* แดนพิศวง ๑๘ *

แก้วประเสริฐ


                  แดนพิศวง ๑๘
              (แผนสู้ศึกสัตว์ประหลาด)
     เวลาสายของวันรุ่งขึ้น  หลังจากที่นิรุทธ์ชายหนุ่มได้รับฟังเรื่อง
สัตว์ประหลาดที่ มีรูปร่างเหมือนคางคกจากเหล่าชาวบ้านที่เจอะ
เจอและหนีรอดออกมาได้  เขาได้ซักถามรายละเอียดบางอย่างจน
แน่แก่ใจว่าสัตว์เหล่านี้ มักจะออกมาตอนพลบค่ำอาศัยอยู่ภูเขาที่
ถัดออกไป ซึ่งมีแหล่งน้ำเป็นสระกว้างอยู่ท่ามกลางเขาล้อมรอบ
ออกมาหากินแถวๆริมสร้างเป็นส่วนมาก นอกจากฝนที่ตกปรอยๆ
จึงจะออกมาเกินกว่าบริเวณนั้น
       เพื่อความไม่ประมาทดังนั้นชายหนุ่มคิด ตั้งใจจะไปดูทำเลชัยภูมิ
ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจะได้หาทางตั้งรับ  หลังจากที่ประชุมแล้ว
จึงเอ่ยขึ้นว่า
     “สินธุ  ข้าได้รับฟังแล้วเห็นว่า ข้ากับเจ้ากุลาจะออกไปดูลาดเลา
เสียก่อน  เพราะวันนี้รู้สึกอากาศช่างร้อนอบอ้าวมาก ท่าทีว่าจะมีฝน
อีกประการหนึ่ง สัตว์พวกนี้เมื่อได้กลิ่นมนุษย์และลิ้มรสแล้วย่อมจะ
ติดใจและจะคงออกหาพวกเรา  เห็นทีว่าจะไปหาทำเลเสียก่อนนะ”
    “ให้ข้าไปด้วยนะนาย”  คียะเอ่ยขึ้น
     “ข้าด้วยนาย”   ภาคีก็เอ่ยเช่นเดียวกัน
     “แต่ข้าคิดว่าจะเอาแค่กุลาไป เพราะเพียงไปดูทำเลเท่านั้นส่วน
ทางนี้จะให้พวกเจ้า สินธุและผู้เฒ่าคอยควบคุมพวกเราซึ่งมีไม่มาก
หากไปจะไม่สะดวกนะ ขอบใจที่อุตส่าห์ไปป้องกันภัยแก่ข้า”
     ชายหนุ่มตอบพร้อมหันไปยิ้มแก่คนทั้งสอง ซึ่งมองมาทางเขาด้วย
สายตาละห้อย
      “สินธุได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ  อย่าลืมเกณฑ์คนไปหาครั่งและยาง
หรือไม้ที่ใช้ในการติดไฟยิ่งได้มามากเท่าไหร่ยิ่งดี  ส่วนคนที่อยู่ให้
เร่งจัดทำคบเพลิงเพื่อจะนำมาชุบยางและลูกธนูเอาไว้ปลายผูกกับ
สิ่งที่ใช้เป็นเชื้อไฟด้วยนะ”
      “ข้าจะเกณฑ์คนไปทำตามที่นายสั่งนะ”   สินธุตอบ
      “ดีแล้วล่ะ  เมื่อไปหากำชับด้วยว่า หากมีฝนมาให้รีบกลับถ่ำ
ทันที  และสุมไฟไว้ปิดปากถ่ำด้วยล่ะ   อย่าให้ฝนตกก่อนล่ะ หากไม่
มีฝนให้รีบกลับก่อนพลบค่ำอีกด้วย”
     “ข้าทราบแล้วนาย  พลางหันไปทางเจ้ากุลา  เอ็งติดตามนายไป
แล้วคอยป้องกันนายด้วยนะเจ้ากุลา”
     “นายสินธุไม่ต้องห่วงหรอกด้วยชีวิตข้านี่แหละ”  หนุ่มร่างยักษ์
ตอบ และยกแขนที่เป็นกล้ามมัด พร้อมหันหน้าไปทางชายหนุ่มทันที
     “แล้วนายใหญ่จะออกเดินทางเมื่อใดล่ะข้าพร้อมแล้ว”
     “เห็นทีว่าเราควรจะออกเดินทางไปได้แล้วล่ะกุลา  เพราะนี้ก็สาย
มากแล้วเราต้องเดินทางไปถิ่นที่อยู่ของพวกมันก่อน เจ้ารู้ทางดีใช่ไหม???
     “ข้าไปมาหลายครั้งแล้วล่ะนายเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอก”
     “ดีล่ะ???....งั้นเจ้าออกเดินทางได้แล้ว
     “สินธุอยู่ทางนี้อย่าลืมล่ะ  คียะและภาคีด้วย  รีบช่วยๆกันจะได้
มีทางป้องกันมันไว้”
     “จ๊ะนายคียะพร้อมแล้วล่ะ”
     “ขอให้นายเดินทางระวังตัวด้วยนะทางมันลำบากมาก”
     “ขอบใจทั้งสองมากไม่ต้องห่วงหรอก อย่างไรก็จะรีบกลับมา”
         ชายหนุ่มพลางลุกขึ้นและตบไหล่เจ้ากุลาหันไปทางทุกๆคน
เห็นทุกๆคนต่างมีท่าทีกระเหี้ยนกระหือมาก  เขาคิดว่าศึกครั้งนี้เห็น
ทีจะไม่เป็นไปตามความคิดเสียแล้ว  ด้วยแต่ละคนแม้จะมีจิตใจ
กล้าหาญก็จริง แต่สายตาบ่งบอกออกมาชัดว่าเกรงกลัวต่อสิ่งเหล่านี้
มากๆเสียด้วย   
          ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินนำหน้าไปยังที่ปากถ่ำพร้อมกับกุลาทาง
ด้านหลังมีคนมาคอยส่งจำนวนไม่มากนักที่เป็นชาย นอกนั้นเป็น
หญิงและเด็กผู้เฒ่า  เขาคำนวนจำนวนพอๆกันแหละ  การวางแผนไว้
ให้เขากลับมาก่อนจะต้องวางกำลังคนใหม่เสียแล้ว  
         เมื่อเลยปากถ่ำมาเขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า  อากาศที่นี้มีหมอก
เมฆปกคลุมทำให้อากาศชุ่มชื้นตลอดเวลา  อันเป็นแหล่งที่เจ้าคางคก
ประหลาดชอบมาก   เขาคิดในระหว่างเดินทางกับกุลาผู้เฒ่าบอกว่า
เจ้าสัตว์ประหลาดนี้เกรงกลัวความร้อนมาก  หากมันมาเป็นพันๆตัว
ทางนี้จะป้องกันอย่างไร  ชายหนุ่มรู้สึกมึนหัวตืบทันที  พลาสะบัด
หัว คิดไปทำไม  ไว้ให้เกิดเหตุการณ์ก่อนค่อยคิด  พลางสลัดความ
คิดแล้วรีบเดินตามเจ้ากุลาร่างยักษ์ไปทันที 
           ทางเดินเป็นทางแคบๆเต็มไปด้วยต้นไม้อันสูงใหญ่ปกคลุมไป
ทำให้พื้นดินแฉะและเต็มไปด้วย  ทากและปลิง แต่ละตัวขนาดใหญ่
เท่ากับท่อนไม้เท่าข้อมือเห็นจะได้   เจ้ากุลาพลางหันมาเอ่ยขึ้นว่า
     “นายๆที่นี่มัสัตว์พวกทากและปลิงที่ชอบดูดเลือดมาก  
ให้นายเอาไอ้นี่เสียบไว้ที่ใบหู 
 กลิ่นมันจะป้องกันสัตว์พวกนี้ได้ รีบทำเข้านาย”
     “อะไรหรือกุลา”  เมื่อเขายื่นมือไปรับแล้วมาพิจารณาดูเห็นเป็น
ท่อนไม้สีดำๆแต่มีกลิ่นฉุนมากๆ
     “ว่านยานะนายพวกนี้มันกลัว  หากมีว่านนี้เกิดที่ใดพวกสัตว์ดูด
เลือดนี้จะไม่มีแม้แต่ตัวเดียว  พวกข้าใช้เวลาเข้าป่าไปหาอาหารนะ
จึงพบและแปลกใจ ได้ทดลองโยนใส่มัน ปรากฏว่ามันทิ้งตัวห่อ
ทันที  หากมันกระทบจะดิ้นแล้วตายตายและที่ไม่โดนจะรีบหนีไป”
      “เอาเถอะ กุลารีบๆหน่อยต้องลัดเลาะเขาไปอีกไกล ไหมเดี๋ยวจไม่มีเวลากลับมาไม่ทันก่อนพลบค่ำนะ”
     ทั้งสองต่างแหวกต้นไม้ด้วยมีดที่นำติดตัวมา และออกเดินทาง
ลัดเลาะไปฝ่าพงไม้แปลกประหลาดเพราะไม่ได้เดินไปตามทางเดิน
ที่ใช้สัญจรไปมา  สักครู่ก็ถึงเนิน  ชายหนุ่มมองดูบนเนินเป็น
ทัศนียภาพอันสวยงามมาก ไหนเลยจะเป็นดินแดนแห่งอันตรายไป
ได้หากเขาไม่รู้คงจะเพลิดเพลินไปกับทัวทัศน์เหล่านี้  เป็นภาพที่มอง
ลงไปยังหุบผามีพืชที่ออกดอกตามคาคบ และบริเวณตามต้น ดอกแต่
ละดอกช่างใหญ่โต และหลากสีสรร  ไกลๆโน้นเป็นสายธารน้ำตก
ไหลลงมายังแอ่งน้ำอันกว้างใหญ่มาก  ริมๆสระน้ำเป็นหินหลากสี
ตระการตาไปหมด  เขามองไปยังเท้าก็มีหินสวยๆเหล่านี้จึงก้มหยิบ
เอามาดู  ใช่แล้วมันเป็นหินพลอยต่างๆที่ยังไม่ได้เจียรนัยเป็นก้อนๆ
       เขามองไปยังเบื้องหลังเขาที่จะไปเป็นภูเขาสูงใหญ่ไกลลิบๆ
 เขาสะดุ้งในใจ  อะไรนี่นั่นเป็นปลายปล่องของภูเขาไฟนี่นา 
เอ๊ะแต่ทำไมบริเวณนี้จะมีภูเขาไฟหรือ  
นี่เป็นดินแดนอะไรกันคงจะไม่ใช่เนปาลแน่ๆ
เขาสะดุ้งเมื่อแขนถูกกระตุกเบาๆ  จึงหันไปมองเป็นเจ้ากุลากำลัง
ชี้มือไปยังภูเขาอีกลูก พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
     “นายๆที่นั่นแหละคือที่ไอ้พวกคางคกประหลาดมันซ่อนตาม
โพรงหินอาศัยอยู่”
     “ที่นั่นข้ามองดูแล้วมันผนังสลับกันไปๆมาคงจะเป็นถ่ำใหญ่น้อย
กระมัง”
     “ใช่แล้วนายข้าเคยหลงไป กว่าจะหนีออกมาได้แทบตายเชียวนาย
และกว่าจะรักษาตัวได้ใช้เวลานานๆเป็นเดือนเชียวล่ะนาย
เพราะกว่าจะรู้ตัวมันมาเป็นร้อยๆ มันกระโดดทีไกลมากเสียด้วย ดี
นะที่ข้าคงยังไม่ถึงที่ตาย   นึกถึงคำผู้เฒ่าได้นี่แหละถึงรอดมาได้มัน
กลัวมากๆเสียด้วย   หากมันมากันแยะเราจะทำอย่างไรล่ะนาย ลำพัง
แต่ละตัวมันใหญ่ๆกว่าคนเราเสียอีก”
     คำพูดของเจ้ากุลาทำให้เขานิ่งอึ้งไป จริงซินะหากมันมาเป็นร้อยๆ
พันๆล่ะ  พวกเขาก็มีกันไม่ถึงร้อยคนเลย  แต่แล้วแว๊ปหนึ่งผุดขึ้นมา
ในสมองเขาชั่วประเดี๋ยวเดียว  เขายิ้มกับตัวเองใช่ล่ะเห็นทีต้องอาศัย
สิ่งนี้แหละถึงจะกำจัดมันได้หมด  หากการต่อสู้กันตัวต่อตัวยากยิ่ง
นักที่จะเข่นฆ่ามันหมดได้
     “นายยิ้มอะไรหรือ????....”
     “ไม่มีอะไรหรอกกุลา  ข้าดูเห็นทิวทัศน์สวยงามมาก มันช่างสวย
จริงๆนะ”   เขาต้องรีบปัดคำพูดที่จะเอ่ยบอก
     “นั่นซิข้านึกว่านายหาหนทางได้แล้วเสียอีก”
     “รีบไปเถอะกุลา  ข้าจะมองดูบริเวณรอบๆสักหน่อย”
    แล้วทั้งสองก็รีบลงจากเนินสูงลัดเลาะไปตามไหล่เขา  สักครู่ใหญ่
ก็มาถึงบริเวณสระน้ำ  น้ำช่างนิ่งสนิทใสมองเห็นก้อนสล้างที่ลึกได้
แต่ประหลาดใจที่หากมีน้ำต้องมีปลา แต่นี่จะหาปลาสักตัวไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม  หรือว่าเจ้าสัตว์นี้จะมากินเสียหมด 
 อืมๆๆอาจจะเป็นไปได้นะ เขาคิดพลางสาดสายตาไปทั่วๆบริเวณนั้น
         ดังนั้นทั้งสองจึงเดินลัดเลาะไปตามสระใหญ่กว้างขวางมากไป
จนถึงบริเวณภูเขาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก  เห็นเจ้ากุลาหยุดชะงักพรืดพร้อม
ทั้งชี้ไปตามผนังภูเขาทันที
     “โน่นนายนี่แหละไอ้พวกนี้มันอยู่แต่กลางวันมันจะไม่ออกมา
หรอก  จะออกหาอาหารตอนพลบค่ำเท่านั้น”
     “อ้าวๆๆ???...เราก็เดินไปดูใกล้ๆมันซิ”   คราวนี้ไอ้กุลามันมี
อาการทันที
     “ข้าว่านายดูที่นี่ก็ได้ข้าแลเห็นตามผนังที่มืดๆคล้ายมีตาหลาย
ดวงกำลังจ้องมองมาทางเราอยู่นะนาย”  
      คราวนี้ชายหนุ่มตั้งสมาธิหันไปมองดูตามผนังอย่างละเอียดที่
เป็นมุมค่อนข้างมืด  จริงๆสินะมันมีลักษณะดวงตาสัตว์สีเขียวกำลัง
สายไปมา บางครั้งก็ดับวูบไปใหม่มาเรื่อยๆ   เห็นดังนี้แล้วเขาก็วาง
แผนการณ์ในใจ ทันทีรู้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรดี  หากเขาคิดไว้เป็น
ผลแน่ล่ะจะต้องไม่ต้องเสียจำนวนคนเข้าต่อสู้เป็นจำนวนมากเลย แต่
ทว่าจะหาทางล่อหลอกมันได้อย่างไรเล่าเท่านั้นเอง
     “นายรีบถอยด่วนบางตัวมันออกมาแล้วนาย  รีบกลับกันเถอะ????
เดี๋ยวจะไม่ทันนะมันกระโดดได้ไกลและเร็วด้วย”
    ใช่ซิบางตัวมันออกมาจากถ้ำประมาณเกือบสิบตัว  เพราะท้องฟ้า
มืดคลึ้มเนื่องจากเมฆบังแสงอาทิตย์อีกต้นไม้รอบๆใบใหญ่ปกคลุม
ทำให้บริเวณที่เขายืนอากาศสลัวๆทันที
    “ถอยกุลารีบกลับทางเก่า  ให้เจ้าอยู่ข้างหลังข้านะอย่าแยกเป็น
อันขาดจำไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
    “นายจะสู้กับมันหรือ ข้าว่าอย่าดีกว่าเราไม่ได้เอาไฟมาด้วยนาย”
   “เถอะนะข้าจะทดลองดูสักตั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ช่องทางกำจัดมันได้
ไม่ต้องเสียคนมากมายนะ เร็วๆเข้ากุลามันกระโดดได้ไกลและเร็วด้วย  อย่าชักช้าจะไม่ทันการณ์นะ”
     ว่าแล้วเขาก็ดึงเจ้ากุลาให้ลอยจากฟื้นแล้วเหินเหนือพื้นดินหลอก
ล่อมัน   เจ้าสัตว์ร้ายเมื่อกระโดดไม่กี่ทีก็มาถึงเบื้องหน้าชายทั้งสอง
มีประมาณ ห้าหกตัว แต่ละตัวมันใหญ่มาก หนังมันเป็นตะปุ่มตะป่ำ
แต่หัวมันใหญ่โตอ้าปากมาคล้ายฟันของกิ่งก่าไม่ผิดเพี้ยนเลย  
   ชายหนุ่มรีบดึงร่างเจ้ากุลาเหินละลิ่วไปอย่างรวดเร็ว เจ้าสัตว์นี้ก็ติด
ตามมาอย่างไม่ลดละ  กลิ่นเหม็นเขียวกระจายฟุ้งคละเคล้าบริเวณนั้น
ไปทั่ว   เมื่อขึ้นมายังเนินได้แล้วชายหนุ่มก็วางเจ้ากุลาลง  เจ้ากุลาก็รีบ
ดึงหน้าไม้ออกมาพร้อมลูกขึ้นสายพาดทันที เมื่อได้ระยะมันก็ปล่อย
หน้าไม้ออกไปถูกยังเจ้าสัตว์นี้ตัวแรก แต่หน้าไม้ดอกแรกหาได้ทำ
อะไรมันได้ไม่ มันพรวดทีเดียวก็จะถึงตัวเจ้ากุลาและเขาแล้ว แม้เจ้า
กุลาขึ้นหน้าไม้ได้อย่างรวดเร็ว และยิงออกไปถี่ยิบก็ตาม  ตัวแรก
ถูกลูกดอกประมาณสี่ห้าดอกถึงจะทรุดตัวลง แล้วค่อยๆหงายท้อง 
เสียงร้อยก้องของมันก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณหุบเขา
     “แอ๊บๆๆๆๆ.....ๆๆๆๆ....ๆๆๆๆๆ...”      ระงมไปทั่วตัวที่ได้ยิน
ก็พุ่งร่างเข้ามาทันที  ชายหนุ่มก็รวบรวมพลังงานตะหวัดมือเป็นรูป
วงกลม บัดดลก็บังเกิดเป็นลูกไฟสีฟ้าขนาดใหญ่หมุนวนไปมาในฝ่า
ของเขา  ชายหนุ่มผลักลูกไฟที่ประกอบด้วยกระแสไฟฟ้าเสียง
กึกก้องคำรามปานประหนึ่งสายฟ้าคำรามทันที  แสงของรูปทรงกลม
ก็พุ่งไปยังสัตว์ประหลาดตัวแล้วตัวเล่า วิ่งจากตัวนี้ไปยังตัวโน้น
ตัวใดที่โดนประจุไฟฟ้าก็ถึงกับร่างมันดำเป็นตอตะโกทันที พร้อม
ด้วยเสียงคำรามกึกก้องของสายฟ้าที่วิ่งไปๆมา   ชายหนุ่มรีบสร้างลูก
กลมไปอีกหลายๆลูกผลักไปยังเหล่าสัตว์ร้ายทันที     เสียงร้องของ
มันกระจายไปทั่วหุบเขา พร้อมกับมีเสียงร้องตอบรับดังใกล้เข้ามาอีก
     ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองเขารู้แล้วว่าจะปราบเจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้อย่างไร
หากเขาสามารถล่อมันให้มารวมตัวกันได้  ทันใดนั้นเขาต้องอ้าปาก
ค้างไปทันที  เพราะเหมือนเจ้าสัตว์ร้ายจะรู้ทันความคิดเขา  เพราะมัน
หาได้รวมตัวกันมาเป็นฝูงๆต่างแยกย้ายกระจายดาหน้าเข้ามาทันที
    ทันใดนั้นเหล่าสัตว์เหล่านี้ต่างพ่นควันสีขาวๆเทาๆออกมาจากปาก
ยางมันก็ไหลซึมออกมาจากตะปุ่มตะป่ำ ไหลชะโลมทั่วร่างมันเพื่อจะ
ป้องกันตัวมันไว้  แต่ทว่าอำนาจของกระแสไฟฟ้ามันมิอาจต้านทาน
ได้  เพราะไม่ใช่ไฟธรรมดาดังนั้นพวกมันต่างล้มตาย และก็เข้ามา
เสริมอีกเป็นจำนวนมาก ลำพังเขาเองนั้นเรื่องการหนีคงจะไม่เท่าไหร่
แต่เขาห่วงเจ้ากุลานั่นเอง ต้องคอยปัดปกป้องให้มัน  แม้ว่าเจ้ากุลาจะ
ยิงลูกดอกออกไปปะทะมัน แต่ก็เหมือนเอาไม้จิ้มฟันไปกระทบตัว
มันและหาได้เกรงกลัวลูกดอกของเจ้ากุลาก็หาไม่แม้ลูกดอกแต่ละ
ลูกจะฉาบไปด้วยยาพิษก็ตาม แต่กับสัตว์อื่นคงพอจะทำเนาแต่กับเจ้า
สัตว์เหล่านี้พิษหาได้ทำอันตรายแก่มันได้เลย นอกจาก ตัวใดที่ถูกเข้า
ในส่วนสำคัญจังๆและหลายๆดอกเท่านั้นเองถึงจะหยุดมันได้  หาก
ลำพังเข้ากุลาเห็นจะต้องเสียทีแก่มันแน่นอน   เจ้ากุลายิงลูกดอกไป
จนหมด  แล้วรีบชักดาบออกมาเขารู้ทันทีว่าเจ้ากุลาคงจะหมดลูกดอก
เสียแล้ว จึงชักดาบออกมาเช่นนี้
     “นายๆๆต้านไม่ไหวแล้วหาทางหนีดีกว่านาย”  เสียงเจ้ากุลาปาก
คอสั่น หน้าตาเหลิกหลักมองหาทางจะหนี
     “ไปๆๆๆกุลาเกาะข้าไว้ให้ดีๆนะอย่าปล่อยมือจากข้าเสียล่ะ”
     “นายจะฝ่ามันไปได้อย่างไร  มันมากันเต็มไปหมด”
     “เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองแหละน่า เฉยๆไว้ไม่ต้องพูดอะไรเดี๋ยวควันของ
มันจะเข้าปากเสียก่อน”
      เขาคิดว่าเจ้ากุลาคงคิดไม่ถึงเพราะตอนแรกเขาลากมันเหนือพื้น
ดินเล็กน้อย ระหว่างหนีมันคงไม่สังเกตุว่าเขาทำกับมันอย่างไร  เขา
รีบจับร่างเจ้ากุลาแล้วดึงขึ้น  เสียงร้องแอ๊บๆๆๆดังก้องไปทั่วบริเวณ
นั้น  มันคงมามากมาย  หากเขาจะจัดการแบบเก่าคงจะไม่ได้ผลแล้ว
เพราะมันมีมากๆเสียด้วย ลำพังเขาคนเดียวก็เอาตัวรอดได้หรอก แต่
นี่มีเจ้ากุลามาด้วย  หนีอย่างเดียวเขาคิดแล้วค่อยตั้งหลักใหม่ เมื่อคิด
ได้เช่นนี้แล้ว เขาก็ดึงเจ้ากุลาเหินไปบนฟ้าทันที  มีร่างเจ้ากุลาห้อย
ต๊องแต่งๆๆ  เจ้ากุลาตาเหลือกถลนเมื่อรู้ตัวว่านายมันทำอะไรกับมัน
มันคิดไม่ถึงว่านายมันจะมีฤทธิ์ได้ถึงเพียงนี้  ตอนแรกก็คิดนึกสบ
ประมาทอยู่ในที  ด้วยเห็นร่างนายมันเล็กกว่ามันมากถึงจะมีร่างกาย
กำยำด้วยกล้ามเนื้อก็ตามที   บัดนี้มันรู้แล้วว่านายมันไม่ธรรมดา
ความจงรักภักดีก็ทวีขึ้นเป็นเงาตามตัว  
        ร่างของชายหนุ่มก็ลอยขึ้นเหนือควันพิษที่เจ้าสัตว์ร้ายพ่นออกมา
แต่มันดุร้ายไม่ยอมง่ายๆ  บางตัวกระโดดใส่ร่างของเขาดังนั้นเขาจึง
ใช้มือข้างเดียว รวบรวมพลังได้เป็นวงกลมเล็กๆผลักใส่พวกมันที่ต่าง
กระโดดใส่เขาทันที เสียงฟ้าคำรามพร้อมกับวงกลมสายฟ้าได้พุ่งเข้า
ใส่ร่างมันกระเด็นตกลงไปไหม้เกรียมเหมือนกับฟ้าผ่าไม่ผิดดำเป็น
ตอตะโกไป  แต่หาทำให้พวกมันเกรงกลัวก็หาไม่
กลับกระโดดใส่เขาอีก  ดังนั้นเขาจึงรีบเหินฟ้า
พร้อมด้วยร่างของกุลาขึ้นสูงลอยละล่องหนีไปทันที  
 มุ่งหน้าหนีเจ้าสัตว์ร้ายเหนือยอดไม้ไปตามทางเดิมที่มา
       สักครู่ใหญ่เสียงของสัตว์ร้ายก็หายลับไปกับสายตาพร้อมทั้งเสียง
ร้องของมัน  ชายหนุ่มก้มหน้าไปมองไม่เห็นร่องลอยของสัตว์เหล่านี้
ก็รีบเหินลงยังพื้นดินทันที  พอร่างทั้งสองสู่พื้นดินแล้วเจ้ากุลาก็หงาย
ร่างมันมันทิ้งตัวลงบนต้นหญ้าพร้อมทั้งพ่นเป่าลมออก มันลืมตา
โพลงพลางขยี้นัยน์ตามัน  แทบจะไม่เชื่อเลยว่านี่เป็นความจริงที่มัน
เห็นมา  หากมันไม่ได้นายนี้เห็นทีมันต้องตกตายไปให้กับสัตว์ร้าย
นี้อย่างแน่นอน
     “นายๆๆหนีพ้นมันแล้วหรือนาย???...”  เสียงมันสั่นพร่าทันที
     “อืมมๆๆๆพ้นแล้วกุลา”  แล้วชายหนุ่มก็รีบทรุดกายลงนั่งแล้ว
เริ่มสร้างพลังรวบรวมพลังขึ้นเสริมใหม่ทันที
       สักครู่หนึ่งชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นเห็นเจ้ากุลา จ้องมองเขาเขม็งด้วย
อาการประหลาดใจ  เขาก็หัวร่อเบาๆแล้วเอื้อมมือตบไปบนไหล่อัน
เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ  กล่าวขึ้นว่า
      “รีบไปเถอะกุลา  เดี๋ยวพวกเราจะเป็นห่วงนี่ก็บ่ายมากแล้วล่ะ”
      “อ้อๆๆที่เจ้ารู้นะอย่าปริปากบอกใครเด็ดขาดล่ะ รู้ไหมกุลา”
      “ขอรับนาย  แม้แต่นายสินธุ์ด้วยหรือ????”
      “ถูกแล้วไม่ว่าใครๆทั้งสิ้นห้ามเจ้าพูดออกไปเด็ดขาด”
      “ทำไมหรือนาย?????”
      “ข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ หากเจ้าพูดออกไปเขาก็ไม่เชื่อเจ้าด้วยอีก
อย่างจะทำให้พวกเราเสียขวัญไปหมด อย่าลืมล่ะ”
     “ขอรับนาย รับรองว่าไอ้กุลาจะไม่พูดเด็ดขาด แต่ทว่า????”
     “อะไรหรือกุลา  ทำหน้าขมวดเช่นนี้เล่า”
     “อ่าๆๆๆนาย.....เหลือเชื่อเหลือเกิน....หากข้าไม่สบด้วยตัวเอง
ข้าเป็นวันไม่เชื่อเด็ดขาด ว่านายเหาะเหินบนอากาศได้ ซ้ำยังมีฤทธิ์
สร้างอะไร???ก็ไม่รู้เวลานายปล่อยไปคล้ายๆสายฟ้าวิ่งๆไปๆมาๆได้
อีกด้วย เมื่อมันโดนไปไหม้ดำเป็นตอตะโกไป เขาเรียกอะไรหรือนาย??”
      ชายหนุ่มมองหน้าเจ้ากุลาเขม็ง จนเจ้ากุลาต้องหลบตาแล้วเอ่ยว่า
      “หากลำบากแก่นายไม่ต้องบอกก็ได้นาย”
      “ไม่ใช่อย่างนั้นกุลา  หากข้าบอกเจ้าไปเจ้าจะรู้หรือเปล่าเท่านั้น”
       “หากเป็นเช่นนั้นไม่ต้องก็ได้นาย เพียงข้าอยากรู้ไว้เท่านั้นเอง”
       “อืมม???...ก็ได้กุลาเขาเรียกว่ารังสีครอสมิคฟิสิกซ์ ซึ่งเป็นที่รวม
ของพวกอะตอมโมเลกุลนิวเครียสทั้งหลายมีอานุภาพด้วยประกอบ
กับใช้เวทย์มนต์เข้าหล่อหลอมเป็นพลังงานชนิดหนึ่งสามารถนำมา
ใช้ได้ ทุกๆคนหรือสัตว์ต่างๆย่อมมีประจุกระแสไฟฟ้าในตัวเอง  หาก
รู้จักนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ก็กลายเป็นพลังงานอันทรงอานุภาพ
มากมาย  แต่ต้องประกอบด้วยวิธีการหลายๆอย่างจึงสามารถทำได้
ข้าเพียงบอกให้เจ้ารู้คร่าวๆเท่านั้นเอง”
       “รังสีครอสๆๆๆๆ???....?????”   มันอุทานออกมา
        “ขนาดนายบอกมานี่ข้าก็งงเป็นไก่ตาแตกไปแล้วนาย ไม่ต้อง
บอกอีก ถึงบอกข้าก็ไม่รู้”
       ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆๆ พลางตบไหลมันกระตุ้นขึ้นว่า
        “ไปเถอะกุลาเดี๋ยวพวกเราเป็นห่วง อย่าลืมที่ข้าสั่งไว้เสียล่ะ”
         “ไม่ลืมหรอกนาย  ข้าเป็นคนมีสัตย์รับปากใครแล้วต้องทำให้
ได้นาย  ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  ออกเดินทางกันเถอะนาย”
          “อืมมๆๆไปเถอะกุลา”
    แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นแล้วย้อนเดินทางกลับไปยังถ่ำที่พวกเขาอาศัย
อยู่เพื่อหลบภัยจากสัตว์ร้ายนี้  ทั้งสองเดินไปอย่างรวดเร็วจนพ้นแนว
ทะลุพ้นป่าเข้าสู่ทางเดินปกติธรรมดา....................
                       *  แก้วประเสริฐ. *

117684ygkpzfr3jr.gif				
comments powered by Disqus
  • เอื้องอังกูร

    1 ตุลาคม 2555 17:22 น. - comment id 130535

    หวัดดีครับ   เข้ามาเย็นย่ำแล้ว...อ่านแล้ว
    สนุกสมกับการรอคอย..ด้วยความระทึก..
    ในดวงหทัยพลัน....ขอบคุณกับความสำราญ
    ที่มอบให้ครับ36.gif16.gif29.gif
  • แก้วประเสริฐ

    2 ตุลาคม 2555 12:39 น. - comment id 130537

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
             เรื่องนี้ผมจะเน้นความสนุกสนาน
    เป็นหลักครับ เรื่องอาจจะยาวสักหน่อย
    แต่ก็ไม่แน่ครับ นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น
    ก้ยังไปสิบยี่สิบตอนแล้วครับ
            อย่าคิดมากอ่านเพื่อสนุกสนาน
    ไปเรื่อยๆนะครับ ขอบคุณ
    
                   16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เพียงพลิ้ว

    3 ตุลาคม 2555 08:11 น. - comment id 130549

    
    
    มีนายอุทัยเทวีด้วยค่ะคุณลุง นางอุทัยเทวีสวยนะคะ อิอิ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • แก้วประเสริฐ

    3 ตุลาคม 2555 12:27 น. - comment id 130555

    36.gif16.gif36.gif
    
        โอ้วว???...หลานเราช่างคิดกว้างไกล
    เสียจริงๆ แต่ก็ดีแฮะ อิอิ ไม่ไหวจ้า คิด
    อะไรก็เขียนๆๆๆไปเรื่อยๆแหละจ้า ไม่ทัน
    นึกถึงนางอุทัยเทวีที่โด่งดังเน๊อะ
            รักหลานเรามากเสมอๆ
    
                16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน