ชีวิตเด็กวัด ตอน.. ปลุกจิต

ดาวศรัทธา

“เฮ้ย.. เล็ก ช่วยจับดึงนิ้วมือออกมา”
ฉันรีบเข้าไป ช่วยดึง ช่วยแกะ นิ้วมือที่สอดประสานไขว้กันอยู่ในแบบพนมมือ แต่เกร็งเกี่ยวยึดติดกันแน่นมาก ทำไปแบบกลัวๆกล้าๆ เพราะเป็นอาการที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
บักจ่อย ที่นอนหงายหลับตาเกร็งทั้งตัวอยู่นั้น เพิ่งทำพิธีปลุกจิตไปเมื่อชั่วครู่ โดยมีพิธี เริ่มจาก เขียนชื่อหญิงสาวที่จะส่งจิตไปหาไว้ในกระดาษ พร้อมดอกไม้ ยัดไว้ในกำมือที่พนมสอดนิ้วไขว้กัน ก่อนทำพิธี จะจุดธูปเทียนบอกกล่าวและบริกรรมคาถาอะไรพักหนึ่ง หลังจากพร้อมสรรพทุกคนมานั่งล้อมวง บักจ่อยก็เริ่มสั่นข้อมือโดยพับแขนจากข้อศอกถึงข้อมือ สั่นเข้าๆออกๆ กระแทกหน้าอก เริ่มจากช้าๆแล้วเร่งเร็วขึ้นๆ จนรัวแบบนับไม่ทัน อยู่ในอาการสั่นแบบนั้น แล้วแผ่วลง จนพูดคุยโต้ตอบกับคนรอบข้าง
จุดประสงค์ของการปลุกจิต คือการถอดจิตไปหาสาวในใบกระดาษที่เขียนระบุ เพื่อพาจิตของสาวนั้น ซึ่งน่าจะหลับอยู่ มาเข้าตัวคนปลุก แล้วคนรอบข้างจะคุยไต่ถามต่างๆนานาๆตามที่อยากรู้  จึงทำตอนดึกๆ ในเวลาที่คาดว่าสาวเจ้านอนหลับแล้ว
คืนนั้น ผู้ที่นั่งล้อม บักจ่อย อยู่นอกจากฉัน ก็มี พี่เหมอ คนที่รักสาวแล้วอยากเชิญสาวมาถามความลับด้วยวิธีพิสดาร พี่เหมอเป็นคนเมืองพล ขอนแก่น มาเรียนวาดเขียนรูป เป็นคนแรกที่สอนฉันพูดภาษาอิสาน เป็นคนคุยสนุก มีทั้ง ผญา นิทาน และ หมอลำ ให้ฟัง คนถัดมาคือ พี่เกียรติ เป็นผู้ใหญ่ ทำงานแล้ว อาจเป็นญาติกับหลวงพี่ เพราะหน้าตาละม้ายกัน คนสุดท้าย คือพี่หงัด เป็นคนสีคิ้ว โคราช เรียนจบโรงเรียนวัดเทพฯ รุ่นเดียวกับพี่ชายของฉัน เป็นคนมีน้ำใจดีมาก
บักจ่อย เพิ่งเข้ามาวัดอยู่ไม่กี่วัน พักอยู่กุฏิอื่น คล้ายว่าหนีคดีจากอิสาน เพราะไปทำพิธีปลุกจิตสาว แล้วมีเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงต้องเผ่นหนีเข้ากรุง หน้าตาท่าทาง ดูซื่อๆไม่มีพิษมีภัย หน้าอมยิ้มอารมณ์ดีตลอดเวลา ด้วยกิติศัพท์ดังว่านี้แหละ จึงเป็นเหตุให้ เด็กวัดหนุ่มหลายคนอยากรู้อยากลองให้รู้เห็นกับตา
...
ฉันพยายามเข้าช่วย แกะนิ้ว ดึงมือของบักจ่อย ที่ตอนแรกก็นั่งสั่นมือ ได้สักพักก็หงายผลึ่งนอนหลับตากำมือเกร็งอยู่อย่างนั้น  จนพี่เกียรติ ร้องเรียกทุกคนให้เข้าช่วย จนในที่สุดก็แยกออกจากกันได้  บักจ่อยยังนอนระรวยหลับตาแบบไม่มีสติ พอช่วยกันเรียกปลุก สักพัก ก็ลืมตาขึ้นมา งึมงำพูดว่า
“ออกไปบ่ได้ มีพระสูงใหญ่ตัวดำขวาง”
พี่เกียรติเล่าว่า เคยมีพระรูปลักษณะดังกล่าวอยู่ที่กุฏินี้ แต่เสียชีวิตไปนานแล้ว
...
คืนนั้น ผ่านไปแบบ ไม่รู้ไม่เห็นอะไรนัก และน่าเข็ดขยาดกับอาการที่เกิดกับ บักจ่อย คืนก่อนวันพระถัดมาอีกหนึ่งอาทิตย์ พวกพี่ๆยังอยากลองทำอีก เหตุที่ต้องทำคืนก่อนวันพระ เพราะบักจ่อยบอกเช่นนั้น
ฉันเห็นพวกพี่เตรียมของต่างๆ และได้ยินคุยกันจึงรู้ว่าเขาเตรียมการจะทำอีก แต่คราวนี้นัดกันไปทำข้างนอกกุฏิ และไม่ให้ฉันตามไปโดยบอกว่าเป็นเด็ก ไม่ให้ไปยุ่ง ฉันเลยเฝ้ารอฟังผลที่กุฏิอยู่คนเดียว
ฉันอ่านหนังสือรออยู่จนง่วง เตรียมจะนอนแล้ว พลันพวกพี่ๆทั้งหมดก็กลับมาที่กุฏิ แต่บอกว่ายังไม่ได้ทำ จะมาทำกันในกุฏิแบบคราวก่อน โดยไม่บอกเหตุผล ฉันเดาว่าคงหาที่เหมาะๆไม่ได้ หรือเกรงคนอื่นรู้เห็นเข้า เดี๋ยวโดนพระอาจารย์เล่นงานยิ่งเลวร้ายหนัก อาจถึงกับโดนไล่ออกจากวัดด้วย จะพาลซ้ำรอยกับบักจ่อย ที่ทำอยู่กลางนาแล้วเกิดเหตุให้ต้องเตลิดหนีมา
ก่อนทำพิธี พี่เกียรติจุดธูปเทียน บอกกล่าวขอพระอาจารย์รูปที่บักจ่อยบอกว่าขวางไว้นั้น แล้วจึงเริ่มต้นตามแบบที่ทำเมื่อคืนก่อน คราวนี้ ผ่านไปนานจนดูเหมือนจิตบักจ่อยออกไปถึงแถวๆโรงหนังเฉลิมเขต โดยมีการพูดโต้ตอบกับพวกพี่ๆที่คอยบอกทาง สักพัก  ร่างบักจ่อยกระตุกขึ้นและร้องออกมา
“โอ้ยๆ.. ไปบ่ได้ ผีหลายโพด สิกลับแล่ว กลับจังใด๋ ไปบ่ถืก”
ทันใด บักจ่อยก็หงายผลึ่ง นอนเกร็งทั้งตัวแบบคราวก่อน แต่ดูอาการหนักกว่ามาก ทุกคนช่วยกันปล้ำดึงมือออกจากกัน พอมือทั้งสองหลุดออกจากกัน บักจ่อยยังนอนหลับเกร็งไม่รู้ตัวอยู่นาน ปลุกเรียกอย่างไรก็ไม่ฟื้น แม้พี่เกียรติจุดธูปขอขมาพระอาจารย์ก็แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น
นานจน พวกพี่ๆเห็นท่าไม่ดี จึงช่วยกันแบกอุ้มบักจ่อย พากันไปหาหมอที่โรงพยาบาลหัวเฉียว
คืนนั้น กว่าพวกพี่ๆจะกลับมาที่กุฏิ ก็จวนรุ่งเช้า และเล่าว่า บักจ่อยนอนรับน้ำเกลืออยู่ใน โรงพยาบาล โดยหมอบอกว่าเป็นเพราะขาดการพักผ่อน
.........
วันเสาร์ ฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ตอนบ่าย ฉันเดินกลับมาจากธุระเข้ามาทางหน้าวัด เห็นบักจ่อย นั่งอยู่บนแท่นหอคอยริมบ่อเต่า จึงเข้าไปคุย อยากจะถามเรื่องต่างๆที่ติดค้างในใจ บักจ่อยปีนลงมานั่งข้างๆ พลางก็ทำ ขาสั่นกระตุก อยู่ตลอดเวลาโดยไม่หยุด
ฉันรู้สึกทึ่งว่า บักจ่อย กำลังทำพลังจิตลึกลับใดกัน จึงเซ้าซี้ซักถามเป็นการใหญ่
บักจ่อยจึงบอกว่า
“บ่แม่นเด๊ เฮ็ดขาซันซือๆ เจ้าก็ล้องเฮ็ดเบิ่งดู๋”
ฉันลองทำ ห้อยขาเขย่งทำสั่นที่ข้อเท้า ตามอย่างดูบ้าง ..เออ.. สั่นเหมือนกันแฮะ
“ฮ่วย... บักหำแตกเอ๊ยยยยยย.....”
-/-				
comments powered by Disqus
  • Dao

    18 มกราคม 2554 19:00 น. - comment id 88713

    44.gif
    
    อาหมวยวา เอ๊ย
    
    แปลว่า ..เอ่ออออ... บ่แม่นหำน่อย... อิอิ
    
    11.gif
    
    ปู่กิ่ง กำลังถ่ายทอดวิทยายุทธ อาจารย์แก้ว
    ปล่อยมาหลายกระบวนท่าแล้วนี่ครับ
    
    คงต้องร่ายรำด้วยตัวเองมั่งแล้ว  
    29.gif11.gif
    
    จวว บ่มีอันหยังดอก อีนาง
    
    บ่มีน่ำก้อนนำ เซินซด ข้าวแฝ่ เด้อหล่า
    
    36.gif59.gif59.gif59.gif59.gif59.gif59.gif59.gif59.gif59.gif36.gif
  • ฉางน้อย

    18 มกราคม 2554 16:35 น. - comment id 121476

    .....5555  ขำ บรรทัดสุดท้าย 
    
    ฮ่วย บักหำแตก เอ้ยยย อิอิ  20.gif19.gif  
    
     ว่าแต่ว่า ....     แปลว่าไรน๊า คิดๆ อิอิ  54.gif46.gif
  • กิ่งโศก

    18 มกราคม 2554 16:45 น. - comment id 121480

    ตามมาขำตามน้องฉาง  หุหุหุ
  • เฌอมาลย์

    18 มกราคม 2554 16:47 น. - comment id 121482

    อีหยังเก๊าะ 19.gif19.gif19.gif
  • แก้วประภัสสร

    19 มกราคม 2554 20:47 น. - comment id 121532

    19.gif20.gif46.gif
    
    แม่นอันหยังน้อค๊า มันคือแตกละ 
    
    19.gif20.gif46.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน