปิดได้  
      ซึ่งบัดนี้เขาเปิดผ้ารูดพันไว้ยังริมฝาผนังห้องและนั่งอยู่  ใกล้ๆมีร่างหญิงสาวกำลังเจริญสมาธิอยู่  พลางหันไปพูด
กับเจ้าหุ่นพยนต์ทั้งสองว่า  หากข้าทำรูปร่างเจ้าใหม่แล้วก็จะสอนวิชาอาคมบางอย่างเพื่อให้เจ้าไว้ใช้ป้องกันตัวด้วย
พร้อมให้เจ้าหัดเจริญสมาธิเพื่อสร้างผลบุญกุศลลบล้างความผิดที่เคยทำให้หนักเป็นเบาได้บ้าง  แต่ทั้งนี้ล้วนแล้วแต่
ตัวของเจ้าจะทำได้มากน้อยแค่ไหนนะ
      หุ่นทั้งสองก็ก้มลงกราบชายหนุ่มอีกครั้งหนึ่งพร้อมทั้งสองกล่าวว่า   แล้วแต่อาจารย์จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ข้าจะ
พยายามสุดความสามารถจ๊ะ  
      ดีแล้วล่ะเจ้าแสงสีและเจ้าสินชัย  ข้าจะไม่ให้เจ้าสร้างบาปกรรมอะไรหรอก  เพียงให้เจ้าช่วยดูแลคนดีๆและช่วย
เหลือพวกเขาเท่านี้ข้าก็พอใจแล้วล่ะ  เจ้าไปพักผ่อนบนพานที่ข้าตั้งไว้ซ้ายมือแล้วกันนะ  ข้าก็จะเริ่มทำงานเพื่อสร้าง
ร่างกายเจ้าให้ใหม่สวยงามกว่าเดิมอีก     ชายหนุ่มกล่าว
      เจ้าหุ่นทั้งสองพอได้รับฟังเช่นนั้นพลันก้มลงกราบอีกครั้ง  ร่างมันก็พุ่งเข้าไปยังพานที่ชายหนุ่มบอกไว้ทันที
แล้วร่างมันก็นอนเรียงกันบนพานนั้น   กายมันยังเป็นหุ่นรูปร่างเดิมที่อาจารย์ดำทำไว้เพื่อรอให้ชายหนุ่มจัดการ
เปลี่ยนร่างจากมันขึ้นใหม่
       ชายหนุ่มเพียงแค่หันไปมองร่างสาวอ้อยที่ยังไม่ออกจากสมาธิ   คงจะอยู่ในขั้นเอกะคัตตะซึ่งย่อมไม่รับรู้อะไร
ทั้งสิ้นต่อสิ่งภายนอก  อันเอกะคัตตะสมาธินี้  ก็มีลักษณะคล้ายๆกับ อุเบกขานั่นเอง  เพียงแตกต่างกันกับอุเบกขา
ด้วยอุเบกขาคือการวางเฉยเมยหากทำไม่ได้ เป็นหลักการทำงานของผู้ที่ใช้ปกครองคนมีอยู่ในพรหมวิหารสี่ ข้อ
สุดท้ายของพรหมวิหารสี่เป็นข้อปฏิบัติของผู้เป็นผู้ใหญ่ในการปกครองคนทั่วๆไป
คือรู้ตัวเองแต่ช่วยไม่ได้ก็วางเฉยๆเท่านั้น  ส่วนเอกะคัตตะสมาธินั้นจิตจะต้องรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นสงบเงียบไม่
สนใจอะไรนอกจากจิตเท่านั้นปราศจากสิ่งใดๆมารบกวน    ซึ่งแตกต่างกันมากมายนัก แต่คือมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
      เมื่อเห็นดังนี้ เขาก็เริ่มสวดมนต์ภาวนา นำแป้งกระแจะที่ปั้นเป็นคล้ายๆกับชอร์ค พร้อมด้วยดินที่ปั้นเป็นกลมๆ
สองก้อนและกระดานชะนวนขึ้นจบภาวนามนต์ที่ร่ำเรียนมาก   พร้อมก้มลงกราบพระพุทธรูปสวดมนต์บูชาพระ
รัตนตรัย   แล้วก็เข้าฌานสมาธิฌานต่างๆจนครบ พร้อมกับเจริญฌานกสิณสิบด้วยแล้วเข้าฌานต่อประมาณสองสาม
เที่ยว   จึงนำจิตลงมาในขั้นอุปจารสมาธิเพื่อดำเนินพิธีการต่อไป   
      จะขอกล่าวสักหน่อยขั้นอุปาจาระสมาธินั้นเป็นสมาธิที่อยู่สูงกว่าขนิกกะสมาธิก่อนจะเข้าปฐมฌานซึ่งเป็นฌานแรก
 และมีความสำคัญมาก   ย่อมรู้ตัวในการกระทำใดๆทั้งสิ้นซึ่งเป็นสมาธิที่บรรดาเกจิอาจารย์  ไม่ว่าอาจารย์ใดๆก็ตาม
ย่อมจะลงมาทำสิ่งของต่างๆในขั้นนี้  แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าก็ยังเสด็จปรินิพพานในขั้นนี้เอง
     ตามที่พระอรหันต์อนุรุธธะเถระเจ้า  ซึ่งเชี่ยวชาญฌานสมาบัติคอยติดตามทุกๆขณะจิตในการเสด็จเข้าสู่พระปรินิพพาน
นำมาบอกกล่าวแก่บรรดาเถระเจ้าทั้งหลายให้ฟังซึ่งจารึกไว้ในพระสูตรเป็นต้น 
     ยกเว้นพวกเรียนทางด้านคุณไสย์สายดำเท่านั้น    แต่ก็ต้องมีสมาธิเหมือนกันแต่เพียงอยู่แค่อุปาจาระสมาธิ 
 ไม่ได้ไปยังฌานต่างๆหรือกสิณ  หรือพวกที่ร่ำเรียนมีสมาธิจนช่ำชองแล้วเดินผิดทางไปทางด้านไสย์ดำได้ฌาน
สมาบัติ    วิชาจึงจะแก่กล้ากว่าพวกไม่ได้ด้านสมาธิหรือเพียงแค่อุปจาระสมาธิ นั่นเอง
      ฉะนั้นบรรดาทางครูบาอาจารย์จึงให้ความสำคัญมากกว่าสมาธิอื่นๆใดทั้งสิ้น ด้วยหากจะลงของไม่ว่าจะเป็นการ
เขียนอักขระหรือยันต์ใดๆก็ตามย่อมจะสมฤทธิ์ผลมากกว่าฌานอื่นๆ  หากผู้ใดไม่มีฌานสมาบัติสมาธิอันแกร่งกล้าจะ
มาทำเวทย์มนต์ใดๆก็จะไม่สำเร็จ  ของสิ่งเหล่านั้นก็หาประโยชน์อันใดๆมิได้  ฉะนั้นอาจารย์ที่เก่งหรือไม่เก่งนั้นก็อยู่
ด้วยใครจะมีสมาธิแก่กล้ากว่ากันเท่านั้น  และต้องไม่มีความประมาทเป็นอันขาด  มิฉะนั้นของนั้นๆจะเข้าตัวเอง 
แต่คนที่สามารถทำได้ต้องเชี่ยวชาญในเรื่องสมาธินี้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว นึกเมื่อไหร่ก็สามารถทำได้
  จะดีหรือชั่วก็แล้วแต่การกระทำของผู้นั้นเท่านั้นเองว่าจะใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดี ของนั้นหากปลุกเสกดีแต่คนใช้ไม่ดี
ของเหล่านี้ก็จะเสื่อมไม่สามารถคุ้มครองป้องกันได้  หากคนใช้เป็นคนดีใช้ในทางที่ดี  จิตใจอยู่ในฝ่ายกุศลธรรมของ
นั้นย่อมไม่มีวันเสื่อมสลายไป  อุปมาดังทองคำถึงแม้ว่าจะละลายไฟ หรือถูกทิ้งไว้ในโคลนตม หรืออาจมก็ตามย่อมเป็นทองคำวันยังค่ำมิได้กลายเป็นอื่นไป เฉกเช่นเดียวกัน
      ดังนั้นวิชาอาคมที่ทางสายขาวร่ำเรียนมาเพื่อใช้ในการป้องกันตัวหรือไสย์เวทย์ดำก็ตาม หากนำมาช่วยเหลือ
ใช้ในทางที่ถูกที่ควรแก่คนดีๆ   บำรุงพุทธศาสนาก็จะไม่เสื่อมสลายไป วิชาอาคมสายขาวจึงเหนือกว่าพวกที่ร่ำเรียน
ทางสายดำมากมายนักด้วยต้องใช้สมาธิจิตขั้นสูงๆ  อาคมทางไสย์เวทย์ดำจึงมิอาจจะเทียบเทียมได้
     ครั้นชายหนุ่มเข้าสมาธิจนถึงขั้นสูงสุดแล้วลงมาถึงขั้นอุปาจาระสมาธิก็หยิบดินสอที่ทำด้วยแป้งประแจะเขียน
ยันต์อักขระพร้อมท่องมนต์ต่างๆลงบนชะนวนดำ พอจบบทหนึ่งยันต์หนึ่ง    ก็ลบให้ผงฝุ่นตกลงมายังผ้าสีขาว
ในกระดานชะนวนที่ลงเลขอักขระยันต์ต่างให้หล่นลงมายังที่ใช้รองรับไว้
    เมื่อเขียนจนพอใจแล้ว  ก็หยุดการเขียนวางชะนวนไว้หน้าหิ้งพระ   พลางนำผงเช่นผงยันต์ตรีนิสิงเห ผงอิธิเจ 
ผงยันต์พระเจ้าห้าพระองค์  และผงยันต์เกราะเพชรต่างๆเป็นต้น จนพึงพอใจ เมื่อได้ผงพอประมาณเพียงพอแล้ว
เขาจึงนำมาคลุกเคล้ากับดินในป่าช้าจนรวมตัวกันในระหว่างการทำก็เสกมนต์กำกับไปด้วย ท่องบ่นมนต์ทุกๆครั้ง 
       เมื่อครบถ้วนแล้วก็นำเอาผ้าขาวที่หุ้มห่อดินที่ผสมผงไว้มาภาวนามนต์ต่างๆอีกครั้งหนึ่ง   จึงไปนำร่างหุ่นทั้งสองที่นอนอยู่บนพานมา ปั้นพอกรูปหุ่นก่อนปั้นได้นำสายสินธ์ที่เสกมนต์ไว้แล้วนำมาพันยันต์ที่เขาทำไว้หุ้มห่อร่างอีชั้นหนึ่ง  พร้อมใช้ดินคลุมผ้าดัดแปลงร่างหุ่นทั้งสองไว้   พันด้วยด้ายสายสินธ์ทับด้วยดินที่ผสมผงยันต์ต่างๆอีกชั้นหนึ่งปั้นเป็นรูปร่างชายทั้งสองหุ่นไว้  เขาบรรจงปั้นหุ่นให้เหมือนชายเท่าที่สามารถทำได้
 อาศัยที่เคยเห็นแม่ชอบแกะสลักไม้อยู่เสมอๆ  จึงจดจำนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ดัดแปลงร่างหุ่นขึ้นเสียใหม่
       เหตุดังนี้จึงไม่นานนักหุ่นทั้งสองก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นร่างของชายทันทีทั้งสอง  แล้วนำสีฝุ่นที่เขาตระเตรียม
ไว้มาเขียนแต่งหน้าแต่งตารูปร่างด้วยสีฝุ่นหลากหลายสี       ตลอดจนใส่เสื้อผ้าให้ดูสดสวยงามขึ้นทำให้หุ่นแลดูงดงาม
  พร้อมทั้งเขียนอักขระขอมกำกับไว้อีกชั้นหนึ่งด้วยก็สำเร็จในรูปหุ่นที่สร้างขึ้นใหม่   ดังนั้นหุ่นจึงเป็นเป็นรูปชายงาม
รูปร่างกำยำล่ำสันสวยงาม   เขาจับหุ่นทั้งสองวางนอนไว้ข้างหน้าพลางเจริญฌานกสิณแล้วภาวนาเรียกอาการทั้ง
สามสิบสอง ธาตุต่างๆของ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณพลางเป่าไปยังร่างหุ่น จนร่างหุ่นกระดุกกระดิกได้
ครั้นเสร็จแล้ว   จึงนำร่างหุ่นชายกำยำล่ำสันใบหน้าสวยงาม มาวางยังเบื้องหน้าเขา  เข้าสมาธิอีกครั้งแล้วจึง
      มานั่งเพ่งกสิณกำกับจนหุ่นทั้งสองลุกขึ้นยืนได้  และสามารถวิ่งไปๆมาๆตามเขาสั่งได้ตามใจปรารถนา  ในมือหุ่น
เขาก็เหลาไม้เสกมนต์ต่างๆสร้างเป็นอาวุธใส่ไว้ในมือของหุ่นแต่ละตัว   อีกอันหนึ่งเสียบไว้ที่ผ้าสีที่เขาพันไว้ที่เอวของ
หุ่นทั้งสอง   แล้วเรียกหุ่นเข้ามากำไว้ในฝ่ามือนั่งภาวนากำกับอีกชั้นหนึ่ง   
ก็เป็นอันเสร็จพิธี พลางกล่าวกับหุ่นทั้งสองให้กลับไปนอนพักผ่อนยังที่จัดไว้ในพานได้  
             ทันใดร่างหุ่นทั้งสองก็เดินไปที่พานของตนแล้วกระโดดขึ้นไปนอนยังพานทันที  ก่อนจะไปหุ่นทั้งสองก็มอง
ภาพของตัวเอง   รู้สึกพอใจยิ่งนักหันมาก้มกราบชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะไปนอนบนพานของตัวทั้งสองตน
      ครั้นพิธีการผ่านพ้นไปแล้ว   เขายังเหลือบแลเห็นหญิงสาวยังเข้าสมาธิอยู่และไม่รบกวน   เพียงแลเห็นสิ่งที่ออกมาเป็น รัศมีต่างๆได้แผ่ครอบคลุมร่างหญิงสาวไว้   เขาทราบว่าบัดนี้ร่างสัมภเวสีของหญิงอ้อยแปรเปลี่ยนไปแล้ว
จากเดิมมาก  จนกลับกลายเป็นอทิสมานกาย  ซึ่งเปรียบเสมือนกลับกลายเป็นเทพยดาอัปสร   
ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก  ดังนั้นจึงได้เข้ามุ้งไปนอนเพื่อพักผ่อนทันที  คงปล่อยให้หญิงสาวอ้อยนั่งสมาธิคนเดียวต่อไป
        อากาศตอนเช้าในบ้านเขาล้วนแล้วปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆ  ด้วยเต็มไปด้วยภูเขาที่รอบล้อมตลอดจนต้นไม้
จำนวนมาก   พระอาทิตย์ถึงขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังเพียงแค่ส่งแสงเท่านั้นแต่ถูกภูเขาบดบังเสียสิ้น จึงทำให้อากาศนั้นยัง
คลุมเครือ  เพียงแค่รู้ว่าสว่างในวันใหม่เท่านั้นเอง
       เขาออกมายืนสูดลมหายใจเข้าออก  ทำการบริหารร่างกายที่เคยทำอยู่อย่างสม่ำเสมอทุกๆครั้ง ก่อนจึงจะไปจัดการ
ทำธุระในห้องน้ำ   ครั้นออกมาก็เห็นพ่อแม่เขากำลังเตรียมตัวจะใส่บาตรพระ   เขาเดินเข้าไป ได้ยินแม่กล่าวว่า
      เดี๋ยวหลวงพ่อทองก็จะพาพระมาบินฑบาตรแล้ว 
 วันนี้แม่เตรียมของไว้ให้ลูกเรียบร้อย มาๆเรามาใส่บาตรร่วมกันนะ   ดีเหมือนกันจ๊ะแม่ผมจะได้แผ่กุศลให้เขาด้วย
      ครับชายหนุ่มตอบแต่อดย้อนถามแม่ไม่ได้ว่า  เรื่องรูปแกะสลักแม่ได้ดำเนินไปถึงไหนแล้ว  คราวนี้พ่อหันมาตอบ
เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก  หลวงพ่อและพ่อแม่ได้ไปจัดการให้เรียบร้อยแล้ว  อัญเชิญแม่นางมาสถิตย์อยู่แต่ตอนนี้อยู่
ในห้องของแม่แก   เสริมทำพิธีอยู่นะเดี๋ยวก็คงจะนำมาให้ลูกหลังจากใส่บาตรพระกระมัง???.... ชายผู้พ่อกล่าวขึ้น
      ชายหนุ่มหันไปยิ้มกับแม่ พร้อมกล่าวว่า    ขอบพระคุณมากครับแม่และพ่อที่ช่วยเหลือผมไว้ พลางยกมือขึ้นไหว้
      แม่ครับ.....แล้วนำมาให้ผมดูด้วยนะครับ
      เออ!!!!....แม่ทำพิธีเสร็จแล้ว  นางนี้สวยจริงๆนะนิสัยก็งดงามด้วยล่ะเจ้าโชติ   ผู้เป็นแม่เอ่ยขึ้น
      จ๊ะๆแม่ผมเห็นมาแล้วล่ะ เคยนั่งคุยกันที่กุฎีหลวงพ่อเกือบทั้งคืนเลยล่ะ  เขาพูดพลางหัวร่อพลาง
      นั่นซิแม่ก็สงสัย  พอเสร็จพิธีเขาก็ปรากฏร่างมาคุยกับแม่และยังถามถึงเจ้าอยู่เหมือนกัน รู้สึกว่าจะยังไงๆชอบกล
เหมือนกันนะ
     แม่คิดมากไปหรือเปล่าล่ะ?.... ชายหนุ่มถาม
     ไม่หรอกว๊ะเจ้าโชติ พ่อเองก็รู้เหมือนกันล่ะ   และยังรู้อีกว่าไม่แค่นั้นนะ   แล้วก็หยุดชะงักไม่กล่าวต่อ
      อะไรอีกหรือพ่อ  แม่ทำไมเล่าไม่จบเสียล่ะ????.....  ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
ก็มันยังไม่ถึงเวลานี่นาและเบื้องบนก็ห้ามไว้ด้วยว่าไม่ตัองพูดมากให้ลูกฟังด้วยซิ.... พ่อเชียรกล่าว
      อ้าวๆๆ...?????.... พ่อรู้ได้ยังไงล่ะ???....
      เฮ่อๆๆ.....กูกับแม่มึงรู้ก็แล้วกัน  แต่พอเอ็งเก่งขึ้นกว่านี้อีกหน่อยก็จะรู้เองแหละว๊ะ  
ตอนนี้ไม่ต้องพูดมาก   โน่นหลวงพ่อนำหน้าพระมาแล้ว..... 
มาๆๆ  ไปเตรียมตัวใส่บาตรกันเถอะ   พลางหยิบโต๊ะตัวเล็กๆ   นำไปวางไว้หน้าบ้าน ส่วนเขาและแม่ก็ช่วยยกของ
ใส่บาตรไปวางไว้บนโต๊ะเตรียมตัวคอยหลวงพ่อและพระรูปอื่นๆจะมาถึงบ้านของเขา...
       สักพักหนึ่งหลวงพ่อนำหน้าพระรูปอื่นๆก็เดินเข้ามารับบาตรจากสามพ่อแม่ลูก   หลวงพ่อเมื่อให้ศีลให้พรแล้ว
ก็หยุดยืนสักพักหนึ่ง  พลางกล่าวขึ้นว่า  โยมเชียรไม่ต้องห่วงอะไรแล้วน่ะลูกโยม เด็กคนนี้มันสะสมผลบุญ
มานานแล้วและมันก็เก่ง  อาตมาคิดว่าอีกไม่นานอาจจะเก่งกว่าโยมเชียรเสียอีกนะ  หลวงพ่อทองกล่าวขึ้น
      กระผมคิดว่าด้วยเพราะหลวงพ่อสนับสนุนแนวทางที่ถูกต้องให้แก่มันหรอกขอรับหลวงพ่อ     พ่อเชียรเอ่ยขึ้น
      ไม่หรอกโยม....ด้วยวาสนามันแปลกๆดีเหมือนกัน เคยทำบุญด้วยกันมาและอธิษฐานด้วย  ตลอดจนมันเคยสะสม
บารมีทางด้านนี้มามาก  จึงทำให้มันได้เรียนรู้จนอาตมาหมดสิ้นความรู้  โยมไม่สังเกตุบ้างหรือมันใช้เวลาไม่นานเลย
ก็ร่ำเรียนวิชาความรู้จาก โยมเชียรและโยมเข็มจนหมดสิ้น  ยังไม่ถึงเดือนเลยมันก็สำเร็จหมดแล้ว  คิดว่าเทพยดาคงจะ
มาแนะแนวทางให้มันด้วย  สิ่งที่มันคิดไว้จึงสมฤทธิ์ผลเร็วกว่าปกติผิดกว่าคนธรรมดาเสียอีก
      อีกประการหนึ่งมันมาจากชั้นสูงๆเสียด้วยซิ  เรื่องมันจะลืมตัวหรือหน้าที่มัน  ก็ด้วยเป็นลิขิตที่เขาสร้างมันขึ้นมาไว้
เองแหละน๊ะ.... หลวงพ่อเอ่ยขึ้น
      หน้าที่อะไรที่มันทำหรือขอรับหลวงพ่อ???....  พ่อเชียรถามทั้งๆที่รู้เพื่อให้แน่ใจว่าจะตรงกับหลวงพ่อหรือไม่
      เออนั่นแหละที่เขากำหนดวางมันไว้เอง โยมก็รู้อยู่แล้วนี่นา  เอาล่ะเท่านี้ก่อนนะ  อาตมาจะต้องไปที่อื่นอีก....
พอกล่าวเสร็จ   หลวงพ่อก็เดินนำหน้าพระรูปอื่นๆเดินจากไปจนลับสายตา  เพราะแต่ละบ้านล้วนห่างๆกันมากเสียด้วย
      เมื่อหลวงพ่อและพระรูปอื่นจากไปแล้ว  ก็หันมาทางลูกชาย  พูดขึ้นว่า...
      เอ็งได้ยินหลวงพ่อพูดแล้วใช่ไหม   และอย่าทนงตนลืมตัวไปเสียล่ะถึงแม้จะมีวิชาก็จริงแต่ก็อย่าประมาทนะ...
      ครับ   พ่อผมจะไม่ใช้ในทางที่ผิดหรอก  นอกจากจะช่วยเหลือคนเท่านั้นและอาจจะบางทีจะได้ช่วยศาสนาด้วย
     ดีแล้วล่ะลูก   ความประมาทคือหนทางแห่งความหายนะ  เมื่อไม่ลืมก็ดีแล้ว  ไปเถอะช่วยกันเก็บของไปได้แล้ว
เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็จะไปไร่เสียหน่อย  แต่คงจะกลับมามืดๆค่ำๆแหละ   ผู้เป็นพ่อกล่าว
  เดี๋ยวเสร็จแล้วโชติลูกไปห้องแม่หน่อยนะ  แม่เข็มกล่าว
      ครับเดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะตามไปครับ....ชายหนุ่มตอบ
ครั้นทั้งหมดเก็บของแล้ว  ชายหนุ่มก็นำสิ่งของไปล้างและเก็บไว้เพื่อใช้ในวันรุ่งขึ้นต่อไป   แล้วถือแก้วน้ำมาตรวจน้ำ
อธิษฐานขอขมาอาจารย์ดำ  แผ่ส่วนกุศลไปให้กล่าวว่าอย่าได้ถือเป็นเวร จองเวรกันเลยนะแล้วแผ่ให้กับของที่เลี้ยงไว้
พร้อมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วนำน้ำไปรดยังโคนต้นไม้ทันที   
       ครั้นก้าวขึ้นบันไดบ้านก็นึกถึงคำพูดของแม่ได้จึง  หันเดินไปยังห้องแม่ที่อยู่ติดๆกับห้องของเขา   พอไปถึงเห็นแม่
กำลังถือของอยู่    เขามองดูเป็นไม้แกะสลักหญิงสาวตบแต่งร่างด้วยผ้าแพรสวยงามพร้อมด้วยสายสร้อยประดับและสิ่ง
บางอย่าง  รูปแกะสลักนั้นเขียนคิ้วปากด้วยสีฝุ่นแลสวยงามยิ่งนัก ยืนอยู่บนฐานไม้ค่อนข้างกว้างพอสมควร
      เขาทึ่งในฝีมือการสร้างของแม่เขา  ช่างเก่งเสียจริงๆ   รูปนั้นสวยงามยิ่งนัก สวยกว่ารูปแกะสาวอ้อยที่หลวงพ่อทำ
มากมาย  แต่มีลักษณะเช่นเดียวกันคือยืนอยู่บนแท่น  แต่ของแม่นางนี้สูงใหญ่กว่า คงเนื่องจากท่อนไม้ที่ใหญ่พอควร
      แม่ยื่นสิ่งของดังกล่าวให้เขา  พร้อมกับกล่าวว่า...
          เอ็งระวังหน่อยนะ  เทพอัปสรองค์นี้แม่แทบไม่ต้องปลุกเสกเลยแรงมากๆเสียด้วย  แม่นั่งสมาธิตรวจสอบเห็น
ว่ามีเทพใหญ่ๆทั้งหลายต่างมาช่วยกันด้วยล่ะ    แม่เข็มกล่าวกับลูกชาย
         เรื่องนี้เขาพอจะรู้แต่ไม่ได้พูดอะไรกับแม่  พลางกล่าวขอบคุณ แล้วก้มลงกราบแม่  พร้อมรับเอามาถือไว้
  โชติเอ๋ย...รักษาให้ดีๆนะ   เดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปไร่แล้วล่ะ  ส่วนสาวชบากับเจ้าแกละแม้จะไม่เก่งเท่ากับหญิง
ทั้งสองนี้  ก็ช่วยบอกให้เขาตักเตือนด้วยนะ   แม่เข็มกล่าวขึ้น   พร้อมรีบเดินออกจากห้องเพื่อไปไร่กับพ่อเชียรทันที.....
                       *  แก้วประเสริฐ.  *

Cartoon_Animation_08.gif692823n68ya60jv9.gif				
comments powered by Disqus
  • อนงค์นาง

    18 พฤศจิกายน 2553 00:33 น. - comment id 120043

    นอกจากสนุกแล้วยังได้ความรู้ด้วยค่ะครู 
    
    ศิษย์สงสัยค่ะว่าคนที่มีคู่ครองนั้นสามารถนิพพานได้มั้ยคะ หรือได้เฉพาะ พระสงฆ์ หรือคนโสดเท่านั้นคะครู
    
    36.gif36.gif36.gif29.gif
  • แก้วประเสริฐ

    18 พฤศจิกายน 2553 01:35 น. - comment id 120044

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ อนงค์นาง
    
           ไม่ว่าพระหรือฆราวาส หรือผ่านการ
    แต่งงานมาแล้วย่อมจะเข้าสู่นิพพานได้หมด
    ทั้งชายและหญิง แต่ต้องปฏิบัติธรรมอย่าง
    เคร่งครัด ผ่านสมาธิล่วงเข้าเอกะคัตตะก่อน
    แล้วจึงจะเข้าสู่โสดาบัน จนล่วงผ่านโลกียะ
    ฌาน เ้ข้าโลกกุตตระฌาน จึงจะถึงพระอรหันต์
      ทั้งหมดนี้มีสองอย่างคือมรรคกับผล 
    เช่นพระอรหันตมรรค หมายถึงทางสู่พระ
    อรหันต์ด้้วยยังตัดไม่หมดกิเลสนะรู้แค่
    ทาง แต่หากตัดสิ้นขาดเยื้อใยก็เป็น
    กิเลสทั้งปวงไม่เหลือเยื้อใยแล้วก็จะเป็นพระ
    อรหัตผล คือสำเร็จกิจทางพระพุทธ
    ศาสนา ก็จะเข้าสู่นิพพานได้ทุกขณะที่ เมื่อท่าน
    นั้นต้องการ  แต่ต้องเป็นพระอรหันต์
    เท่านั้น  แต่มีข้อดีเสียต่างกัน ระหว่าง
    พระกับฆราวาสชายหญิงคือ
    ถ้าเป็นพระนั้นจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้เมื่อ
    สำเร็จพระอรหันต์แล้ว  แต่ส่วนมากจะไม่
    ยอมอยู่กัน สู้ไปนิพานไม่ได้ ด้วยนิพพาน
    เป็นดินแดนเหนือชั้นพรหมขึ้นไปอีกมากนักเป็น
    ดินแดนสุึขาวดีที่สงบสุข ความสุขนั้นเกิด
    จากผลของการปฏิบัติธรรม กายจิตจะเป็น
    ประภัสสร  และจะพ้นการเกิดแก่เจ็บตาย
    คือไม่เกิด  เพราะดับสังขารหมดสิ้น 
    สังขารในที่นี้ไม่ใช่สังขารร่างกายเรา
    เป็นสังขารที่ปรุงแต่งอารมณ์เราจ๊ะ เมื่อ
    ขาดการปรุงแต่งอารมณ์กิเลสก็ไม่เกิด
    เมื่อกิเลสไม่เกิด ย่อมหยุดการเกิดได้
    วิญญาณก็จะสงบสุข  วิญญาณนั้นเปรียบ
    ดังผ้าขาวสะอาดที่ไร้มนทิืน เมื่อไม่มีมลทิน
    สิ่งเข้ามาก็ไม่มี จึงหยุดกิเลสทั้งปวง
       ส่วนฆราวาสไม่ว่าหญิงชายหรือแต่งงาน
    มาแล้วก็ตามทีหากหันเข้าสู่ทางปฏิบัติ
    กิจด้วยความมีศรัทธาอันแรงกล้าจวบ
    บรรลุพระอรหันต์แล้ว  จะต้องตายภายใน
    เจ็ดวันทันที จะมากกว่านั้นก็ไม่เท่าไหร่
       นี่คือข้อแตกต่าง  ศิษย์เราจะสงสัยว่า
    ทำไมต้องตายก่อนเป็นพระ  ก็ด้วยเมื่อ
    ตัดกิเลสดับสิ้นขาดทั้งเยื้อใยถอนรากถอนโคนแล้ว เหมือนต้นไม้ที่ไม่มีรากหล่อเลี้ยงลำต้น ต้นไม้ก็ต้องตายไม่สามารถ
    จะงอกขึ้นมาได้ เช่น
    เดียวกัน  ฆราวาสเองก็เช่นเดียวกันก็จะเกิด
    อาการเบื่อหน่ายต่อชีวิตทางโลกก็จะรีบ
    หนีไปนิพพานหาความสงบสุขสงัดมาก
    กว่า ไม่มีสิ่งยุ่งยากเกิดขึ้น
       ส่วนพระนั้นที่ต้องอยู่ได้เกินเจ็ดวัน
    ต้องทำหน้าที่เผยแพร่ธรรมให้แก่คนทั่วๆ
    ไปจ๊ะ   เท่านี้ก่อนนะเท่าที่ครูศึกษามาจ๊ะ
    รักศิษย์เรามากเสมอ
    
                  16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แจ้นเอง

    18 พฤศจิกายน 2553 12:32 น. - comment id 120062

    36.gif
    
    สนุกมากค่ะ
    
    อยากเห็นนางอัปสรจังเลย
    
    31.gif
  • แก้วประเสริฐ

    18 พฤศจิกายน 2553 13:58 น. - comment id 120064

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ แจ้นเอง
    
         ขอบคุณที่ว่าสนุก ผมก็เขียนไปตาม
    จินตนาการผมเท่านั้นแหละครับ เพื่ออย่าง
    ที่เคยบอกไว้แล้วแหละครับ ขอบคุณที่ติด
    ตามเสมอๆมา  ผมตั้งแต่เกิดมาไม่เคย
    เห็นแต่เพียงรูปปั้นเท่านั้นภาพที่เขาเขียนไว้ตามฝาผนัง
         จึงไม่ทราบเหมือนกันว่าจะสวยงามอย่าง
    ไร แค่เขียนว่าสวยงามากเท่านั้นเองครับ
          รักเสมอ
    
           16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • ช่ออักษราลี

    18 พฤศจิกายน 2553 21:49 น. - comment id 120068

    อยากนิพพานมั่งแล้วค่ะคุณครูแก้ว
    แต่เขาว่าคนเราที่เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น
    เพื่อได้สร้างความดีค่ะ
    เรื่องที่เจี๊ยบเขียนนางอัปสรตัวเอก
    เลยค่ะ ที่มาของเรื่องก็เพราะเขียน
    กลอนนี่แหละ กลอนเกี่ยวกับสวรรค์
    เลยต้องค้นคว้าไปเรื่อยจนไปเจอสวรรค์
    หลายชั้น ได้ความรู้อีก จับนางฟ้า
    มาเป็นนางเอกซะเลยค่ะ ได้ทั้งกลอนและนิยาย
  • แก้วประเสริฐ

    18 พฤศจิกายน 2553 22:37 น. - comment id 120069

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ ช่ออักษราลี
    
           ศิษย์รักเรา นิพพานรู้ได้แต่ทำยาก ด้วย
    คนที่จะไปได้ต้องสร้างบารมีสะสมบุญด้าน
    สมาธิไว้จนแก่กล้าและต้องประกอบด้วย
    ความเชื่อมั่นอย่างจริงๆไม่หวั่นไหวต่อ
    สิ่งรอบข้างได้เด็ดขาด
     ตลอดจนปัญญามาด้วย  
    ตัดบางสิ่งบางอย่างออกไปได้อย่าง
    
    เด็ดขาดถึงจะปฏิบัติอรหันตผลได้จ้าเมื่อ
    ได้อรหันตผลแล้วนิพพานไม่ใช่สิ่งยาก
    เย็นอะไรเลย ด้วยเพราะถอนกิเลสได้
    หมดไม่เหลือสิ่งใดๆที่แอบแฝงในจิตใต้
    สำนึกของเราออกจนหมดสิ้น จิตก็จะ
    เป็นประภัสสร ใสสะอาดบริสุทธิ์
          การเรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยการศึกษาประสบ
    การณ์หรืออ่านหนังสือมากๆ ก็เป็นแนวทาง
    หนึ่งที่จะเขียนให้คนเขามองภาพออกจ้า
         ก็เหมือนกับร้อยกรองแหละ หากเขียน
    แล้วคนอ่านได้ความไพเราะเสนาะโสตถ์
    มองเห็นภาพกระจ่าง  บุคคลนั้นถือได้ว่า
    ประสพความสำเร็จจ้า  
           ทุกๆอย่างอยู่ที่ความพยายามของเรา
    อย่าท้อถอย พรสวรรค์มีจริงหรือไม่ครูไม่
    รู้ รู้แต่ว่าหากเป็นค่อนข้างละเอียดรู้จัก
    พิจารณาหาเหตุและผล จากประสบการณ์หรือ
    ศึกษาอ่านหนังสือให้มากๆเข้า
    ทำความเข้าใจไม่ติดขัดต่อสิ่งที่ทำ ตลอดจน
    การใช้คำอักษรให้สัมพันธ์สอดคล้องกัน
    ก็สามารถทำได้  บางคนบอกครูว่าครูมี
    พรสวรรค์ทางด้านนี้ทั้งสอง  ครูได้แต่
    หัวร่อ  กลับบอกว่าครูมันคนโง่ๆทำอะไร
    ไม่เหมือนคนอื่นๆนี่หรือคือพรสวรรค์จ้า
          รักศิษย์เรามากเสมอๆ
    
             16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • ทางแสงดาว

    20 มกราคม 2554 19:00 น. - comment id 121562

    หลายตอนที่อ่านมา...จะเห็นความผูกพัน
    
    ทั้งครอบครัว แม้เพื่อนต่างภพ....
    
    ขอบคุณนะคะ...คุณชายฯของแสงดาว36.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน